Group Blog
 
All Blogs
 
ตอนที่ ๗ ผู้ตรวจราชการเลว

ยอดคนแผ่นดินเหม็ง

ตอนที่ ๗ ผู้ตรวจราชการเลว

"เล่าเซี่ยงชุน"

ฝ่าย เงียมซง หลังจากถูกถอดไปสามเดือนแล้ว ตั้งแต่ได้กลับมาเป็นขุนนางดังเก่า ก็คิดแต่จะหาผลประโยชน์จนมั่งมีเงินทอง ขุนนางฝ่ายบู๊ก็เข้ามาเป็นพวกพ้องมากขึ้น รวมทั้ง เตียจีเป๊ก ขุนนางฝ่ายทหาร ได้สำเร็จราชการกรมรักษาพระองค์ด้วย วันหนึ่งจึงปรึกษากันว่า ทุกวันนี้ตามหัวเมืองขึ้นใหญ่น้อย ในพระราชอาณาเขตของพระเจ้าแผ่นดินแห่งเรา ก็มั่งคั่งบริบูรณ์มีทรัพย์สินเงินทองมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ถ้าแม้นผู้ใดได้เป็นข้าหลวงออกไปตรวจตราดูแล คงได้ผลประโยชน์เป็นเงินทองมาก เงียมซงก็ว่าถ้าเตียจีเป๊กอยากไปก็จะกราบทูลให้ เตียจีเป๊กก็ว่าแม้น กราบทูลให้ตนเป็นข้าหลวงออกไป ได้มีผลประโยชน์มากน้อยเท่าใดจะแบ่งปันกันคนละกึ่ง

เงียมซงก็หาโอกาสกราบทูล พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ แต่งตั้ง ให้เตียจีเป๊กเป็นที่ เอ๋ซุนอ้านผู้ตรวจราชการหัวเมือง และพระราชทานกระบี่อาญาสิทธิ์กับเครื่องยศให้ตามตำแหน่ง เตียจีเป๊กจัดเสบียงอาหารบ่าวไพร่พร้อมแล้ว ก็พา เตียอันกุ้ย บุตรชายกับทหารห้าพัน ออกจากเมืองหลวงตัดไปทางเมืองซัวตั๋ง เมื่อตั้งพักอยู่นอกเมืองก็ให้มีหมายประกาศออกไปว่า เราเป็นที่ เอ๋ซุนอ้าน ถือรับสั่งออกมาให้เจ้าเมืองกรมการปลูกโรงพิธีสำหรับไว้กระบี่อาญาสิทธิ์ และที่พักให้ทันการ แล้วจงทำบัญชีค่านาและส่วยสาอากรมายื่นโดยเร็ว ถ้าเป็นหัวเมืองเอกจะผ่อนให้เจ็ดวัน หัวเมืองโทห้าวันหัวเมืองตรีสามวัน เมืองจัตวาสองวัน ถ้าไม่ทันตามหมายประกาศมาดังนี้ จะเอาตัวเป็นโทษ

เจ้าเมืองกรมการแจ้งในหมายประกาศ ต่างคนก็เป็นทุกข์ว่า ซึ่งจะให้ปลูกโรงพิธีและที่พัก ให้ทันตามกำหนดหมายนั้นพอจะได้ แต่จะให้ทำบัญชีมายื่นนั้นเร็วนัก ที่ไหนจะทัน ทำอย่างไรจึงจะพ้นความผิด บางคนก็ว่าถ้าเรายื่นบัญชีไม่ทัน ก็เอาเงินทองผ้าผ่อนแพรพรรณ เป็นของกำนัลไปให้ พอจะเงียบไปบ้างดอกกระมัง ที่เอ๋ซุนอ้านมีหมายประกาศมาดังนี้ ก็ปรารถนาจะหาผลประโยชน์เงินทองเท่านั้น หัวเมืองน้อยใหญ่ที่ใกล้เคียง ก็มาปรึกษาเห็นพร้อมใจกันแล้ว ต่างคนก็เอาเงินทองสิ่งของที่ดีมีราคาแพงมาให้แก่เตียจีเป๊ก แล้วเตียจีเป๊กก็มิได้เร่งรัดเอาบัญชี และชำระเอาถ้อยความสิ่งใด อยู่พักพอหายเหนื่อยแล้วก็ยกเลยต่อไป หัวเมืองทั้งปวงรู้ดังนั้น ก็จัดแจงสิ่งของทองเงินไว้คอยท่า พอที่เอ๋ซุนอ้านมาถึงก็เอามาให้เป็นอันมาก เตียจีเป๊กก็ได้ของกำนัลเป็น ลำดับมาทุก ๆ หัวเมือง

