|
|||
การจากไปของใครคนหนึ่ง
การจากไปของใครคนหนึ่งถึงเราไม่ได้รู้จักกันอย่างลึกซึ้ง หรือสนิทสนม แต่เราก็ใจหายนะเมื่อช่วงเวลาหนึ่งเคยได้รู้จักและเคยเห็นหน้ากัน วันนี้ได้รู้ข่าวการเสียชีวิตของเพื่อนในคณะคนหนึ่ง ซึ่งเราก็เคยเห็นหน้า และสัมผัสกับตัวตนของเขาในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ถึงจะไม่ได้เป็นเพื่อนสนิท ไม่ได้เรียนเอกเดียวกัน ก็รู้สึกถึงความเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี มีความสนุกสนาน เขาเป็นคนที่ทำให้เพื่อนๆ มีรอยยิ้มได้เสมอ ตอนรับน้อง ตอนขึ้นซ่อม(รับน้องบนดาดฟ้าคณะหนึ่งเดือน)ช่วงปีหนึ่ง เขาจะมีอะไรตลกๆ สร้างเสียงหัวเราะให้กับรุ่นพี่และเพื่อนๆ เสมอ เป็นคนที่อัธยาศัยดี และอารมณ์ดีมากๆ มากเสียจน วันนี้หลายๆ คนกังขาว่าทำไมคนที่เคยสร้างเสียงหัวเราะให้เพื่อนๆ ถึงจากไปอย่างกะทันหัน ไม่มีการบอกลา หรือให้ทำใจไว้ล่วงหน้า เราชอบคอมเม้นต์ของรุ่นพี่คนหนึ่งที่บอกว่าทำไมเวลาเราเจอกัน เราไม่ค่อยถามกันว่าเป็นไงบ้าง อยากระบายอะไรไหม เรามัวเก็บแต่ความสนุกที่เขาคนนั้นมอบให้ โดยที่เราไม่รู้เลยว่าบางทีนั่นอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เจอเขา หรือบางครั้งการที่เราคุยกันแล้วเพื่อนอยากเจอ แต่เราไม่ได้ไป ไปไม่ได้ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามแต่ เราอาจจะไม่รู้เลยว่าเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีก เราว่ามันก็จริงนะ คนเราไม่ค่อยได้พูดประโยคนี้กันสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะถามว่าสบายดีไหม แต่ไม่เคยมีใครถามว่าอยากระบายอะไรไหม จนวันวันนึงเราอาจไม่มีโอกาสได้เจอกัน ไม่ใช่แค่ชั่วคราว แต่อาจจะตลอดไปก็ได้ แต่เราก็ไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเรา สร้างเสียงหัวเราะให้เรา เขาจะมีเรื่องทุกข์ใจอะไร หากเขาไม่พูด รุ่นพี่คนหนึ่งก็บอกว่าการจากไปของเอ(เพื่อนร่วมคณะเรา) ทำให้เขาอยากโอบกอดทุกคนรอบตัวให้แน่น อยากบอกทุกคนว่า เฮ้ย เราอยู่ตรงนี้ มาคุยกันเหอะ มากอดกัน อยากร้องไห้ไหม อยากพักไหม มาอยู่ข้างๆ กันสิ คือ จริงๆ นะเราว่าการที่เราได้มีที่ระบาย มีคนรับฟัง หรือแม้แต่การกอด มันจะช่วยให้ดีขึ้น เพราะคนที่แข็งแรง หรือคนที่คอยสร้างเสียงหัวเราะในคนอื่นตลอด มันก็มีช่วงเวลาที่อ่อนแอเหมือนกัน แต่บางคนก็ซ่อนมันไว้เสียลึก ลึกจนไม่มีใครรู้ แต่ถ้าได้มีการโอบกอด การพูดคุย ก็อาจจะช่วยให้เขาได้ระบายเรื่องราวต่างๆ ออกมา ก็รู้สึกเสียใจ และเสียดายมากๆ หลับให้สบายนะเอ นายไม่ต้องเหนื่อยกับอะไรอีกแล้ว... เมื่อต้องบล็อกเพื่อนคนเดิมอีกครั้ง
