ถึงไม่ได้เจอกัน แต่ความสัมพันธ์ยังคงเดิม


หัวหน้าห้องของฉัน เขากลับนิวยอร์กแล้วล่ะ แต่ยังไม่ได้เจอกันเลย เป็นเพราะส่วนหนึ่งเราก็มัวแต่เขินอะไรก็ไม่รู้ เขาให้แอดไลน์มา เราก็แอดไลน์ไป แต่ไม่ได้ทัก เราก็ได้แต่ติดตามดูเฟซเขา ก็เห็นเขาไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปเที่ยวทะเล ไปเล่นฟิตเนส เราก็คิดว่าเราควรจะปล่อยให้เขาได้ใช้ชีวิตส่วนตัวตอนมาเมืองไทยบ้างเนอะ

เรารอวันที่เพื่อนในห้องมีตติ้งรวมตัวกัน ถ้าถึงวันนั้น เขาก็คงจะส่งข่าวมา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ เราไม่เคยไปงานมีตติ้งเพื่อนมัธยมเลย เคยไปแต่งานมีตติ้งเพื่อนประถม (แต่หลังๆ ไม่ได้ไป เพราะไม่อยากจะไปทะเลาะกับคนเดิมๆ)

เพื่อนในห้องตอนม.ต้น เราแอดแบงค์ไว้แค่คนเดียว เพราะคนอื่นๆ เราไม่สนิท เพื่อนที่เราสนิท เราก็ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ไหน ไม่ได้ติดต่อกันเลยหลังจากเรียนจบม.ต้น ต่างคนต่างแยกย้าย

ส่วนแบงค์ ตอนเรียนจริงๆ เราก็ไม่ได้สนิทนะ แต่ด้วยความที่เขาเป็นหัวหน้าห้อง มีไมตรีกับทุกๆ คนรวมถึงเรา เราเลยประทับใจ คิดว่าปีหน้า ถ้าเขามาเมืองไทย เราจะรวบรวมความกล้าเพื่อจะนัดเจอเขา ส่วนปีนี้ขอเป็นปีที่ตั้งสติก่อน เพราะแค่เขาโทรมา อินี่ก็พูดอะไรไม่รู้เรื่อง สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขอไปนั่งสมาธิสักครึ่งปี แล้วปีหน้าค่อยเจอกันนะ

แต่ถึงไม่ได้เจอกัน ความสัมพันธ์ก็ยังคงเดิม เพราะเป็นเพื่อนก็ยังคงเป็นเพื่อนไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากแบงค์แล้วก็ยังมีอีกคนหนึ่งที่เราไม่ได้เจอกันมานานหลายปี นั่นคือหญิงเดียวในใจของเรา ครั้งล่าสุดที่ได้พบกันก็น่าจะเป็นที่ตึกพญาไท พลาซ่า ตึกที่เราสองคนเคยทำงานอยู่ แต่อยู่กันคนละชั้น คนละองค์กร ช่วงนั้นก็เจอกันบ่อย ถึงวันเกิดก็เอาของขวัญขึ้นไปให้

แต่หลังจากที่เราไม่ได้ทำงานที่นั่น เราก็ไม่ได้เจอกันเลย ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้เต้นโคฟเวอร์ เราก็ไม่ได้ตามเขา แต่ติดตามเฟซเขาอยู่ตลอด ความสัมพันธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม เราคิดเอาไว้ว่าจะมี 3 งานที่เราจะไป นั่นคือ งานโคฟเวอร์ ถ้าเขากลับมารวมตัวเต้นเฉพาะกิจเมื่อไหร่ เราไปแน่ๆ (เราอยากเห็นงานรียูเนี่ยนของกลุ่มโคฟเวอร์รุ่นเก่า) งานที่สองคืองานรับปริญญา ป.โท ซึ่งกำลังจะมีขึ้นในวันเสาร์นี้ เป็นงานซ้อมรับปริญญาที่มศว ประสานมิตร และงานสุดท้ายคืองานแต่งงาน เป็น 3 งานที่เราคิดว่าจะไป

ส่วนในโอกาสอื่นๆ คงจะเจอกันยากหน่อย เราเองก็ต้องดูแลยาย เขาเองก็คงจะยุ่ง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรความสัมพันธ์ก็ยังเหมือนเดิม และเราก็ยังคงติดตามเขาเสมอ

ถือเป็น 2 คนที่เรามีความรู้สึกคล้ายกัน คือ เห็นเขาเป็นไอดอล อยากติดตาม เวลาเขาลงรูป อยากจะกดไลค์ให้แบบรัวๆ แค่เห็นรูป เราก็มีความสุขแล้ว

วันเสาร์นี้ถ้าไปได้ เราจะไป แต่ถ้าไปไม่ได้ เราก็จะส่งของขวัญไปให้ เขาคงจะไม่น้อยใจอะไร เพราะยังไงก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว...



Create Date : 02 มิถุนายน 2559
Last Update : 2 มิถุนายน 2559 11:33:14 น.
Counter : 1042 Pageviews.

