Group Blog
 
All Blogs
 
ตอนที่ ๒๒ ท่าข้ามยมบาล

ยอดคนแผ่นดินเหม็ง

ตอนที่ ๒๒ ท่าข้ามของยมบาล

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ฝ่าย เงียมซง เตียจีเป๊ก เตียบุนหอ และ เตียกือเจี้ย ครั้นรู้ว่า ไฮ้สุย ออกเดินทางไปเตือนก้องที่เมืองอันน่ำก๊ก กับผู้ติดตามเพียงห้าคน ก็คบคิดกันให้ ซ่วยชอง บ่าวของ เตียกือเจี้ย ให้ติดตามไปฆ่าไฮ้สุยเสียในระหว่างเดินทาง ซ่วยชองก็รับว่าจะช่วยสนองคุณให้จงได้ เตียจือเป๊กเตือนว่าการจะเข้าทำร้ายไฮ้สุยแล้ว ต้องระวังตัวให้จงมาก เพราะบ่าวไฮ้สุยชื่อ ไฮ้หยง ไฮ้อัน สองคนนี้สำคัญนัก ด้วยแต่ก่อนเป็นผู้ร้ายมีฝีมือเข้มแข็ง เคยสู้รบมามาก

ซ่วยชองก็ว่าไม่เป็นไร ทั้งสองคนนั้นเป็นโจรมาก่อนก็จริง แต่ทิ้งการชั่วเสียช้านานกว่ายี่สิบปี มาอยู่กับไอ้สุยอาวุธก็ไม่ใคร่จะได้จับ ลักษณะคนถ้าเป็นฝ่ายบู๊ เพลงอาวุธไม่ใคร่ได้ซ้อมหัด ทิ้งละเลยช้านานแล้ว ก็คลาดเคลื่อนขัดขวางไป ไม่คล่องแคล่วว่องไวเหมือนซักซ้อม แม้นเป็นฝ่ายบุ๋นกระดาษและพู่กันไม่ได้จับ ก็งงเชื่องช้าไม่ว่องไวเหมือนกัน ท่านอย่าได้มีความวิตกเลย เงียมซงได้ฟังก็ชอบใจหัวเราะแล้วว่า ถ้ารับอาสาทำการสำเร็จ จะชุบเลี้ยงแต่งตั้งให้เป็นขุนนางนายทหาร มีชื่อเสียงปรากฎกับเขาบ้าง แล้วเงียมซงก็ให้เงินเป็นเสบียงไปกินกลางทางพอสมควร กับลูกน้องอีกสองคนสำหรับใช้สอย ซ่วยชองก็คำนับลาออกจากเมืองหลวง เร่งรีบเดินทางติดตามไฮ้สุยไปทั้งกลางวันและกลางคืน

ฝ่ายไฮ้สุยครั้นมาถึงตำบลโล่กังเกียในเวลาบ่าย ก็แวะเข้าไปซื้ออาหารกิน และพักนอนในโรงเตี๊ยมคืนหนึ่ง รุ่งเช้าจึงไปไหว้ศาลเจ้ากวนอู จุดธูปเทียนบวงสรวงบูชาคำนับแล้ว จึงกล่าวว่า

“……..ข้าพเจ้าชื่อไฮ้สุย ถือรับสั่งพระเจ้าแผ่นดินไต้เหม็ง จะไป ณ เมืองอันน่ำก๊กเตือนก้อง ข้าพเจ้าขอคำนับบวงสรวงแก่ท่าน ซึ่งเป็นเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ สิงสถิตอยู่ในศาลตำบล โอ้เล่งนี้ ข้าพเจ้าได้ทราบว่าตัวท่านเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ตั้งอยู่ในความสัตย์ซื่อตรงเป็นตงฉิน ครั้นท่านตายได้มาเป็นเทพารักษ์อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวง ขอท่านจงคุ้มเกรงรักษาข้าพเจ้ากับพวกข้าพเจ้า อย่าให้เป็นอันตราย อนึ่งขอท่านจงคุ้มเกรงรักษาพระเจ้าแผ่นดินไต้เหม็ง ให้มีพระชนมายุยืนอยู่สิ้นกาลช้านาน ขอให้แผ่นดินไต้เหม็งรุ่งเรืองเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ข้าพเจ้าจะไปเตือนก้องเมืองอันน่ำก๊กครั้งนี้ ขอให้เจ้าเมืองอันน่ำก๊กอ่อนน้อมยอมถวายเครื่องราชบรรณาการ แก่พระเจ้าแผ่นดินไต้เหม็งเหมือนอย่างแต่ก่อน………”

