การจากไปของใครคนหนึ่ง


การจากไปของใครคนหนึ่งถึงเราไม่ได้รู้จักกันอย่างลึกซึ้ง หรือสนิทสนม แต่เราก็ใจหายนะเมื่อช่วงเวลาหนึ่งเคยได้รู้จักและเคยเห็นหน้ากัน

วันนี้ได้รู้ข่าวการเสียชีวิตของเพื่อนในคณะคนหนึ่ง ซึ่งเราก็เคยเห็นหน้า และสัมผัสกับตัวตนของเขาในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ถึงจะไม่ได้เป็นเพื่อนสนิท ไม่ได้เรียนเอกเดียวกัน ก็รู้สึกถึงความเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี มีความสนุกสนาน เขาเป็นคนที่ทำให้เพื่อนๆ มีรอยยิ้มได้เสมอ

ตอนรับน้อง ตอนขึ้นซ่อม(รับน้องบนดาดฟ้าคณะหนึ่งเดือน)ช่วงปีหนึ่ง เขาจะมีอะไรตลกๆ สร้างเสียงหัวเราะให้กับรุ่นพี่และเพื่อนๆ เสมอ เป็นคนที่อัธยาศัยดี และอารมณ์ดีมากๆ มากเสียจน วันนี้หลายๆ คนกังขาว่าทำไมคนที่เคยสร้างเสียงหัวเราะให้เพื่อนๆ ถึงจากไปอย่างกะทันหัน ไม่มีการบอกลา หรือให้ทำใจไว้ล่วงหน้า

เราชอบคอมเม้นต์ของรุ่นพี่คนหนึ่งที่บอกว่าทำไมเวลาเราเจอกัน เราไม่ค่อยถามกันว่าเป็นไงบ้าง อยากระบายอะไรไหม เรามัวเก็บแต่ความสนุกที่เขาคนนั้นมอบให้ โดยที่เราไม่รู้เลยว่าบางทีนั่นอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เจอเขา หรือบางครั้งการที่เราคุยกันแล้วเพื่อนอยากเจอ แต่เราไม่ได้ไป ไปไม่ได้ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามแต่ เราอาจจะไม่รู้เลยว่าเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีก

เราว่ามันก็จริงนะ คนเราไม่ค่อยได้พูดประโยคนี้กันสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะถามว่าสบายดีไหม แต่ไม่เคยมีใครถามว่าอยากระบายอะไรไหม จนวันวันนึงเราอาจไม่มีโอกาสได้เจอกัน ไม่ใช่แค่ชั่วคราว แต่อาจจะตลอดไปก็ได้

แต่เราก็ไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเรา สร้างเสียงหัวเราะให้เรา เขาจะมีเรื่องทุกข์ใจอะไร หากเขาไม่พูด

รุ่นพี่คนหนึ่งก็บอกว่าการจากไปของเอ(เพื่อนร่วมคณะเรา) ทำให้เขาอยากโอบกอดทุกคนรอบตัวให้แน่น อยากบอกทุกคนว่า เฮ้ย เราอยู่ตรงนี้ มาคุยกันเหอะ มากอดกัน อยากร้องไห้ไหม อยากพักไหม มาอยู่ข้างๆ กันสิ

คือ จริงๆ นะเราว่าการที่เราได้มีที่ระบาย มีคนรับฟัง หรือแม้แต่การกอด มันจะช่วยให้ดีขึ้น เพราะคนที่แข็งแรง หรือคนที่คอยสร้างเสียงหัวเราะในคนอื่นตลอด มันก็มีช่วงเวลาที่อ่อนแอเหมือนกัน แต่บางคนก็ซ่อนมันไว้เสียลึก ลึกจนไม่มีใครรู้ แต่ถ้าได้มีการโอบกอด การพูดคุย ก็อาจจะช่วยให้เขาได้ระบายเรื่องราวต่างๆ ออกมา

ก็รู้สึกเสียใจ และเสียดายมากๆ หลับให้สบายนะเอ นายไม่ต้องเหนื่อยกับอะไรอีกแล้ว...




Create Date : 16 พฤษภาคม 2559
Last Update : 17 พฤษภาคม 2559 10:52:30 น.
Counter : 968 Pageviews.

