|
ตอนที่ ๑๖ ทำดีจนเสียมิตร
ยอดคนแผ่นดินเหม็ง
ตอนที่ ๑๖ ทำดีจนเสียมิตร
" เล่าเซี่ยงชุน "
พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ นั้น เมื่อได้รับเรื่องราวกล่าวโทษ เงียมซง ขุนนางผู้ใหญ่ จาก ไฮ้สุย แล้ว รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งเมื่อเสด็จออกว่าราชการ ก็มีรับสั่งแต่งตั้งให้ เล่าปึงหมง ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายกรมวัง กวยซิวกี ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายกรมเมือง กับ ตั้นเท่งเง็ก ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายรักษาพระองค์ เป็นตุลาการชำระความที่ไฮ้สุยกล่าวโทษเงียมซง ให้ได้ความจริง แล้วมีรับสั่งให้ขันทีผู้ใหญ่ไปนำตัวเงียมซงกับไฮ้สุย มาส่งให้ตุลาการทั้งสามที่ศาลาว่าความใหญ่ในวันนั้น
กวยซิวกีนั้นมีจิตลำเอียงเข้าข้างเงียมซง คิดว่าถ้าไต่สวนในขณะนั้น เป็นการจวนตัวไม่ทันหาหนทางแก้ไข จะเสียเปรียบไฮ้สุยได้ จึงปรึกษาตุลาการอีกสองคนว่าเวลาวันนี้ก็ล่วงไปมากแล้ว จะไต่สวนไปได้ไม่เท่าไร ควรงดไว้ก่อนเวลาพรุ่งนี้จึงให้มาพร้อมกันแต่เช้า ตุลาการอีกสองคนก็ไม่ขัดข้อง จึงมอบตัวโจทก์จำเลยทั้งสองให้ผู้คุมควบคุมตัวไว้คนละแห่ง
นางเงียมเคงหลินกุยฮุย บุตรเลี้ยงของเงียมซงได้ทราบความ ก็จัดสิ่งของที่ดีมีราคาต่าง ๆ เป็นสามชุด มอบให้คนสนิทนำไปมอบให้แก่ตุลาการทั้งสาม พร้อมกับหนังสือคนละฉบับ มีข้อความเหมือนกันว่า
ข้าพเจ้านางเงียมเคงหลินกุยฮุย ขอคำนับมายังท่านที่ชำระความบิดาของข้าพเจ้า บัดนี้ข้าพเจ้าจัดสิ่งของใช้คนมาให้ ขอท่านจงเห็นแก่บิดาข้าพเจ้าและตัวข้าพเจ้า ช่วยสงเคราะห์ชำระให้บิดาข้าพเจ้าชนะไฮ้สุย อย่าให้ได้ความอายแก่คนทั้งปวง แม้นการสำเร็จแล้ว ข้าพเจ้าจะสนองคุณท่าน
ตุลาการทั้งสามได้แจ้งความในหนังสือแล้ว ก็ไม่กล้ารับเอาของกำนัลและหนังสือนั้นไว้ ให้ผู้ที่นำของนั้นเอากลับคืนไป และได้ฝากให้บอกแก่นางเงียมเคงหลินว่า ความเรื่องนี้สำคัญนัก รับสั่งให้ชำระเอาความจริง ซึ่งกุยฮุยจัดของมาให้นั้นขอบคุณแล้ว แต่จะรับของไว้ไม่ได้เกรงความผิด นางเงียมเคงหลินได้ทราบแล้วก็ไม่ว่าประการใด
แล้วกวยซิวกีก็ไปปรึกษากับตั้งเท่งเง็กว่า
..แต่ก่อนเราก็ได้พึ่งเงียมซง บัดนี้เงียมซงต้องคดี นางเงียมเคงหลินกุยฮุยได้มีหนังสือมาฝากฝัง จะพูดอ้อมค้อมทำไม ว่าแต่จะช่วยเขาหรือมิช่วยเท่านั้น ถ้าท่านกับข้าพเจ้าเป็นใจเดียวกันแล้ว ก็พอจะช่วยเงียมซงได้ แต่กีดด้วยเล่าปึงหมงเป็นตุลาการเข้ามาด้วยอีกคนหนึ่งสำคัญนัก ด้วยการแต่ก่อนข้าพเจ้าไม่เห็นเล่าปึงหมงไปมาหาสู่เงียมซงเลย
..