กล่าวแล้วไฮ้สุยก็สั่นติ้วเสี่ยงทาย ได้ไม้ติ้วที่สิบเก้า เฮียกงจึงเอาหนังสือคู่ติ้วสิบเก้าออกอ่าน มีความสี่ข้อคือ ในทะเลไม่มีลมมีแต่คลื่นใหญ่ เรือแล่นในกลางทะเลดูเหมือนจะล่มแต่ไม่ล่ม เดินป่าให้ระวังจะมีคนทำร้าย ถึงท่าข้ามอย่าประมาทภัยจะมีมา ไฮ้สุยจึงเอากระดาษมาลอกข้อความไว้ แล้วคำนับลาเทพารักษ์พาบ่าวไพร่เดินทางต่อไป จนถึงป่าเอียหลินก็ถาม ไฮ้หยงว่าในตำบลนี้มีโรงเตี๊ยมที่ไหนบ้าง ไฮ้หยงว่าเดินไปอีกสักครู่หนึ่งก็จะถึงโรงเตี๊ยม ต่อไปจะไม่มีอีกแล้ว ด้วยตำบลนี้ระยะห่างกัน

เมื่อไฮ้สุยมาถึงโรงเตี๊ยมก็แวะเข้าไปซื้ออาหารกินแล้วก็เข้าห้องพัก นึงถึงคำทำนายในติ้วจึงบอกไฮ้หยงว่า วันนี้เราเหนื่อยนักจะขอนอนให้เต็มตา ถ้าเราหลับแล้วท่านจงคอยระวังภัยอย่าให้มีอันตรายได้ และเงินทองของเราติดตัวมาซื้อกินตามทางเล็กน้อย ถึงผู้ร้ายจะลักไปก็ไม่เป็นไร วิตกแต่หนังสือรับสั่งเป็นของสำคัญ อย่าให้ผู้ร้ายลักไปได้จะเสียราชการ

ไฮ้หยงก็เข้าไปอยู่ในห้องกับไฮ้สุยแล้วว่า ท่านเหนื่อยมาจงนอนให้สบายเถิด ข้าพเจ้าจะคอยระวังมิให้มีเหตุสิ่งใด และในห้องที่เราอยู่ก้เป็นตึก ผู้ร้ายที่จะเข้ามาทางอื่นนั้นไม่ได้ ถ้าเข้ามาต้องเข้าทางประตู ข้าพเจ้าจะนั่งอยู่ไม่หลับนอนกว่าจะสว่าง ไฮ้สุยก็สั่งว่าถ้ามีผู้ร้ายเข้ามาอย่าฆ่าให้ตาย จับเป็นไว้จะได้ถามเอาถ้อยคำ

ครั้นถึงเวลาดึกประมาณสองยามเศษ ซ่วยชองก็ถืออาวุธมาคอยแอบอยู่ที่ประตูห้อง ได้ยินเสียงไฮ้สุยอ่านหนังสือก็แอบนิ่งอยู่ จนเสียงอ่านเงียบไปและไม่มีเสียงพูดจากัน เข้าใจว่าพากันหลับไปหมดแล้ว ก็เข้าไปงัดกลอน ไฮ้หยงซึ่งนั่งอยู่ข้างประตูก็เตรียมตัวคอยระวังอยู่ พอซ่วยชองงัดกลอนประตูหลุด ค่อย ๆ ย่องเข้าไป ไฮ้หยงก็เอาเท้าถีบซ่วยชองล้มลง อาวุธหลุดจากมือ ไฮ้หยงก็จับตัวไว้ได้แล้วร้องด้วยเสียงอันดัง ไฮ้สุยตื่นขึ้นมาเห็นไฮ้หยงจับผู้ร้ายไว้ได้แล้ว จึงลุกมาปิดประตูใส่กลอนเสีย เจ้าของโรงเตี๊ยมได้ยินเสียงวิ่งมาดูก็เข้าห้องไม่ได้

