Group Blog
 
All Blogs
 
ตอนที่ ๑๙ หนามบ่งหนาม

ยอดคนแผ่นดินเหม็ง

ตอนที่ ๑๙ หนามบ่งหนาม

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เมื่อ ไฮ้สุย พ้นโทษกลับมาอยู่บ้านแล้ว ก็คิดถึง หลีซุนเอี๋ยง ซึ่งต้องโทษประหาร ด้วยความเสียดายมิรู้หาย ครั้นเห็น หลีซิวอิ๋ม ผู้บุตรซึ่งมาเฝ้าศพบิดาอยู่ที่บ้าน ดูท่วงทีกิริยาเป็นคนซื่อตรงเหมือนบิดา ไฮ้สุยก็มีความเอ็นดูรักใคร่ จึงยก นางไฮ้กิมโก บุตรสาวของตนให้แต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยาด้วยกันกับหลีซิวอิ๋ม

เมื่อแต่งงานบุตรแล้ว ไฮ้สุยก็คิดถึงความหลังที่ตัวอาสาแผ่นดิน โดยใจซื่อสัตย์กตัญญู ได้ทุกข์ยากลำบากแทบจะถึงแก่ชีวิตหลายครั้ง นึกสงสารตัวว่าเกิดมาเป็นคนอาภัพ บุญวาสนาน้อย ทรัพย์สินเงินทองก็ไม่บริบูรณ์เหมือนท่านแต่ก่อน ทำการโดยสุจริตเห็นแก่แผ่นดินแต่ละที แทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่เป็นความดีที่เทพยดาคุ้มครองรักษา บังเอิญให้รอดตัวมาได้ คิดจะแสวงหาความดีใส่ตัวไว้ให้มาก ไปเบื้องหน้าจะได้ไม่ลำบากเหมือนที่ผ่านมา คิดแล้วไฮ้สุยก็ ลงมือช่วยเหลือชาวบ้าน ถ้าเห็นว่าที่ใดตำบลใดหนทางที่คนเดินไปมายากลำบาก ก็ออกเงินจ้างทำถนนให้คนไปมาสบาย และให้สร้างศาลาเป็นที่หยุดพักแก่คนเดินทาง สร้างบ่อและสระน้ำไว้เป็นที่ให้คนไปมาอาศัยอาบกิน ทำอยู่เป็นเวลานานจนเงินทองหมดไปมากมาย รวมทั้งของ ไฮ้หยง ไฮ้อัน ที่ได้รับมาจากเจ้าเมืองเมื่อครั้งก่อนด้วย

ฝ่าย นางหลีฮูหยิน ภรรยาของหลีซุนเอี๋ยง อยู่มาวันหนึ่งก็บอกกับไฮ้สุย ว่าได้มาอาศัยบ้านท่านปรนนิบัติศพสามีอยู่ก็นาน คุณท่านมีอยู่เป็นอันมาก จะขอลานำศพไปฝังไว้ที่บ้านเก่า กับศพปู่และบิดาของตนให้อยู่ด้วยกัน แต่เงินซึ่งจะใช้ในการฝังศพนั้นยังมีไม่พอ จะขอพึ่งท่านยืมเงินไปใช้สักพันตำลึง

ไฮ้สุยก็ยินดีที่จะให้ เพราะหลีซุนเอี๋ยงเป็นคนซื่อตรงที่รักกันมาก และต้องตายไปก็เพราะตนเป็นต้นเหตุ ทั้งเดี๋ยวนี้ก็ได้เกี่ยวดองกันแล้ว อย่าว่าแต่พันหนึ่งเลยสักสองพันสามพันก็ไม่ขัดข้อง แต่ครั้นไปแจ้งแก่ นางเตียเกงฮวย ภรรยา นางก็บอกว่าเงินไม่มี ด้วยท่านเอาไปสร้างถนนทำสระศาลาเสียหมด ไฮ้สุยจึงเรียกไฮ้หยงไฮ้อันมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี ทั้งสองก็ว่าควรจะไปยืม นางเตียฮองเฮา มาให้เขาพอแก้หน้าไปครั้งหนึ่ง เห็นจะพอได้