ตั้งเท่งเง็กก็ว่าเงียมซงเป็นขุนนางผู้ใหญ่มีอำนาจมาช้านาน ซึ่งเล่าปึงหมงไม่ไปมาหาสู่นั้น เพราะเขาเห็นว่าเงียมซงประพฤติการไม่ชอบ กวยซิวกีก็ว่าตนเองจะคอยฟังความข้างในวัง ถ้าเห็นว่ากระแสพระราชดำรัสเอนไปข้างเงียมซง เราชำระคล้อยไปตามพระกระแสนั้น ก็จะสบายเหมือนพายเรือล่องน้ำ นึกว่าทนเสียชื่อเอาคราวหนึ่ง ที่เขาจะนินทาว่าเป็นตุลาการชำระความไม่เที่ยงธรรมเท่านั้น ถ้าพระกระแสเอียงไปข้างไฮ้สุย เราก็ชำระไปตามตรง แต่เรากับ เงียมซงและนางเงียมเคงหลินก็คงจะขาดไมตรีกัน
ตั้งเท่งเง็กได้ฟังก็รู้ในท่วงทีว่ากวยซิวกีก็จะเข้าข้างเงียมซง จึงว่าการที่จะช่วย เงียมซงหรือมิช่วยนั้น อย่าเพิ่งคาดเอาเป็นแน่ก่อน แต่เห็นว่า ถึงเล่าปึงหมงจะเดินทางตรงไม่เข้ากับผู้ใดก็คงสู้เราไม่ได้ ทางที่ดีควรจะไปหาเล่าปึงหมง ฟังแยบคายดูเขาจะว่าอย่างไร กวยซิวกีก็เห็นดัวย และยินดีที่ได้เพื่อนร่วมคิดไว้คนหนึ่งแล้ว จึงพากันไปหาเล่าปึงหมง ขอปรึกษาเรื่องคดีว่าจะทำอย่างไร
เล่าปึงหมงก็ว่าท่านทั้งสองเคยเป็นตุลาการได้ชำระความมามาก ฮ่องเต้คงจะเชื่อถือท่าน ตนเองเป็นคนใหม่ กวยซิวกีจึงว่าเมื่อข้าพเจ้าทั้งสองชำระไปเห็นข้อไหนไม่ถูกก็ทักท้วงว่ากล่าวได้ เมื่อเห็นควรแล้วก็ลงชื่อประทับตราด้วยกัน จะได้นำข้อความขึ้นกราบทูลให้ทรงทราบ เล่าปึงหมงก็รับคำ
ครั้นเวลาเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อไปถึงศาลาว่าความ กวยซิวกีก็ให้พาตัวเงียมซงออกมาก่อน ตุลาการทั้งสามต่างคนก็ยืนขึ้นประสานมือคำนับ แล้วเชิญให้ขึ้นนั่งบนเก้าอี้ เงียมซงก็ว่าตนเป็นลูกความไม่สมควรจะนั่งเสมอตุลาการ ทั้งสามจึงให้คนเอาพรมมาปูข้างล่างให้เงียมซงนั่ง แล้วจึงเริ่มไต่สวนว่า ไฮ้สุยทีจะมีข้อสาเหตุอะไรกันสักอย่างหนึ่ง จึงหาความมาฟ้องท่าน
เงียมซงก็ให้การว่าไฮ้สุยกับตนเองไม่มีสาเหตุพยาบาทอะไรกันด้วยข้อใด แต่ ไฮ้สุยจะมีความน้อยใจอยู่สักอย่างหนึ่ง ด้วยตัวไฮ้สุยตั้งแต่เข้ามารับราชการ ตนเองไม่ได้เคยกราบทูลยกย่องให้ อย่างอื่นไม่เห็นเลย กวยซิวกีก็ถามว่าความที่ฟ้องนี้จริงหรือไม่ เงียมซงก็ว่า เขาฟ้องกล่าวโทษเอาตามใจชอบ ถ้าจริงดังว่าก็ไม่มีพยานมายืนยัน ธรรมเนียมความต้องมีพยานเป็นที่อ้าง
กวยซิวกีก็คล้อยตามว่าพูดถูกต้อง แล้วให้เงียมซงไปพักก่อน ให้เอาตัวไฮ้สุยเข้ามาซักถามว่าความที่ฟ้องกล่าวโทษใจเสี่ยงนั้น มีใครรู้เห็นเป็นพยานบ้างหรือไม่ ไฮ้สุยก็ให้การว่า
ความที่ข้าพเจ้ากล่าวนี้ เล่าตังหยง และขุนนางรู้ทั้งนั้น แต่ใจเสี่ยงมีอำนาจวาสนามาก ก็ไม่มีใครจะกล้ามาว่ากล่าวเช่นข้าพเจ้า ซึ่งจะให้ผู้อื่นมาเป็นพยานนั้น เห็นจะไม่มี ท่านถือรับสั่งมาจะว่าให้ได้ความจริง ก็สุดแล้วแต่ปัญญาของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าฟ้องกล่าวโทษใจเสี่ยงทั้งนี้ ใช่จะหาผลประโยชน์สิ่งใดหามิได้ ต่อเห็นเป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินจึงว่าขึ้น ท่านก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ทำราชการสนองพระคุณต่างพระเนตรพระกรรณ เมื่อเห็นควรประการใดก็สุดแล้วแต่ท่าน ซึ่งจะมาบังคับเร่งเอาพยานที่ข้าพเจ้าเห็นไม่ได้
..