2 comment
เมื่อต้องบล็อกเพื่อนคนเดิมอีกครั้ง


เรากับนาย รู้จักกันมานานเท่าไหร่แล้วนะ ตั้งแต่ประถมใช่ไหม เราทะเลาะกันทุกวัน จนเพื่อนๆ บอกว่าถ้าวันไหนคู่นี้ไม่ทะเลาะคงจะแปลกมากๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าเราจะไม่ได้โกรธกันอยู่ดี ในวัยนั้นการทะเลาะกัน การแกล้งกันมันเป็นเรื่องน่าสนุก

เรายังจำได้เลยวันที่เราให้นายช่วยไปซื้อยำไส้กรอกหน้าโรงเรียน แล้วนายก็ให้แม่ค้าใส่น้ำปลามาซะเค็มปี๋ วันนั้นเราก็เคืองนะ แต่ไม่ได้โกรธจริงจัง

เราไม่เคยโกรธนายจริงจังเลย แม้กระทั่งขึ้นชั้นมัธยมแล้ว ถึงเรียนคนละโรงเรียน เราก็ยังคุยติดต่อกันอยู่ แม่บอกว่านายเป็นเพื่อนที่ดี เราก็ว่าอย่างนั้น เพราะตอนคุยโทรศัพท์เมื่อก่อนก็ไม่มีอะไรให้เคืองใจ

มีก็ช่วงหลังๆ ช่วงที่เราเข้ามหา’ลัย แล้วเพื่อนๆ ประถมนัดเจอกัน ไปทำบุญกันเนื่องจากมีเพื่อนคนหนึ่งในห้องเสียชีวิต นับจากวันนั้น เราว่านายก็แปลกๆ เพราะนายจะชอบจับคู่ให้เราคู่กับเพื่อนคนหนึ่งในห้อง ก็บอกตรงๆ ว่าไม่ชอบ เพื่อนคนนั้นเองเขาก็ไม่ได้ชอบเรา แต่เขาไม่รู้หรอกว่ามีคนจับคู่อยู่

นายก็จะชอบแหย่ๆ เรา กวนประสาทเราในเรื่องนี้เสมอ บางทีก็เบื่อที่จะคุย เพราะรำคาญ แต่นายก็ยังไม่หยุด ยังมีโทรไปหาเพื่อนคนนั้นให้เขาโทรมาหาเรา ซึ่งเราก็ไม่รู้จะคุยอะไร ไม่มีเรื่องจะคุย

ถึงเราจะจบมหา’ลัย ทำงานแล้ว นายก็ยังพูดเรื่องเดิม คือ ก็ไม่รู้จะกวนประสาทไปถึงไหน อยากจะบอกว่าเปลี่ยนๆ คนมั่งก็ได้ นายจะติดใจอะไรเขาคนนั้นนักหนา นายรู้ปะว่าเขาคงคิดว่าเราเป็นทอม เขาถึงเดินกอดคอเราวันที่เราไปทำบุญให้เพื่อน เขาปฏิบัติกับเราเหมือนเป็นเพื่อนผู้ชาย นายก็ยังจับคู่ให้อยู่อีกอะนะ

ก็คาดว่าช่วงนั้นนายคงว่างมาก ถึงโทรมากวนประสาทเราบ่อยๆ ถ้าเป็นเพื่อนคนอื่น เขาคงจะตัดขาดนายไปแล้ว แต่เราก็ยังคุยกัน ทั้งๆ ที่บางครั้งเราก็รำคาญ และโกรธมาก เพราะนายไม่รู้จักเวล่ำเวลา โทรเข้าบ้านเราตอนตีสอง จนบ้านเราต้องถอดสายโทรศัพท์ทิ้งไปช่วงหนึ่ง นายเริ่มไม่น่ารักละ แต่เราก็ยังให้อภัยนาย

ครั้งหนึ่งเราเคยบล็อกเฟซนาย เพราะกลัวว่านายจะแท็กรูปเราไปให้เขาคนนั้น หรือแท็กรูปเขาคนนั้นมาให้เรา และก็มีเรื่องจิปาถะอื่นๆ ที่ทำให้เราบล็อก