แล้วไฮ้หยงไฮ้อันก็พากันไปหา พั่งเปา ขันทีคนสนิทของนางเตียฮองเฮา เล่าเรื่องที่นางหลีฮูหยินมายืมเงินไอ้สุย และไฮ้สุยก็รับปากว่าจะให้ แต่เงินของตนกลับไม่มี ขอให้ช่วยสงเคราะห์ไปกราบทูลฮองเฮาด้วยว่า ไฮ้สุยจะขอรับประทานยืมเงินสักพันตำลึง พั่งเปาก็บอกให้คอยอยู่ก่อนแล้วพั่งเปาก็เข้าไปข้างใน เข้าเฝ้าไทจือและกราบทูลเรื่องที่ไฮ้สุยให้คนสนิทมาขอยืมเงินให้ฟังโดยตลอด ไทจือก็เสด็จไปเฝ้าพระราชมารดา กราบทูลความตามที่พั่งเปาบอกให้ทราบ

นางเตียฮองเฮาจึงว่า

“……..ซึ่งไฮ้กึนกงจะต้องการเงินนั้น อย่าว่าแต่พันตำลึงเลย สักหมื่นสองหมื่นก็ขัดไม่ได้ ต้องให้ ด้วยท่านมีคุณต่อเรามาก แต่ในขณะนี้ก็ขัดสน ไม่มีจะทำอย่างไรดี เงินเดือนที่โปรดพระราชทานก็พอใช้ ไม่เหลือเลย จะเอาที่ไหนให้……..”

ไทจือก็ว่ายังไม่มีก็ยืมเอาเงินในพระคลังให้ไปก่อน เมื่อหาได้จึงค่อยผ่อนใช้ไป นางเตียฮองเฮาก็ว่า

“……..เจ้าคิดนี้ก็ดี แต่การที่จะยืมเงินหลวงใช้ จะไปเอามาได้ง่ายเมื่อไร ต้องกราบทูลเสียก่อน มารดาเกรงว่าจะมีความผิด เป็นคบคนข้างนอก เอาเงินออกจากท้องพระคลัง ทำอย่างไรดี จึงจะได้เงินให้ไฮ้กึนกง……”

พั่งเปาได้ฟังอยู่ ก็รู้ว่าเงินของนางเตียฮองเฮากับไทจือเห็นจะไม่มีแน่ ต้องแก้ไขหาเงินพันหนึ่งให้จงได้ จึงกราบทูลไทจือว่าพระองค์อย่าทรงพระวิตก มีทางที่จะหาเงินได้แล้ว ไทจือถามว่าคิดอย่างไร พั่งเปาก็กราบทูลความคิดของตนให้ทราบทุกประการ แล้วพั่งเปาก็ออกมาบอกไฮ้หยงไฮ้อันว่าขอผัดอีกสี่ห้าวัน จะให้คนไปบอกให้มาเอาเงิน ทั้งสองนายก็กลับมาบอกไฮ้สุยให้คลายวิตก

