คุณคิดว่าคุณเหมือนต้นไม้ ดอกไม้ประเภทไหน


โจทย์ที่ 18 แล้ว เย้เย ใกล้จะถึงเส้นชัยแล้ว และคราวนี้ก็มาถึงโจทย์ที่ว่า “คุณคิดว่าคุณเหมือนต้นไม้ ดอกไม้ประเภทไหน”

ทางคุณผู้อ่านที่ติดตามกันมาตลอดก็อาจจะบอกว่า “ดอกไม้จันทน์ ไหม” เออ นั่นสินะ ถ้างั้นก็เดินเวียนซ้าย วางดอกไม้จันทน์ แล้วก็รับของชำร่วยทางด้านล่าง

เฮ้ย! ยังไม่ตาย



สำหรับเรา เราคิดว่าคงเป็นเหมือนต้นกระบองเพชร และก็คงจะเหมือนดอกของกระบองเพชร ส่วนเหตุผลนั้น ค่อยๆ ติดตามอ่านทางด้านล่างนะ

ที่เราบอกว่าเราเหมือนต้นกระบองเพชร เพราะต้นกระบองเพชรมีหลายสายพันธุ์ เหมือนกับตัวของเราที่มีหลายบุคลิก บางครั้งก็ดูเป็นทางการ เรียบๆ เหมือนอย่าง Astrophytum asterias nudum ที่เรียบๆ ไม่มีจุดเล็กๆ มีแต่ดอทใหญ่ๆ






หรือ บางครั้งเราก็มีความนุ่มๆ สามารถจับต้องได้ อย่างไม่ต้องกลัว อย่าง Mammillaria plumosa (แมมขนนกขาว) 





แต่หลายๆ ครั้ง เราก็มีหนาม เพื่อป้องกันตัวเอง อย่าง Echinocactus grusonii (ถังทอง)






และเรายังตายยาก เลี้ยงง่าย ตายยาก อย่าง Gymnocalycium mihanovichii





มีคนบอกว่าถ้าใครอยากเลี้ยงแคคตัสที่ตายยากๆ ต้องพันธุ์นี้ เราเองก็เลี้ยงไว้ต้นหนึ่ง ซื้อมาจากงานแคคตัส วันวาเลนไทน์ปีที่แล้ว ตอนนี้ก็ยังอยู่


ส่วนที่เราเปรียบตัวเองเป็นดอกแคคตัสก็เพราะ มันมีความสวยงาม ท่ามกลางหนามแหลมๆ เพียงแต่มันอาจจะผลิบานออกมาช้าหน่อย และมันจะอยู่ไม่นาน บางทีวัน สองวัน ถ้าไม่ได้มาดู ก็อดยลแล้วนะ เหมือนกับเราที่นานๆ นานมากๆ จะแต่งหญิงสักที และเราจะแต่งแค่วันเดียว หรืออาจไม่กี่วัน คือ ถ้าคุณไม่มา คุณก็อาจจะไม่ได้เห็น กว่าจะเห็นอีกที ก็อาจจะหลายปีผ่านไป แต่ไม่ต้องรอหรอกนะ

มีใครคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “เลี้ยงแคคตัส เลี้ยงให้สนุก ถ้ามันออกดอกก็ถือเป็นกำไร ไม่ต้องคาดหวัง ไม่ต้องเฝ้ารอ” เราเองก็เฉกเช่นกัน ไม่ต้องเฝ้ารอ ไม่ต้องคาดหวังว่าจะให้เราแต่งหญิง ใส่กระโปรง แต่งแนวหวานๆ ถ้าเราจะแต่ง เดี๋ยวเราแต่งเอง และนั่นก็จะถือว่าเป็นกำไร สำหรับคนที่เฝ้ารอดู





เครดิตรูปภาพ : google.com



Create Date : 25 มกราคม 2560
Last Update : 25 มกราคม 2560 23:26:09 น.
Counter : 2548 Pageviews.

9 comment
อยากป่วย อยากพัก อยากรักหมอ


นี่ไม่ใช่โจทย์ลุย ล่า ท้าเขียนแต่อย่างใด แต่เป็นโจทย์ ลุย ล่า ท้าใจอย่างสุดๆ กรี๊ดดด...

วันนี้ (วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ.2560) เป็นวันที่ฉันได้ไปตรวจสุขภาพประจำปีที่โรงพยาบาล ซึ่งคุณน้าของฉันบอกให้ฉันไปตรวจตั้งแต่ปีที่แล้ว ตั้งแต่ที่ฉันย้ายประกันสังคมมาอยู่โรงพยาบาลกลาง เพราะที่นี่เขาให้สิทธิ์ตรวจสุขภาพได้ปีละหนึ่งครั้ง ซึ่งถ้าเป็นที่อื่นเขาจะไม่ให้

แต่ในปีนี้ประกันสังคมของทุกโรงพยาบาล เขาให้หมดแล้วนะ ใครที่มีประกันสังคมที่โรงพยาบาลไหน ก็สามารถไปรับสิทธิ์ตรวจสุขภาพประจำปีได้ค่ะ

รายละเอียดก็ตามนี้เลย





วันนี้ฉันก็เลยไปตรวจมา ไปตรวจเลือดตามที่เขาให้ตรวจ และก็ตรวจเพิ่มเรื่องเกาต์ เพราะน้าอยากให้ตรวจ น้าเป็นห่วง กลัวว่ากินไก่มากแล้วจะเป็นเกาต์ แต่ความจริงต้องบอกว่าเดี๋ยวนี้ฉันแทบไม่ได้กินไก่เลย น้อยมากที่กินไก่ อาหารกลางวัน อาหารเย็นที่มีเนื้อสัตว์ก็จะเป็นหมู

ที่หลีกเลี่ยงก็คงเป็นเพราะกลัวน้าเป็นห่วง วันไหนกินไก่ติดๆ กัน น้าจะเริ่มเป็นกังวล แต่ถ้าฉันออกไปข้างนอก ฉันก็มีแอบไปกินนะ (จริงๆ ฉันกับยายก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก ถ้ามีโอกาสก็แอบๆ เหมือนกัน) แต่นานๆ ครั้งนะ ฉันออกไปข้างนอกไม่ค่อยบ่อย

วันนี้ก็เลยเสียตังค์ค่าตรวจเกาต์เพิ่มเพื่อให้คนทางบ้านสบายใจ

จริงๆ ก่อนมาก็แอบตื่นเต้นนิดหน่อย เพราะเป็นการตรวจสุขภาพประจำปีที่นี่ครั้งแรก ซึ่งมันห่างจากครั้งล่าสุดมานานมากๆ ฉันไม่ได้ตรวจสุขภาพประจำปีมานานแล้ว นับตั้งแต่ที่ฉันไม่ได้ทำงานที่บริษัท ก็แอบกลัวๆ นิดหน่อย กลัวช่วงที่ต้องเจาะเลือด ทั้งที่ความจริงฉันก็เคยผ่านการเจาะเลือดมาหลายครั้ง

แต่วันนี้เมื่อมาถึง ช่วงที่นั่งรอหมอเรียก เพื่อไปซักถาม ก่อนไปเจาะเลือด ความตื่นเต้นของฉัน กลับกลายไปลงที่หมอ ฉันกลายเป็นตื่นเต้นที่จะได้เจอหมอ

เมื่อหมอเดินผ่านตรงที่ฉันนั่งอยู่ ฉันรู้ได้เลยว่าหมอต้องเข้าห้องเบอร์ 5 เพราะหน้าห้องมีป้ายชื่อเขียนว่า พญ. ส่วนอีกห้อง เบอร์ 4 เป็นนพ.

และในมือของฉันก็มีบัตรคิว เบอร์ 508

หมอต้องเข้าห้องเบอร์ 5 แน่ เพราะหมอเป็นสาว เป็นสาวหล่อ ที่ฉันไม่เคยได้พบมาก่อน ฉันไม่เคยตรวจกับหมอที่เป็นสาวหล่อ และในโรงพยาบาลก็ไม่ค่อยได้เจอ

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ตรวจกับหมอที่เป็นสาวหล่อ แถมยังอายุน้อยกว่าฉัน เขาน่าจะยี่สิบปลายๆ

เมื่อเข้าไปในห้อง ฉันก็รู้สึกเขิน แต่ฉันเก็บอาการเอาไว้ บอกถึงเรื่องที่จะมาตรวจ ซึ่งนอกจากจะตรวจเลือดแล้ว ฉันก็ยังจะตรวจเต้านมด้วย แต่ฉัน... ฉันไม่คิดว่าหมอเขาจะคลำเอง คิดว่าหมอเขาจะส่งต่อไปแผนกอื่น

เมื่อหมอบอกให้ขึ้นเตียง แน่นอนฉันก็เขินหนัก รู้สึกอาย ซึ่งความจริงคนไข้ไม่ควรอายหมอนะ ยิ่งเป็นหมอผู้หญิง ฉันก็ไม่ควรจะอายสิ ขนาดตอนที่ฉันเป็นซีสต์ ตรวจกับหมอผู้ชายฉันยังไม่อายเลย หรืออาจจะเป็นเพราะหมอคนนั้นวัยกลางคนแล้วก็เป็นได้