8 comment
แก้งานพร้อมกับการฝึกจิต


ต้องบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ แต่เราก็สามารถทำได้ ยิ่งผ่านการแก้งานมากเท่าไหร่ มันจะยิ่งลดอัตตา ความเป็นตัวกูของกูมากขึ้นเท่านั้น เมื่อก่อนตอนที่บ.ก.คนแรกส่งงานมาให้แก้ในบทแรก อัตตาน่ะค่อนข้างสูง สังเกตจากความขุ่นในจิตใจ ยิ่งโดนแก้อะไรยิบย่อย ยิ่งเอาละ เริ่มบ่น แต่ผ่านจากบทแรก เราจะรู้สไตล์ นั่นก็หมายความว่าเราจะปรับให้ตรงสไตล์เขามากขึ้น แต่ก็ยังมีแก้อยู่เรื่อยๆ บางบทถึงขั้นต้องปรับใหม่ทั้งหมด ก็เอาน่ะ ไม่เป็นไร แก้ๆ กันไป เดี๋ยวก็ถึงเส้นชัยละ เพราะคิดว่าเขียนจบเรื่อง เราก็ส่งฉบับแก้ให้ เดี๋ยวบ.ก.เขาก็คงดูๆ แล้วก็คงจะแก้อะไรอีกนิดหน่อย แล้วก็คงรอตีพิมพ์ เพราะสัญญาก็เซ็นกันไปแล้ว

แต่บ.ก.กลับบอกว่าจะให้บ.ก.อีกคนหนึ่งช่วยดู อารมณ์ที่เหมือนจะใกล้ถึงเส้นชัย กลับกลายเป็นว่าเราต้องเดินกลับไปที่จุดเริ่มต้น เพราะเหมือนกับเราต้องมาเขียนใหม่ ของเก่าใช้จริงๆ แค่ 30% ที่เหลืออีก 70% เขียนใหม่ล้วนๆ เปลี่ยนการดำเนินเรื่องใหม่ วางรูปแบบตัวละครใหม่ พล็อตบางส่วนเปลี่ยนใหม่ ภาษาที่ใช้เปลี่ยนใหม่

แต่เราก็ได้คำสอน ได้ธรรมะมาจากแม่ บวกกับเราก็อยากจะทำอะไรที่มันไม่ใช่งานโรมานซ์ เราเลยยังอยู่ ถ้าไม่อย่างนั้นคิดว่าคงจะละทิ้งเรื่องนี้ไปแล้ว

เพราะตอนที่เขียนงานโรมานซ์ส่งกับสนพ.ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรา เราไม่เคยต้องแก้ พอมาเขียนงานสยองขวัญ เป็นนิยายเรื่องยาวกับสนพ.ที่ใหม่ เราเลยต้องปรับตัว เพราะงานแนวสยองขวัญ เราเองก็ยังใหม่อยู่มาก ถึงจะเขียนเรื่องสั้นๆ มาหลายเรื่องส่งนิตยสาร มันก็ไม่เหมือนกับการเขียนเรื่องยาว ที่ต้องมีอะไรซับซ้อน มีความละเอียด เลยต้องใช้เวลา ก็ต้องเรียนรู้และฝึกฝนกันไป

แม่บอกว่า “ไม่มีอะไรเป็นไปอย่างใจเรา” เราก็ยึดถือคำนี้มาเสมอ ก็ได้คำสอนของแม่นี่แหละเตือนสติ “ทำไปอย่างไม่มีตัวกูของกู” เป็นคำสอนของท่านพุทธทาสที่แม่จะพูดถึงบ่อยครั้ง เวลาเราบ่นๆ ถึงเรื่องงาน

เราว่ามันก็ช่วยได้มาก เพราะเมื่อเราคิดว่านี่ไม่ใช่นิยายกู มันจะลดอัตตาลงไปเยอะ คือ ทางบ.ก.อยากจะให้แก้อะไร เราก็แก้ไป เพราะถือว่าเป็นนิยายกลุ่ม นิยายคู่ ที่ก็แค่มีนามปากกาของเราแปะไว้บนหน้าปกเท่านั้นหากว่าได้ตีพิมพ์ แต่ถึงจะไม่ได้ตีพิมพ์ เราก็ไม่เสียใจ อย่างที่เคยได้บอก แม่บอกว่า “เสียอะไรก็เสียไป แต่อย่าให้ใจเราเสีย” ก็เลยทำใจรับได้ทุกสภาพ

คิดว่าต่อจากนี้เจออะไรแบบนี้อีก เราก็คงจะสบายขึ้น เพราะอะไรที่ว่าหนักเราก็ผ่านมันมาหมดละ





เครดิตรูปภาพ : Google.com



Create Date : 28 พฤษภาคม 2559
Last Update : 28 พฤษภาคม 2559 16:46:46 น.
Counter : 1833 Pageviews.

8 comment
ดีใจกับความสำเร็จของพี่เวียร์


จริงๆ จะเรียกพี่เวียร์ก็ไม่ถูก เพราะตัวเองนั้นแก่กว่า แต่จะเรียกน้องมันก็ไม่ถนัดนัก เลยเรียกพี่เวียร์ไปอย่างนี้ ก็ติดตามผลงานของพี่เวียร์มานาน แต่อาจจะไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ แต่ก็ชื่นชม ชื่นชอบในความสามารถ เคยแคปภาพรายงานสดละครของพี่เวียร์ด้วย

ในตอนนั้นเรื่องปิ่นอนงค์ มือแคปเจ๋งๆ ของช่อง 7 มารวมตัวกันหมด ก็แสดงให้เห็นว่าผู้คนชื่นชอบพี่เวียร์มากนะ กระทู้รายงานสดในตอนนั้นก็ปาไป 6 – 7 กระทู้ และเวลาขึ้นกระทู้ใหม่ ทุกๆ คนต่างจะพากันไปวิ่งควาย คือ ช่วงชิงการเป็นคอมเม้นต์แรกของกระทู้นั้น