จนมาถึงเมืองเลกเซียกุ้ยเจ้าเมืองชื่อ สีสี้ เป็นคนตงฉิน
ตั้งอยู่ในความยุติธรรม เมื่อออกมาเป็นเจ้าเมืองก็มิได้ทำความชั่วสิ่งใด ให้กรมการและราษฎรเดือดร้อน ราษฎรนับถือรักใคร่มาก แต่สีสี้ขัดสนไม่ใคร่จะมีเงินทองข้าวของสิ่งใด เหมือนกับเจ้าเมืองอื่น ๆ ครั้นที่เอ๋ซุนอ้านมาถึงเมืองนี้ ก็ให้มีหมายประกาศเหมือนอย่างเมืองที่ผ่านมาแล้ว สีสี้แจ้งดังนั้นก็ตกใจด้วยกลัวว่าทำไม่ทันจะเป็นโทษ ครั้นจะเอาของกำนัลไปให้ก็ไม่มีเงินทอง ก็ทำโรงพิธีและที่พักเหมือนกับ หัวเมืองทั้งปวง เมื่อเตียจีเป๊กเข้าไปพักอยู่ ก็ไม่เห็นสีสี้เอาสิ่งของมาให้แต่สักอย่างหนึ่ง จึงแกล้งเร่งให้ส่งบัญชีค่านาและบัญชีส่วยอากรสำหรับเมือง สีสี้ก็เร่งให้กรมการซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเอาบัญชีมายื่นได้ทัน ตามกำหนดนัดหมาย เตียจีเป๊กก็โกรธว่าสีสี้เป็นคนอวดดี เอาบัญชีค่านาส่วยสาอากรมายื่น แทนที่จะเอาเงินทองเป็นของกำนัลเหมือนเมืองอื่น ๆ ถ้านิ่งไว้ผลประโยชน์ก็จะน้อยไป จึงเอาบัญชีค่านามาทำเป็นตรวจดูแล้วว่า บัญชีที่ทำมายื่นนี้เป็นบัญชีฉ้อโกง และให้ทหารจับตัวสีสี้มาจะทำโทษ

ราษฎรในเมืองรู้ความว่า ที่เอ๋ซุนอ้านจะทำโทษเจ้าเมืองซึ่งไม่มีความผิด ก็พากันมาร้องทุกข์ว่าเจ้าเมืองนี้เป็นคนดี ตั้งอยู่ในการสุจริต ตั้งแต่ได้มาเป็นเจ้าเมืองราษฎรก็มีความสุข มิได้ทำการสิ่งใดให้เป็นที่เดือดร้อน ราษฎรรักใคร่แทบทุกตัวคน เตียจีเป๊กคิดจะทำโทษสีสี้ให้หัวเมืองอื่น ๆ เกรงขาม จึงว่าผู้ใดออกมาเป็นเจ้าเมือง แม้นราษฎรนับถือรักใคร่มากนัก คงจะเป็นขบถเอาไว้ไม่ได้ จึงให้ทหารเอาตัวสีสี้ไปฆ่าเสีย ราษฎรก็โกรธคุมกันเป็นพวกมีจำนวนมากมาย บุกเข้าจับ เตียอันกุ้ย ผู้บุตรที่เอ๋ซุนอ้านฆ่าเสีย แล้วจะจับเตียจีเป๊กฆ่าเสียด้วย แต่ตัวนายซึ่งเป็นหัวหน้าได้ห้ามไว้ว่า การจะทำร้ายแก่ที่เอ๋ซุนอ้าน ซึ่งเป็นผู้ถือรับสั่งพระเจ้าแผ่นดินออกมานั้นไม่ได้ จะกลายเป็นขบถ