ไฮ้สุยจุดไฟมาส่องดูผู้ร้ายเห็นนุ่งห่มผิดพวกโจร จึงว่าตัวกับเราไม่ได้ขัดเคืองอะไรกันด้วยข้อใดข้อหนึ่ง เหตุไฉนจะมาทำร้ายเรา ซ่วยชองก็นิ่งอยู่ ไฮ้สุยจึงว่า

“……ถ้าตัวเป็นโจรเข้ามาปรารถนาจะลักของ เราก็ไม่สู้โกรธเคืองอะไรนัก แต่เราพิเคราะห์ดูรูปพรรณท่วงทีมิใช่โจร ตัวเราเป็นข้าหลวงถือรับสั่งพระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ออกมา จะไปเมืองอันน่ำก๊ก แม้นตัวทำร้ายเราเป็นอันตราย หรือป่วยเจ็บเป็นประการใด ก็ต้องตายสามชั่วโคตร ใครใช้ให้มาจงรับเสียโดยดี ตัวเป็นแต่คนใช้เราไม่สู้โกรธหรอก ถ้าไม่รับตามจริงจะเอาตัวไปส่งเจ้าเมืองกรมการชำระ……..”

ซ่วยชองเพิ่งรู้ความจริงว่าไฮ้สุยเป็นข้าหลวง จะไปเมืองอันน่ำก๊ก หากบอกความตามตรงคงจะไม่ถูกทำโทษ จึงยอมรับสารภาพความจริงตามที่ถูกใช้มา โดยละเอียด ไฮ้สุยจึงว่า

“……..อันเตียกือเจี้ยซึ่งเป็นนายของตัว เราก็ไม่โกรธ ด้วยเห็นว่าเป็นคนโง่นับถือพวกกังฉินเอาเป็นที่พึ่ง จึงได้คิดทำร้ายเราซึ่งไม่มีความผิด ถ้าจะว่าที่แท้แล้วความชั่วก็ตกอยู่กับเงียมซงคนเดียว……”

พูดแล้วจึงให้ไฮ้หยงแก้มัดออก แล้วว่าตัวรับเราตามจริงแล้วจะปล่อยไป ไฮ้สุยก็เปิดประตุห้องให้ ซ่วยชองก็คุกเข่าลงคำนับ ไฮ้สุยก็ถามว่าเจ้ามาทำร้ายเราไม่ได้ จะแก้ตัวกับ เตียกือเจี้ยอย่างไร ซ่วยชองว่าข้าพเจ้าไม่กลับไป จะขออยู่ให้ท่านใช้ ไฮ้สุยยังไม่วางใจจึงว่าถ้าเช่นนั้น เจ้าจงพักอยู่ที่ตำบลนี้ก่อน ต่อเรากลับจากเมืองอันน่ำก๊กแล้ว จึงค่อยไปด้วยกัน ซ่วยชองก็จะขอตามไปด้วย ไฮ้สุยถามว่าจะไปทำไม ซ่วยชองก็เล่าความหลังให้ฟังว่า

เมื่อตนอายุได้สิบห้าปี ได้ไปค้าขายกับบิดาที่เมืองอันน่ำก๊ก บิดาเป็นคนกว้างขวาง เจ้านายและขุนนางในเมืองนั้นรู้จักกันมาก ต่อมาบิดาได้ตายลง ตนขอรับศพกลับมาฝังที่บ้านเก่า ก็ได้รับเงินทองมาช่วยการศพเป็นอันมาก ครั้นมาถึงกลางทางผู้ร้ายเข้าตีชิง ตนกับลูกจ้างซึ่งมาด้วยสู้โจรไม่ได้ ก็พากันหลบหนีซุ่มซ่อนอยู่ ผู้ร้ายจึงเก็บเอาข้าวของเงินทองไปหมด เหลือแต่ศพบิดา เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ไม่มีอะไรจะทำการฝังศพ เตียกือเจี้ยมีความสงสารให้เงินทำการฝังศพบิดา ตนคิดถึงคุณจึงยอมเป็นบ่าวให้เตียกือเจี้ยใช้สอยมาจนทุกวันนี้