แต่เราก็มาปลดบล็อกนายภายหลัง(ก็หลายปีมากๆ กว่าเราจะปลดบล็อก) เพราะนายช่วยเหลือน้องเราไว้เรื่องหนึ่ง ความดีของนายเราก็จดจำเอาไว้นะ แต่อะไรที่บ้าๆ ของนาย เราก็ยังไม่ลืม

เราคิดว่าชีวิตเราต้องกลับมาวนลูปเดิมอีกครั้งแน่นอน คิดว่านายจะต้องกลับมากวนประสาท แต่นายก็เลิกไป เพราะนายคงยุ่ง นายหันไปทุ่มเทกับการเล่นฟิตเนส ออกกำลังกาย ซึ่งก็ดีแล้ว ทำให้เราไม่ต้องระแวงว่าจะมีใครโทรมาป่วน


แต่ความป่วนๆ ของนายก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย นั่นจึงเป็นที่มาทำให้เราบล็อกเฟซนายครั้งที่สองคือครั้งนี้ มันเริ่มต้นมาจากการที่เราโพสต์ปกงานนิยายโรมานซ์ที่เราเขียนเอง คือ เราก็รู้นะว่างานแนวนี้มันก็ไม่ค่อยดีนัก เราเคยคิดจะเลิกก็เพราะคำพูดของนายมาครั้งหนึ่ง แต่ ณ ปัจจุบันเราก็มีเหตุผลที่จะต้องกลับมาเขียน

คำพูดของนาย คอมเม้นต์ของนายก็ยังทิ่มแทงเราเหมือนเคย จนเรารู้สึกว่าตัดๆ ออกไปบ้างดีกว่า เพราะเวลาที่เราเขียนงานประเภทอื่นแล้วได้รางวัลนายก็ไม่เคยมาชื่นชม หรือเขียนกลอนลงเฟซ นายก็ไม่เคยมาคอมเม้นต์

ก็อยากจะบอกนายว่า นายไม่จำเป็นต้องเดินข้างเราก็ได้ แต่นายอย่าปาก้อนหินใส่เราก็พอ เพราะเราก็เจ็บกับอะไรมาเยอะละ

เราเหนื่อย เราเลยต้องขออนุญาตบล็อกนายอีกครั้ง...




Create Date : 15 พฤษภาคม 2559
Last Update : 15 พฤษภาคม 2559 17:43:21 น.
Counter : 1145 Pageviews.

5 comment
‘ขอโทษที่รักเธอ’ ละครที่ไม่จบตามขนบแบบไทย ((สปอยอย่างแรง))


วันนี้ (วันพุธที่ 11 พฤษภา) ได้ดูละครขอโทษที่รักเธอตอนจบ ก็เรียกได้ว่าลุ้นไปกับละคร เพราะเราไม่เคยดูเวอร์ชั่นของเกาหลี ไม่รู้หรอกว่าเขาจบแบบไหน ก็คิดว่าคงจะจบแฮปปี้เอนดิ้ง แต่... แต่... แต่... มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นน่ะสิ

พอดูละครจบถึงกับร้องในใจ “เฮ้ย! จบอย่างนี้จริงดิ” “จบดื้อๆ อย่างนี้เลยเนี่ยนะ” “จะบ้าไปแล้ว” ไม่เคยดูละครไทยเรื่องไหนที่จบอย่างนี้ พระเอกตาย และนางเอกก็ฆ่าตัวตายตามหลังจากจมอยู่กับความทุกข์ ความเศร้าหนึ่งปีเต็มๆ

ตอนแรกคิดว่าละครจะหักมุมให้พระเอกไม่ตาย แต่หายตัวไปและไม่บอกนางเอก แต่มันไม่ใช่ คือ ตายจริงๆ อะ แอร๊ยยย ทำร้ายจิตใจกันเกินไป

น้าเรายังบอกจบไม่ดีเลย (วันนี้ที่บ้านดูเรื่องนี้ตอนจบกันทั้งบ้าน) แต่จบแบบนี้ เฮือก! แทบจะอยากตายตาม ถ้าปรับบทได้คงดี ที่ในกระทู้พันทิปบอกว่าเวอร์ชั่นเกาหลีพระเอกขี่มอเตอร์ไซค์แล้วก็ตายไปเลย ส่วนนางเอกตามมาหาแล้วก็มากินยาตายที่สุสานพระเอก ส่วนเวอร์ชั่นไทยพระเอกตายในรถแท็กซี่ และอีกหนึ่งปีให้หลังนางเอกมาที่สมุยที่ที่เธอเจอพระเอกครั้งแรก แล้วก็เดินลงทะเลฆ่าตัวตาย แล้วก็จบไปเลย เออะ...

