Group Blog
 
All Blogs
 
กระบี่อาถรรพ์ (ข่าวค้างปี)

ข่าวค้างปี

กระบี่อาถรรพ์

เทพารักษ์


ประชาชนพลเมืองที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร เมืองที่มีชื่อยาวที่สุดในโลกของเรานี้ คงไม่มีผู้ใดไม่รู้จักพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ห้า แห่งบรมราชจักรีวงศ์ พระปิยมหาราชของปวงชนชาวไทย หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า พระบรมรูปทรงม้า ซึ่งตั้งอยู่ ณ ลานพระราชวังดุสิต หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม นั่นเอง

พระบรมรูปทรงม้าได้ก่อสร้างขึ้น ด้วยเงินที่ประชาชนบริจาคเป็นจำนวนประมาณหนึ่งล้านบาทเศษ ซึ่งเมื่อก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังมีเงินเหลืออยู่อีกมากมาย สามารถใช้ในการก่อสร้าง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้อีก ในเวลาต่อมา

พระบรมรูปแห่งนี้ มีพิธีเปิดเป็นทางการเมื่อ ๗ พฤศจิกายน ๒๔๕๑ ขณะเมื่อพระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ และอีกสองปีต่อมาจึงได้เสด็จสวรรคต เมื่อ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓

พระบรมรูปพระปิยมหาราชนี้ เป็นที่เคารพสักการะ ของประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทุกเพศทุกวัย มาเป็นเวลาร่วมร้อยปีแล้ว โดยเฉพาะในวันคล้ายวันสวรรคตของพระองค์ท่าน วันที่ ๒๓ ตุลาคม จะมีพิธีวางพวงมาลาเป็นงานใหญ่ประจำทุกปี และในทุกวันนี้ก็ได้มีการถวายสักการะอย่างไม่เป็นทางการ เป็นประจำทุกสัปดาห์อีกด้วย

จึงไม่น่าเชื่อว่าเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน จะมีผู้บังอาจกระทำในสิ่งที่น่าจะถือว่า เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพขึ้นได้ เป็นเหตุการณ์ที่น่าจะบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ที่เกี่ยวกับพระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง

เหตุเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓ ก่อนหน้าที่จะถึงวันถวายบังคมพระบรมรูปทรงม้า เพียงแปดวันเท่านั้น คือวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๒๓ ในระหว่างที่ทางกรุงเทพมหานครได้ว่าจ้างให้ เอกชน ตั้งนั่งร้านขึ้นรอบพระอนุสาวรีย์ เพื่อทำความสะอาดและตกแต่งพระบรมรูป เตรียมการจัดงานถวายบังคมตามปกติ เจ้าหน้าซึ่งขึ้นไปปฎิบัติงานได้พบว่า พระแสงกระบี่ประกอบเครื่องแบบเต็มยศจอมทัพไทย ที่เคยห้อยอยู่ทางด้านซ้ายของพระรูปนั้นได้หายไปอย่างลึกลับ จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบโดยด่วน แต่ทั้งฝ่ายกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบดูแล และทางกรมศิลปากรผู้เป็นเจ้าหน้าที่ทำความสะอาด ก็ไม่มีผู้ใดทราบว่า หายไปได้อย่างไร

จนถึงวันที่ ๑๙ ตุลาคม หนังสือพิมพ์จึงได้ทราบ และเสนอข่าวโดยพร้อมเพรียงกัน ด้วยการพาดหัวตัวใหญ่สะดุดตา ทั้งหัวเขียวหัวชมพูและหัวสีอื่น ๆ สรุปความว่า มีคนร้ายไม่ทราบจำนวน ได้ลักถอดเอาพระแสงกระบี่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ยาว ๑.๙๐ เมตร กว้าง ๕ เซ็นติเมตร หนักประมาณ ๑๖ กิโลกรัม ซึ่งสร้างจากประเทศอิตาลีพร้อมกับพระอนุสาวรีย์ ประมาณค่ามิได้ ไปอย่างไร้ร่องรอย