เตียจีเป๊กจึงรอดตัวไป แต่คิดจะคุมทหารเข้าสู้รบ ก็น้อยตัวกว่ากลัวจะสู้ราษฎรไม่ได้ ครั้นจะบอกกล่าวโทษเข้าไปเมืองหลวง ตนเองก็ทำการชั่ว เอาเงินทองมามากมายหลายหัวเมืองแล้ว และได้ฆ่าเจ้าเมืองซึ่งเป็นคนดีอยู่ในยุติธรรม เกรงว่าเมื่อฮ่องเต้ชำระ ความไม่ดีที่ได้ทำไว้จะปรากฎขึ้นจึงอดใจนิ่งเสีย แล้วก็คุมทหารออกจากเมืองเลกเซียกุ้ย ไปเมืองอื่น

ฝ่ายหัวเมืองน้อยใหญ่รู้ความว่า ที่เอ๋ซุนอ้านฆ่าสีสี้เจ้าเมืองเลกเซียกุ้ย ก็มีความวิตกว่าจะถูกพาลหาโทษใส่เช่นสีสี้ เพราะที่เอ๋ซุนอ้านออกมาตรวจตราดูแลครั้งนี้ ใช่จะมาโดยกิจราชการที่เป็นยุติธรรมนั้นหามิได้ตั้งใจแต่จะเอาผลประโยชน์เงินทองเท่านั้น จึงต่างก็ตระเตรียมเงินทองสิ่งของต่าง ๆ ไว้ เมื่อเตียจีเป๊กที่เอ๋ซุนอ้านมาถึงเมืองใด ถ้าเจ้าเมืองกรมการเลี้ยงดูไพร่พลทหารดี และเอาเงินทองมาให้มาก ก็ดีใจมิได้ว่ากล่าวประการใดแก่เจ้าเมืองนั้น พักอยู่พอหายเหนื่อยแล้วก็เที่ยวตรวจตราเมืองอื่นต่อไป แม้นเมืองใดต้อนรับไม่ถูกใจและเอาเงินทองมาให้น้อย ก็แกล้งกะเกณฑ์เอาต่าง ๆ แม้นจะไปทางบกก็เกณฑ์เอาม้าและเกวียนเป็นอันมาก ถ้าจะไปทาง น้ำก็เกณฑ์เอาเรือและคนลากเป็นจำนวนมาก เจ้าเมืองกรมการทนไม่ได้ก็ต้องหาสิ่งของ เงินทอง มาให้จนพอใจ เตียจีเป๊กทำดังนี้จนได้เงินทองผ้าผ่อนแพรพรรณและสิ่งของต่าง ๆ เป็นอันมาก บรรทุกสำเภาได้ถึงสิบลำ

ฝ่าย ไฮ้สุย เจ้าเมืองตุนจิว ได้แจ้งข่าวนี้แล้วก็พูดกับกรมการเมืองว่า

".....ถ้าขุนนางเป็นอย่างนี้แล้ว บ้านเมืองก็นับวันแต่จะร่วงโรยยับเยินไป ที่ไหนจะรุ่งเรืองเจริญ เปรียบเหมือนหนอนเกิดขึ้นในต้นไม้ใหญ่ ธรรมดาว่าต้นไม้ถ้ามีหนอนเกิดขึ้นในใส้แล้ว ก็ไม่อาจที่จะงดงามเจริญยืนยาวไปได้ มีแต่จะเหี่ยวแห้งไป....."

พวกกรมการได้ฟังแล้วก็พากันเศร้าโศกเสียใจ ไฮ้สุยจึงว่าจะมาทุกข์ร้อนเศร้าโศกอยู่ดังนี้ ไม่เห็นมีประโยชน์สิ่งใด จงช่วยกันคิดอ่านรักษาตัวดีกว่า ไม่ช้าที่เอ๋ซุนอ้านก็จะมาถึงเมืองเรา จะคิดอ่านประการใดจึงจะรอดตัวไปได้ พวกขุนนางกรมการทั้งปวงก็ว่า เมืองนี้เงินทองสิ่งของอะไรก็ไม่มีจะให้แก่ที่เอ๋ซุนอ้าน แม้นมาถึงถ้าดีอยู่ก็แล้วไป ถ้าพูดจาข่มขี่พาลเอาผิดประการใด เราก็ช่วยกันจับฆ่าเสีย ทรัพย์สิ่งของทองเงินที่ได้ของใครมามากน้อยเท่าใด เราคืนให้แก่เจ้าของเดิมของเขาเสีย