เรากับนาย รู้จักกันมานานเท่าไหร่แล้วนะ ตั้งแต่ประถมใช่ไหม เราทะเลาะกันทุกวัน จนเพื่อนๆ บอกว่าถ้าวันไหนคู่นี้ไม่ทะเลาะคงจะแปลกมากๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าเราจะไม่ได้โกรธกันอยู่ดี ในวัยนั้นการทะเลาะกัน การแกล้งกันมันเป็นเรื่องน่าสนุก
ขอโทษที่รักเธอ ละครที่ไม่จบตามขนบแบบไทย ((สปอยอย่างแรง))
วันนี้ (วันพุธที่ 11 พฤษภา) ได้ดูละครขอโทษที่รักเธอตอนจบ ก็เรียกได้ว่าลุ้นไปกับละคร เพราะเราไม่เคยดูเวอร์ชั่นของเกาหลี ไม่รู้หรอกว่าเขาจบแบบไหน ก็คิดว่าคงจะจบแฮปปี้เอนดิ้ง แต่... แต่... แต่... มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นน่ะสิ พอดูละครจบถึงกับร้องในใจ เฮ้ย! จบอย่างนี้จริงดิ จบดื้อๆ อย่างนี้เลยเนี่ยนะ จะบ้าไปแล้ว ไม่เคยดูละครไทยเรื่องไหนที่จบอย่างนี้ พระเอกตาย และนางเอกก็ฆ่าตัวตายตามหลังจากจมอยู่กับความทุกข์ ความเศร้าหนึ่งปีเต็มๆ ตอนแรกคิดว่าละครจะหักมุมให้พระเอกไม่ตาย แต่หายตัวไปและไม่บอกนางเอก แต่มันไม่ใช่ คือ ตายจริงๆ อะ แอร๊ยยย ทำร้ายจิตใจกันเกินไป น้าเรายังบอกจบไม่ดีเลย (วันนี้ที่บ้านดูเรื่องนี้ตอนจบกันทั้งบ้าน) แต่จบแบบนี้ เฮือก! แทบจะอยากตายตาม ถ้าปรับบทได้คงดี ที่ในกระทู้พันทิปบอกว่าเวอร์ชั่นเกาหลีพระเอกขี่มอเตอร์ไซค์แล้วก็ตายไปเลย ส่วนนางเอกตามมาหาแล้วก็มากินยาตายที่สุสานพระเอก ส่วนเวอร์ชั่นไทยพระเอกตายในรถแท็กซี่ และอีกหนึ่งปีให้หลังนางเอกมาที่สมุยที่ที่เธอเจอพระเอกครั้งแรก แล้วก็เดินลงทะเลฆ่าตัวตาย แล้วก็จบไปเลย เออะ... มันไม่ซึ้งง่า พระเอกต้องมาดิ พระเอกต้องอยู่ (กรีดร้อง) แต่ก็นี่แหละมันก็สะท้อนว่าชีวิตคนเรามันก็ไม่ได้จบแฮปปี้เอนดิ้งไปซะทุกคน แล้วก็อย่างที่ตัวละครในเรื่องบอก ความรักทำให้คนเป็นทุกข์ มันก็จริงนะ เพราะความรักมันไม่ได้นำพาความสุขมาให้เราอย่างเดียว มันนำพาความทุกข์มาให้เราด้วย ถ้าเรายึดติดกับความรักมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น หากว่ามันไม่เป็นไปตามที่เราหวัง ถ้านางเอกในเรื่องนี้ไม่ยึดติดกับความรัก เธอก็คงจะไม่ตาย อนาคตข้างหน้าเธออาจจะได้เจอผู้ชายที่ดีกว่ากันตะก็ได้ แต่อย่างว่าความรักมันก็เป็นเรื่องที่พูดยากนะ เมื่อก่อนตอนที่เคยเป็นศิราณี(ที่ปรึกษาปัญหาหัวใจให้เพื่อน)ก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก เพราะไม่เคยมีแฟน ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงลืมคนที่เขาทิ้งเราไปไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนถึงร้องไห้ ไม่เข้าใจว่าทำไมกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นอาทิตย์ แต่พอมีความรักและอกหักก็ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ อ้อ! มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ฉันเข้าใจละว่าทำไมมันถึงลืมยาก นางเอกของเรื่องก็คงลืมยากเนอะ แต่การฆ่าตัวตายตามพระเอกมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี มันไม่ใช่ทางออกของปัญหา เมื่อวันใดวันหนึ่งที่ต้องจากลาไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม สิ่งที่ควรจะมีเอาไว้มากๆ ก็คือสติ สติเท่านั้นที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากปัญหาที่เจอ เวลามีความรักก็ต้องใช้สติ เวลาเลิกหรือจากกันก็ต้องใช้สติด้วย เชื่อเถอะว่าไม่มีใครตายเพราะขาดคนรักหรอก เมื่อก่อนไม่มีเขา เรายังอยู่ได้ ในวันหนึ่งที่เขาจากเราไป เราก็ต้องอยู่ให้ได้เช่นกัน...
เครดิตรูปภาพ : เฟซบุ๊กช่องวัน ต้นฉบับเดิม ที่เพิ่มเติมคือบ.ก.ใหม่ไฟแรงเฟร่อ
หลังจากที่ได้ปรับแก้ต้นฉบับนิยายแนวสยองขวัญกับบ.ก.คนหนึ่งไปแล้ว (หมายถึงปวดหัวไปรอบหนึ่งแล้ว) พอรู้ว่าเขาจะเอางานของเราให้บ.ก.อีกคนหนึ่งช่วยดู เราก็ หะ?! ขึ้นมาในใจ เพราะนั่นหมายความว่าเราอาจจะต้องเริ่มใหม่หมด เนื่องจากบ.ก.แต่ละคนก็จะมีแนวทาง มีการใช้สำนวนที่แตกต่าง เราเคยส่งงานกับหลายสำนักพิมพ์ ก็จะรู้ว่าแต่ละที่ก็จะไม่เหมือนกัน บ.ก.บางคนไม่ชอบบรรยายเยอะ บ.ก.บางคนก็อยากจะให้ใส่รายละเอียดในทุกๆ อย่าง มันก็ต่างๆ กันไป ดังนั้น เมื่อรู้ว่าจะต้องมาเจอกับบ.ก.ใหม่ ความรู้สึกแรกที่มีขึ้นเลยคือความกลัว เพราะบ.ก.คนเก่าค่อนข้างจะใจดี รู้สึกว่าคุยกันง่าย (แต่ก็แก้เยอะนะ) ก็ไม่รู้ว่าบ.ก.คนใหม่นี้จะเป็นอย่างไร ก็หลังจากที่บ.ก.คนเก่าได้ส่งงานที่เราเขียนจบและแก้ไปรอบหนึ่งแล้วให้บ.ก.คนใหม่ได้ดู ก็ได้รับคอมเม้นต์มาพอสมควร จากที่อ่านๆ ดูเหมือนๆ ว่าจะต้องเขียนใหม่เลย ความรู้สึกในตอนนั้นคือ เฮ้ย! จะไหวไหม ถามตัวเอง แต่ในใจก็คิดว่าเออ ไม่เป็นไร จะออกช้าก็ช่าง เราก็ค่อยๆ ทำไปแล้วกัน ก็ได้แชทคุยกับบ.