ฉันบอกตรงๆ ลงจากเตียง ฉันยังไม่หายเขิน พอหมอถามว่าจะตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยไหม ฉันก็รีบ... รีบตอบตกลง เอ๊ย ไม่ใช่ ฉันก็บอกว่าขอไว้ก่อน ตอนนี้ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว แค่หมอบอกให้ถอดเสื้อในห้อง แล้วคลำหน้าอกสองข้าง ฉันก็อายม้วนต้วน

ฉันว่าถ้าฉันอยู่ในห้องนั้นต่อไป หัวใจฉันคงต้องเต้นผิดจังหวะ เพราะมันจะกลายเป็นจังหวะ ‘รัก’

“มาเล่นให้ใจฉันเต้นแบบนี้ ฉันว่าเธอก็มีอาการใช่ไหม ใจมันเต้น มันเต้น เป็นจังหวะรัก แล้วเธอล่ะอะเป็นจังหวะยังไง”

แต่จริงๆ หมอเขาก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก มีแต่คนไข้นี่แหละที่อาการหนัก (เพ้อ)

จากนั้นฉันก็ออกจากห้องเพื่อไปเจาะเลือด เจาะเลือดเสร็จก็ไปเอ็กซเรย์ปอด จากนั้นก็ไปหาอะไรกิน เพราะยังไม่ได้กินอะไรเลย เนื่องจากต้องงดอาหารก่อนมา แล้วก็ขึ้น... ขึ้นไปฟังผลอีกครั้ง

ฉันจะได้พบหมอเป็นรอบที่ 2 รู้สึกดีใจ เหมือนได้ไปเจอคนที่ตัวเองชอบ เมื่อเข้าไปในห้อง หมออ่านผล หมอบอกว่าทุกอย่างปกติ คือ ดี ฉันก็อยากจะบอกหมอว่า หมอก็ดี คือ ดีต่อใจมาก ฉันจะไม่ไหวแล้ววว...

แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องจากกัน “จากกันด้วยเหตุใด เก็บความคิดที่คล้ายกัน กับความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนั้นไว้” (เพ้อ)

เริ่มไร้สาระขึ้นเรื่อยๆ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ แค่ฉันกลับมาบ้าน แล้วเสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับเขาอย่างกับทำรายงานส่งอาจารย์ แล้วฉันก็ได้เจอเฟซบุ๊กของเขา สถานะของเขาคือโสด ฉันก็เลยคอมเมนต์ใต้ภาพที่เปิดเป็นสาธารณะไว้ว่า “มาสมัครเป็นแฟนคลับค่ะ (แอบกรี๊ดคุณหมอเบาๆ) ^^”

แค่นั้นเอง ฉันบอกแล้ว ฉันไม่ได้คิดอะไร ฉันไม่ได้คิดอะไรจริงๆ นะ ว่าแต่ใครเชื่อบ้างเนี่ย...



Create Date : 24 มกราคม 2560
Last Update : 24 มกราคม 2560 19:42:01 น.
Counter : 1153 Pageviews.

10 comment
คุณครูที่คุณไม่เคยลืมในสมัยที่คุณยังเรียนที่...


โจทย์ที่สิบเจ็ด คราวนี้มาถึงโจทย์ของคุณครู ที่ถึงจะเลยวันครูมาแล้ว แต่ก็ยังอยากเขียน (อยากบอกว่า F5 หลายครั้งมาก กว่าจะเจอโจทย์นี้)

จริงๆ มีคุณครูหลายท่านที่อยากจะเขียนถึง แต่ขอเลือกคุณครูสามท่านมาเขียนถึงในหน้านี้ เพราะมีความทรงจำ มีเรื่องราว มีจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราเปลี่ยนตัวเอง ซึ่งเราก็ยังคงจำได้ไม่ลืม



สำหรับคุณครูท่านแรก อาจจะไม่ใช่คุณครูที่ทำให้เราเปลี่ยนแปลง แต่เป็นคุณครูที่อยู่ในความทรงจำ และเชื่อว่าอยู่ในความทรงจำของใครหลายๆ คนด้วยที่สายน้ำทิพย์ เพราะเป็นคุณครูที่ได้ชื่อว่าโหด เด็กป.6 ที่เรียนวิชานี้ล้วนกลัว เวลาที่ตั้งแถวไปเรียนวิชานี้ เชื่อเถอะ ทุกคนหนาวๆ ร้อนๆ กันหมด