มันไม่ซึ้งง่า พระเอกต้องมาดิ พระเอกต้องอยู่ (กรีดร้อง) แต่ก็นี่แหละมันก็สะท้อนว่าชีวิตคนเรามันก็ไม่ได้จบแฮปปี้เอนดิ้งไปซะทุกคน แล้วก็อย่างที่ตัวละครในเรื่องบอก “ความรักทำให้คนเป็นทุกข์”

มันก็จริงนะ เพราะความรักมันไม่ได้นำพาความสุขมาให้เราอย่างเดียว มันนำพาความทุกข์มาให้เราด้วย ถ้าเรายึดติดกับความรักมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น หากว่ามันไม่เป็นไปตามที่เราหวัง

ถ้านางเอกในเรื่องนี้ไม่ยึดติดกับความรัก เธอก็คงจะไม่ตาย อนาคตข้างหน้าเธออาจจะได้เจอผู้ชายที่ดีกว่ากันตะก็ได้ แต่อย่างว่าความรักมันก็เป็นเรื่องที่พูดยากนะ

เมื่อก่อนตอนที่เคยเป็นศิราณี(ที่ปรึกษาปัญหาหัวใจให้เพื่อน)ก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก เพราะไม่เคยมีแฟน ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงลืมคนที่เขาทิ้งเราไปไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนถึงร้องไห้ ไม่เข้าใจว่าทำไมกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นอาทิตย์ แต่พอมีความรักและอกหักก็ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ อ้อ! มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ฉันเข้าใจละว่าทำไมมันถึงลืมยาก

นางเอกของเรื่องก็คงลืมยากเนอะ แต่การฆ่าตัวตายตามพระเอกมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี มันไม่ใช่ทางออกของปัญหา เมื่อวันใดวันหนึ่งที่ต้องจากลาไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม สิ่งที่ควรจะมีเอาไว้มากๆ ก็คือสติ สติเท่านั้นที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากปัญหาที่เจอ

เวลามีความรักก็ต้องใช้สติ เวลาเลิกหรือจากกันก็ต้องใช้สติด้วย เชื่อเถอะว่าไม่มีใครตายเพราะขาดคนรักหรอก เมื่อก่อนไม่มีเขา เรายังอยู่ได้ ในวันหนึ่งที่เขาจากเราไป เราก็ต้องอยู่ให้ได้เช่นกัน...


เครดิตรูปภาพ : เฟซบุ๊กช่องวัน



Create Date : 12 พฤษภาคม 2559
Last Update : 13 พฤษภาคม 2559 21:14:56 น.
Counter : 1387 Pageviews.

6 comment
ต้นฉบับเดิม ที่เพิ่มเติมคือบ.ก.ใหม่ไฟแรงเฟร่อ


หลังจากที่ได้ปรับแก้ต้นฉบับนิยายแนวสยองขวัญกับบ.ก.คนหนึ่งไปแล้ว (หมายถึงปวดหัวไปรอบหนึ่งแล้ว) พอรู้ว่าเขาจะเอางานของเราให้บ.ก.อีกคนหนึ่งช่วยดู เราก็ หะ?! ขึ้นมาในใจ เพราะนั่นหมายความว่าเราอาจจะต้องเริ่มใหม่หมด เนื่องจากบ.ก.แต่ละคนก็จะมีแนวทาง มีการใช้สำนวนที่แตกต่าง เราเคยส่งงานกับหลายสำนักพิมพ์ ก็จะรู้ว่าแต่ละที่ก็จะไม่เหมือนกัน