ก.คนเก่าว่า ถ้าจะต้องเขียนใหม่ พี่ส่งปีหน้านะ คือ เราจะค่อยๆ เขียนใหม่ไง จะพยายามทำให้ดีที่สุด จนกว่าจะไม่ไหวแล้วจริงๆ แต่เขาก็บอกว่า พี่ไม่ต้องเขียนใหม่ พี่แค่ปรับบางจุดที่เขาแนะนำมาก็พอ ยังไงมันก็เป็นงานเขียนของพี่นะ เราก็เออค่อยโล่งใจไปหน่อย แต่ก็ยังไม่คลายวิตกเสียทีเดียว คือมันเครียดอารมณ์เหมือนทำทีสิสก่อนจบยังไงยังงั้น ต้องปรับแก้กันหลายรอบ บางครั้งรู้สึกท้อ แต่เราก็มีคติในใจที่ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็รับได้หมด เพราะแม่สอนเสมอให้รักษาใจเราไว้ อะไรจะเสียก็เสียไป แต่อย่าให้ใจเราเสีย ดังนั้น เราก็จะเผื่อใจเอาไว้ว่าถ้าหากต้นฉบับเรื่องนี้ปรับแก้แล้ว พยายามแล้ว แต่ไม่ได้ตีพิมพ์ เราก็จะไม่เสียใจนะ เราก็ค่อยๆ ทำไป โดยเริ่มจากส่งตัวละครที่ปรับใหม่ให้บ.ก.คนใหม่ได้ดู โดยผ่านบ.ก.คนเก่า คือ ตอนนั้นยังไม่รู้นะว่าใครเป็นบ.ก.คนใหม่ของเรา เพราะส่งงานรับงานกันผ่านบ.ก.คนเก่า จนเมื่อวันอังคาร บ.ก.คนเก่าบอกว่าบ.ก.คนใหม่เขาจะขอแอดเฟซมานะเพื่อจะคุยงานด้วย ตอนนั้นถึงได้รู้เขาเป็นใคร ตอนแรกก็เรียกเขาว่าน้อง เพราะนักเขียนและบ.ก.ของสำนักพิมพ์นี้จะอายุน้อยกว่าเรา ก็คิดว่าคงไม่มีใครแก่ไปกว่าเราแล้วล่ะ ปรากฏว่าเขาก็ตอบกลับมาว่า ยินดีที่ได้รู้จัก แต่เกรงว่าจะไม่ใช่น้องแล้วล่ะ พอสอบถามเรื่องอายุ ถึงได้รู้ว่าเขาอายุมากกว่าเรา 7 ปี ตอนแรกก็กลัวๆ เกรงๆ อยู่นะ แต่จากที่ได้คุยก็สัมผัสได้ถึงความสบายๆ เป็นกันเอง ก็ไม่ต่างจากบ.ก.คนเก่า แต่ว่าคนนี้จะไฟแรงเฟร่อสักหน่อย คือ รู้สึกได้ถึงความกระตือรือร้น ทำให้เราต้องกระตือรือร้นตาม ตอนอยู่กับบ.ก.คนเก่า บางทีเราก็อีเรื่อยเฉื่อยแฉะ ถ้าเราหายไปนานๆ ยังไม่ส่งงานต่อ เขาก็จะทักแชทมา แต่บ.ก.คนใหม่นี้เหมือนว่าจะทักแชททุกวัน นี่ก็คุยกันมาได้สองวันละ รู้สึกได้รับพลังงาน และทำให้เรากระตือรือร้นมากขึ้น เดี๋ยวพรุ่งนี้(วันพฤหัส)จะส่งทรีตเม้นต์ให้เขา ก็บอกเขาว่าจะเขียนให้ได้ครบจบหมดทุกตอน เขาก็ถามกลับ ไหนบอกว่าเป็นคนเขียนช้าไง เราก็บอก จริงๆ เป็นคนเขียนช้าค่ะ แต่จะพยายาม (หนูจะพยายามเพื่อพี่ค่ะ) ในวงเล็บพูดเองในใจ เพราะบางทีเราเห็นคนทุ่มเทกับงาน เราก็อยากทุ่มเทตาม ก็ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเขียนเสร็จทันไหม แต่ก็จะพยายามนะ ^^ เที่ยวเชียงใหม่ เชียงราย