คุณครูท่านนี้เป็นคุณครูที่สอนวิชากพอ. สอนในเรื่องของการเย็บผ้า ทำอาหาร และท่านจะมีไม้หนาๆ ไว้สำหรับทำโทษ ถ้าใครเย็บผ้าผิด ท่านก็จะตี

ท่านเป็นคนที่ดุมาก แต่จะใจดี เวลามีกล้องมาถ่าย ซึ่งเรานั้นอยากจะให้มีกล้องมาถ่ายทุกๆ วันเลย เพราะอาจารย์จะใจดีสุดๆ เวลาถามนักเรียน ให้นักเรียนตอบ แทบจะผายมือเชิญ คือ เหมือนเป็นคนละคน อยากจะไปบอกพี่ตากล้องจริงๆ ว่าพี่ช่วยมาทุกสัปดาห์เลยได้ไหม หนูขอ

คุณครูท่านนี้ หรืออาจารย์ท่านนี้ คือ อาจารย์สมพร ปัจจุบันท่านเสียไปแล้ว เสียไปนานแล้วล่ะ แต่ทุกคนยังคงจดจำ

หลายๆ คนมีรอยไม้ประทับเป็นรอยแดงที่ฝ่ามือหลายครั้ง ส่วนเรานั้น มีบ้าง แต่ใช่ว่าเราจะเก่งเรื่องเย็บผ้า เรื่องเย็บผ้า เราทำได้แค่สามอย่าง คือ เนา, ด้นตะลุย และด้นถอยหลัง นอกเหนือจากนั้นจะทำไม่ค่อยได้ ซึ่งงานส่วนใหญ่ จะไม่ค่อยเสร็จในห้องหรอก ยิ่งงานยากๆ ส่วนใหญ่ก็ไปทำต่อที่บ้าน แล้วเอามาส่งสัปดาห์ถัดไป งานยากๆ เราจะให้คุณยายที่เป็นญาติๆ กันช่วยทำให้ อย่างงานทำรังดุม ก็ไม่ได้ทำเอง

ยอมรับว่าเป็นเด็กไม่ดีเอาเสียเลย แต่ก็กลัวอะ กลัวโดนตี และผลของการไม่ทำเอง เลยทำให้ทำได้แค่สามอย่าง เลยอยากบอกน้องๆ ว่า ถ้าเป็นไปได้ ทำเองเถอะ ทำเองดีกว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีระบบไม้เรียวแล้ว ยิ่งสบาย ครูเขาก็แค่ดุๆ ว่าๆ เท่านั้น ถ้าทำด้วยตัวเอง เราจะได้เรียนรู้ผิดถูก ถ้าไม่ทำเลย เราจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย อย่าเอาอย่างพี่



ส่วนคุณครูท่านที่สองก็เป็นคุณครูที่ทำให้เราปรับปรุงตัวเอง ต้องยอมรับว่าตอนม.ต้น เราไม่ค่อยมีแบบแผนในการเรียน เหมือนเรียนไปเรื่อย วิชาไหนยากๆ ก็ไม่ค่อยคิดจะขวนขวายทำ อย่างวิชาคณิตศาสตร์

ความจริงในครอบครัวเรามีคนที่เก่งวิชานี้นะ คือ พ่อของเรา แต่เราไม่กล้าปรึกษาพ่อ ไม่กล้าให้พ่อสอน เพราะเคยให้พ่อสอน รู้สึกว่าโหดมาก พ่อดุกว่าอาจารย์ที่โรงเรียนอีก รู้สึกกดดัน ไม่เอาละ ไม่ไหวๆ ขอตัวช่วยอื่น

เลยมาดูหนังสือที่ดาราภัณฑ์ ตรงข้างๆ ท้องฟ้าจำลอง เป็นศูนย์ย่อยของศึกษาภัณฑ์ แต่ขนาดเล็กกว่า (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นศึกษาภัณฑ์แล้ว)

เมื่อก่อนนอกจากจะมีหนังสือเรียน แบบฝึกหัด ก็จะมีหนังสือเฉลยขาย ซึ่งหนังสือเฉลยนี้ เขาก็มีไว้สำหรับคุณครู แต่เราซื้อมาลอก

ตอนม.2 นี่ ลอกหนังสือเฉลยเต็มๆ จนปลายภาคตก ได้เกรด 0 เพราะทำข้อสอบที่ให้แสดงวิธีทำไม่ได้ ส่วนช้อยส์ก็มั่วเอา เพราะคำนวณไม่เคยตรง ก็อาศัยว่าเอาเลขที่ใกล้เคียง