ไฮ้สุยได้ฟังก็คิดว่าซ่วยชองเป็นคนกตัญญูต่อบิดา และท่านผู้มีคุณ ควรจะเลี้ยงไว้ด้วยพื้นเดิมเป็นคนดี พอจะฝึกหัดสั่งสอนได้ จะได้ช่วยนำทางไปเมืองอันน่ำก๊ก และรู้จักคนมากอาจช่วยเหลือในการของตนได้ กับเห็นว่าซ่วยชองอาสาโดยสุจริต จึงยอมรับตัวไว้ใช้สอย ส่วนลูกน้องของซ่วยชองสองคนนั้น เมื่อมีเรื่องอื้ออึงขึ้น ก็พากันหนีออกจากโรงเตี๊ยม แต่ไม่ได้กลับไปหาเงียมซง คงเลยไปที่อื่น

ครั้นเวลาเช้าซื้ออาหารที่โรงเตี๊ยมกินแล้ว ก็ออกจากตำบลนั้น เดินทางต่อไปอีกสองวัน เกือบจะถึงเมืองกองซินฮู้ ได้พบกับพ่อค้าคนหนึ่งมากับลูกจ้างสี่ห้าคน พ่อค้าไม่รู้จักไฮ้สุย ก็ถามว่าจะไปไหน ไฮ้สุยว่าจะไปเมืองกองซินฮู้ พ่อค้าก็ว่าจะไปเมืองเดียวกัน จึงเดินทางมาด้วยกัน ครั้นถึงทางแยกไฮ้สุยถามว่าจะไปทางไหน พ่อค้าบอกว่าจะไปทางซ้ายซึ่งเป็นทางอ้อม ถึงออกไปไกลแต่ก็สบายไม่มีอันตราย ส่วนทางขวานั้นเป็นทางตรงก็จริงแต่ที่ท่าข้ามเงียมล่ออ๋องนั้น มักเป็นอันตราย

ไฮ้สุยได้ฟังว่าท่าข้ามชื่อท่ายมบาล ก็ถามว่าเป็นชื่อเก่ามาแต่โบราณหรือใครตั้งขึ้นใหม่ พ่อค้าก็บอกว่าตนไม่ทราบ แต่ที่ตำบลนี้ใครมีเงินมากไปทางนั้นมักเป็นอันตราย ด้วยพวกที่รับจ้างข้ามส่งแม่น้ำเป็นผู้ร้าย คะเนดูเห็นทีเจ้าเมืองกรมการจะไม่เอาเป็นธุระ พวกนี้จึงทำได้ไม่เกรงผู้ใด หรือเขาจะรู้เห็นเป็นใจได้ส่วนแบ่งปันด้วยก็ไม่แจ้ง ไอ้สุยว่าท่านจะไปทางบกก็ตามใจ ตนเองไม่มีเงินทองอะไร ถึงจะไปทางเงียมล่ออ๋องโต้ก็ได้ แล้วต่างคนก็แยกกันไป

ไฮ้สุยเดินจากทางแยกมาตลอดวันก็ถึงตำบลเงียมล่ออ๋องโต้ เห็นคนมารอคอยจะข้ามฟากกันมาก มีอยู่คนหนึ่งพิเคราะห์ดูกิริยาภาคภูมิ ไฮ้สุยจึงเข้าไปนั่งใกล้พูดจาไต่ถามตาม ธรมเนียม เมื่อรู้ว่าจะไปทางเดียวกันจึงชวนลงเรือ ชายผู้นั้นว่ายังไปไม่ได้ ต่อคนที่มาจ้างข้ามส่งครบร้อยคนเขาจึงจะไป ถ้าขาดจนสักคนหนึ่งก็ไม่ส่ง

ไฮ้สุยก็พูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าเรือลำนี้ไม่ไป ก็จ้างลำอื่นได้มิใช่จะวานเปล่าเมื่อไร เราก็เสียเงิน การอันนี้ต้องตามใจเราบ้างจึงจะควร ถ้าหากมีธุระเป็นการร้อน หรือราชการสำคัญ จะนั่งรอให้ครบร้อยจะมิเสียราชการไปหรือ ชอบแต่จะว่าราคากันเสียใหม่ จะเอาเท่าไร พอมาถึงก็ให้ได้ไปจึงจะดี พวกที่นั่งคอยอยู่ที่นั่นได้ฟังไฮ้สุยพูด ต่างคนก็ห้ามว่าอย่าอึงไปเขาได้ยินเขาจะโกรธ พวกตนก็จะพลอยเป็นอันตรายด้วย ไฮ้สุยจึงเดินไปหาผู้เฒ่าสองคนที่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ห่างผู้คน แล้วถามว่าตำบลนี้เหตุใดจึงเรียกว่าเงียมล่ออ๋องโต้ ตนพูดเสียงดังหน่อยก็ชวนกันว่ากล่าวห้ามปราม