บ.ก.บางคนไม่ชอบบรรยายเยอะ บ.ก.บางคนก็อยากจะให้ใส่รายละเอียดในทุกๆ อย่าง มันก็ต่างๆ กันไป ดังนั้น เมื่อรู้ว่าจะต้องมาเจอกับบ.ก.ใหม่ ความรู้สึกแรกที่มีขึ้นเลยคือความกลัว เพราะบ.ก.คนเก่าค่อนข้างจะใจดี รู้สึกว่าคุยกันง่าย (แต่ก็แก้เยอะนะ) ก็ไม่รู้ว่าบ.ก.คนใหม่นี้จะเป็นอย่างไร

ก็หลังจากที่บ.ก.คนเก่าได้ส่งงานที่เราเขียนจบและแก้ไปรอบหนึ่งแล้วให้บ.ก.คนใหม่ได้ดู ก็ได้รับคอมเม้นต์มาพอสมควร จากที่อ่านๆ ดูเหมือนๆ ว่าจะต้องเขียนใหม่เลย

ความรู้สึกในตอนนั้นคือ เฮ้ย! จะไหวไหม ถามตัวเอง แต่ในใจก็คิดว่าเออ ไม่เป็นไร จะออกช้าก็ช่าง เราก็ค่อยๆ ทำไปแล้วกัน ก็ได้แชทคุยกับบ.ก.คนเก่าว่า “ถ้าจะต้องเขียนใหม่ พี่ส่งปีหน้านะ” คือ เราจะค่อยๆ เขียนใหม่ไง จะพยายามทำให้ดีที่สุด จนกว่าจะไม่ไหวแล้วจริงๆ แต่เขาก็บอกว่า “พี่ไม่ต้องเขียนใหม่ พี่แค่ปรับบางจุดที่เขาแนะนำมาก็พอ ยังไงมันก็เป็นงานเขียนของพี่นะ” เราก็เออค่อยโล่งใจไปหน่อย แต่ก็ยังไม่คลายวิตกเสียทีเดียว

คือมันเครียดอารมณ์เหมือนทำทีสิสก่อนจบยังไงยังงั้น ต้องปรับแก้กันหลายรอบ บางครั้งรู้สึกท้อ แต่เราก็มีคติในใจที่ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็รับได้หมด เพราะแม่สอนเสมอให้รักษาใจเราไว้ อะไรจะเสียก็เสียไป แต่อย่าให้ใจเราเสีย ดังนั้น เราก็จะเผื่อใจเอาไว้ว่าถ้าหากต้นฉบับเรื่องนี้ปรับแก้แล้ว พยายามแล้ว แต่ไม่ได้ตีพิมพ์ เราก็จะไม่เสียใจนะ

เราก็ค่อยๆ ทำไป โดยเริ่มจากส่งตัวละครที่ปรับใหม่ให้บ.ก.คนใหม่ได้ดู โดยผ่านบ.ก.คนเก่า คือ ตอนนั้นยังไม่รู้นะว่าใครเป็นบ.ก.คนใหม่ของเรา เพราะส่งงานรับงานกันผ่านบ.ก.คนเก่า จนเมื่อวันอังคาร บ.ก.คนเก่าบอกว่าบ.ก.คนใหม่เขาจะขอแอดเฟซมานะเพื่อจะคุยงานด้วย ตอนนั้นถึงได้รู้เขาเป็นใคร

ตอนแรกก็เรียกเขาว่าน้อง เพราะนักเขียนและบ.ก.ของสำนักพิมพ์นี้จะอายุน้อยกว่าเรา ก็คิดว่าคงไม่มีใครแก่ไปกว่าเราแล้วล่ะ ปรากฏว่าเขาก็ตอบกลับมาว่า “ยินดีที่ได้รู้จัก แต่เกรงว่าจะไม่ใช่น้องแล้วล่ะ” พอสอบถามเรื่องอายุ ถึงได้รู้ว่าเขาอายุมากกว่าเรา 7 ปี ตอนแรกก็กลัวๆ เกรงๆ อยู่นะ แต่จากที่ได้คุยก็สัมผัสได้ถึงความสบายๆ เป็นกันเอง ก็ไม่ต่างจากบ.ก.คนเก่า แต่ว่าคนนี้จะไฟแรงเฟร่อสักหน่อย คือ รู้สึกได้ถึงความกระตือรือร้น ทำให้เราต้องกระตือรือร้นตาม ตอนอยู่กับบ.ก.คนเก่า บางทีเราก็อีเรื่อยเฉื่อยแฉะ ถ้าเราหายไปนานๆ ยังไม่ส่งงานต่อ เขาก็จะทักแชทมา แต่บ.ก.คนใหม่นี้เหมือนว่าจะทักแชททุกวัน นี่ก็คุยกันมาได้สองวันละ รู้สึกได้รับพลังงาน และทำให้เรากระตือรือร้นมากขึ้น