กวยซิวกีได้ฟังจึงตวาดว่า ถ้ากระนั้นท่านก็เอาความไม่จริงมากล่าวโทษท่าน เงียมซง ซึ่งนับเป็นเชื้อวงศ์เซียงด้วย ตัวเป็นขุนนางผู้น้อยไม่ควรจะมาเป็นความแก่ท่านผู้ใหญ่ ไฮ้สุยก็โกรธ จึงว่า
ข้าพเจ้าเป็นขุนนางผู้น้อยก็จริง แต่ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดเงินเดือนของพระเจ้าแผ่นดิน มีพระเดชพระคุณเป็นอันมาก เห็นการสิ่งใดเกิดขึ้นในแผ่นดินแล้วก็ต้องว่ากล่าว ที่จะให้ข้าพเจ้าไปเที่ยวประจบคนนั้นคนนี้ เห็นใครที่ไหนมีอำนาจมากเข้าฝากตัว ไม่รู้ว่าดีชั่วผิดชอบ ทำไปเหมือนเขาไม่ได้ ฝากชีวิตของตัวไว้แก่พระเจ้าแผ่นดิน และท่านที่ตั้งอยู่ในยุติธรรมเท่านั้น ข้าพเจ้าไม่มีอะไรมีแต่ชีวิตเท่านั้น เมื่อเห็นว่าควรจะเชื่อฟังได้ก็ให้เชื่อ เมื่อเห็นว่าเชื่อไม่ได้ก็ฆ่าเสีย
กวยซิวกีจึงว่าธรรมดาตุลาการชำระความยังไม่เห็นจริง ก็อาศัยแต่พยาน หรือ ว่าท่านนำสืบไม่ได้ ก็ให้รับชื่อพยานมาว่าชายหญิงชื่อนั้นอยู่ตำบลนั้น ใครรู้เห็น ตุลาการจะได้ใช้คนไปเอาตัวมาถาม ถ้าไม่มีพยานเป็นแต่ฟ้องหากล่าวโทษกันลอย ๆ ดังนี้ จะเป็นว่าหาความเขาไม่จริง
ไฮ้สุยได้ฟังจึงตรึกตรองว่าที่กวยซิวกีพูดนี้ก็ถูกต้อง ครั้นจะเอาหนังสือจดหมายเหตุออกเป็นตัวพยาน ก็เกรงจะร้อนถึงตัวเจ้าของอย่างหนึ่ง ถ้าหนังสือจดหมายเหตุตกไปถึงมือตุลาการ ก็เกรงว่าตุลาการทำลายเสีย จึงนิ่งอยู่ไม่รู้จะตอบโต้ประการใด
กวยซิวกีเห็นได้ทีก็ขู่ว่าถ้าความไม่จริงก็ให้สารภาพเสีย ไฮ้สุยก็ยืนยันว่าเป็นความจริง กวยซิวกีก็ว่ามาฟ้องหากล่าวโทษเขา พยานก็ไม่ชี้ให้ ยอมสารภาพก็ไม่ยอม ทำให้ยากแก่ตุลาการ จะต้องผูกเข้าเฆี่ยนเสียให้เป็นตัวอย่าง
เล่าปึงหมงก็ห้ามว่า ของดไว้ก่อนจะทำเหมือนราษฎรนั้นไม่ได้ ไฮ้สุยก็เป็นขุนนาง จะลองถามดูบ้าง แล้วก็เกลี้ยกล่อมไฮ้สุยว่า ตุลาการเขาถามก็ถูกต้องตามแบบอย่าง ซึ่งจะปฏิเสธเสียว่าไม่มีพยานไม่ได้ การที่ฟ้องนั้นแม้จะเป็นความจริง แต่ลักษณะความต้องมีหลักที่จะอ้างจึงจะเป็นกระบวนความ ซึ่งตุลาการผู้ชำระจะลงเนื้อเห็นด้วยตามคำกล่าวหานั้นก็ไม่ควร