ผู้เฒ่าทั้งสองก็ว่าท่านเห็นจะไม่เคยมาดอกกระมัง แต่ก่อนในตำบลนี้เจ้าเมืองฮวนจิวซึ่งขึ้นแก่เมืองกองซินฮู้ ตั้งขึ้นไว้ให้คนมาอยู่สำหรับรับจ้างส่งคนเดินทางและพ่อค้าข้ามไปมา เรียกว่าท่าข้ามเจ้าเมืองฮวนจิว ต่อมามีชายผู้หนึ่งชื่อ จิวโต้เจียง พวกพ้องมากมาแย่งตำบลนี้เป็นสิทธิ์ของตัว แล้วเอาพรรคพวกเป็นผู้รับจ้างส่งคนข้าม เจ้าเมืองฮวนจิวรู้ก็ส่งคนมาห้าม แต่จิวโต้เจียงไม่ฟัง เจ้าเมืองก็ไม่อาจทำอะไรได้ ด้วยเกรงอำนาจ ครั้นนานมาจิวโต้เจียงกับเจ้าเมืองกลับชอบพอกันเข้า สุดแท้แต่ว่าเรือพ่อค้าหรือเรือรับจ้างส่งคนมีเงินทองมา พวกจิวโต้เจียงก็ฆ่าเจ้าของเสีย เก็บเอาเงินทองทรัพย์สิ่งของไปหมด แต่นั้นมาจึงว่าท่าข้ามนี้ดุร้าย ผู้ใดมีเงินทองมากก็ต้องตาย ต้องเดินบกไปทางอ้อม จิวโต้เจียงรู้เรื่องก็เตรียมการจะไปตั้งสกัดทางบกอีก เขามีพวกพ้องมากพูดจาจึงต้องระมัดระวังปาก

ไฮ้สุยก็สอบถามผู้เฒ่าต่อไป พอได้ความว่าจิวโต้เจียงมีบ้านอยู่ทางเหนือของท่านี้ ไฮ้สุยจะคอยจนค่ำจึงจะข้ามไป ไฮ้หยงก็เตือนว่าอย่าข้ามไปเองเลย ควรจะขอให้กรมการเมืองมาส่งจะดีกว่า ไฮ้สุยก็ว่า

“……..ถ้าบอกว่าถือรัยสั่งพระเจ้าแผ่นดินออกมาแล้ว คนที่จะรับรองถมไป แต่เราไม่พอใจให้เขารู้ จะได้ดูการที่ประหลาดเล่นให้ดีและร้าย ถ้ามาเป็นยศเหมือนเขาทั้งปวงแล้ว ที่ไหนจะได้รู้การเล็กน้อย………”

ไฮ้หยงก็ว่าท่านขืนไป เกิดเหตุอะไรขึ้นจะเสียเปรียบ ด้วยเรามากันน้อย ไฮ้สุย จึงคิดจะพักที่โรงเตี๊ยมก่อน แต่เวลานั้นยังวันอยู่ ไฮ้สุยจึงชวนบ่าวไพร่ เดินไปกินอาหารที่โรงเตี๊ยม แล้วสั่งไฮ้หยงว่าเจ้าจงอยู่ในโรงเตี๊ยมด้วยกันให้พร้อม อย่าไปไหน เราจะต้องสำนักนอนที่นี่ เราจะไปเที่ยวเล่นสักหน่อย แล้วก็ออกจากโรงเตี๊ยมเดินไปแต่ผู้เดียว ด้วยอยากจะใคร่ดูบ้านข่องของ จิวโต้เจียงว่าเป็นอย่างไร และอยากใคร่รู้การทั้งปวงในแขวงนั้นด้วย.

##########





Create Date : 09 ตุลาคม 2551
Last Update : 9 ตุลาคม 2551 5:12:24 น. 0 comments
Counter : 415 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.