เดี๋ยวพรุ่งนี้(วันพฤหัส)จะส่งทรีตเม้นต์ให้เขา ก็บอกเขาว่าจะเขียนให้ได้ครบจบหมดทุกตอน เขาก็ถามกลับ “ไหนบอกว่าเป็นคนเขียนช้าไง” เราก็บอก “จริงๆ เป็นคนเขียนช้าค่ะ แต่จะพยายาม (หนูจะพยายามเพื่อพี่ค่ะ)” ในวงเล็บพูดเองในใจ เพราะบางทีเราเห็นคนทุ่มเทกับงาน เราก็อยากทุ่มเทตาม

ก็ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเขียนเสร็จทันไหม แต่ก็จะพยายามนะ ^^



Create Date : 28 เมษายน 2559
Last Update : 28 เมษายน 2559 2:32:59 น.
Counter : 920 Pageviews.

9 comment
เที่ยวเชียงใหม่ เชียงราย


สำหรับบันทึกนี้ก็มาเลทไปมากมาย เพราะไปเที่ยวตั้งแต่วันจันทร์ที่ 28 มีนา และกลับเอาวันเสาร์ที่ 2 เมษา ตอนดึกๆ แต่ยังไม่ได้ลงรูปลงเรื่องราวอะไร นอกจากบันทึกเรื่องการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งก็เกี่ยวเนื่องกับการไปเที่ยวในครั้งนี้

โดยการไปเที่ยวในครั้งนี้มันมีจุดเริ่มมาจากการที่น้องสะใภ้จะต้องไปเป็นพิธีกรในงานงานหนึ่งที่เชียงใหม่ เขาก็เลยคิดว่าไหนๆ จะไปเชียงใหม่แล้วก็ไปเที่ยวยาวๆ ด้วยเสียเลย เพราะน้องสะใภ้เขาก็ทำงานอิสระ เขาก็ไปเที่ยวยาวๆ ได้ ไม่ต้องลางาน ส่วนตัวเราเองก็ทำงานอิสระ แม่เราก็เลยชวน เพราะเราเองก็ไม่ค่อยได้ไปไหนกับครอบครัวพ่อแม่นักในช่วงหลังๆ ช่วง 2 – 3 ปีมานี้ หลังจากที่พ่อกับแม่ย้ายไปอยู่บ้านใหม่ แต่เรากับยายและน้ายังอยู่บ้านเดิม (เหตุที่เราไม่ได้ย้ายไปอยู่บ้านใหม่ เพราะไม่สะดวก เนื่องจากการเดินทางที่ไม่มีรถไฟฟ้าผ่าน มีรถเมล์น้อยสาย อีกประการคือเรื่องของอาหารการกิน ร้านค้า ตลาดสด ร้ายขายอาหารจะไม่ค่อยมีนัก) เรากับยายกับน้าก็เลยอยู่กันที่บ้านเดิม อยู่กัน 3 คนในบ้าน แต่ก็มีบ้านญาติๆ อยู่ด้านหลัง มีอะไรก็ยังพอช่วยๆ กันได้

เราก็เลยไม่ได้ไปเที่ยวกับพ่อแม่ เพราะบ้านใหม่กับบ้านหลังเดิมมันอยู่ก็ไกลกัน อีกประการก็คือ ตัวเราเองก็ต้องช่วยน้าดูแลยาย ตอนนี้ยายก็ไปเที่ยวไหนไกลๆ ไม่ค่อยได้แล้ว เพราะนั่งรถนานๆ ไม่ได้ ขาจะบวม และประการสำคัญก็คือ จะคุมเรื่องอาหาร คุมน้ำไม่ได้ มันจะเสี่ยงภาวะน้ำท่วมปอด ก็ต้องเพิ่มยาขับปัสสาวะ ซึ่งมีผลต่อค่าไต

