Group Blog
 
All blogs
 

Twilight Stars6 ตอนที่ 75

พีทอาบน้ำแต่งตัวเสร็จในตอนเช้า ก่อนจะเดินมานั่งลงที่ขอบเตียง มองคนที่กำลังนอนลืมตาเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของเขาอยู่

"ไปทำงานไหวไหมที่รัก" พีทลูบต้นแขนแล้วเอ่ยถาม

"แองจี้ขอนอนอีกหน่อยนะคะ" หญิงสาวว่าแล้วกุมมืออีกฝ่ายไว้

"ตามใจ วันนี้ฉันมีประชุมตอนเช้า รู้สึกสบายแล้วค่อยลงไปละกัน" พีทโน้มลงจูบที่หน้าผาก

"อาพีท ช่วยสั่งนมสดมาไว้ในตู้เย็นให้แองจี้ด้วยนะคะ"

"ไม่ดื่มกาแฟแล้วเหรอ" พีทยิ้มถามสงสัย

"แองจี้อ่านในหนังสือ เค้าบอกว่าดื่มกาแฟมากๆ จะทำให้ผิวย่นค่ะ" หญิงสาวหาข้ออ้างได้ทันที

"ผู้หญิงนี่นะ" พีททำท่าถอนหายใจว่าแล้วยิ้มขำ ก่อนจะลุกผละไป




"เลิกประชุมแล้ว ฉันจะคุยกับพ่อให้รู้เรื่อง" ชาร์ลีโน้มลงจูบริมฝีปากเอมี่แผ่วเบาก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานไป

หญิงสาวยิ้มด้วยความหวังว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลงด้วยดีเสียที และตนจะได้ปลดเปลื้องความรู้สึกผิดออกจากใจให้หมดสิ้น หากไม่มีอะไรต้องปิดบังพ่อแม่อีกต่อไป




แองจี้มาถึงออฟฟิตว่างเปล่า เข้าใจว่าพีทคงยังประชุมไม่เสร็จ หญิงสาวจึงเดินตรงไปที่ประตูห้องพักผ่อนซื่งเชื่อมกับห้องทำงาน ปิดประตูลงอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเดินไปทรุดตัวลงนั่งอ่านนิตยสารบนโซฟา หลังจากนั้นพักใหญ่แองจี้ได้ยินเสียงเปิดประตูจากภายนอก กำลังจะขยับตัวแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อรับรู้ว่าพีทไม่ได้เข้ามาตามลำพัง

"ผมมีเรื่องจะคุยกับพ่อ" ชาร์ลีเดินตามมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงาน

"ว่ามา" พีททิ้งตัวลงนั่งพิงพนักเก้าอี้

"พ่อเคยสัญญาว่าถ้าเอมี่ท้อง จะให้เราแต่งงานกัน" ชาร์ลีเข้าประเด็นทันที

"แล้วไง.."

"ผมมาทวงสัญญา ตอนนี้เอมี่ท้องได้สามเดือนแล้ว" ชาร์ลีว่าด้วยรอยยิ้มกว้าง

"ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฉันยินดีกับแกด้วยนะ" พีทหัวเราะด้วยน้ำเสียงประหลาดจนอีกฝ่ายนึกสงสัย คาดเดาไม่ถูกว่าเป็นเสียงแห่งความยินดีหรืออะไรกันแน่


จากที่นึกว่าจะปล่อยให้พ่อลูกคุยกันเสร็จแล้วค่อยออกไป แต่สิ่งที่ได้ยินแว่วๆ นั้นกระตุ้นความสนใจของแองจี้ขึ้นมาทันที จนต้องลุกมายืนใกล้ประตูที่ปิดไม่สนิท เพื่อฟังให้ชัดเจนยิ่งขึ้น


"ฉันยิ่งกว่ายินดีให้แกแต่งกับนังเด็กนั่น แต่มีความจริงเรื่องนึงที่รู้แล้ว อาจเปลี่ยนใจแกไปตลอดกาล" พีทว่าด้วยอารมณ์ดี