ไฮ้สุยก็ว่าการที่ท่านคิดก็ดีอยู่ แต่เป็นการใหญ่เหมือนหนึ่งขบถ จะพากันฉิบหาย พวกกรมการถามว่าท่านจะคิดอ่านอย่างไรเล่า ไฮ้สุยก็ว่า

"....เรามีอำนาจน้อย จะให้คุ้มไปถึงเมืองอื่น ๆ นั้นเห็นไม่ได้ ต้องรักษาแต่ตัวของเราไว้ พอให้พ้นภัยไปคราวหนึ่ง ท่านทั้งหลายจงรีบแยกกันไป สืบดูตามหัวเมืองซึ่งที่เอ๋ซุนอ้านตรวจมาแล้วนั้น เมืองไหนเสียเงินทองสิ่งของมากน้อยเท่าใด จงจดหมายมาให้เรารู้ทุก ๆ เมือง....."

พวกกรมการต่างก็คำนับลารีบแยกกันไปสืบ ได้ความว่าที่เอ๋ซุนอ้านเอาเงินทองสิ่งของเมืองนั้นเท่านั้นก็ลงบัญชีไว้ถ้วนถี่ แล้วกลับมาแจ้งแก่ไฮ้สุยตามที่สั่ง

เมื่อเตียจีเป๊กเที่ยวตรวจตามหัวเมืองเป็นลำดับ มาจนถึงเมืองตุนจิว ไฮ้สุยก็ให้ปลูกโรงพิธีสำหรับไว้กระบี่อาญาสิทธิ์ และที่พักสำหรับที่เอ๋ซุนอ้าน แล้วก็ให้จัดเลี้ยงดูทหารตามธรรมเนียม แล้วป่าวร้องราษฎรที่มีไร่นาให้ลงมือทำเสียทุก ๆ คนอย่าให้ว่างเปล่า ฝ่ายเตียจีเป๊กขาดบุตรชายอันเป็นที่ปรึกษาเสียแล้ว ก็คิดตรึกตรองว่าไฮ้สุยนี้เป็นคนตรง พึ่งออกมาเป็นเจ้าเมืองเห็นจะไม่มีอะไรนัก ครั้นจะไม่เอาเงินทองก็จะประมาท ต้องหาอุบายเอาเงินทองเสียบ้าง คนสนิทก็แนะว่าถึงเงินทองไฮ้สุยจะไม่มีถ้าท่านต้องการ จะให้เก็บของราษฎรลูกค้าวาณิชในเมืองนี้ก็คงได้ ถ้าเขาให้เราไม่เอาก็จะว่ากลัว เขาไม่ให้เราเฉยเสียก็จะว่าเราเกรง เตียจีเป๊กได้ฟังจึงว่า

".....ไฮ้สุยนี้มีสติปัญญาประกอบด้วยการตรึกตรอง ราษฎรนับถือรักใคร่มาก ข้างใน นางเตียกุยฮุย ก็เป็นพวกพ้อง อย่าเพ่อคิดวุ่นวายไป ฟังเขาดูก่อน เมื่อควรจะได้จึงเอา.."

เตียจีเป๊กรอดูก็ไม่เห็นว่าไฮ้สุยจะเอาเงินทองมาให้ จึงให้หาตัวไฮ้สุย และกรมการมาว่า เราจะลาท่านไป ขอแรงช่วยลากเรือและสำเภา ซึ่งบรรทุกเสบียงส่งเราให้ไปโดยสะดวก ไฮ้สุยว่าขณะนี้ไม่มีใคร ราษฎรกำลังทำไร่นาเสียทั้งนั้น การที่จะลากเรือก็สมควร แต่เรือที่ท่านขี่คนมีบ้างเล็กน้อยก็พอจะลากได้ เตียจีเป๊กก็ว่าถ้าจะลากต้องลากทุกลำ ทั้งสำเภาสิบลำนั้นด้วย

ไฮ้สุยก็พูดว่า อักษรสี่ตัวว่า ที่เอ๋ซุนอ้าน แปลว่า ผู้ที่ตรวจตราดูแลกิจสุขทุกข์ของมนุษย์ ซึ่งอยู่ใต้ฟ้าเป็นข้าแผ่นดิน ให้ได้ความเย็นทั่วพระราชอาณาเขต และว่า

".....ตัวข้าพเจ้านี้ก็กลัวอำนาจอาญาของท่านเหมือนกัน แต่ของกำนัลขัดสน ไม่มี จะให้ ขอท่านได้เอ็นดูแก่ข้าพเจ้าและกรมการ ซึ่งเป็นคนจนด้วยเถิด ท่านก็ได้เงินทองมามากมายหลายสำเภาแล้ว....."