ส่วนม.3 หนังสือเฉลยไม่ได้ใช้ละ อาศัยว่ามาเช้า ก็ลอกเพื่อนที่มาเช้านี่ล่ะ ปั่นกันตอนเช้า เร่งสปีดสุดชีวิต ก่อนจะถึงเวลาเข้าแถว

ถามว่าพ่อรู้ไหม พ่อไม่เคยรู้ เรื่องนี้ไม่เคยบอกพ่อ ถ้าพ่อรู้ละก็ โดนว่าแน่ๆ ดีไม่ดีโดนจับติวเลขให้อ้วก เหอะๆ

แต่เรื่องนี้คุณครูก็คงสังเกตอยู่ และคุณครูที่สอนวิชาเลขนี้ก็ได้เปลี่ยนแปลงเรา เปลี่ยนโดยที่เราไม่รู้ตัว คือ คุณครูท่านนี้จะเรียกให้เราออกไปทำหน้ากระดานบ่อยๆ ตอนนั้นเราก็เคืองนะ แบบทำไมเรียกแต่เรา จนเราได้รู้ว่านี่แหละ ครูเขาต้องการจะฝึก ฝึกให้เราทำเอง และตรงไหนที่เราทำไม่ได้ คุณครูเขาก็จะแก้ให้ มันก็เลยทำให้เราพอทำเองได้ ถึงจะไม่ได้เก่งอย่างคนอื่น แต่อย่างน้อยๆ เราก็พัฒนาขึ้น

และคุณครูท่านนี้ก็คือ คุณครูอนุสรณ์ ที่สอนวิชาคณิตศาสตร์ (หลัก) ของม.3 โรงเรียนศรีวิกรม์ ณ ขณะนั้น



คุณครูท่านสุดท้ายที่จะขอกล่าว ก็คงจะเป็นคุณครูที่ทำให้เราได้รู้ตัวเองว่า เราควรจะไปเรียนต่อทางด้านไหน ถ้าหากคุณครูไม่ได้ให้เราเขียนเรียงความส่งเข้าประกวดในวันนั้น จนได้รับรางวัล เราก็คงจะไม่รู้เลยว่าเราก็พอจะมีความสามารถทางด้านนี้อยู่บ้าง

ต้องขอขอบคุณคุณครูพิกุล คุณครูสอนวิชาภาษาไทย จากโรงเรียนพระโขนงพิทยาลัย ที่ให้โอกาส จนทำให้เกิดจุดเปลี่ยนในชีวิตเรา และทำให้เรามีเป้าหมายที่ชัดขึ้น ขอบคุณคุณครูมากๆ ค่ะ



ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของเรื่องราวความทรงจำจากลูกศิษย์คนหนึ่งที่คิดถึงคุณครู ยังมีคุณครูอีกหลายๆ ท่านที่ยังไม่ได้กล่าวถึง แต่ยังคงอยู่ในความทรงจำ อยู่ในใจของลูกศิษย์ และรอวันที่จะได้พบกัน ได้กล่าวคำว่า “สวัสดีค่ะคุณครู” เหมือนเมื่อวันที่เรายังเป็นนักเรียน และคุณครูได้ก้าวเข้ามาสอน...



Create Date : 22 มกราคม 2560
Last Update : 22 มกราคม 2560 18:22:20 น.
Counter : 1133 Pageviews.

10 comment
คุณใช้วิธีอะไรให้ผ่อนคลายหลังจากการทำงานที่แสนเคร่งเครียด


เดินทางมาถึงโจทย์ที่ 15 เหลืออีก 5 โจทย์ก็จะถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ ในตอนนี้เลยอาจจะยังไม่ได้ไปเยี่ยมบล็อกของใครนะคะ เพราะพยายามจะเร่งเขียนให้จบ ครบ 20 โจทย์

สำหรับโจทย์ที่ 15 นี้ ก็เป็นโจทย์ที่ให้บอกวิธีผ่อนคลาย จากการทำงานที่เคร่งเครียด

ในส่วนของตัวเรา งานของเราในตอนนี้คือการดูแลยาย เราจะถือว่าเป็นงานหลัก ถ้าจะเครียดก็คงจะเครียดเพราะเรื่องยาย การที่เจอยายดื้อ บางครั้งก็ทำให้หงุดหงิด แต่เราพยายามที่จะปล่อยวาง คือ ไม่ถือสา แต่ยังทำหน้าที่นะ ถ้าเจอยายบ่น หรือทำอะไรที่บ่งบอกให้รู้ว่าโกรธ เราก็พยายามที่จะเฉยๆ แต่ยอมรับก็มีทะเลาะบ้าง