สำหรับบันทึกนี้ก็มาเลทไปมากมาย เพราะไปเที่ยวตั้งแต่วันจันทร์ที่ 28 มีนา และกลับเอาวันเสาร์ที่ 2 เมษา ตอนดึกๆ แต่ยังไม่ได้ลงรูปลงเรื่องราวอะไร นอกจากบันทึกเรื่องการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งก็เกี่ยวเนื่องกับการไปเที่ยวในครั้งนี้
สำหรับการไปเที่ยวในที่แรกก็คือ เชียงใหม่ ไนท์ซาฟารี ก็ได้ไปดูการแสดงและชมสัตว์ ภาพถ่ายนี้ก็ถ่ายจากกล้องมือถือ ถ่ายโดยรอบๆ (คนที่อยู่ในภาพนี้เป็นคนที่มาชมนะ คือ ไม่ได้เป็นญาติ แต่เราถ่ายเก็บบรรยากาศ)
ส่วนวันต่อมา วันอังคารที่ 29 เราได้ไปที่ม่อนแจ่มกัน ก็ไปทานอาหารกลางวันกันที่นั่น อยากบอกว่าอาหารที่นั่นอร่อยมาก ถ้ามีโอกาสได้ไป ก็ลองไปทานกันดูนะคะ (ที่นั่นจะมีร้านอาหารอยู่ร้านเดียว แต่อร่อย) สำหรับประโยชน์ของเคพกูสเบอร์รี่ สามารถอ่านได้จากลิงค์นี้ค่ะ //www.lovefitt.com/diet-menu/cape-gooseberry (Cr. Google)
ส่วนวันพุธที่ 30 เราไปวัดพระธาตุดอยคำกันช่วงเย็นๆ เพราะช่วงเช้าน้องสะใภ้ต้องไปทำหน้าที่เป็นพิธีกรในงานงานหนึ่ง ช่วงนั้นเรากับแม่ก็อยู่ช่วยกันเลี้ยงหลานในโรงแรม ส่วนน้องชายก็ไปเป็นเพื่อนภรรยาเขา
พอถึงวันพฤหัสที่ 31 เราก็ออกเดินทางกันไปเชียงราย วันนั้นก็ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน เพราะไปถึงก็เข้าที่พักเลย โดยเราพักกันที่ม่อนแมนรีสอร์ท วันศุกร์ที่ 1 เราก็ไปสามเหลี่ยมทองคำกัน ก่อนที่จะไปถนนคนเดินที่เชียงราย ไปหาอะไรกินกันตอนเย็นแล้วก็ไปชมหอนาฬิกาก่อนที่จะกลับที่พัก
วันเสาร์ที่ 2 เราก็เก็บของเตรียมตัวเดินทางกลับ เราไปซื้อของฝากกัน ก่อนที่จะไปวัดร่องขุ่นในช่วงเย็น แล้วก็ไปขึ้นเครื่องเพื่อกลับบ้านในช่วงสามทุ่ม
สำหรับทริปนี้มันก็มีอะไรที่เหนือความคาดหมายของเรานะ เพราะเราได้มีโอกาสเจอนิว ชัยพลด้วย คือ จริงๆ รู้แต่แรกแล้วว่าเขามาเที่ยวเชียงใหม่ เห็นจากไอจี แต่คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้เจอกันหรอก เพราะเชียงใหม่ก็ออกกว้าง อีกประการครอบครัวเราก็คงไม่ได้ไปเที่ยวไหนมากนัก เนื่องจากมีเด็กเล็ก กว่าจะเสร็จอะไรต่างๆ กว่าจะได้ออกเดินทางไปเที่ยวในแต่ละวัน ก็เกือบจะเที่ยงแล้ว วันวันนึงเที่ยวอย่างมากก็แค่สองที่ |
comicclubs
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 27 คน [?] Group Blog
All Blog
Friends Blog
|
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |