Group Blog
 
All Blogs
 

รำลึกถึงยาขอบ (๒)

รำลึกถึงยาขอบ (๒)

ตามหนังสือ ชีวประวัติ นายโชติ แพร่พันธุ์ “ยาขอบ” ซึ่งพิมพ์เป็นอภินันทนาการ เนื่องในงานฌาปนกิจ ณ วัดมกุฎกษัตริยาราม วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๐๐ ระบุไว้ว่า

ต้นตระกูลของ โชติ (ยาขอบ) แพร่พันธุ์ คือ เจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ เจ้าผู้ครองนครแพร่ แม่เจ้าบัวไหล มีบุตร ธิดาทั้งสิ้นรวม ๗ คนด้วยกัน เป็นหญิงหกคน คนสุดท้ายเป็นชาย คือ เจ้าชายอินทร์แปลง บิดา นายโชติ แพร่พันธุ์ มารดาชื่อ จ้อย

ต่อมาเจ้าอินทร์แปลง ได้สมรสกับ เจ้าเทพเกษร มีบุตรอีกสองคน เมื่อมีการขนานนามสกุลขึ้นตามทางราชการเป็นครั้งแรกนั้น เจ้าอินทร์แปลงใช้นามสกุล เทพวงศ์

แต่แม่จ้อยได้เข้าเฝ้าสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ขอประทานนามสกุลใหม่ จึงได้ประทานนามสกุลว่า แพร่พันธุ์ ซึ่งได้ใช้ตลอดมา

ชีวิตของ โชติ แพร่พันธุ์ กว่าจะมาเป็นนักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ในนาม ยาขอบ นั้น ต้องผ่านขวากหนามในชีวิตมาอย่างโชกโชน จากหนังสือ นักเขียนเรื่องสั้นดีเด่น วาระครบ ๑๐๐ ปีเรื่องสั้นไทย ของสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ร่วมกับ สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น พ.ศ.๒๕๒๘ ได้บันทึกไว้ว่า

ชีวิตในวัยเด็ก

มารดาได้นำ”ยาขอบ”มาฝากให้อยู่ในความอุปการะของเจ้าคุณบริหารนครินทร์ ตั้งแต่เล็ก ๆ และได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเทพศิรินทราวาส ระหว่างที่อาศัยอยู่กับเจ้าคุณบริหารนครินทร์ ยาขอบมีหน้าที่อ่านหนังสือให้เจ้าคุณฟัง ทั้งนี้เพราะท่านเป็นคนรักหนังสือ และปรารถนาให้เด็กในปกครองมีความรู้แตกฉานในหนังสือด้วย

เรื่องที่ยาขอบได้รับมอบหมายให้อ่านได้แก่ ขุนช้างขุนแผน พระอภัยมณี อิเหนา ราชาธิราช และเกร็ดพงศาวดารจีนเรื่องต่าง ๆ เช่น สามก๊ก เลียดก๊ก เป็นต้น การได้อ่านหนังสือมากทำให้มีความรู้และความชำนาญในการเขียนในทางอ้อม และเป็นพื้นฐานที่ส่งเสริมให้ยาขอบเป็นนักเขียนมีชื่อต่อมา

เมื่อขึ้นมาเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๔ ยาขอบหนีโรงเรียนออกจากบ้านในเวลาเดียวกัน เขาไปใช้ชีวิตผจญภัยอยู่ระยะหนึ่ง เช่น ฝึกหัดขี่ม้าจนชำนาญได้เป็นจ๊อกกี้ ต่อมา ครูที่เคยสอนหนังสือมาพบเข้า จึงชักนำให้ไปทำงานเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์เป็นครั้งแรก

การเข้าสู่วงการนักเขียน

ยาขอบ ได้รับความช่วยเหลือฝากให้ทำงานที่หนังสือพิมพ์สยามรีวิว เป็นพนักงานพิสูจน์อักษร ระยะหนึ่ง ย้ายมาที่หนังสือพิมพ์ธงไทย มีหน้าที่ส่งหนังสือและเก็บหนังสือที่เหลือจากร้าน

ต่อมาลาออกและเข้าทำงานในแผนกโฆษณาห้างขายยาเพ็ญภาค ระหว่างนี้เมื่อมีเวลาว่างก็จะไปพบปะเพื่อน ๆ ที่อยู่ในวงการนักเขียนโดยไม่มีความคิดที่จะเขียนหนังสือแต่อย่างไร ในกลุ่มนักเขียนที่ยาขอบไปร่วมคลุกคลีอยู่ด้วยนั้น มี กุหลาบ สายประดิษฐ์รวมอยู่ด้วย

ขณะนั้น กุหลาบ สายประดิษฐ์ กำลังออกหนังสือพิมพ์สุภาพบุรุษ จึงชักชวนให้เขาเขียนเรื่องมาลง ยาขอบจึงเขียนเรื่องในรูปจดหมายชื่อเรื่อง “จดหมายเจ้าแก้ว” เป็นเรื่องตลกขบขัน ใช้นามปากกาที่ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ตั้งให้ว่า “ยาขอบ” โดยเลียนคำว่า W.W.Jacob นักเขียนเรื่องตลกในหนังสือพิมพ์ Strand ของประเทศอังกฤษ และเขาก็ใช้นามปากกานี้ตลอดมา

เรื่องของยาขอบได้ลงพิมพ์เพียงสองสามฉบับก็ต้องเลิก เพราะ กุหลาบ สายประดิษฐ์ เลิกกิจการไปก่อตั้งหนังสือพิมพ์ใหม่ชื่อ “ไทยใหม่” และได้ชักชวนยาขอบให้เขียนเรื่องอีก โดยขอให้เป็นเรื่องประเภทเกร็ดพงศาวดารลงเป็นรายวัน เขาจึงเขียนเรื่อง “ยอดขุนพล”ส่งไปลงพิมพ์

แต่เรื่องยอดขุนพลก็ต้องพบอุปสรรคอีก เพราะ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ลาออกจากไทยใหม่ ไปออกหนังสือพิมพ์”ประชาชาติ” ยาขอบจึงต้องย้ายไปเขียนในประชาชาติ และเขียนเรื่อง “ยอดขุนพล”ต่อ เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “ผู้ชนะสิบทิศ”

นับแต่นั้นมา “ยาขอบ”ก็มีชื่อเสียงรุ่งโรจน์อยู่ในวงการเขียนตลอดมา

############




 

Create Date : 26 เมษายน 2551    
Last Update : 26 เมษายน 2551 10:07:48 น.
Counter : 625 Pageviews.  

รำลึกถึงยาขอบ (๑)

บันทึกของคนเดินเท้า

รำลึกถึงยาขอบ (๑)

เทพารักษ์

นักอ่านในประเทศไทย ที่เกิดก่อน พ.ศ.๒๕๐๐ คงไม่มีใครไม่รู้จักนิยายอิงพงศาวดารพม่า เรื่อง “ผู้ชนะสิบทิศ” ของ “ยาขอบ” เพราะนิยายเรื่องนี้เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕ ขณะที่ท่านยาขอบมีอายุ ๒๕ ปี และนิยายเรื่องนี้ได้พิมพ์ออกมาสู่นักอ่าน ก่อนที่จะถึง พ.ศ.๒๕๐๐ ถึงเจ็ดครั้ง ชื่อเสียงของนิยาย และชื่อเสียงของผู้เขียน ได้ดังไปถึงระดับสูงสุดของวงวรรณกรรมไทย เป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างชื่นชม ทั่ววงการ

และเมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยจากกึ่งพุทธกาลมาอีกหลายสิบปี ผู้คนที่เกิดมาในรุ่นหลังก็ได้รู้จัก ผู้ชนะสิบทิศ ของ ยาขอบ มากขึ้น โดยได้ชมจากภาพยนตร์ ละครเวที ละครโทรทัศน์ และการแสดงในรูปแบบต่าง ๆ จนมาถึงยุค ละครพันทาง ของ กรมศิลปากร โดยท่านอาจารย์ เสรี หวังในธรรม ศิลปินแห่งชาติ ได้เขียนเป็นบทละคร และจัดแสดง บนเวทีโรงละครแห่งชาติ เป็นความยาวถึง ๖๐ ตอน และแสดงตั้งแต่ต้นจนจบ ซ้ำหลายครั้งหลายหน ในช่วงเวลา ๑๒ ปี มีผู้ติดตามชมไม่รู้เบื่อ ผู้ชนะสิบทิศ ของท่าน ยาขอบ จึงยืนยงคงกระพันอยู่จนถึงบัดนี้

ท่านผู้เขียนได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในคำนำการพิมพ์ครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๗ ว่า

.................อารมณ์ของข้าพเจ้าก็คิดกลับไปถึงวันหนึ่งในราวเดือนตุลาคมของปี ๒๔๗๔ ซึ่งในวันนั้นจำได้ว่า ข้าพเจ้ารู้สึกอึดอัดและลำบากยากใจเสียจริง ๆ ที่เพื่อนสองสามคน ซึ่งบรรลุชื่อเสียงอันดีในเชิงประพันธ์แล้วและมีความรักห่วงใยในตัวข้าพเจ้ามาก ได้ช่วยกันแสดงความเห็นว่า ข้าพเจ้าควรจะเลิกเขียนหนังสืออย่างจับจดเป็นการสนุกเสียที แล้วลองหันมาพากเพียรเขียนให้เป็นชิ้นเป็นอันกับเขาบ้าง และมิตรผู้มีอุปการคุณเหล่านั้น เชื่อว่าข้าพเจ้าจะทำได้ ข้าพเจ้าก็รับปากทั้งที่ไม่เชื่อตัวเอง หากโดยอาศัยความเชื่อของผู้อื่น

ในสมัยนั้นเรื่องเกร็ดกิ่งก้านแขนงพงศาวดาร กำลังตื่นตัวอยู่ในหนังสือพิมพ์รายวัน และนักเขียนเรื่องชนิดนี้ในครั้งนั้นดูเหมือนจะแข่งขันกันในเชิงว่า ใครจะเขียนได้ถูกถ้วนตามพงศาวดารยิ่งกว่ากัน จนกระทั่งบางท่านสามารถเขียนขึ้นได้อย่างเดียวกับหนังสือพงศาวดาร ที่เคยตีพิมพ์มาแล้วก็มี ....................

............ข้าพเจ้าเริ่มเรื่อง “ยอดขุนพล” โดยเคร่งในคติที่ว่า จะบำเรอผู้อ่านให้สนุกยิ่งกว่ากอดพงศาวดารเดิม ข้าพเจ้าเขียน “ยอดขุนพล” เกือบ ๘๐๐๐ บรรทัด โดยอาศัยความสำคัญของพงศาวดารเดิม ๘ บรรทัด .................

.............ในที่นี้และโดยหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าขอชี้แจงต่อผู้อ่านด้วยความคารวะว่า ไม่มีอะไรที่ข้าพเจ้ากล้ารับรอง ว่าเป็นพงศาวดารที่ถูกต้องอยู่ในผู้ชนะสิบทิศ ข้าพเจ้าเขียนขึ้นด้วยอารมณ์ฝัน ผู้ชนะสิบทิศถูกปลอมขึ้นจนดูประหนึ่ง เป็นพงศาวดารด้วยอารมณ์ฝันเท่านั้น

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฟังชื่อคนและถิ่นฐานเป็นพม่า แต่ข้าพเจ้าผู้เขียนซึ่งอยู่ในเมืองไทยมา ๒๗ ปี โดยมีอายุ ๒๗ ปี ....................เพราะฉะนั้น ท่านควรลืมโลกจริง ๆ ของท่านเสีย และอนุญาตให้ข้าพเจ้าได้มีเกียรติยศ พาท่านไปสนุกในดินแดนอันเป็นของข้าพเจ้าเอง

เมื่อเตรียมตัวจะปลอมพงศาวดารสักเรื่องหนึ่งนั้น ข้าพเจ้าค้นพบประวัติมหาราชพม่าองค์หนึ่งชื่อ จะเด็ด ซึ่งกำเนิดแต่ตระกูลต่ำต้อย แต่โดยเหตุที่แม่เผอิญได้เป็นพระนมลูกหลวง จะเด็ดจึงได้คลุกคลีอยู่ในที่สูง ถึงกับได้เป็นเจ้าของดวงใจพระพี่นางสาวของเจ้านายตน ตามพงศาวดารปรากฏว่า จะเด็ดเป็นแม่ทัพที่ทำการได้ประโยชน์แก่เจ้านายของตนมาก เป็นเทพบุตรแห่งการสงคราม ของสุวรรณภูมิในสมัยนั้น และเป็นผู้ที่มีเดชานุภาพทางบกมากที่สุด ในสมัยที่คนผู้นี้ได้เสวยราชย์ประกาศนามเป็น พระเจ้าบุเรงนอง

เรื่องผู้ชนะสิบทิศ เริ่มลงในหนังสือพิมพ์ประชาชาติ ตั้งแต่วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๕ และจบภาคหนึ่ง วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๖

ท่านยาขอบมีนามจริงว่า โชติ แพร่พันธุ์ เกิดเมื่อ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๕๐ นับอายุได้ ๑๐๐ ปี ใน พ.ศ.๒๕๕๐ และ ถึงแก่กรรมเมื่อ ๕ เมษายน ๒๔๙๙ นับเวลาได้ ๕๐ ปี ใน พ.ศ.๒๕๔๙

จึงขอรำลึกถึงท่าน ในโอกาสอันสำคัญนี้ ด้วยความเคารพอย่างสูง.

##########




 

Create Date : 24 เมษายน 2551    
Last Update : 24 เมษายน 2551 9:05:06 น.
Counter : 464 Pageviews.  

ชีวิตที่มีขั้นตอน

บันทึกของคนเดินเท้า

ชีวิตที่มีขั้นตอน

เทพารักษ์


ท่านอาจารย์ พุทธทาสภิกขุ ได้แสดงธรรมไว้เมื่อ ๒๒ - ๒๔ เมษายน ๒๕๑๓ ใน หัวข้อ ฆราวาสธรรม ซึ่งบางตอนได้แสดงไว้ว่า อายุขัยของมนุษย์ มีอยู่สี่ระดับด้วยกัน เรียกว่าอาศรม

อาศรม ๔ คือ ความเป็นพรหมจารี, ความเป็นคฤหัสถ์, ความเป็นวนปรัสถ์, ความเป็นสันยาสี

อาศรมที่ ๑ ความเป็น พรหมจารี คือเด็ก ๆ รุ่นหนุ่ม รุ่นสาว ที่ยังไม่ครองเรือน ที่ยังไม่มีสามีภรรยา เขาเรียกพรหมจารีมาตั้งแต่เกิด จนถึงวาระสุดท้ายของการเป็นโสดเรียกว่าพรหมจารี

อาศรมที่ ๒ ถัดจากพรหมจารีก็มีสามีภรรยา ครองเรือน; เรียกว่าคฤหัสถ์ หรือ ฆราวาส

อาศรมที่ ๓ คฤหัสถ์ผู้มีสติปัญญา ต่อมารู้สึกเบื่อ รู้สึกเอือมระอา ต่อความซ้ำซากของความเป็นคฤหัสถ์ จึงหลีกออกไปสู่ที่สงัด บำเพ็ญตนเป็นนักบวช คือไม่ยุ่งเรื่องเหย้าเรือนอีกต่อไป เรียกว่า วนปรัสถ์ แปลว่าอยู่ป่า, คืออยู่ในที่สงบสงัด

อาศรมที่ ๔ เมื่อพอใจในความเป็นอย่างนั้นแล้ว ในที่สุดก็ออกเที่ยวสั่งสอน ท่องเที่ยวไปในหมู่มนุษย์อีก, แต่ไม่ใช่ไปอย่างผู้ครองเรือน ไม่ใช่สึกไปครองเรือนเหมือนพวกเราสมัยนี้, เขาเที่ยวสั่งสอนประชาชน เรียกว่า สันยาสี คือผู้ที่ท่องเที่ยวปะปนไปในหมู่ประชาชน............

นี่ก็ทำให้นึกถึงนิทานสมมตที่เล่ากันเล่นสนุก ๆ ว่าตอนเป็นชีวิตฆราวาสแท้ ๆ มันไปเอาของวัวมา ไปเอาชีวิต ๒๐ ปี ที่พระเจ้าลดให้วัวมา เพราะความโง่ เพราะความโลภ เลยก็ได้เป็นวัวราว ๒๐ ปี คือพ่อบ้านแม่เรือนที่หนักอึ้ง เหมือนวัวลากเกวียน ๒๐ ปี จึงค่อยถอนตนออกไปเป็นอย่างอื่น คือ เป็นวนปรัสถ์ เป็นสันยาสี ก็รอดตัวไปที

แต่ถ้าไปเกิดเป็นสุนัข ไปเกิดเป็นลิงเข้าอีกก็แย่ คือเป็นฆราวาสตลอด ๒๐ ปี หนักอึ้งแล้ว พอแก่ไปกว่านั้นอีกก็ไปมีเรื่องวิตกกังวล ห่วงลูก ห่วงหลาน ห่วงเหลนอะไรมากต่อไปอีก ก็เป็นสุนัขที่เฝ้าทรัพย์นอนหลับไม่ได้ นี้ด้วยเหตุที่ว่าไม่ได้ทำใจไว้ให้ดี ชีวิตนี้ไม่ได้รับการศึกษาฝึกฝนให้เป็นไปอย่างดี; พออายุมากเข้ามันก็ป้ำเป๋อ มันเลอะเลือนฟั่นเฟือน มีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ ก็กลายเป็นลิงไป คือเป็นตัวตลกให้เด็ก ๆ หัวเราะ

เพราะฉะนั้นจะต้องรู้ไว้ด้วยว่า จะต้องเป็นพรหมจารีให้ถูกต้อง เป็นฆราวาสคฤหัสถ์ให้ถูกต้อง แล้วพอสิ้นยุคของฆราวาสนี้ ก็จะต้องพยายามเป็นวนปรัศถ์ให้มาก คือพยายามเป็นผู้สลัดเรื่องยุ่ง ๆ ของฆราวาสนั้น ให้มากที่สุดที่จะมากได้ แล้วอยู่ด้วยความสงบ แม้ที่บ้านที่เรือน ที่เรียกว่าฆราวาสนั่นแหละ

เราไม่เป็นฆราวาสอย่างอายุ ๒๐ ปีนั้นแล้ว เราเป็นคนระลึกนึกคิด ฝึกฝนจิตใจกันเสียใหม่ให้ดีที่สุด และอายุต่อไปในบั้นปลายของชีวิต จะไม่ป้ำเป๋อเลอะเลือนเหมือนคนทั่ว ๆ ไป; จะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์จนวินาทีสุดท้าย; แล้วเราก็มีโอกาสที่จะใช้ชีวิตบั้นปลายสุดท้ายถึงที่สุด แม้ว่าจะแก่ชราลุกไปไหนไม่ได้แล้ว ก็นั่งเป็นสันยาสีอยู่ที่ตรงนั้นก็ได้; คือว่า สอนลูก สอนหลาน สอนเหลน ให้รู้ในสิ่งที่ควรรู้ เพราะว่าเราผ่านโลกมาอย่างถูกต้อง เป็นเวลาเกือบร้อยปี

คนแก่ชนิดนี้มีประโยชน์มาก ที่จะตอบปัญหาของเด็ก ๆ ได้หมดทุกอย่างทุกประการ; มีไว้ในบ้านในเรือนก็เหมือนมีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่ง สำหรับให้แสงสว่าง คนแก่อายุตั้ง ๙๐ ปีนั้น ย่อมรอบรู้อะไรมาก จิตใจไม่ฟั่นเฟือนเลอะเลือนเลย ไม่เสียสติสัมปชัญญะเลย เพราะอบรมจิตมาดี

ถ้าผู้ใดกลัวว่าอายุมาก ๙๐ ปี ๑๐๐ ปี แล้วจะฟั่นเฟือนเลอะเลือนเหมือนที่เห็น ๆ กันอยู่โดยมากนั้น ขอบอกว่ามีทางป้องกัน อย่าให้ความทุกข์เกิดในชีวิตฆราวาสตอนนี้ นั่นคือพยายามฝึกจิตตามหลักพระพุทธศาสนาให้มาก ที่เขาเรียกว่าฝึกสติ นั่นแหละ

เราฝึกสติให้เป็นระเบียบอยู่ทุกวัน ๆ ตอนแก่อายุ ๙๐ ปี ๑๐๐ ปี มันไม่หลง ถ้าเราปล่อยให้กิเลสตัณหาครอบงำเราทุกวัน ๆ ไม่ต้องสงสัย อายุ ๙๐ ปี ๑๐๐ ปี มันจะหลงจะฟั่นเฟือน เพราะฉะนั้นเราจะต้องเสียสละ: เมื่ออายุมันมากพอแล้ว งานก็ทำมามากพอแล้ว ก็ยอมเสียสละ เอาเวลามาฝึกจิตให้ถูกวิธีที่จะฝึก โดยเฉพาะเช่น อานาปานสติ นี้อยู่เป็นประจำ..............

ดังนั้นอายุขัยของมนุษย์ ไม่ว่าจะสั้นหรือยืนยาวไปถึงเพียงใด ถ้าได้ปฏิบัติตามธรรมะที่ท่านอาจารย์ พุทธทาสภิกขุ สรุปไว้ว่า เป็นคนให้ถูกต้อง ในทุกขั้นตอน ทั้ง ๔ ขั้น ก็จะทำให้ไม่เป็นทุกข์ตลอดชีวิต อย่างแน่นอน

##########


วารสารข่าวทหารอากาศ
พฤษภาคม ๒๕๔๙




 

Create Date : 17 เมษายน 2551    
Last Update : 17 เมษายน 2551 9:22:14 น.
Counter : 465 Pageviews.  

สงกรานต์บางลำพู

บันทึกของคนเดินเท้า

สงกรานต์บางลำพู

“ เทพารักษ์ “

เมื่อถึงฤดูสงกรานต์ ขึ้นปีใหม่ของไทยแต่โบราณ คนกรุงเทพก็จะนึกถึงถนนข้าวสารทันที เพราะเป็นสถานที่เล่นสาดน้ำสงกรานต์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก

ชาวต่างประเทศที่เข้ามาเมืองไทย ไม่ว่าจะมาเที่ยว มาทำธุรกิจ หรือมาตั้งรกรากอยู่อาศัยในเมืองไทยนั้น เราเรียกว่าฝรั่งทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวยุโรป ออสเตรเลียหรืออเมริกา และส่วนมากของนักทัศนาจรจะมารวมกันอยู่เป็นกระจุก แถบถนนข้าวสาร ถนนพระอาทิตย์ ย่านบางลำพู เขาเหล่านั้นคงจะได้รับข่าวสารหรือคำบอกเล่าว่า ในย่านบางลำพูนั้นเป็นถิ่นที่เหมาะสม สำหรับนักทัศนาจรที่มีทรัพย์และสมบัติไม่มากนัก ประเภทแบกเป้ใบเดียว เพราะมีสถานที่กินที่พักอาศัยซึ่งเรียกว่าเกสต์เฮ้าส์ ราคาถูก

และมีที่เที่ยวอันดับหนึ่งของประเทศไทย คือวัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง วัดโพธิ์ และแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ไกลจากท่าช้างซึ่งสามารถจะลงเรือไปเที่ยวตลาดน้ำ หรือชมภูมิประเทศตามแม่น้ำลำคลองไปได้อีกไกล โดยเสียค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างถูก สำหรับเงินในกระเป๋าของเขาหรือเธอเหล่านั้น

ซึ่งคนไทยที่ทำมาค้าขายอยู่ในย่านนั้น ต่างก็มีรายได้ที่น่าพอใจ ไม่ว่าจะทำธุรกิจประเภทใด ตั้งแต่เจ้าของเกสต์เฮ้าส์ ร้านอาหารเครื่องดื่ม รวมทั้งบาร์และร้านเหล้าที่เรียกว่าผับ ร้านขายสิ่งอุปโภคข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ รวมทั้งของที่ระลึก ตลอดจนรถแท็กซี่และตุ๊กตุ๊ก

ได้เคยมีนักข่าวของหนังสือพิมพ์รายวัน ไปสัมภาษณ์ชาวต่างประเทศที่มาพักอาศัยในย่านบางลำพู ก็ได้ความว่า

นักท่องเที่ยวจากยุโรปและอเมริกา ซึ่งประเทศของเขามีค่าเงินแพงกว่าของไทย ได้หลั่งไหลเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยแบบกระจอก ๆ จนมีฉายาว่า ฝรั่งกินข้าวแกง กันมาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ท.ท.ท.คำนวณรายได้ผิดพลาดไปมาก เพราะฝรั่งประเภทนี้กินข้าวแกง ไม่พักโรงแรมชั้นหนึ่งและชั้นสอง ที่มีค่าห้องคืนละเป็นพัน ๆ บาท ไม่กินอาหารตามร้านใหญ่ ๆ ไม่ขึ้นรถแท็กซี่แต่ได้โหนรถเมล์แทน ไม่ซื้อเสื้อผ้าใช้ เพราะเดินนุ่งกางเกงขาสั้นใส่เสื้อกล้ามตัวเดียว

นักท่องเที่ยวกระจอกจำนวนมาก แต่นำเงินตราต่างประเทศเข้ามาเมืองไทยเป็นจำนวนน้อย เหล่านี้ มีทั้งชาวยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และญี่ปุ่น ซึ่งพนักงานต้อนรับของห้องเช่าประเภท เกสต์เฮ้าส์ในซอยรามบุตรี เล่าว่า ประมาณเดือนธันวาคม ถึงเดือนพฤษภาคม ของทุกปี จะมีชาวเยอรมัน ออสเตรเลีย และสวีเดน มาเช่าพักเป็นจำนวนมาก เพราะระยะเวลานี้ประเทศของเขาหนาวมาก

ถ้าเป็นชาวสหรัฐและอังกฤษ จะมาพักตลอดปี บางรายก็พักหนึ่งอาทิตย์ บางรายก็สามสี่วัน ตามแต่โปรแกรมที่เขาตั้งไว้ นักท่องเที่ยวประเภทฝรั่งกินข้าวแกงนี้ จะมากันคณะละสองสามคนเป็นส่วนใหญ่ ที่บุกเดี่ยวมาเที่ยวคนเดียวก็มีมาก พวกนี้จะหอบสัมภาระใส่ถุงเป้สะพายหลัง พร้อมที่จะพักอยู่ตามชายหาดหรือป่าเขา สำหรับค่าเช่าเกสต์เฮ้าส์คิดคนละ ๕๐ บาทต่อวัน ห้องหนึ่งพักได้สองคน

บางครั้งอาจต้องจัดให้นักท่องเที่ยวหญิงจากสหรัฐ พักกับนักท่องเที่ยวหนุ่มจากออสเตรเลีย ในห้องเดียวกัน แล้วมอบกุญแจให้คนละดอก นอนคนละเตียง แต่ก็ไม่มีเรื่องราวอะไร เพราะฝรั่งจะมีการพูดจากัน ไปเที่ยวด้วยกันจนถูกอกถูกใจกันแล้ว จึงจะร่วมรักกัน ไม่มีการหน้ามืดข่มขืนให้เกิดคดีเลย แต่บางรายที่จับคู่นอนห้องเดียวกันแล้ว แล้วไม่ถูกสเป็คกันและกันก็มี

นักท่องเที่ยวพวกนี้ไม่มีปัญหาเรื่องอาหารการกิน เพราะกินข้าวแกงเหมือนคนไทยเป็นส่วนใหญ่ ถ้าบางรายสู้อาหารเผ็ดไม่ได้ก็กินข้าวผัดและก๋วยเตี๋ยวราดหน้าแทน ส่วนนมหนองโพนั้นขายดีมาก เพราะถูกกว่าเมืองนอก

เมื่อมีฝรั่งชาติต่าง ๆ มาเที่ยวไทย และพักที่ย่านบางลำพู อย่างมีความสุข เมื่อกลับไปก็ได้พูดจาเล่าขานกันต่อ ๆ ไป จนชาวต่างชาติที่มาเที่ยวภายหลัง ก็จะมีแผนที่และและชื่อของสถานที่พักเหล่านี้ ติดมือกันมาทุกคน แม้เรื่องที่นักข่าวหนังสือพิมพ์เล่ามานี้ จะเป็นเวลานานถึงหลายสิบปีแล้ว ชื่อเสียงของแดนท่องเที่ยวย่านบางลำพู ก็ยังไม่จืดจางลงแต่อย่างใด มีแต่ผู้ที่มาเที่ยวซ้ำทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก ทุกปีที่ผ่านมา

ทีสำคัญคือย่านถนนข้าวสาร ถนนสิบสามห้าง ถนนรามบุตรี ถนนพระสุเมรุ และถนนพระอาทิตย์ มีสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม ตั้งอยู่อย่างใกล้ชิด รอบย่านบางลำพูในทุกวันนี้ จึงเป็นสถานที่ซึ่งปลอดภัย สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ นอกจากฝรั่งแล้วยังมีชาวต่างประเทศแถบตะวันออกและทวีปเอเซีย พากันมาเที่ยวหาความสำราญอยู่ตลอดปี โดยเฉพาะในเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งไม่เหมือนที่ใดในโลก

ตลอดเวลสามวันของสงกรานต์ ชาวต่างประเทศจึงมาเล่นสาดน้ำกันอย่างเนืองแน่น และเนื่องจากฝรั่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะถือเนื้อถือตัว คนไทยใจกว้างจึงเข้ามาสมทบเล่นสาดน้ำด้วยมากมาย ส่วนใหญ่จะใช้แป้งดินสอพองละลายน้ำ เที่ยวป้ายเพศตรงข้ามกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งถ้าผู้ใดไม่ชอบเล่นอย่างนั้น ก็ไม่ควรจะเข้าไปในบริเวณนั้นเป็นอันขาด

ตลอดทั้งสามวันสามคืน ย่านบางลำพูจึงเป็นสถานที่สำหรับปลดปล่อยความเครียด ในเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านมาตลอดปี ได้เป็นอย่างดี แม้เมื่อพ้นเทศกาลนี้ไปแล้ว ฝรั่งทั้งหลายก็ยังจดจำ นำ ความสนุกสนานเล่าลือต่อ ๆ กันไป ไม่รู้จบ

แล้วคนกรุงเทพเจ้าของสถานที่ ซึ่งไม่มีญาติกานาติโกอยู่ในต่างจังหวัด จะต้องพากันขับรถออกไปเบียดเสียดกันตามทางหลวง หรือเพิ่มยอดอุบัติเหตุ ให้เกินเป้าหมายของทางราชการทำไม

จริงไหมครับ ?

###############







 

Create Date : 12 เมษายน 2551    
Last Update : 12 เมษายน 2551 9:07:55 น.
Counter : 484 Pageviews.  

ผมไม่อยากเป็นนี่ครับ

บันทึกของคนเดินเท้า

ผมไม่อยากเป็นนี่ครับ

เทพารักษ์

หมู่บ้านที่ผมอาศัยอยู่นั้น ที่ดินเป็นของทางราชการ แต่ได้ให้ชาวบ้านมาเช่าทำสวน ปลูกกล้วยอ้อยฝรั่งมะม่วง หรือทำสวนผักไปตามเรื่อง มาตั้งแต่โบราณกาล พอถึง พ.ศ.๒๔๘๐ ทางราชการเวนคืนที่ดินสองฝั่งถนนราชดำเนิน เพื่อขยายออกให้เป็นถนนที่กว้างใหญ่งามสง่าสำหรับพระนคร เช่นเดียวกับถนนที่มีชื่อเสียงของกรุงปารีส จึงตัดแบ่งที่สวนดังกล่าว ซึ่งอยู่แถวชานพระนคร ให้ชาวบ้านที่ถูกเวนคืนมาเช่าปลูกบ้านอยู่ตามอัธยาศัย

บรรพบุรุษของผมตั้งบ้านเรือนอยู่ในตรอก ข้างโรงเรียนนายร้อยทหารบก ถนนราชดำเนินนอก ตรงข้ามกับสถานที่ซึ่งต่อมาได้สร้างเป็นสนามมวยมาตรฐานแห่งแรก ที่มีอัฒจรรย์คอนกรีตรูปวงกลมเหมือนกระทะ ไม่มีหลังคาอยู่นานหลายปี จึงเก็บเงินพอสร้างหลังคาคอนกรีตได้สำเร็จ

บ้านที่ว่านั้นความจริงอยู่ลึกกว่าที่ทางการเวนคืน แต่เพื่อความปลอดภัย ไม่ทราบว่าเมื่อเขาขยายถนนและสร้างอาคาร แบบเดียวกับที่ถนนราชดำเนินกลางแล้วบ้านเราจะเป็นอย่างไร จึงต้องรีบย้ายออกมาเสียก่อน

แต่สุดท้ายการก่อสร้างตึกเช่นที่ว่านั้น ก็ไม่ได้เลยมาถึงถนนราชดำเนินนอก ยังคงอยู่อย่างเดิมจนถึงบัดนี้

ท่านจึงได้มาเช่าที่ซึ่งเดิมเป็นสวนดังกล่าว เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๔ ขณะนั้นมีผู้มาเช่าที่ปลูกบ้านกันหลายสิบหลังคาเรือนแล้ว ในสมัยปัจจุบัน หมู่บ้านที่ว่านี้กลายเป็นที่ซึ่งอยู่เกือบกลาง พระนคร มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน ถนนซอยเรียบร้อย ท่อระบายน้ำไม่อุดตัน น้ำไม่ท่วม เสาไฟฟ้ามีหลอดไฟให้แสงสว่างทั่วทุกซอย น้ำประปาไหลแรงตลอดเวลา

ตู้โทรศัพท์สาธารณะเกลื่อนกลาด ขยะมูลฝอยไม่มีค้าง เพราะมีรถมาขนทุกวัน การจัดหาบเร่แผงลอยเป็นระเบียบไม่เกะกะ อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ มีตั้งแต่ร้านข้าวแกงข้าวต้ม ข้าวผัดต่าง ๆ ตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยวสารพัดชนิด จนถึงระดับห้องอาหารของสมาคม และภัตตาคาร ร้านค้าที่เปิดตลอด ๒๔ ชั่วโมง ๓ ร้าน มีโรงพักอยู่ชิดติดใกล้ไม่เกิน ๕๐๐ เมตร โรงพยาบาลขนาดใหญ่ของรัฐอยู่แค่ข้ามถนน