หนังสือพิมพ์ฉบับหัวแสด ได้ลงบทความประนามผู้ร้ายรายนี้อย่างรุนแรง ว่า

……..พฤติการณ์เช่นนี้ นับว่าเป็นการทำลายน้ำใจคนทั้งชาติ เพราะที่อนุสาวรีย์แห่งนี้ ถือเป็นสิ่งที่คนไทยเคารพและหวงแหน การที่มีมนุษย์ชั่ว บังอาจกระทำการเช่นนี้ จึงสมควรได้รับการประณามสาปแช่ง หรือไม่ถ้าจับได้ก็ควรจะลงประชาทัณฑ์เสีย ให้สาสมกับความชั่วที่ก่อขึ้นครั้งนี้………..

แต่ประชาชนที่ได้ทราบข่าว ก็ไม่ต้องวิตกทุกข์ร้อนอยู่นานนัก เพราะรุ่งขึ้นวันที่ ๒๐ ตุลาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลดุสิต เจ้าของท้องที่ก็จับคนร้ายได้คนหนึ่ง ซึ่งหนังสือพิมพ์ฉบับหัวสีแสดได้บรรยายความว่า

เมื่อเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากรเข้าแจ้งความกับ สน.ดุสิตแล้ว ทางตำรวจก็จัดกำลังสายสืบออกค้นหา ระหว่างนั้นได้มีพยานสำคัญ ซึ่งเป็นคนขับสามล้อเครื่อง ได้เห็นคนร้ายสองคนแบกพระแสงกระบี่ เดินอยู่ในบริเวณสวนอ้อย แขวงวชิระ เขตดุสิต แล้วนำขึ้นรถแท็กซี่ไม่ทราบหมายเลขทะเบียนแล่นหายไป จึงนำความเข้าแจ้งแก่นายร้อยเวร สน.สามเสน

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็สอบสวนจนได้ทราบว่า คนร้ายรายนี้คือนายจุ๋ม (นามสมมุติ) และนายน้อย (นามสมมุติเหมือนกัน) มีบ้านพักอยู่ในสวนอ้อย แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำการตรวจค้นบ้านที่พัก ก็ไม่พบผู้ต้องสงสัยทั้งสอง รวมทั้งพระแสงกระบี่ของกลางด้วย จนในที่สุดเจ้าหน้าที่สามารถสืบทราบว่า นายจุ๋มได้ไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านเพื่อน ในซอยสันติสุข แขวงสามเสนใน เจตพญาไท จึงเข้าจับกุมได้โดยละม่อม (ตามเคย)

นายจุ๋มให้การรับสารภาพว่า ได้ร่วมกับนายน้อยไปขโมยพระแสงกระบี่มาจริง ขณะนี้ได้นำไปขายให้ร้านขายวัตถุโบราณ หน้าไปรษณีย์กลาง ถนนเจริญกรุง แขวงสี่พระยา เขตบางรัก ในราคา ๒๕๐๐ บาท เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามไปนำพระแสงของกลาง จากร้านดังกล่าวมาเก็บไว้ที่ สน.ดุสิต เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคมที่ผ่านมา ส่วนเจ้าของร้านขายวัตถุโบราณนั้น ได้หลบหนีไปแล้ว และนายจุ๋มได้สารภาพรายละเอียด ของการโจรกรรมครั้งนี้ พอประมวลได้ดังนี้

เมื่อเวลาบ่ายของวันที่ ๑๔ ตุลาคม นายจุ๋มซึ่งมีอาชีพขับรถสามล้อเครื่อง แต่กำลังตกงาน ได้พักอยู่ที่บ้านในสวนอ้อยกับภรรยาและลูกสามคน เป็นชายหนึ่งหญิงสอง นายน้อยซึ่งเป็นเพื่อนกันได้มาบอกว่า เรื่องที่ให้ไปหานายบุน (นามสมมุติ) เพื่อนที่อยู่ซอยสันติสุข ดินแดง ให้ติดต่อหาเช่ารถสามล้อเครื่องนั้น ได้ผลสำเร็จแล้ว โดยนายบุนได้ไปติดต่อขอเช่ารถจากเจ้าของอู่ ในย่านห้วยขวางซึ่งรู้จักกัน และเจ้าของรถจะให้วางมัดจำเป็นเงิน ๓๐๐ บาท