เป็นเรื่องธรรมดานะ ตราบใดที่บ้านมีคนอยู่มากกว่าหนึ่งคน มันต้องมีเรื่องทะเลาะกันบ้าง ถ้าอยู่คนเดียวก็ว่าไปอย่าง

วิธีการผ่อนคลายของเรา ถ้าต้องดูแลยายไปด้วย ต้องประกบยาย เราก็จะเอาหนังสือไปนั่งอ่านข้างๆ อย่างตอนที่ยายอยู่โรงพยาบาล เราก็เอาหนังสือไปนั่งอ่าน และ ณ ตอนนั้นก็ทำให้เราเริ่มอ่านนิยายวัยรุ่น

เมื่อปีที่แล้ว ช่วงที่ยายมีภาวะน้ำท่วมปอด เราได้อ่านนิยายแจ่มใสที่เป็นนิยายวัยรุ่นเป็นครั้งแรก เหตุที่เราเลือกอ่านนิยายประเภทนี้เพราะว่ามันดูไม่เครียดนัก อ่านเอาสนุก ซึ่งมันก็สนุกดี

และเซ็ต U - Prince ก็เป็นเซ็ตแรกที่เราเริ่มอ่าน ตอนนี้อ่านไปได้ 6 เล่ม เหลืออีก 6 เล่ม แต่เราก็อ่านนิยายที่เป็นเล่มเดี่ยวๆ ที่ไม่ได้อยู่ในเซ็ตด้วย เราไม่ได้เร่งอ่าน ค่อยๆ อ่านไปเรื่อยๆ เพราะก็มีหลายอย่างที่ต้องทำ เราไม่ได้ประกบยายตลอด





นอกจากอ่านนิยาย เราก็ดูละคร ดูซีรีส์ เราชอบดูซีรีส์ญี่ปุ่น แต่ ณ ตอนนี้พักไว้ก่อน คงมีซีรีส์ต่างประเทศเรื่องเดียวที่เราติด คือ Teen Wolf เป็นซีซั่นสุดท้าย Season 6 ถ้าจบจากเรื่องนี้ ก็คงจะกลับไปดูซีรีส์ญี่ปุ่นต่อ เพราะยังมีเรื่องที่ค้าง ยังดูไม่จบ คือ Hatsumori Bemars เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มนักเรียนหญิงม.ปลายที่ผูกพันกับสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง และต้องการที่จะรักษาสวนสาธารณะแห่งนั้นเอาไว้ เพราะมีคุณค่าต่อจิตใจของผู้คนในชุมชนนั้น พวกเธอจึงต้องหาสมาชิกเพื่อที่จะจัดตั้งชมรมและแข่งขันกีฬาซอฟต์บอลระดับม.ปลาย โดยเป้าหมายก็คือเพื่อที่จะชนะทีมลูกสาวของคนที่มาไล่ที่ ซึ่งเป็นทีมที่แกร่งที่สุดในระดับม.ปลายนั้น ก็จะมีเรื่องราวมากมาย ของตัวละครแต่ละตัว เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ ที่ไม่ได้เป็นเรื่องความรักของหนุ่มสาว แต่เป็นเรื่องความรักในสถานที่ เพื่อน และคนรอบข้าง




Teen Wolf





Hatsumori Bemars


แต่ถ้าอยากคลายเครียด แบบให้ความเครียดหลุดไปเร็วจริงๆ ก็คงจะดูรายการตลก เพราะทำให้เราขำได้ ถึงจะเป็นมุกที่ย้อนดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ดูอีกกี่ครั้ง มันก็ยังขำ

อย่าง...

เอาหมูไปยืนข้างหมี
เอาหมีไปยืนข้างหมู
เอาหางหมูไปแหย่หูหมี
เอาหางหมีไปแหย่หูหมู
หูหมู หูหมี ดูสูสี หูหมี หูหมู


จากในคลิปเริ่มจากนาทีที่ 16.29 (หรือจะดูทั้งหมดตั้งแต่ต้นคลิปก็ได้)


Cr. Youtube :: สมาคมนิยมยิ้ม | เดอะ คอมเมเดี้ยน ไทยแลนด์ 


ดูรายการตลก ทำให้คลายเครียดได้ไวดี บางทีก็เก็บๆ มุกพวกนี้มาเล่น เล่นกับตัวเองนี่ล่ะ บะบะบะบ้าอยู่คนเดียว

และนี่ก็คือ วิธีผ่อนคลายจากการทำงานที่แสนเครียดของเราค่ะ


เครดิตรูปภาพ :: google.com, dramajo.com



Create Date : 17 มกราคม 2560
Last Update : 17 มกราคม 2560 14:35:55 น.
Counter : 1165 Pageviews.