ไฮ้สุยก็เห็นจริงจึงว่า ของสำคัญซึ่งจะเป็นองค์พยานนั้น เป็นลายมือผู้จดหมายเหตุไว้ ครั้นส่งเข้าไปกลัวตุลาการจะแก้ไขเสีย เล่าปึงหมงว่าอย่าวิตกจงเอามาเถิดจะรักษาไว้มิให้เป็นอันตราย แล้วถามต่อว่าท่านฟ้องกล่าวโทษเงียมซงมีเนื้อความห้าข้อ แต่ความสองข้อว่าด้วยเล่าตังหยง กับ ฮั่วจิ้น เศรษฐีสองคนนั้น ท่านก็ได้เป็นที่เอ๋ซุนอ้านออกไปตรวจตามหัวเมืองใหญ่น้อยไม่รู้ดอกหรือ ไฮ้สุยก็ว่าความสองรายนั้นรู้ แต่อีกสามข้อนั้นไม่รู้ เล่าปึงหมงก็ซักต่อว่าเมื่อรู้แล้วทำไมไม่กราบทูล
ไฮ้สุยก็ว่า
ข้าพเจ้าออกไปครั้งนั้น เห็นว่าเล่าตังหยงและฮั่วจิ้นเป็นเศรษฐีประพฤติไม่ดี ถืออำนาจเงียมซงข่มเหงราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนมาก ข้าพเจ้าก็กำจัดตัวผู้ร้ายเสียแล้ว ครั้นข้าพเจ้ากลับมาจะกราบทูลให้ทรงทราบ ก็เหมือนหนึ่งจะอวดตัวว่ามีสติปัญญากำจัดคนร้ายได้ ถ้าพาดพิงมาถึงเงียมซงก็จะเป็นที่หมองใจ คนร้ายก็กำจัดตัดเสียแล้ว เมื่อกราบทูลให้ทรงทราบเงียมซงจะพลอยผิดอะไรด้วย จะออกตัวไปว่ามิใช่พวกพ้อง ข้าพเจ้าตรองเห็นดังนี้จึงมิได้กราบทูลให้ทรงทราบ ความเล่าตังหยงกับฮั่วจิ้นติดอยู่กับความสามข้อในจดหมายเหตุ ข้าพเจ้าจึงได้ยกขึ้นมาว่าด้วย
แล้วไฮ้สุยก็ส่งจดหมายเหตุให้เล่าปึงหมง เมื่อเล่าปึงหมงดูแล้วก็ส่งต่อไปให้ตุลาการอีกสองคน กวยซิวกีดูแล้วจึงว่าธรรมดาผู้จดหมายเหตุ ถ้าได้ความผิดและชอบของผู้ใดเป็นการจริงแล้วก็จดหมายไว้ ถึงกำหนดต้องกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินให้ทรงทราบ แล้วต้องเอาหนังสือจดหมายเหตุใส่ตู้เหล็กลั่นกุญแจไว้ การนี้ไม่จริงไฮ้สุยไปคบคิดกับผู้จดหมายเหตุ เอาลายมือผู้จดหมายเหตุมารับสมอ้างเป็นพยาน กล่าวโทษใจเสี่ยงเปล่า ๆ แล้วก็ให้เจ้าหน้าที่ถือหมายไปเอาตัว หลีซุนเอี๋ยง มาให้การที่ศาล
เมื่อหลีซุนเอี๋ยงทราบความจากผู้ถือหมาย ว่าไฮ้สุยอ้างเอาหนังสือจดหมายเหตุของตนไปเป็นพยานก็ตกใจ เมื่อเดินเข้าไปดูในห้องหนังสือเห็นจดหมายเหตุเรื่องเงียมซงหายไป ก็รู้ชัดว่าไฮ้สุยลักเอาไปเป็นแน่ จึงบอกแก่บุตรภรรยาว่าซึ่งตุลาการมีหมายมาหาตัวไปคราวนี้คงมีโทษเป็นแน่แท้ ภรรยาจึงว่าท่านรักใคร่กับไฮ้สุยมากนัก บัดนี้ไฮ้สุยมาลักเอาจดหมายเหตุไป การนี้จะมิรักคนผิดไปหรือ หลีซุนเอี๋ยงก็เห็นใจไฮ้สุยว่าเป็นคนใจร้อน เห็นแต่การแผ่นดิน ทั้งนี้ก็เพราะกรรมของเราถึงกำหนดจะต้องรับพระราชอาญา ภรรยาก็ถามว่าจะมีโทษสักเพียงใด หลีซุนเอี๋ยงว่าโทษก็ถึงตาย ภรรยาก็ว่าเราไม่รับว่าเป็นของเราไม่ได้หรือ หลีซุนเอี๋ยงก็ว่าไม่ได้ ถ้าเราไม่รับไฮ้สุยก็คงตาย และหนังสือนั้นก็เป็นลายมือเราจะไม่รับที่ไหนได้ และตัดใจว่า
ครั้งนี้โดยเราตายเพราะไฮ้สุย ชื่อเราก็ปรากฎไปเบื้องหน้า คงจะมีผู้สรรเสริญ ใช่ว่าไฮ้สุยจะแกล้งฆ่าเราเมื่อไร ด้วยนิสัยไฮ้สุยเป็นคนตรง สงสารแต่บุตรชายของเรา ยังอ่อนความคิดนัก ถ้าเราตายไปแล้วเจ้าสองคนกับบุตรจะเปลี่ยวใจนัก ด้วยไม่เห็นใครเป็นที่พึ่งแก่เจ้าได้ ตัวเราทำราชการโดยสุจริต หาได้คิดประโยชน์สิ่งใดไว้ให้แก่เจ้า อย่าหมายเลยว่าเราจะไม่ตาย ถ้าเอาตามพระราชกำหนดกฎหมายแล้ว โทษก็ถึงสิ้นชีวิต ด้วยเราทำการประมาท
.
หลีซิวอิ๋ม ผู้บุตรได้ฟังบิดาพูดจึงว่า
.การครั้งนี้ถึงบิดาจะถึงแก่ชีวิต ก็เรียกว่าตายในที่ชอบ เป็นที่สรรเสริญแก่คนทั้งปวง บิดาอย่าได้ทุกข์ร้อนเป็นห่วงใยในข้าพเจ้าเลย อายุข้าพเจ้าก็ได้ถึงสิบหกปีเข้านี่แล้ว ข้าพเจ้าจะอุปถัมภ์มารดาไปกว่าจะหาชีวิตไม่ ตัวข้าพเจ้าจะเข้าทำราชการก็คงฝากตัวกับขุนนางที่เป็นตงฉิน โดยจะยากจนอดอยากลงไม่มีจะกิน ก็จะสู้อดทนไป
..
หลีซุนเอี๋ยงก็มีความยินดีว่าเจ้านี้คิดชอบแล้วบิดาสิ้นความวิตก ชีวิตของเรานี้เป็นอันทอดอาลัย ตัวเราคงมิได้กลับมาเห็นหน้าเจ้าต่อไปอีกแล้ว ภรรยากับบุตรได้ฟังดังนั้นกลั้นน้ำตาไว้มิได้ก็ร้องไห้ หลีซุนเอี๋ยงก็มากับผู้ถือหมายให้ศาลชำระความ
เมื่อตุลาการไต่สวนหลีซุนเอี๋ยงก็สารภาพว่า จดหมายเหตุนี้เป็นลายมือของตนเอง เป็นความจริงทั้งนั้นใช่จะเอาความเท็จมากล่าวหามิได้ ตนมีความผิดอยู่ข้อเดียวที่รักษาจดหมายเหตุไว้ไม่ดี ให้ไฮ้สุยลักเอามาได้ ข้อที่ยังมิได้กราบทูลนั้นเพราะเก็บความยังไม่หมด
ตั้นเท่งเง็กเห็นว่าหลีซุนเอี๋ยงมีความผิด จึงให้ผู้คุมเอาตัวไปขังไว้ในคุก แล้วก็ปรึกษากับกวยซิวกี เรียบเรียงคำไต่สวนชำระความเรื่องนี้ ว่าหลีซุนเอี๋ยงมีความผิดฐานที่รักษาจดหมายเหตุไม่ดี ให้ไฮ้สุยเอามาเป็นพยานในการฟ้องเงียมซงได้ ไฮ้สุยมีความผิดฐานเอาจดหมายเหตุที่ยังไม่ได้กราบทูลมาฟ้องร้อง แต่ไม่กล่าวถึงความผิดของ เงียมซงในคำฟ้องเลย เล่าปึงหมงจึงไม่ยอมลงชื่อประทับตราร่วมด้วย และได้เรียบเรียงความคิดเห็นของตนเองไว้อีกฉบับหนึ่ง คัดค้านคำกราบทูลของกวยซิวกีกับตั้นเท่งเง็ก
เมื่อพระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ ได้ทอดพระเนตรคำกราบทูลของตุลาการทั้งสองฉบับแล้ว ก็ทรงพระดำริว่า หลีซุนเอี๋ยงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยไฮ้สุย และคบคิดกันฟ้องหากล่าวโทษ เงียมซง ด้วยไฮ้สุยลักเอาจดหมายเหตุของลิซุนเอี๋ยงมา ข้อนี้เป็นความจริง ความที่ไฮ้สุยได้กล่าวโทษเงียมซง ก็เป็นความจริง เงียมซงคงทำผิดเหมือนดังที่ไฮ้สุยฟ้อง จะว่าไม่มีความผิดไฮ้สุยผู้ฟ้องก็ต้องมีโทษ แต่ข้อผิดที่เงียมซงทำนี้มิใช่การขบถ ด้วยเงียมซงเป็นถึงที่ใจเสี่ยงขุนนางผู้ใหญ่ จะต้องทำโทษเงียมซงเสียบ้าง ถ้าทำโทษผู้ฟ้องก็จะเสียความยุติธรรมไป
ประการหนึ่งถ้าจะให้เงียมซงพ้นโทษ ด้วยเห็นแก่นางเงียมเคงหลินกุยฮุย ก็ต้องคัดไฮ้สุยออกเสียอย่าให้เกี่ยวข้องระคนปนในความเรื่องนี้ ว่าแต่เรื่องหลีซุนเอี๋ยงอย่างเดียว เมื่อทรงพระดำริดังนี้แล้ว จึงทรงพระอักษรตัดสินมีความว่า
ซึ่งจะยกโทษไฮ้สุยว่าฟ้องหากล่าวโทษใจเสี่ยงเป็นความไม่จริงนั้นไม่ถูก ด้วย ไฮ้สุยมีจดหมายเหตุเป็นสำคัญ ประการหนึ่งจะว่าเงียมซงมีความผิดก็ไม่ได้ด้วยคำที่ไฮ้สุยฟ้องนั้นไม่มีพยานอื่นเจือ แต่จะว่าคำในจดหมายเหตุไม่จริงก็ไม่ได้ ความจะแน่ใจอยู่เขาจึงจดหมายลงไว้ แม้นเงียมซงทำความผิดไว้ดังไฮ้สุยกล่าว ก็ให้ประพฤติกลับใจเสียใหม่ แม้นมิฟังยังทำความชั่วต่อไปภายหน้า ถ้ามีผู้มาฟ้องกล่าวหาขึ้นด้วยข้อความเรื่องนี้ต้องตัดสินเอาเป็นจริง แต่ครั้งนี้ยกภาคทัณฑ์ไว้ เงียมซงกับไฮ้สุยซึ่งเป็นความกันนั้นให้เลิกแล้วแก่กัน
แต่หลีซุนเอี๋ยงเป็นเจ้าพนักงานจดหมายเหตุ รักษาหนังสือเท่านี้ไว้ไม่ได้ให้ ไฮ้สุยลักเอาไปได้ มีความผิดต้องกฎว่าให้ประหารชีวิตเสีย
ครั้นเสด็จออกในที่ประชุมขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย ณ หน้าพระที่นั่งแล้ว ก็พระราชทานพระอักษรให้ขุนนางดู แล้วรับสั่งให้เอาตัวหลีซุนเอี๋ยงไปประหารเสียตามคำตัดสิน
คดีเรื่องนี้จึงสิ้นสุดลงอย่างน่าเศร้าสลด เพราะความซื่อตรงของไฮ้สุย ได้ทำลายชีวิตของมิตรที่ดีไป อย่างน่าเสียดายยิ่ง.
##########
Create Date : 27 กันยายน 2551 |
Last Update : 27 กันยายน 2551 6:13:39 น. |
|
0 comments
|
Counter : 405 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|