นายจุ๋มจึงขอเงินจากภรรยา พกติดตัวออกจากบ้าน เพื่อจะไปวางมัดจำ แต่ได้แวะไปหานายบุนที่บ้านพักก่อน นายบุนจึงจัดสุราอาหารมาเลี้ยงต้อนรับ จนเมามายไปตาม ๆ กัน ทำให้นายบุนซึ่งคออ่อนกว่าหมดสตินอนหลับไป นายจุ๋มกับนายน้อยจึงชวนกัน มานั่งดื่มสุราและกินอาหารต่อที่ร้านข้าวต้มโต้รุ่งย่านดินแดง จนถึงเวลา ๐๓ น. ของวันที่ ๑๕ ต.ค.จึงชักชวนกันกลับ แต่ปรากฎว่าเงินจำนวน ๓๐๐ บาท ที่จะเอาไปวางมัดจำรถนั้น ได้จ่ายเป็นค่าสุราและอาหารหมดแล้ว ทั้งสองเลยเรียกรถสามล้อเครื่องให้มาส่งที่บริเวณลานพระบรมรูปรัชกาลที่ ๕ จากนั้นก็นั่งพิงสายโซ่ที่ล้อมรอบฐานพระบรมรูป ฯ กินเหล้าที่ยังเหลืออยู่อีกหน่อย และคุยปรึกษาหาทางกัน เพราะนายจุ๋มเกรงว่าถ้าภรรยารู้เรื่องเข้า จะด่าว่าเอา

แต่ระหว่างนั้นนายจุ๋มเมามากเกิดความง่วง เลยเอนหลังลงบนพื้นที่มีหญ้าปลูกไว้เขียวขจี หลับไปอย่างมีความสุข ปล่อยให้นายน้อยนั่งดื่มเหล้าอยู่เพียงคนเดียว ต่อมาเวลาประมาณ ๐๖ น.ของวันที่ ๑๕ ต.ค. นายจุ๋มตื่นขึ้นมาพบว่านายน้อยยังคงนั่งอยู่ใกล้ ๆ แต่มีพระแสงกระบี่ของพระบรมรูปวางอยู่ข้าง ๆ ด้วย นายจุ๋มจึงสอบถามก็ทราบว่านายน้อยได้ฉวยโอกาสตอนปลอดคน ขึ้นไปปลดพระแสงกระบี่ลงมา ทั้งสองจึงปรึกษากันมีความเห็นพ้องว่า ควรจะนำไปขายเอาเงินมาเป็นค่ามัดจำรถ และที่เหลือก็แบ่งกัน แต่คิดว่าพระแสงทำด้วยทองคำ เลยหักพู่ที่ห้อยอยู่ดูก็พบว่าเป็นเพียงเนื้อสัมฤทธิ์ จึงช่วยกันแบกแล้วเรียกรถสามล้อให้ไปส่งที่บ้านพักของนายจุ๋ม โดยนายจุ๋มเป็นผู้นำพระแสงกระบี่ไปซ่อนไว้ที่ต้นไทรใหญ่ข้างบ้าน

ต่อมาคนร้ายทั้งสองจึงไปเรียกรถแท็กซี่ให้เข้ามารับ พร้อมกับช่วยกันแบกพระแสงกระบี่ใส่ไว้ในรถ ให้ไปส่งที่ร้านของเก่าดังกล่าว เจ้าของร้าน รับซื้อและจ่ายเงิน จากนั้นนายจุ๋มและนายน้อยก็แบ่งเงินกันเป็นที่เรียบร้อย และแยกย้ายกันหลบหนี ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ ๑๒.๐๐ น.ของวันที่ ๑๕ ต.ค. แต่ยังติดต่อกันอยู่

จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันที่ ๑๖ ต.ค. นายจุ๋มและนายน้อยได้พบกันอีกและเล่าความฝันที่ตรงกันให้ฟังว่า เห็นพระบรมรูปรัชกาลที่ ๕ และได้ยินเสียงคล้ายคนลากโซ่ดังอยู่ตลอดคืน ซึ่งความฝันครั้งนี้ทำให้นายจุ๋มไม่สบายใจมาก ปรึกษากับนายน้อยว่าควรจะนำพระแสงมาคืน แต่ไม่รู้ว่าจะหาทางไปเอาคืนมาได้อย่างไร เนื่องจากเงินที่ได้จากการขายพระแสงกระบี่ได้ใช้ไปเกือบหมด นายจุ๋มจึงหลบไปอาศัยบ้านนายบุน ที่ในซอยสันติสุขเป็นที่ซ่อนตัว จนกระทั่งถูกจับกุมตัวได้ดังกล่าว

ต่อมาสถานีตำรวจนครบาลดุสิต ได้นำพระแสงกระบี่ที่ยึดไว้ได้นี้ มอบให้กับเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ซึ่งจะได้นำไปรมดำและจะนำไปติดที่พระบรมรูปต่อไป และในข่าวได้แจ้งว่าพระแสงกระบี่นี้มูลค่าเฉพาะโลหะซึ่งหนัก ๑๖.๑ กิโลกรัม ประมาณ ๑๐ ล้านบาท แต่มูลค่าจริงนั้นประเมินค่ามิได้

ซึ่งเรื่องนี้คงจะมีใครว่ากล่าวพาดพิงไปถึงกรมศิลปากรบ้าง จึงมีเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงของกรมศิลปากร เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า พระบรมราชอนุสาวรีย์นั้น ทุกแห่งที่มีในกรุงเทพมหานคร อยู่ในความควบคุมดูแลของ กทม. ถ้าเป็นต่างจังหวัดก็อยู่ในความดูแลของจังหวัดนั้น ๆ กรมศิลปากรควบคุมดูแลโบราณวัตถุและทรัพย์แผ่นดินที่มีค่าทางศิลปวัฒนธรรม เฉพาะแต่ที่เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ทุกแห่งทั่วประเทศเท่านั้น นอกจากนั้นในเรื่องนี้กรมศิลปากร ก็ไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการตกแต่งซ่อมแซม รวมทั้งการทำนั่งร้านตกแต่งแต่อย่างใด กรมศิลปากรช่วยประสานงานตามที่ กทม.ขอร้องมาก็แต่เฉพาะในเรื่องการ รมดำ โดยช่างผู้ชำนาญของกรมศิลปากร ซึ่งก็ถูก กทม.ขอมาให้ส่งช่างไปทำรมดำเป็นประจำมาทุกปี เท่านั้น

ต่อมาหนังสือพิมพ์ฉบับหัวชมพู ก็ได้รายงานผลการติดตามคนร้ายรายนี้ว่า เจ้าของร้านที่รับซื้อพระแสงกระบี่ ได้หลบหนีอยู่ ๒ วัน จึงเข้ามอบตัวสู้คดีรับของโจร ส่วนนายน้อยนั้น เมื่อเวลา ๑๘.๓๐ น. วันที่ ๒๒ ต.ค. มารดาได้นำตัวมามอบให้ สวญ.สน.ดุสิต รับไว้ดำเนินคดี เนื่องจากเห็นว่าบุตรชายไปก่อคดีลบหลู่ของสูงส่ง แต่ไม่กล้ามาติดต่อเองเพราะเกรงโทษทัณฑ์ จึงนำมามอบตัวก่อนถึงวันปิยมหาราช

แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวน กลับให้การว่าคืนก่อนวันเกิดเหตุไปดื่มสุรากับนายจุ๋ม และนายบุน ในซอยสันติสุข เขตพญาไท จนมึนเมาแล้วมาดื่มต่อที่ร้านย่านอนุสาวรีย์ ชัยสมรภูมิ จากนั้นได้ซื้อเหล้าไปดื่มต่อที่ใต้ฐานพระบรมรูป จนหลับไปด้วยความเมา ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะนายจุ๋มเรียก และบอกว่ารัชกาลที่ ๕ ประทานกระบี่ให้แล้ว ตนเองถามไปด้วยความเมาว่าอยู่ที่ไหน นายจุ๋มก็ชี้มือไปที่ข้างตัวมีพระแสงกระบี่วางอยู่จริง ๆ จากนั้นนำไปขายแล้วแยกย้ายกันหลบหนี ตนเองไปอยู่กับเพื่อนที่จังหวัดชัยนาท ดื่มสุราจนมึนเมาทุกวันจำไม่ได้ว่าได้เงินส่วนแบ่งมาเท่าไหร่ ตำรวจจึงคุมตัวไว้ดำเนินคดีต่อไป

แต่ไม่ว่าใครจะเป็นคนปีนขึ้นไป ถอดพระแสงกระบี่ ลงมาโดยไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดิน ผลก็คงจะเท่ากัน เพราะดูเหมือนได้ร่วมมือกันเป็นอันดี ยังกะปี่กับขลุ่ย

เหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้นี้ เป็นเพราะเมื่อเจ้าหน้าที่ตั้งนั่งร้านแล้ว ก็ไม่มีคนเฝ้า และไม่ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ช่วยดูแลให้ด้วย เพราะนึกไม่ถึงว่าจะมีใครกล้าปีน นั่งร้านขึ้นไปโจรกรรม สิ่งอันสูงค่าคู่บ้านคู่เมือง ที่ศักดิ์สิทธิ์และมีผู้เคารพบูชาเช่นนี้ได้ จึงทำให้ผู้ที่ขาดสติสัมปชัญญะคิดทำ ในสิ่งที่ไม่น่าจะทำขึ้น เคราะห์ยังดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ของกลางคืนมา ก่อนที่จะถึงวันปิยมหาราช ไม่เช่นนั้นกรมศิลปากรก็คงจะต้องหาทาง ทำพระแสงกระบี่จำลองกันอย่างฉุกละหุกไม่น้อยเลย

แต่ถึงอย่างไรคดีนี้ ก็เป็นคดีลักทรัพย์ที่พิลึกพิศดารที่สุด ในรอบสองร้อยปีของ กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ ฯ ทีเดียว.

########

นิตยสารโล่เงิน
ตุลาคม ๒๕๔๗

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๘

มุมประวัติศาสตร์ ห้องสมุดพันทิป
๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒



Create Date : 31 สิงหาคม 2550
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2552 21:49:41 น. 4 comments
Counter : 621 Pageviews.

 
ที่โพดทำงานอยู่เด็ดกว่านั้น ที่ล็อบบี้ของโรงแรมมีโทรทัศน์จอแบนขนาดประมาณห้าสิบนิ้วตั้งอยู่ ปรากฏว่าหายไปโดยไร้ร่องรอย ดูในกล้องวงจรปิดก้อไม่มี จนบัดนี้ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้เลย ทุกคนงงกันมากว่าโทรทัศน์ใหญ่ขนาดนั้นหายไปโดยไม่มีคนเห็นเป็นไปได้อย่างไร


โดย: ข้าวโพด IP: 121.55.242.19 วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:17:26:36 น.  

 
ผมว่าเวลาขน คงจะเอาอะไรมาปิดหน้ากล้องโทรทัศน์ไว้นะครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 10 มีนาคม 2551 เวลา:9:59:57 น.  

 
ดีๆๆเหลือเชื่อจร้า


โดย: ฟิม IP: 222.123.171.232 วันที่: 7 มิถุนายน 2553 เวลา:18:51:40 น.  

 
ขอบคุณคุณฟิม IP: 222.123.171.232 ครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 8 มิถุนายน 2553 เวลา:6:39:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.