11 comment
อาชีพที่เคยฝัน...


สำหรับโจทย์ที่ 14 ‘อาชีพที่คุณเคยฝันคืออาชีพ...’ โจทย์นี้ก็เข้ากับในช่วงใกล้วันเด็กพอดี แน่นอนว่าเด็กๆ ต้องเจอผู้ใหญ่ถามแน่ว่าโตขึ้นหนูอยากจะเป็นอะไร

และคำตอบก็คงจะหนีไม่พ้น คุณครู หมอ พยาบาล ทหาร ตำรวจ

หรือถ้าไปถามเด็กๆ ที่ต่อคิวขึ้นนั่งเก้าอี้นายกฯ ก็คงจะตอบว่า เป็นนายกรัฐมนตรี

แต่ตอนเด็กๆ เราไม่รู้หรอกว่าอาชีพพวกนี้ กว่าจะเป็นนั้นมันยากขนาดไหน ความรับผิดชอบมากมายเพียงใด แต่ที่เราอยากเป็นอาจเป็นเพราะเราอาจจะเห็นมากกว่าอาชีพอื่น หรือถูกปลูกฝังก็ว่าตามกันมา

ไม่ค่อยมีคำตอบแปลกๆ หรอกประมาณว่าอยากเป็นนักบัญชี เพราะตอนเด็กๆ ก็ไม่รู้จัก นอกเสียจากว่าจะมีพ่อแม่เป็นนักบัญชี

โตขึ้นมาหน่อยถึงได้รู้ว่าอาชีพนั้นมีหลากหลายมาก ตัวของเราก็ได้รู้จักอีกหนึ่งอาชีพตอนป.5 ‘อาชีพบรรณารักษ์’ ที่รู้เพราะชอบไปอ่านหนังสือในห้องสมุด และไปช่วยงานอาจารย์ ถึงได้เริ่มเรียนรู้ ในตอนนั้นเราท่องหมวดหมู่หนังสือได้

000 เบ็ดเตล็ด
100 ปรัชญา
200 ศาสนา
300 สังคมศาสตร์

แต่หลังจากนั้นถ้าถามในปัจจุบัน เราก็ลืมแล้วล่ะ แต่ในตอนนั้นเราจำได้หมด และก็เป็นอาชีพที่เราใฝ่ฝันเอาไว้ เราอยากเป็นบรรณารักษ์เพราะรู้สึกว่ามันสนุก ได้นั่งตรงเคาน์เตอร์และประทับตรา ใครมายืมคืน เราก็จะปั๊มๆๆ จากนั้นก็จะจัดเก็บหนังสือ แต่เราไม่เหนื่อย ไม่ร้อน เพราะอยู่ในห้องแอร์

เราอาจจะชอบอยู่ในห้องสมุด เพราะเป็นห้องแอร์ล่ะมั้ง ปกติเวลาอยู่ในห้องเรียนจะเป็นห้องพัดลม แต่ห้องสมุดจะเป็นห้องเดียวที่มีแอร์ อยู่ในห้องนั้นจะรู้สึกเย็นสบาย ให้ทำอะไรก็ทำได้หมด

จึงเป็นอาชีพที่เราคิดไว้ว่าถ้าโตขึ้น เราจะเลือกเป็น

แต่อย่างไรก็ตาม ความใฝ่ฝันที่อยากเป็นหมอมันก็มีอยู่ มันก็เป็นความฝันเด็กๆ อะเนอะ จนกระทั่งเริ่มรู้ตัวว่าคณิตศาสตร์ไม่ได้เรื่อง เราไปในสายวิทย์ไม่ได้ ก็ตัดความฝันนี้ทิ้งไป ทีนี้ก็มาทางสายภาษา การเป็นบรรณารักษ์ก็ยังคงอยู่ บอกตรงๆ ว่าถ้าไม่มีจุดเปลี่ยนอะไร เราคงจะเลือกเรียนบรรณารักษ์ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเราจะเป็นอะไร

ถึงตอนม.ปลาย จะเรียนภาษาฝรั่งเศสทุกเทอมได้เกรด 4 แต่ถ้าถามว่าเราชอบไหม เราไม่ได้ชอบนะ แต่ที่เรียนได้ เพราะมีน้าเป็นครูสอนภาษาฝรั่งเศส คอยช่วยติว และถ้าไม่ได้เกรด 4 เราว่าน้าคงเคือง เพราะน้าก็ทุ่มเต็มที่มาก น้าจะลุ้นวิชานี้วิชาเดียว