ถ้าไปได้ก็ไปแบบใกล้ๆ อย่างแม่กลองซึ่งเป็นบ้านเก่าของคุณตา ซึ่งปัจจุบันได้ทำเป็นโฮมสเตย์ให้ญาติๆ ดูแลอยู่ การเดินทางไปเชียงใหม่ เชียงรายในครั้งนี้น้ากับยายก็เลยไม่ได้ไป ส่วนพ่อเราก็ไม่ได้ไปนะ เพราะต้องทำงาน เราก็เลยไปกับแม่ น้องชาย น้องสะใภ้ และหลาน โดยนั่งเครื่องบินกันไป แล้วน้องสะใภ้ก็ไปเช่ารถขับเมื่อถึงสนามบินเชียงใหม่

เราก็ไปพักกันที่โรงแรมคุ้มภูคำ รูปภาพนี้ก็ถ่ายจากด้านในห้อง น้องสะใภ้ให้ถ่าย (จริงๆ เป็นคนไม่ชอบถูกถ่ายรูปนะ เวลาถ่ายรูปจะไม่ค่อยมั่นใจตัวเอง แต่บางครั้งเราก็เลี่ยงไม่ได้)

images by free.in.th

สำหรับการไปเที่ยวในที่แรกก็คือ เชียงใหม่ ไนท์ซาฟารี ก็ได้ไปดูการแสดงและชมสัตว์ ภาพถ่ายนี้ก็ถ่ายจากกล้องมือถือ ถ่ายโดยรอบๆ (คนที่อยู่ในภาพนี้เป็นคนที่มาชมนะ คือ ไม่ได้เป็นญาติ แต่เราถ่ายเก็บบรรยากาศ)

images by free.in.th

images by free.in.th

ส่วนวันต่อมา วันอังคารที่ 29 เราได้ไปที่ม่อนแจ่มกัน ก็ไปทานอาหารกลางวันกันที่นั่น อยากบอกว่าอาหารที่นั่นอร่อยมาก ถ้ามีโอกาสได้ไป ก็ลองไปทานกันดูนะคะ (ที่นั่นจะมีร้านอาหารอยู่ร้านเดียว แต่อร่อย)

images by free.in.th

images by free.in.th

images by free.in.th

images by free.in.th

ที่เห็นอยู่ในกระจาดนี่คือ เคพกูสเบอร์รี่

สำหรับประโยชน์ของเคพกูสเบอร์รี่ สามารถอ่านได้จากลิงค์นี้ค่ะ //www.lovefitt.com/diet-menu/cape-gooseberry (Cr. Google)



ตามด้วยการไปไร่สตรอว์เบอร์รี

images by free.in.th

images by free.in.th

ส่วนวันพุธที่ 30 เราไปวัดพระธาตุดอยคำกันช่วงเย็นๆ เพราะช่วงเช้าน้องสะใภ้ต้องไปทำหน้าที่เป็นพิธีกรในงานงานหนึ่ง ช่วงนั้นเรากับแม่ก็อยู่ช่วยกันเลี้ยงหลานในโรงแรม ส่วนน้องชายก็ไปเป็นเพื่อนภรรยาเขา

images by free.in.th

พอถึงวันพฤหัสที่ 31 เราก็ออกเดินทางกันไปเชียงราย วันนั้นก็ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน เพราะไปถึงก็เข้าที่พักเลย โดยเราพักกันที่ม่อนแมนรีสอร์ท วันศุกร์ที่ 1 เราก็ไปสามเหลี่ยมทองคำกัน ก่อนที่จะไปถนนคนเดินที่เชียงราย ไปหาอะไรกินกันตอนเย็นแล้วก็ไปชมหอนาฬิกาก่อนที่จะกลับที่พัก

images by free.in.th

images by free.in.th

images by free.in.th

วันเสาร์ที่ 2 เราก็เก็บของเตรียมตัวเดินทางกลับ เราไปซื้อของฝากกัน ก่อนที่จะไปวัดร่องขุ่นในช่วงเย็น แล้วก็ไปขึ้นเครื่องเพื่อกลับบ้านในช่วงสามทุ่ม

images by free.in.th

images by free.in.th

images by free.in.th

images by free.in.th

images by free.in.th

สำหรับทริปนี้มันก็มีอะไรที่เหนือความคาดหมายของเรานะ เพราะเราได้มีโอกาสเจอนิว ชัยพลด้วย คือ จริงๆ รู้แต่แรกแล้วว่าเขามาเที่ยวเชียงใหม่ เห็นจากไอจี แต่คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้เจอกันหรอก เพราะเชียงใหม่ก็ออกกว้าง อีกประการครอบครัวเราก็คงไม่ได้ไปเที่ยวไหนมากนัก เนื่องจากมีเด็กเล็ก กว่าจะเสร็จอะไรต่างๆ กว่าจะได้ออกเดินทางไปเที่ยวในแต่ละวัน ก็เกือบจะเที่ยงแล้ว วันวันนึงเที่ยวอย่างมากก็แค่สองที่

แต่สำหรับนิว ชัยพล เราได้มีโอกาสเจอเขาที่โรงแรม เขากำลังนั่งสนทนากับพระรูปหนึ่งที่ชั้นล่าง เราน่ะเห็นแล้วแหละ ก็ตั้งใจที่จะไม่กวนเขา ก็จะเดินขึ้นห้อง แต่น้องสะใภ้เขาบอกว่านั่นดาราที่พี่แตงชอบหนิ ซึ่งช่วงขณะนั้นพระท่านก็ลุกพอดี และนิวก็กำลังจะเดินไปส่งท่าน ก็มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่กับนิวด้วยเขาก็เห็นครอบครัวเรา เขาคงได้ยิน เขาก็ถามประมาณว่าจะถ่ายรูปไหมคะ เพราะน้องสะใภ้เราเขาก็เหมือนอยากถ่าย แต่สำหรับเราเราเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบถ่ายรูป เราก็จะเฉยๆ (เราเคยเจอนิว ชัยพลมาแล้ว เคยขอลายเซ็น ไม่เคยขอถ่ายรูป)

ผู้หญิงคนนั้นเขาก็ไปตามน้องนิวมาให้ ก็มาถ่ายรูปรวมเป็นแบบครอบครัว เราก็ขอบคุณน้องนิว ก็บอกน้องว่าเคยเจอกันแล้ว คิดว่าน้องน่าจะจำได้(มั้ง) แล้วก็ขอบคุณผู้หญิงคนนั้นซึ่งเราคิดว่าเป็นแม่เขา แต่ปรากฏว่าความจริงแล้วไม่ใช่ น้องสะใภ้บอกว่าเป็นคนที่นับถือพระอาจารย์รูปเดียวกัน ก็เลยเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายเรามากๆ คือ ไม่คิดว่าจะได้เจอ แต่ได้เจอ

ส่วนเรื่องที่เหนือความคาดหมายเรื่องที่สองก็คือมีโอกาสได้เจออาจารย์เฉลิมชัย ที่วัดร่องขุ่น พอดีน้องชายเราเห็นอาจารย์นั่งอยู่ที่หน้าร้านค้าร้านหนึ่งด้านในวัด ก็เลยโทรตามให้ไปถ่ายรูป ก็เลยได้ถ่ายรูปกับคนพิเศษๆ กับครอบครัวจากการที่ไปเที่ยวเชียงใหม่เชียงรายนี้ถึงสองคน (แต่ขออนุญาตไม่ลงรูปนะคะ)

แต่แถมพิเศษ เป็นรูปหลานในระหว่างนั่งรถไปเที่ยวช่วงที่หลับ ขำๆ ดี เลยแอบถ่าย (เรียกว่าหลับคาขวด)

images by free.in.th




Create Date : 13 เมษายน 2559
Last Update : 15 เมษายน 2559 21:38:24 น.
Counter : 1169 Pageviews.

9 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  

comicclubs
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 27 คน [?]



Group Blog
All Blog
  •  Bloggang.com