สมัยนั้นถ้าไม่แตกกระทู้ กระทู้จะด๋อย พอ 200 คอมเม้นต์ปุ๊บ จะต้องมีใครสักคนอาสาไปขึ้นกระทู้ใหม่ แล้วมันเป็นอะไรที่สนุกมาก ต่างคนต่างจะรีบวิ่งไปคอมเม้นต์

เรื่องปิ่นอนงค์นี่ถือเป็นเรื่องในตำนานจริงๆ เพราะทุกคนที่เข้ามาเป็นชาวไร่ไพศาล (ไร่ของพระเอก) เหมือนจะมีบัตรสมาชิกด้วยนะ แฟนคลับพี่เวียร์ใช้โฟโต้ชอปทำ แล้วแต่ละคนก็มีการแต่งกลอนให้คุณใหญ่กับหนูปิ่นด้วย เรียกว่าไม่ธรรมดา ตอนพระเอกกับนางเอกจะแต่งงานก็มีทำการ์ดเชิญ สุดยอด

เป็นเรื่องหนึ่งในตำนาน ในความทรงจำของเราเลย แต่ในส่วนเรื่องที่พี่เวียร์ได้รับรางวัลในครั้งนี้ เราไม่ได้ดูนะ แต่กระแสในพันทิปก็ดีมากตอนที่ออนแอร์ เพื่อนแพงนี่ขึ้นกระทู้แนะนำอยู่ 2 – 3 กระทู้

เรื่องที่พี่เวียร์เล่น มีหลายเรื่องที่ดีๆ นะ แต่ไม่เคยได้รางวัลเลย อย่าง ขุนเดช เรื่องนี้ก็ดีมากๆ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการปกป้องโบราณสถาน วีรภาพก็เล่นดี แต่ไม่เคยได้รางวัล

คนที่เป็นแฟนคลับช่อง 7 ก็ทำใจหมดแล้วล่ะ แต่ครั้งนี้เป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มากๆ ที่ช่อง 7 ได้ คุณธงชัย ประสงค์สันติ ก็ได้รางวัลของคนเบื้องหลัง คือ จริงๆ สมควรได้มานานแล้วนะ เพราะงานของคุณธงชัยละเมียดละไมมาก ส่วนปุ๊กลุกเอง น้องก็เต็มที่กับทุกๆ งาน เป็นคนที่มีความสามารถที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เวลาน้องแสดงเรื่องไหน ก็มีคนพูดถึงเสมอๆ มีกระทู้แนะนำที่ชื่นชมน้อง ก็ควรค่าแก่การได้รางวัล

ก็เรียกได้ว่าเป็นวันหนึ่งที่เหล่าแฟนคลับช่อง 7 แฟนคลับเวียร์ ศุกลวัฒน์ได้เฮกันเสียที เพราะรางวัลที่ได้มา มันก็เหมือนเป็นกำลังใจว่าการที่เราอดทน สู้ พยายาม มันก็มีคนเห็นนะ แต่ถึงจะไม่มีคนเห็น ก็เชื่อว่าพี่เวียร์ก็ยังคงทำงานต่อไปด้วยความมุ่งมั่น

คนที่เป็นแฟนคลับก็ยังคงติดตามและให้กำลังใจเสมอ เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ก็ยังรอดูความสำเร็จในปีต่อไป เป็นกำลังใจให้นะอ้ายเวียร์ สู้ๆ ต่อไปเด้อ






เครดิตรูปภาพ : แฟนเพจไนน์เอ็นเตอร์เทน




Create Date : 26 พฤษภาคม 2559
Last Update : 26 พฤษภาคม 2559 2:46:51 น.
Counter : 1146 Pageviews.

7 comment
ยุค 90 ในความทรงจำ


ยุค 90 ที่คนพูดถึงกันบ่อย และเป็นหนึ่งในโจทย์ชวนโหวตของถนนสายนี้มีตะพาบครั้งที่ 155 คาดว่าน่าจะมาจากกระทู้หนึ่งในพันทิปที่เป็นการตั้งกระทู้คำถามว่าทำไมผู้คนถึงอยากกลับไปอยู่ในยุคนี้ มันมีอะไรดีเหรอ ซึ่งเรามองว่าคนในยุคอื่นๆ ถ้าย้อนกลับไปได้ มันจะต้องมีชั่วแวบหนึ่งที่อยากกลับไปยุคตัวเอง ด้วยความคิดถึง โหยหา หรืออยากจะแก้อะไรบางอย่าง

ในส่วนของตัวเรา ถ้าถามว่าอยากกลับไปอยู่ในยุค 90 ไหม ก็ตอบได้เลยว่าอยาก เราเป็นคนที่ชอบเขียนกลอน และหนังสือกลอนในยุคนั้นน่ะบูมมาก แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ความสามารถตัวเอง ไม่คิดว่าตัวเองแต่งกลอนได้ หรือชอบเขียนกลอน เพิ่งมารู้หลังจากที่เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ซึ่ง ณ ตอนนั้นหนังสือกลอนก็ซาไปแล้ว ไม่ค่อยมีคนอ่าน อันนี้หมายถึงกลอนรักนะ หนังสือกลอนรักเป็นเล่มๆ