เตียจีเป๊กได้ฟังก็โกรธแต่สู้อดโทโสไว้ จึงว่า ท่านเอาอะไรมากล่าว ของเหล่านี้ที่บรรทุกสำเภา เป็นเสบียงของเราเอามากินกลางทาง ไฮ้สุยก็ว่า

"...เสบียงอาหารไม่ต้องเป็นธุระ ท่านไปถึงเมืองไหนเมืองนั้นก็ต้องเลี้ยงดูไม่อดอยาก ทั้งไพร่พลทหารเล่าก็ให้เสบียงเดินทาง สมควรตามระยะทางใกล้ไกล การที่ท่านได้เงินทองสิ่งของมาแต่เมืองไหนเท่าใด ข้าพเจ้าทราบมีบัญชีอยู่...."

พูดแล้วไอ้สุยก็หยิบเอาบัญชีมาให้ดู เตียจีเป๊กเห็นบัญชีก็ตกใจ จึงว่าตัวท่านพึ่งออกมาเป็นเจ้าเมือง ยังไม่มีเงินทองสิ่งของอะไรเหมือนเขา เรารู้อยู่พูดลองใจดูดอก เรือเสบียงของเราไม่เป็นไร ทหารที่มาถมไปพอจะลากได้ แต่เรือที่เราขี่นี้ ท่านต้องลาก ไฮ้สุยก็ว่าอย่าวิตกตนจะเป็นผู้ลากเอง

แล้วไฮ้สุยก็ลงมือลากเรือที่เอ๋ซุนอ้านขี่ พวกกรมการเห็นดังนั้นต่างก็ช่วยไฮ้สุยลาก เมื่อเจ้าเมืองและกรมการเมืองลากเรือไปตามลำน้ำ เตียจีเป๊กแลดูบนฝั่งก็เห็นราษฎรทำไร่นาแน่นไปทั้งสองฟาก จึงว่าราษฎรในเมืองตุนจิวนี้มีมาก โดยจะเกณฑ์ให้ลากสำเภาอีกสักสิบเท่านี้ก็ได้ ซึ่งไฮ้สุยลากเรือเองเพราะรักราษฎร กลัวจะได้ความลำบากไม่ได้ทำไร่นา จึงร้องห้ามไฮ้สุยว่า ท่านเป็นเจ้าบ้านผ่านเมือง ไม่ควรจะมาทำการดังนี้ อย่าลากเลยความดีของท่านเราเห็นแล้ว

ไฮ้สุยก็ว่าพวกที่มาลากเรือกับตนนี้ ล้วนแต่เป็นกรมการทั้งนั้น ถ้าตนกับกรมการไม่ลากแล้ว จะมีใครลาก ด้วยราษฎรติดการไร่นาทั้งนั้น ท่านอย่ามีความรังเกียจเลย ไฮ้สุยกับกรมการลากเรือมาจนถึงที่แล้วก็กลับไป

เตียจีเป๊กออกจากเมืองตุนจิวแล้วก็เที่ยวตรวจต่อไป เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ก็เอาเงินทองสิ่งของต่าง ๆ แบ่งปันให้แก่เงียมซงกึ่งหนึ่งตามสัญญา

ส่วนไฮ้สุยก็แต่งหนังสือขึ้นสองฉบับ แจ้งความที่ตนออกมาเป็นเจ้าเมืองตุนจิว และ เตียจีเป๊กที่เอ๋ซุนอ้านออกไปตรวจราชการ กระทำความชั่วต่าง ๆ ให้แก่กรมการเมืองและราษฎรสิ้นทุกประการ

แต่ผลจะเป็นอย่างไรต้องคอยดูกันต่อไป.


##########






Create Date : 12 กันยายน 2551
Last Update : 12 กันยายน 2551 11:31:24 น. 0 comments
Counter : 525 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.