พั่งเปานั้นรู้ดีว่า แต่ก่อนเมื่อ เงียมซง ยังเป็นคนโปรดของฮ่องเต้อยู่นั้น ขุนนางผู้ใดมีธุระราชการสิ่งใดเกี่ยวข้อง จะเข้าไปหาเงียมซง จะต้องเสียเงินค่าผ่านประตูให้แก่ เงียมยี่บ่าวของเงียมซงทุกคน มากบ้างน้อยบ้างตามแต่ธุระ จึงจะเข้าไปหาเงียมซงได้ เงินนั้นเงียมยี่ก็เอาไปให้เงียมซง แล้วก็แบ่งกันเอง บัดนี้เงียมซงเพิ่งจะพ้นโทษ และไทจือกำลังเป็นที่โปรดปราน ผู้ใดสนิทสนมกับไทจือ ฮ่องเต้ก็พลอยโปรดปรานด้วย เงียมซงจึงต้องขอเข้าเฝ้าไทจือเพื่อฝากตัวไว้เมื่อถึงเวลานั้น เงียมยี่มาติดต่อกับพั่งเปาเพื่อให้เงียมซงเข้าเฝ้า พั่งเปาก็เรียกเอาเงินพันตำลึง เช่นเดียวกับที่เงียมยี่เคยเรียกจากขุนนางผู้อื่น เงียมซงก็ไม่อาจขัดได้ พั่งเปาจึงได้เงินพันตำลึงตามที่ต้องการ เมื่อกราบทูลให้ไทจือทราบพระองค์ก็ตรัสว่า อย่าให้มีความนินทามาถึงเรา พั่งเปาก็กราบทูลว่าเรียกเอาแต่เงียมซงคนเดียว พอให้รู้สำนึกตัวไว้

ฝ่ายไฮ้สุยเมื่อได้เงินจากพั่งเปาแล้ว ก็ให้แก่นางหลีฮูหยินไป ครั้นถึงวันกำหนดนางหลีฮูหยินกับหลีซิวอิ๋มผู้บุตร และนางไฮ้กิมโกบุตรสะใภ้ ก็คำนับลาไฮ้สุยพาศพหลีซิวเอี๋ยงไปจนถึงบ้านเดิมก็ทำการฝังศพและตั้งทำมาหากินอยู่ ณ ตำบลนั้น

อยู่มาวันหนึ่งเงียมซงก็เชิญ เตียจีเป๊ก เตียบุนหอ มาปรึกษากันว่า ไฮ้สุยผู้นี้ถึงจะเป็นขุนนางผู้น้อยก็จริง แต่กราบทูลข้อความสิ่งใดแล้ว พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ มักเชื่อฟัง ข้างในก็มีนางเตียฮองเฮาและไทจือเป็นกำลัง ต้องคิดอ่านหาราชการสิ่งใดในหัวเมืองไกล แล้วกราบทูลให้ไฮ้สุยออกไปจากเมืองหลวง จึงจะดีไม่เป็นที่กีดขวาง ถ้าไฮ้สุยอยู่เราจะทำอะไรก็ยาก ในทุกวันนี้ขันทีซึ่งเป็นที่โปรดปรานก็ตายไปสองคนแล้ว เหลืออยู่แต่ เฮงสุน อายุก็ไล่เรี่ยกับ เงียมซือพวน บุตรของเงียมซง ถ้าคิดอ่านให้ไปประจบประแจงรู้จักผูกไมตรีกันแล้วก็จะดี ด้วยเขาเป็นคนอยู่ข้างใน มีธุระสิ่งใดจะได้ให้เขาช่วยกราบทูล ตั้งแต่นั้นมาเงียมซือพวนมีข้าวของเงินทองก็เอาไปให้เฮงสุนเนือง ๆ จนรักใคร่นับถือกันเหมือนพี่น้อง วันหนึ่งเฮงสุนจึงว่าถ้ามีธุระสิ่งใดในพระราชวังข้างในแล้ว จงบอกเถิดอย่าได้เกรงใจ

ครั้นอยู่มาหัวเมืองที่เขตแดนใกล้เคียงกับเมืองเกาจือก๊ก มีหมายบอกเข้ามาว่าเมืองเกาจือก๊กเตรียมทหารจะยกมาตีหัวเมืองขึ้นปลายแดน เงียมซงก็ห้ามพนักงานรับใบบอกไม่ให้นำขึ้นกราบทูลฮ่องเต้ จนกระทั่งเจ้าเมืองเกาจือก๊กให้นายทหารคุมพลสิบหมื่น ยกเข้ามาตีเมืองน่ำจิวกุ๋น เจ้าเมืองน่ำจิวกุ๋นก็ขอกำลังจากเมืองจอไซแซมาช่วย เจ้าเมืองจอไซแซจัดทหาร ห้าพันไปช่วยเมืองน่ำจิวกุ่นแล้ว ก็มีใบบอกมายังเมืองหลวง