ตอนที่เราอยู่ในยุค 90 จะมีหนังสือกลอนรักๆ วางขายในร้านหนังสือมากมาย แล้วก็ยังมีหนังสือกลอนเล่มเล็กขนาดพกพา เป็นกลอนฮาๆ ไว้จีบกัน ส่วนใหญ่วัยรุ่นจะเอาไว้ส่งข้อความบอกรักกันทางเพจเจอร์ โอเปอร์เรเตอร์สมัยนั้นคงจะเอียนพอดู มีทั้งกลอนรัก กลอนฮา คำคมอะไรเยอะแยะไปหมด

ในส่วนของตัวเราสมัยนั้นเราไม่มีเครื่องมือสื่อสารอะไรเลยนะ แต่ที่พอรู้เพราะเพื่อนมี เพจเจอร์นี่เราเห็นมาตั้งแต่ประถมละ ตอนเราอยู่ป.6 พ.ศ.2537 มีเพื่อนคนหนึ่งเอามาที่โรงเรียน ตอนเพื่อนโชว์เครื่องให้มันสั่นๆ กระดึ๊บๆ ไปกับโต๊ะ เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก เพราะเกิดมาไม่เคยเห็น นี่มันเครื่องอะไรกันเนี่ย แล้วเพื่อนคนนี้ก็จะมีของเล่นอะไรแปลกๆ มาให้ทึ่งได้เสมอ มีปากกาเมจิกที่เปลี่ยนสีได้ สุดยอดอะ เป็นที่ตื่นตาตื่นใจในช่วงวัยประถม

ในส่วนของเพจเจอร์มาบูมจริงๆ ก็ตอนที่เราอยู่ช่วงม.ปลาย พ.ศ.2541 – 2543 ซึ่งช่วงนี้แหละหนังสือกลอนรักจะบูมๆ

นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราอยากจะลองลิสต์ๆ ในส่วนของตัวเองนะ ของคนอื่นๆ ก็อาจจะมีอะไรที่แตกต่างไป

1. ตอนประถมเราได้เรียนแบบเรียนภาษาไทยมานี มานะ จนถึงจบป.6 รุ่นเราเป็นสุดท้าย นักเรียนป.1 ที่เข้ามาใหม่จะได้เรียนหนังสือเรียนภาษาไทยแบบใหม่

2. ตอนประถมเรามีหิ้วปิ่นโตจากบ้านไปทานเป็นมื้อกลางวันที่โรงเรียน (โรงเรียนเราไม่บังคับ ใครจะเอามาทานเอง หรือจะทานที่โรงอาหารที่โรงเรียนเตรียมไว้ก็ได้ แต่ต้องแจ้ง แจ้งเป็นเทอมๆ ไปว่าเทอมนี้จะทานโรงอาหาร หรือเอามาทานเอง)

3. เรานั่งรถเมล์ ขสมก.ครีมแดง ในราคา 3.50 สตางค์ ส่วนปอ.รู้สึกจะเริ่มต้นที่ 8 บาท (หรือ 6 บาทไม่แน่ใจ)

4. การละเล่นในยุคนั้นช่วงวัยประถมจะหนีไม่พ้น หมากเก็บ กระโดดยาง เป่ากบ พวกผู้ชายจะปั้นดินน้ำมันทำให้เป็นรางๆ เป็นหลุมๆ แล้วปั้นดินน้ำมันลูกกลมๆ เล็กๆ เป่าให้ลงรู นักเรียนหญิงนอกเหนือจากนี้ก็อาจจะมีบางคนเล่นตุ๊กตากระดาษ

5. นิตยสารสตรีสาร ภาคพิเศษ จะเป็นนิตยสารที่เราชอบอ่านในวัยประถม

6. ตอนช่วงใกล้จบการศึกษา เพลงที่เราจะได้ยินบ่อยๆ คือ เพลงคุณครูกระดาษทราย กับเพลงกว่าจะรัก “กว่าจะรักเท่าวันนี้ กว่าจะมีคนมาเข้าใจ ต้องใช้เวลา ใช่เพียงมองตากันเมื่อไร...”

7. เราจะมีสมุดเฟรนด์ชิพกันตั้งแต่ประถม ให้เพื่อนๆ ในห้องเขียน แล้วก็ต้องคอยตามทวงนะ เพราะบางคนเอาไปดอง

8. ตอนเราจะขึ้นม.1 ใครที่บ้านอยู่ใกล้โรงเรียน คุณจะได้โควตาเข้าเรียนทันทีในฐานะที่บ้านใกล้ ส่วนคนอื่นๆ ก็สอบกันไปจ้ะ ยิ่งบ้านอยู่นอกเขต ยิ่งหมดสิทธิ์ สอบลูกเดียว คนที่อยู่ในเขตแต่ไกลออกมาหน่อยอาจจะพอมีลุ้น

ถ้าติดสำรอง ทางกระทรวงจะเป็นคนจัดโรงเรียนสำรองมาให้ เราไม่มีสิทธิ์เลือก ถ้าไม่เอา ก็ไปหาเรียนเอกชนเอาเอง ตอนนั้นสอบเข้าม.1 สายน้ำผึ้ง ติดสำรองได้ไปอยู่ศรีพฤฒา คือไกลจากบ้านมาก แต่ตอนที่ไปดูโรงเรียนเราชอบบรรยากาศนะ แต่แม่บอกว่าคงไม่ไหวหรอก เพราะแค่เดินทางไปกลับก็เหนื่อยแล้ว สุดท้ายก็มาเรียนโรงเรียนเอกชนศรีวิกรม์แทน