โรงเรียนหลวง โรงเรียนราษฎร์ที่มีชื่อเสียงอยู่รอบด้าน แถมศูนย์เยาวชน และมหาวิทยาลัยอีก ๒ สถาบัน มีวัดให้ทำบุญใกล้บ้าน ๓ - ๔ วัด เว้นแต่ไม่มีเมรุเผาศพ ต้องไปไกลอีกหน่อย ธนาคารเปิดสาขาให้ ๓ ราย กับตู้ เอทีเอ็ม ๕ - ๖ ตู้

มีถนนสายหลักที่รถประจำทางวิ่งผ่านทั้ง ๔ ด้านนับสายไม่ถ้วน และมีสถานีรถดับเพลิงอยู่ไม่ห่าง แค่หลังโรงพยาบาลเท่านั้น จะเรียกว่าเป็นหมู่บ้านที่พัฒนาแล้วก็ยังได้

ทุกวันที่ ๕ พฤษภาคม ของทุกปี เมื่อมีการทำบุญประจำปี กลุ่มผู้จัดงานซึ่งเป็นเจ้าของร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียงกัน ๓ - ๔ ร้าน ก็ขออนุญาตสถานีตำรวจปิดซอยกลางเป็นที่กางเต๊นท์ จัดงาน โดยไม่ได้เกะกะกีดขวางทางจราจร เพราะมีซอยอื่นลดเลี้ยวหลีกไปได้สะดวก วันที่ ๔ พฤษภาคม มีพระภิกษุมาสวดมนต์เย็น กลางคืนมีภาพยนต์ ๑ จอ เช้าวันที่ ๕ พฤษภาคม มีการเชิญชวนชาวบ้านมาร่วมตักบาตร และเลี้ยงพระจำนวนเท่ากับเลขท้ายของ พ.ศ.นั้น

สิ่งของที่ใส่บาตรส่วนใหญ่จะเป็นของแห้งและมีมากมาย จนต้องใส่เข่งเอาไปบริจาคให้กับสถานสงเคราะห์เด็ก ทั้งพิการและไม่พิการหลายแห่ง มีผู้มาร่วมงานมากมายทุกปี

ต่อมาก็มีพรรคการเมืองที่ครองกรุงเทพมหานคร ผลัดเปลี่ยนกันมาให้ความช่วยเหลือ โดยจัดหาเครื่องขยายเสียง โต๊ะเก้าอี้สนามมามอบให้บ้าง ช่วยราดยางซ่อมถนนที่ชำรุดบ้าง ปูกระเบื้องพื้นทางเท้าบ้าง คะแนนเสียงที่เคยเทให้เป็นกลุ่มเป็นก้อน ก็แตกกระจายไปตามกระแสสังคม โดยไม่ต้องมีผู้ใดมาชี้นำ เรียกว่าเลือกได้ตามใจชอบ เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง

ตัวผมเองก็อาศัยอยู่กับบรรพสตรีที่ย้ายมาตั้งรกรากอยู่ที่หมู่บ้านนี้ ตั้งแต่อายุได้ ๑๐ ขวบ จนบัดนี้อีกไม่ถึง ๓๐ ปีก็จะครบร้อย ด้วยความสุขสบายที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป เรียนหนังสือโรงเรียนรัฐบาลก็เดินไปกลับหรือโหนรถรางแล้วแอบโดดลงกลางทางโดยไม่ยอมเสียสตางค์ เพราะไม่มีจะเสีย ก็ล้มลุกคลุกคลาน ถลอกปอกเปิก จนมีความชำนาญในการโดดพอสมควร

เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ที่ทำงานก็อยู่แถวท่าน้ำเกียกกาย แล้วก็ย้ายมาทางสะพานแดงบางซื่อ ได้อาศัย รถรางสายบางกระบือ ต่อด้วยสายบางซื่อ จนเลิกราหมดสมัยไป เมื่อประมาณหลังปีกึ่งพุทธกาลไม่นาน

จากตำแหน่งงานที่ต่ำที่สุดของหน่วยแรก จนถึงตำแหน่งงานที่สูงที่สุดของหน่วยหลัง เท่าที่พลทหารจะเลื่อนไปได้ถึง แล้วก็เกษียณอายุราชการ รับบำนาญพอเลี้ยงตัวและครอบครัวไปได้ ไม่ขัดสน

ใช้เวลาว่างเขียนหนังสือส่งไปลงพิมพ์ ตามหน้าวารสารของทหารหน่วยต่าง ๆ พอให้สมองได้ใช้งาน ไม่ฝ่อไปก่อนเวลาอันควร เวลาที่เหลือก็เดินไปอ่านหนังสือ หาความรู้เพิ่มเติมที่หอสมุดแห่งชาติท่าวาสุกรี หาเรื่องโบราณมาเขียนให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้

ถึงวันดีคืนดีก็ไปทำบุญฟังเทศน์ฟังธรรม ตามวัดที่ศรัทธาทั้งใกล้และไกล ตามสมควรแก่ฐานะ

ผมอยู่อย่างสงบสุขหลังเกษียณอายุราชการมาได้ ๔ - ๕ ปี หมู่บ้านของผม ก็เกิดอยากจะจัดตั้งคณะกรรมการหมู่บ้านขึ้นให้เป็นหลักฐาน เพื่อติดต่อกับทางราชการในเรื่องต่าง ๆ กลุ่มที่เคยช่วยกันจัดงานประจำปี หลายคนก็เพ่งมองมาที่ผม ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบไปสุงสิงกับชาวบ้าน

มีผู้มาทาบทามว่าอยากจะเชิญไปร่วมเป็นกรรมการจะขัดข้องหรือไม่ ผมก็สงสัยว่าที่ทำกันอยู่ก็ดีแล้ว จะมาเอาผมเข้าไปยุ่งด้วยทำไม เขาก็ว่าอยากจะได้ผู้ที่มีประสบการณ์ในทางราชการ หรือเคยบริหารงานราชการมาก่อน เรียกว่าจะได้อาศัยความรู้ในด้านหนังสือหนังหาที่จะติดต่อราชการได้สะดวก ผมก็คิดว่าน่าจะมีผู้อื่นอีกที่มีคุณสมบัติอย่างนี้ ส่วนตัวผมเองนั้นได้ทำ งานจนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว อยากจะพักผ่อนให้สบายอกสบายใจเสียที ไม่ต้องแบกภารกิจอะไรอีก

เขาก็ว่าต้องการจะให้ช่วยออกความเห็นในเรื่องต่าง ๆ ที่ควรทำเท่านั้น ผมก็บ่ายเบี่ยงว่าถ้าเช่นนั้น ก็ควรจะเชิญไปร่วมปรึกษาหารือเป็นครั้งคราวจะดีกว่า ความคิดความเห็นของผมนั้น จะรับเอาไปใช้ก็ได้ ไม่เอาก็ได้ไม่ต้องลำบากใจ อย่าให้ต้องรับผิดชอบในฐานะกรรมการเลย เขาผู้นั้นก็นิ่งอึ้งไป

เรื่องก็เงียบไปประมาณ ๒ อาทิตย์ คราวนี้เธออีกผู้หนึ่งก็มาทาบทาม ว่ามีผู้จะทำหนังสือเชิญให้ผมไปเป็นประธานกรรมการหมู่บ้าน จะรับหรือไม่ ผมก็ตอบโดยไม่ต้องคิดว่ารับ ไม่ได้แน่ เธอก็เกลี้ยกล่อมว่าที่ประชุมอยากจะได้อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่เคยมียศ หรือตำแหน่งสูงมาเป็นประธาน เพื่อจะได้สะดวกในการติดต่อกับทางราชการ

ผมก็ยังยืนยันว่าผมรับไม่ได้ เพราะผมอยู่ในระหว่างพักฟื้น จากโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล ซึ่งต้องไปนอนโรงพยาบาลมาแล้ว

การเป็นประธานหมู่บ้านไม่ใช่เป็นแต่ชื่อ จะต้องรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งความเจริญหรือความเสื่อมของหมู่บ้าน จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำทั้งปวง ตามภาษาทหารที่ว่าทั้งที่ได้กระทำและมิได้กระทำ และในฐานะเช่นนั้น ผมจะต้องเป็นตัวแทนของชาวบ้านทุกคน บ้านใดมีทุกข์ร้อนก็ต้องมาแจ้งให้ผมขจัดปัดเป่า

ผมก็จะเกิดความเครียด อันจะเป็นเหตุให้แผลในกระเพาะของผม ไม่ทุเลา หรืออาจจะลุกลามออกไปอีก จนเป็นอันตรายแก่ชีวิตของผมได้เร็วกว่าที่ควรก็ได้ ดังนั้นจึงต้องขอความกรุณา อย่าให้ผมต้องได้รับเคราะห์กรรม อันแสนจะหนักหนานี้เลย เธอผู้นั้นก็แสดงความเข้าใจ และเห็นใจในความทุกข์ของผมเป็นอย่างดี เรื่องนี้จึงเงียบสงบลงไปได้อีกครั้งหนึ่ง

ความจริงผมยังมีเหตุผลอื่นอีกหลายประการ นอกจากที่ได้อ้างไปแล้ว ในการที่จะไม่ขอรับตำแหน่งอันมีเกียรตินั้น ประการหนึ่งก็ดังที่ผมได้เล่ามาแล้วว่าหมู่บ้านของเรา ได้พัฒนามาจนเกือบจะสมบูรณ์แบบแล้ว อยู่เป็นสุขสบายพอสมควรแล้ว ยังมีหมู่บ้านอื่นอีกมากมายก่ายกอง ที่ด้อยกว่าหมู่บ้านของเรา ที่ทางราชการควรจะทุ่มงบประมาณเข้าไปโอบอุ้ม หรือช่วยเหลือให้มีความเป็นอยู่ เท่าเทียมกับหมู่บ้านของเรา แล้วเรายังจะต้องการสิ่งใดอีก

ในภาวะความเป็นอยู่อย่างปัจจุบัน ที่ความลำบากยากจนได้เข้ามาเยือนถึงทุกบ้านทุกครัวเรือนเช่นนี้ หมู่บ้านของเราไม่ทำให้ทางราชการต้องเป็นห่วงเป็นกังวลในเรื่อง อาชญากรรม โจรกรรม และสิ่งเป็นพิษ เป็นภัยอันตรายทั้งหลาย โดยไม่ต้องมีคณะกรรมการหมู่บ้านให้ยุ่งยาก ก็น่าจะเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งยวดแล้ว

และเหตุผลสำคัญที่สุดก็คือ ผมชอบคติที่ว่า เรื่องการเมืองไม่ยุ่ง เรื่องการมุ้งไม่เกี่ยว มาเป็นเวลานานแล้ว และสบายใจดีแล้ว จะไปหาเหามาใส่หัวอีกทำไม

ใครจะเป็นก็เป็นไปเถิด ผมคนหนึ่งละที่ไม่ยอมเป็น เพราะไม่อยากให้การเมือง ทั้งระดับมหานคร และระดับชาติ เข้ามาเกี่ยวข้องกับผม

ก็ผมไม่อยากเป็นหัวคะแนนนี่ครับ.

##########




 

Create Date : 01 เมษายน 2551    
Last Update : 1 เมษายน 2551 10:39:11 น.
Counter : 586 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.