เงียมซงก็พาเจ้าพนักงานนำใบบอกเข้าไปกราบทูล พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ ก็ทรงพระวิตก จึงตรัสปรึกษาเงียมซงว่า กองทัพเมืองเกาจือก๊กเห็นทีจะหนักแน่นอยู่ จะให้ผู้ใดเป็น แม่ทัพยกออกไปดี เงียมซงเห็นได้ทีจึงกราบทูลว่า

“………การศึกครั้งนี้จะให้ผู้อื่นเป็นแม่ทัพออกไป กลัวจะไม่ได้ราชการ เห็นแต่ ไฮ้สุยคนเดียว ด้วยไฮ้สุยประกอบด้วยสติปัญญา ใจกล้าหาญมั่นคง เมื่อเป็นที่เอ๋ซุนอ้านออกไปครั้งนั้น เจ้าเมืองกรมการนิยมนับถือกลัวเกรงเป็นอันมาก ถ้าเป็นแม่ทัพออกไป จะบังคับการสิ่งใดก็คงสิทธิ์ขาด……..”

ฮ่องเต้ได้ฟังก็เห็นด้วย จึงรับสั่งให้หาไอ้สุยเข้ามาและตรัสว่า บัดนี้เมืองเกาจือก๊ก เป็นขบถ ยกกองทัพมาตีเมืองน่ำจิวกุ๋น จะให้ท่านเป็นแม่ทัพออกไปปราบข้าศึก และรับสั่งให้พนักงานเกณฑ์ทหารห้าหมื่น พร้อมด้วยเครื่องศัตราวุธเสบียงอาหาร กับพระราชทานกระบี่อาญาสิทธิ์ ให้ไปเกณฑ์ทหารหัวเมืองรายทางเข้าในกองทัพ ตามแต่จะเห็นควร

ไฮ้สุยก็รับกระบี่อาญาสิทธิ์ กราบถวายบังคมลาออกมาจัดการตามรับสั่ง ครั้นได้ฤกษ์ก็ยกกองทัพออกจากเมืองหลวง ถึงหัวเมืองรายทางน้อยใหญ่ก็เกณฑ์ทหาร ได้รวมกันเป็นยี่สิบหมื่น ยกไปเมืองน่ำจิวกุ๋น

เงียมซงเห็นไฮ้สุยยกไปแล้วก็ดีใจเป็นอันมาก ให้คนไปเชิญเตียจีเป๊กกับเตียบุนหอ มาเลี้ยงโต๊ะและสุรากันที่บ้านเป็นที่สบาย แล้วเงียมซงก็ว่า

“…….เรากราบทูลให้ไฮ้สุยเป็นแม่ทัพออกไปครั้งนี้ คงจะเอาตัวไม่รอด ที่ไหนจะรบต้านทานข้าศึกได้ ด้วยตัวถนัดข้างฝ่ายการบุ๋น การบู๊ไม่เข้าใจ เราอยู่ข้างนี้จะได้ช่วยกันคิดอ่านหาอุบายกำจัด นางเตียฮองเฮากับไทจือเสียให้จงได้ จึงจะนอนตาหลับ……..”