9. ใครที่เรียนม.ปลาย ศิลป์-ภาษา บางโรงเรียนจะไม่ต้องเรียนเลข โรงเรียนที่เราเรียนตอนม.ปลายก็ไม่ต้องเรียน (สำหรับคนที่ไม่ชอบเรียนเลข เป็นอะไรที่มีความสุขมาก)

10. ระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราจะเรียกกันว่าเอนทรานซ์ แต่สมัยนี้จะเรียกว่าแอดมิชชั่น จะมีการสอบการเก็บคะแนนที่แตกต่าง ซึ่งในยุคของเราการเอนทรานซ์ เราจะแบ่งออกเป็น 2 รอบ อยากจะเรียนคณะไหน ก็ดูว่าเขาใช้วิชาไหนสอบเข้าบ้าง ก็สมัครสอบวิชาเหล่านั้นให้ครบ สอบ 2 รอบ แล้วเลือกเอาคะแนนที่ดีที่สุดในแต่ละวิชามายื่นเลือกคณะ

11. ตอนประกาศผลสอบเอนทรานซ์เราจะไปดูที่ม.เกษตร และเราก็สามารถเช็คทางอินเทอร์เน็ตได้ด้วย

12. ช่วงสมัยมัธยมเรามีการใช้เพจเจอร์ พอขึ้นมหา’ลัยเราเริ่มมีการใช้มือถือ

13. ศิลปินในดวงใจมีตั้งแต่ในวัยประถม ในส่วนของเราคือ U.H.T. เป็นวงแรกที่เก็บตังค์ซื้อเทป เป็นเทปเพลงแรกในชีวิต

14. ศิลปินวัยรุ่นดังๆ จะมาทัวร์คอนเสิร์ตตามโรงเรียนมัธยม จะที่เป็นกรี๊ดกร๊าดมาก ชอบมาก เพราะชั่วโมงนั้นไม่ต้องเรียน

15. ในยุคนั้นเรามีค่ายเพลงมากมาย ในส่วนของฝั่งเพลงป๊อบ ถ้าเป็นเพลงเร็ว จะมีท่าเต้นให้จดจำ เนื้อเพลงบางเพลงจะมีภาษาอื่นเข้ามาด้วย เช่น ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ซึ่งก็ไม่รู้เป็นไร เราจะชอบมากกับการที่ร้องเนื้อภาษาเหล่านี้ แต่ไม่รู้ความหมายหรอกนะ “คิมิ โนะ โคะโตะบะ วะ โฮน โตะ จะนะอิโยะเนะ อุโซะ วะ โม อิวะนะอิเดะ…” ปัจจุบันก็ยังไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร แต่คาดว่าคงจะเป็นไปตามเนื้อเพลงไทยนั่นแหละ

16. ในส่วนของทางฝั่งอินเตอร์ เราเติบโตมากับวง The Moffatts, Gil Ofarim (คนที่หน้าเหมือนหลุยส์ สก็อต) ถ้าเป็นในส่วนของฝั่งเอเชียจะเน้นเป็นบอยแบนด์ญี่ปุ่น, ไต้หวันดังๆ ก็ F4 เจย์ โจว หลุดจากยุคนี้ไปแล้วเด็กไทยจะนิยมศิลปินเกาหลี

17. หนังไทยเป็นอะไรที่บูมมาก ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นแนวๆ วัยรุ่น เช่น ม.6/2 ห้องครูวารี, กระโปรงบานขาสั้น, น้ำเต้าหู้กับครูระเบียบ, 18 ฝนคนอันตราย, เด็กเสเพล, 303 กลัว กล้า อาฆาต เป็นต้น

18. ในส่วนของหนังสือ เรามีหนังสืออ่านนอกเวลา คือ ผู้หญิงคนนั้นชื่อบุญรอด, อยู่กับก๋ง ถ้าเป็นแนวหนังสืออื่นๆ ที่อ่านนอกเวลาจริงๆ ในยามว่างก็แล้วแต่คนชอบ (แฮร์รี่ พอตเตอร์เริ่มเข้ามาในยุคนี้) แต่เราชอบอ่านหนังสือกลอน และในตอนนั้นหนังสือกลอนก็ค่อนข้างบูม ทำให้เราอยากกลับไปอยู่ในยุคนั้น แต่คิดว่าถ้ากลับไปอยู่ ก็อาจจะเขียนไม่ผ่าน เพราะตรงฉันทลักษณ์เกิน หนังสือกลอนในยุคนั้นจะใช้คำย้วยๆ หน่อย บางวรรคอาจจะใช้คำมากกว่า 10 คำซึ่งเราแต่งอย่างนั้นไม่เป็น

19. นิตยสารที่วางบนแผงหนังสือในส่วนของบันเทิง ศิลปิน ดารา จะมีทั้งของไทย จีน ญี่ปุ่น คนที่เกิดในยุคนั้นต้องรู้จัก J – SPY

20. ในยุคนั้นเรานิยมเล่นโรลเลอร์เบลด, ไอซ์สเก็ต (แต่เราเล่นไม่เป็นนะ)