แต่น้าเราก็ไม่ได้คาดหวังหรอกว่าเราจะไปเรียนต่อทางด้านนั้น แต่เราคิดว่าอาจารย์ที่โรงเรียนเราก็คงจะแอบหวัง เพราะท่านก็คอยสนับสนุนให้เราไปแข่ง เราได้ไปแข่งที่มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น อยู่ 2 ปี มีทั้งที่แข่งเดี่ยวและกลุ่ม ในรายการต่างๆ ที่ทางโรงเรียนเราเลือกให้ แต่เราแพ้นะ เรายอมรับว่าสู้โรงเรียนอื่นไม่ไหว

จนกระทั่งมาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อตอนม.5 อาจารย์หมวดวิชาภาษาไทยให้เราเขียนเรียงความส่งเข้าประกวด ซึ่งในตอนนั้นบอกตรงๆ ว่าเราก็เขียนขำๆ คือ ไม่ได้หวังรางวัลอะไร แต่ก็เขียนไปตามรูปแบบของการเขียนเรียงความ ซึ่งจะมี 3 ส่วน คือ เกริ่นนำ เนื้อหา สรุป

เขียนไปตามหัวข้อ โดยใช้ธรรมะเข้าไปช่วยเสริม เราว่าที่เราได้รางวัลก็อาจจะเป็นในเรื่องของธรรมะนี่แหละ

และจากตรงนั้นก็ทำให้เรารู้ว่า เฮ้ย เราไปได้ เราเขียนได้ เลยมีอีกสาขาหนึ่งที่อยู่ในใจ คือ สาขาวิชาภาษาไทย และเป้าหมายเราก็ชัดขึ้นเมื่อได้ไปเจอรุ่นพี่คณะโบราณคดีมาแนะแนวที่งานงานหนึ่ง เราจึงเลือกสาขานี้

และอาชีพที่เราใฝ่ฝันต่อมาก็คือ นักเขียน แต่เวลาไปสมัครงาน เราไปสมัครตำแหน่งอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่เราจบมา เขาก็จะถาม และคำถามหนึ่งที่เขาจะถามก็คือ เราอยากเป็นอะไร เราจะชอบตอบว่า “เราอยากเป็นนักเขียน” 

เขาก็จะถามกลับว่า “แล้วทำไมไม่เป็นนักเขียนล่ะ” นั่นก็ทำให้เราได้คิด แต่อย่างไรก็ตามเราก็คิดว่าควรมีงานประจำไว้ เพราะการเป็นนักเขียน และจะยึดเป็นอาชีพเลยมันยาก รายได้มันไม่แน่นอน ต้นฉบับกว่าจะผ่าน กว่าจะได้ออก บางทีเป็นปี และค่าต้นฉบับมันก็ไม่ได้เลย มันต้องรอ

ดังนั้น นักเขียนเป็นยากนะ แต่ถ้าใครเป็นได้ และไปได้ดี คุณก็รายได้งาม
ส่วนเราก็เป็นแค่นักอยากเขียน เรียกนักเขียนไม่ได้เต็มปาก
นั่นก็เป็นอาชีพที่เราฝัน


ส่วนอีกอาชีพที่เราฝัน และอยากจะไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพราะคิดว่าน่าจะมีความสุข คือ ทำงานในฟาร์มกระบองเพชร เรารู้สึกว่าเราอยากเรียนรู้ อยากค้นคว้า และอยากไปอยู่กับคนที่ทำงานตรงนั้น ถ้ามีโอกาสนะ ก็อยากไปทำงานในฟาร์ม

สุดท้ายที่เราอยากเป็น และคิดว่าถ้าแม่บวช เราอยากไปเป็น อุบาสิกา นั่นก็เป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่เราคิดเอาไว้ แต่ไม่ว่าจะประกอบการงานอาชีพอะไร เราคิดว่าใจนั้นเป็นสำคัญ ถ้ามีความสุขกับงานที่ทำ หรือทุกข์แต่ทุกข์ไม่มากนัก นั่นก็ถือว่าดีมากๆ แล้ว



Create Date : 13 มกราคม 2560
Last Update : 14 มกราคม 2560 2:01:54 น.
Counter : 1113 Pageviews.

10 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  

comicclubs
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 27 คน [?]



Group Blog
All Blog
  •  Bloggang.com