ต่อมาอีกไม่นานเงียมซือพวนก็ก่อเหตุ ไปหลอก ยิมควน เด็กหนุ่มที่เป็นคู่ขาของเต้งซินอ๋อง พระราชวงศ์ของฮ่องเต้ระดับพระเจ้าอา ซึ่งมีนิสัยชอบสะสมเด็กหนุ่มรูปงามไว้คอยปรนนิบัติในวังหลายคน เอาไปขืนใจตามความใคร่ของตน ยิมควนก็ไปฟ้องเต้งซินอ๋อง ทำให้เต้งซินอ๋องโกรธมาก จึงยกพวกไปจะทำร้ายเงียมซือพวน แต่เงียมซือพวนรู้ตัวก่อนจึงหลบหนีไปได้ เต้งซินอ๋องจึงทำลายข้าวของทุกสิ่งไม่เลือกว่าชั่วดีมีราคา ใครขัดขวางก็ตีดะไปไม่เลือกหน้า จนบ่าวไพร่เจ็บป่วยเป็นอันมาก เมื่อพอใจแล้วจึงพาพวกกลับไป

เงียมซงจึงนำความขึ้นกราบทูลฮ่องเต้ โดยไม่รู้ว่าบุตรของตนได้ก่อเหตุขึ้นก่อนและใส่ความว่า

“………เต้งซินอ๋องไม่ได้ออกไปเป็นใหญ่ ในหัวเมืองเหมือนเจ้าองค์อื่น มีความน้อยใจ ด้วยถือตัวว่าเป็นผู้ใหญ่กว่าเจ้าทั้งหลาย ทุกวันนี้เต้งซินอ่องถ้าเห็นผู้ใดมีฝีมือเข้มแข็ง ก้เกลี้ยกล่อมเอามาไว้ โปรดปรานรักใคร่ให้เงินทอง เห็นทีจะคิดเป็นขบถชิงเอาราชสมบัติ เห็นข้าพเจ้ากับเงียมซือพวนเป็นคนใกล้ชิดพระองค์ เป็นที่กีดขวาง หมายว่าจะทำร้ายเงียมซือพวนกับข้าพเจ้าเสียแล้ว ก็คงจะมาทำร้ายพระองค์………”

พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ยังไม่เชื่อคำพูดของเงียมซง แต่เฮงสุนก็ช่วยกราบทูลซ้ำเติมอีก จึงมีรับสั่งให้หา ทั่งเอง ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายกรมเมือง มาปรึกษาหารือจะลงโทษเต้งซินอ๋อง ทั่งเองก็กราบทูลว่า

“……..ขอพระองค์จงทรงตรึกตรองให้มาก แม้นพระองค์ทำกับเต้งซินอ๋องแล้ว อ๋องอื่น ๆ ก็จะพากันน้อยใจ ซึ่งพระองค์ทรงเห็นว่าเต้งซินอ๋องเป็นขบถนั้น คนทั้งปวงยังไม่เห็นสม เต้งซินอ่องประพฤติการผิดแต่เรื่องอื่น ๆ ที่ข้อขบถนั้นไม่เห็น ………”

ฮ่องเต้ก็มอบให้ตุลาการชำระเรื่อง เต้งซินอ๋องจะเป็นขบถอีก ตุลาการก็ยืนยันว่าไม่มีพิรุธและไม่มีโจทก์ที่จะกล่าวหา จึงชำระไม่ได้ ฮ่องเต้ก็หันกลับมาปรึกษาเงียมซงอีก เงียมซงก็กราบทูลให้จำขังไว้ก่อน ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งว่าเต้งซินอ๋องมีใจกำเริบข่มเหงเงียมซือพวน มีความผิดเป็นข้อใหญ่ มิได้เกรงเราผู้เป็นเจ้าแผ่นดิน ให้เอาตัวไปจำไว้ ณ คุก แต่บุตรภรรยาทรัพย์สินเงินทองผู้คนบ่าวไพร่นั้น อย่าให้มีโทษให้คงอยู่ตามเดิม

##########




Create Date : 02 ตุลาคม 2551
Last Update : 2 ตุลาคม 2551 6:38:23 น. 0 comments
Counter : 473 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.