21. ชานมไข่มุกบูมมาก ดังยี่ห้อแรกๆ เลย คือ มิสเตอร์เชค แต่ช่วงแรกจะเป็นใส่พุดดิ้ง ในยุคนั้นมีชานมไข่มุกหลายเจ้าในสยาม แต่ที่ฮิตๆ คนชอบถือคือแก้วทรงสูง

22. มีของเล่นที่เรียกว่าทามาก็อตจิ แต่ฮิตอยู่ได้ไม่นาน แค่ปี – 2 ปีก็ค่อยๆ หายไป เช่นเดียวกับเฟอร์บี้ ก่อนที่จะกลับมาบูมอีกครั้งในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมาแล้วก็หายไป

23. การเรียนกวดวิชาเป็นเรื่องปกติ ที่ดังๆ คนนิยมเรียนก็เช่น ภาษาไทยครูลิลลี่, สังคมด้าวองก์, ฟิสิกส์อาจารย์ช่วง, เคมีอาจารย์อุ๊ ที่เรียนหลักๆ คือ สยาม และที่ตรงนี้จะเป็นที่ที่ทำให้เราได้มองหนุ่มๆ จากโรงเรียนอื่นๆ (แบบว่าได้ความรู้ไปพร้อมกับความเคลิบเคลิ้ม)

24. ละครไทยช่องเจ็ดจะกินขาดกว่าช่องสาม แต่ช่องสามก็ทำละครสนุกนะ ส่วนช่องห้าจะเป็นละครของกันตนา เราก็ติดเหมือนกัน ในตอนนั้นดาราที่ชอบคืออาร์ต พลังธรรม แต่ปัจจุบันเขาไม่ได้เล่นละครแล้ว

25. ละครจักรวงศ์ในตอนเช้า มาฬิศร์ เชยโสภณ มักกินรวบในบทพระเอก แต่ไม่เบื่อนะ ดูแล้วสนุกทุกเรื่อง ละครจักรวงศ์ดำเนินเรื่องกระชับ ไม่ยืด สมัยนี้เป็นปีแล้วยังไม่จบเลย เรื่องเรื่องหนึ่ง คุณจะได้ดูทั้งปี เหมือนผลิตมาปีละเรื่อง

ส่วนเรื่องที่เราชอบที่สุดในสมัยนั้น คือ เกราะเพชรเจ็ดสี เพราะมีผู้ชายหลายคนดี ชอบ อิอิ

26. เป็นยุคที่เราสื่อสารกันด้วยจดหมาย เราจะมีซองจดหมาย กระดาษเขียนจดหมายลายน่ารักๆ ไว้เขียนหาใครสักคน

หลายๆ คนจะมี Pen Friend ส่วนชื่อ ที่อยู่ เราจะได้มาจากพวกนิตยสารวัยรุ่น หรือนิตยสารแนวภาษาอังกฤษอย่าง Student Weekly

หลายๆ คนก็เขียนจดหมายหาดารา แล้วรอการตอบกลับจากเขาคนนั้น

27. เป็นยุคที่ RS มีบัตรสมาชิก มีร้านอาหาร มีของที่ระลึกของศิลปินแต่ละคนขาย

28. เป็นยุคที่หน้าโรงเรียนจะมีคนมาตั้งแผงขายรูปศิลปิน ขายโปสเตอร์ ใครที่ชอบศิลปินดารา จะต้องเคยมีรูปพวกเขาติดกระเป๋าสตางค์

29. เราใช้กล้องฟิล์มในการถ่ายภาพ ส่วนกล้องดิจิตอลจะมาในยุคหลังๆ

30. วัยรุ่นนิยมถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ เอามาแปะในสมุดสะสม ช่วงปลายๆ ยุคคนหันไปถ่ายในสตูดิโอที่มีการเซ็ตฉาก

31. การประกวดร้องเพลงไม่ค่อยมีมาก แต่ปัจจุบันมีหลายเวทีสุดๆ

32. สมัยนั้นผู้หญิงจะนิยมเกมส์เต้นกระโดดๆ บนแผ่นยางให้ตรงตามจังหวะ ตามลูกศรที่ปรากฏบนจอ, ส่วนผู้ชายนิยมเล่นเกมการ์ด(ไพ่ยูกิ) เกมตลับ หรือไม่ก็เกมคอมพิวเตอร์ ไฟนอล แฟนตาซี อะไรอย่างนี้ เป็นต้น

33. สมัยนั้นไม่มีกูเกิล จะหาข้อมูลทำรายงาน ต้องค้นคว้าจากห้องสมุด

34. การทำรายงานตอนมัธยมเราจะใช้มือเขียนทั้งฉบับ ต้องพยายามเขียนให้ผิดน้อยที่สุด และเขียนให้สวย

35. ครูบางคนจะไม่ให้นักเรียนใช้ลิควิด จะให้ใช้ยางลบลบหมึก

36. กระดาษคำตอบจะเป็นแบบกากบาท ครูก็ใช้กระดาษเจาะรูตรวจ ปัจจุบันบางโรงเรียนอาจจะใช้เป็นการฝนด้วยดินสอ 2B แล้ว

37. เราเริ่มเรียนภาษาอังกฤษกันตอนป.4 สำหรับโรงเรียนรัฐบาล

38. เรามีตู้โทรศัพท์สาธารณะอยู่ในโรงเรียน และตามริมถนนจะมีอยู่หลายตู้ แต่บางตู้ก็กินเหรียญ ต้องวัดดวงเอา

39. มีเกมฮิวโก้ เกมออนไลน์ทางทีวี ที่ทุกคนพยายามจะแย่งกันกดโทรศัพท์เพื่อที่จะได้เป็นผู้เล่นเกมและเอาของรางวัล แต่โดนส่วนตัวกดไม่เคยจะติด

40. แฟชั่นในยุคนั้นจะมีหวีสับ, เป้ Outdoor, ถุง Harrods ถ้าเป็นกระเป๋านักเรียนก็ Jacob จะหรูหน่อย ส่วนรองเท้าบางคนจะนิยม Converse สำหรับใส่ไปเที่ยว

41. การจีบกัน ถ้าไม่ใช้จดหมาย ไม่ใช้เพจเจอร์ ก็คือ ต้องโทรเข้าบ้าน หรือไม่ก็จีบกันในโรงเรียนนั่นแหละ พ่อแม่ไม่รู้ แต่ถ้าโทรเข้าบ้านจะต้องผ่านด่านพ่อแม่ก่อน ในส่วนของเราเวลามีผู้ชายโทรเข้ามาบ้าน จะโดนซักยาวว่าชื่ออะไร เรียนที่ไหน แต่ถ้าเป็นเพื่อนที่เราสนิทอยู่แล้ว พ่อแม่รู้จัก ก็จะไม่โดน (ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้มาจีบนะ แค่โทรมาคุยเฉยๆ)

42. ราคาอาหาร ถ้าธรรมดาจะ 20 พิเศษจะ 25 แต่ถ้าเป็นอาหารในโรงเรียน จะถูกกว่านี้

43. เป็นยุคที่มีละครจีนฉายทางโทรทัศน์เยอะ มีตำนานรักดอกเหมย ก่อนที่กระแสละครจีนจะหายไปเมื่อมีเกาหลีมาแทนที่ แต่ตอนนี้ก็กลับมาบูมอีกครั้งแล้ว

44. ถ้าใครอยากซื้อเทป แต่ไม่มีตังค์ หรืออยากจะได้เพลงหลายๆ ค่าย หลายๆ ศิลปิน ต้องตามอัดเอาจากวิทยุ ซึ่งบางครั้งดีเจ.เปิดให้ไม่จบ ตัดเข้าโฆษณา หรือไม่ก็พูดนำเข้ากินเวลามาในช่วงเพลง แทรกกลางเพลง จนเราถึงกับภาวนาว่าพี่อย่าพูดเลย หนูจะอัด

45. เรามีคำฮิตๆ อย่างคำว่า จ๊าบ

46. ตอนเด็กๆ เรามีการสะสมสติ๊กเกอร์ที่แถมมากับขนมอย่างโดเรมอน ดราก้อนบอล สะสมเพื่อหวังจะแลกของรางวัลใหญ่ๆ



Create Date : 23 พฤษภาคม 2559
Last Update : 23 พฤษภาคม 2559 22:58:01 น.
Counter : 4366 Pageviews.

4 comment
นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นแบบนี้


ความรู้สึกตื่นเต้นที่ไม่ใช่แบบต้นฉบับผ่าน หรือเรื่องสั้นได้ตีพิมพ์ แต่เป็นความรู้สึกตื่นเต้นที่มาจากการแอบชอบแล้วได้คุยกับคนคนนั้น

วันนี้เป็นเรื่องบังเอิญมากๆ คือ มากๆๆ จริงๆ เพราะเราไม่ได้ตั้งใจจะโทรศัพท์หาเขา เพียงแต่แค่เมมเบอร์ หลังจากที่เข้าไปในดูในเฟซบุ๊กของเขา แล้วเขาโพสต์เบอร์ไว้ เนื่องจากเขามาเมืองไทยแค่หนึ่งเดือน คนที่อยากเจอเขาก็มีมาก (เราก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ไม่กล้า)

ก็แอบเมมเบอร์เขาไว้ เมมชื่อ เมมเบอร์โทรศัพท์ไปเรียบร้อย แต่ก็มาคิดๆ ดูว่าเอ๊ะ ถ้าเมมแค่ชื่อเล่นแล้วจะรู้ไหมว่าแบงค์ไหน เลยคิดว่าจะไปแก้ไข พิมพ์ชื่อโรงเรียนตอนม.ต้นต่อท้าย แต่มือเราก็ดันไปเผลอกดโทรออก เฮ้ย... ตายละกรู คราวนี้ลนเลย รีบกดปุ่มวางสาย (ไม่ใช่ว่าไม่อยากคุยนะ แต่มันตื่นเต้น) และเพราะความลนเลยทำให้เหมือนจะวางไม่ได้ แต่พอสุดท้ายวางได้ ก็ถอนหายใจโล่ง

แต่เขาก็ดันโทรกลับมา เฮ้ย... ตายละ ลนหนักกว่าเก่า แต่จะไม่รับสายก็น่าเกลียด เลยรับและรีบแนะนำตัวเองพร้อมขอโทษ แบงค์ก็บอกไม่เป็นไร คือ เสียงเหมือนเดิม ทุกอย่างเหมือนเดิมมากๆ เสียงตอนม.ต้นเป็นไง เสียงปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น มีความสุภาพ น่ารัก จริงใจ โอ๊ย... นี่แหละหัวหน้าห้องที่รักของฉัน ฮ่าๆๆ

ส่วนฉัน เราเองเสียงลนมาก คือ จะลนอะไรขนาดนี้เนี่ย เฮ้ยนี่แกคุยกับหัวหน้าห้องอยู่นะเฮ้ย เขาเป็นเพื่อนแกตอนม.ต้น จะลนไปทำไม ไม่เข้าใจตัวเอง มันตื่นเต้นสุดๆ อร๊ายยย อยากกรี๊ด พูดอะไรไปแบบไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้สึกอายมาก แต่แบงค์ก็ยังสุภาพ นุ่มนวล มี ‘ครับ’ เป็นบางครั้ง โอ๊ย... ละลาย

นี่แหละต้นแบบของหัวหน้าห้อง แต่ตอนม.ต้นลุคจะเนิร์ดกว่านี้ ใส่แว่น แต่ตอนนี้ไร้แว่น กลายเป็นหัวหน้าห้องซิกแพค ตอนเขาโพสต์รูป ต้องพยายามข่มใจไม่ให้ไปเม้นต์ใต้ภาพว่าหล่อ รู้สึกตัวเองหื่น เลยได้แต่กดไลค์ไปวันๆ เสพภาพเขาไปเหมือนดูปู้จายหล่อๆ ในแมกกาซีน

โอ้ ชีวิต นี่ถ้าเขาแต่งงาน ฉันคงไม่กล้าขนาดนี้ ฉันบอกตรงๆ ฉันยังยิ้มไม่หุบเลย มีความรู้สึกคลั่ง เหมือนเขาเป็นไอดอล

วันนี้เป็นวันที่อาบน้ำ แล้วยิ้มบ้าบอขณะอาบ อารมณ์แบบนี้นี่มันไม่มีมานานแล้วนะ แต่คาดว่าหัวหน้าห้องของฉันอาจจะนอนไม่หลับก็ได้ แบบสยอง อินี่เป็นเพื่อนม.ต้นฉันจริงๆ หรือเปล่า พูดอะไรไม่ค่อยรู้เรื่อง

ตอนเขาถามว่าจะมีโอกาสได้เจอแตงไหมเนี่ย เราก็บอกอยากเจอนะ แต่เจอกันสองคนจะแปลกๆ หรือเปล่า คือ อยากจะตบปากตัวเองมากๆ พูดอะไรของตรูไปวะ เขาจะคิดมากหรือเปล่า จริงๆ เราแค่เขิน ไม่ใช่ไม่อยากเจอนะ เราก็เลยพูดถึงเพื่อนโรงเรียนเก่าตอนม.ต้น ในใจคิดว่าถ้าเจอน่าจะนัดเจอกันแบบหลายๆ คนในห้อง เพราะหัวหน้าห้องน่าจะยังติดต่อเพื่อนม.ต้นหลายๆ คนอยู่ เพราะส่วนใหญ่จะต่อม.ปลายกันที่เดิม มีเพียงส่วนน้อยซึ่งรวมถึงเราที่ย้ายไปต่อม.ปลายที่อื่น

เขาเลยบอกว่าเขามาแค่เดือนเดียว เราก็เข้าใจนะ เพราะมันก็รวมเพื่อนในห้องกันลำบาก นี่ก็เข้าปลายเดือนแล้ว (เขามาตั้งแต่ต้นเดือน) เขาเลยพูดถึงเพื่อนอีกสองคนในห้อง ถามว่าเราจำได้ไหม เราก็บอกเราจำได้ เขาเลยบอกเขาเจอสองคนนี้บ่อย คิดว่าถ้ามา ก็มาเจอกันพร้อมๆ กันได้ มากินกาแฟกัน

จริงๆ อยากบอก เราไม่กิน เป็นคนที่ไม่กินกาแฟ แต่กินอย่างอื่นได้ แต่ไม่ได้พูด ถ้าพูดนี่คงทุเรศตัวเองมากๆ เขาเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย ไอ้นี่ก็ตรงเกิ๊น หัวหน้าห้องคงมีเงิบอะ

ตอนถามเรื่องงานการก็ทีนึงละ เขาถามว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ อินี่ก็บอกกำลังแชทกับเพื่อนอยู่ หัวหน้าห้องคงหงายหลังเงิบ ตีความไปคนละความหมาย วันนี้เลยแบบรู้สึกว่าตัวเองบ้าบอมาก ทุเรศตัวเอง อับอาย เสียงก็ลนๆ อะไรก็ไม่รู้ หัวหน้าห้องทนฟังได้นี่รู้สึกอยากจะกราบ เป็นหัวหน้าห้องที่ดีเลิศประเสริฐศรีจริงๆ ไม่มีหลุดขำ หลุดหัวเราะ หลุดอะไรออกมาเลย สุดยอดจริงๆ อยากแต่งงานด้วย (ไม่ใช่ละ)

คือ รู้สึกปลาบปลื้มจริงๆ เหมือนเขาเป็นไอดอล แต่ไม่ได้รู้สึกอะไรไปกว่านี้นะ เพราะเพื่อนก็คือเพื่อน รักในแบบเพื่อน แค่รู้สึกเหมือนเขาเป็นไอดอลคนหนึ่งที่เรารู้สึกชื่นชมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน




Create Date : 19 พฤษภาคม 2559
Last Update : 21 พฤษภาคม 2559 12:25:10 น.
Counter : 1018 Pageviews.

3 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  

comicclubs
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 27 คน [?]



Group Blog
All Blog
  •  Bloggang.com