"พ่อพูดเรื่องอะไร ความจริงอะไร" ชาร์ลีเริ่มงุนงง สับสนกับท่าทีที่ผู้เป็นพ่อแสดงออก

"ความจริงที่ว่า แกกับนังเด็กนั่นเป็นพี่น้องกันไงล่ะ" พีทว่าด้วยแววตาจริงจังไร้ความปรานี

"พ่อเอาอะไรมาพูด ผมกับเอมี่จะเป็นพี่น้องกันได้ยังไง" ชาร์ลีไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน


แองจี้รีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ตกใจไปกับความจริงดังกล่าวเช่นกัน รวมทั้งท่าทีโหดร้ายในน้ำเสียงของพีท ซึ่งหญิงสาวไม่เคยสัมผัสมาก่อน


"ความจริงที่ว่า ฉันไม่ใช่พ่อแก" พีทยังว่าต่อด้วยความสะใจ

"พ่อล้อเล่นใช่ไหม" ชาร์ลีเริ่มว่าด้วยอารมณ์หลากหลายซึ่งประดังเข้ามา

"นี่เป็นการพูดจริงใจกับแกที่สุดในชีวิตฉันแล้ว ถ้าแกเป็นลูกฉันจริง ป่านนี้แกคงสูบพลังจากฉันไปหมดแล้ว" พีทว่าด้วยสายตาลุกวาว

"แล้วพ่อทำแบบนี้เพื่ออะไร" ชาร์ลีมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเจ็บปวดระคนสนเท่ห์

"หึ เพื่อแก้แค้นนังแม่แพศยากับพ่อแกไงล่ะ" คำพูดดุดันส่อแววเกลียดชังฉายชัดในน้ำเสียง

"พ่อผมเป็นใคร แล้วเอมี่มาเกี่ยวอะไรด้วย" ชาร์ลีควบคุมอารมณ์อย่างหนักก่อนถามออกไป

"พ่อแกก็คือไอ้ชายชู้ที่แกเกลียดชังนักหนา ส่วนนังเด็กนั่นก็เป็นลูกนังน้องสาวจอมทรยศที่ฉันอุ้มชูมาตั้งแต่เล็ก กับพ่อของแก!!"

"แกยังอยากแต่งงานอีกไหมล่ะ ฉันยินดีจะสงเคราะห์ให้ ถ้าพ่อแม่แกรู้เรื่องนี้เข้าคงอกแตกตาย โดยที่ฉันไม่ต้องออกแรง" พีทหัวเราะในลำคอด้วยความสะใจ

"พ่อวางแผนทุกอย่างให้ผมกับเอมี่..." ชาร์ลีว่าด้วยดวงตาแดงกล่ำ เจ็บปวดที่สุดในชีวิต

"ใช่!!" พีทกระแทกเสียง ก่อนที่ชายอีกคนจะหมดข้อกังขา ผลักประตูสุดแรงเกิดออกไปทันที


หญิงสาวซึ่งได้ยินเรื่องทั้งหมดอยู่อีกห้อง ถึงกับเข่าอ่อน ไม่คิดว่ามุมโหดร้ายของพีทจะทำเรื่องเลวร้ายได้ขนาดนี้ แองจี้รีบหลบออกจากห้องไปทันที ที่ได้ยินเสียงประตูจากภายนอกปิดลงอีกครั้ง





"เป็นไงคะ" เอมี่ละสายตาจากวิวตรงหน้าแล้วหันกลับทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิดออก พร้อมรอยยิ้มที่ค่อยๆ จางลงเมื่อเห็นสภาพของชายคนรัก ดวงตาแดงกล่ำด้วยน้ำตาคลอเบ้า

"เกิดอะไรขึ้นคะ" เอมี่มองคนตรงหน้าพลางนึกเดาเหตุการณ์ได้ว่าพีทคงปฏิเสธ

"เอมี่ ฉันขอโทษ" ชาร์ลีกอดหญิงสาวไว้แนบแน่น นึกละอายกับความอัปยศที่ตนได้สร้างขึ้น และรู้แน่แก่ใจว่าความสัมพันธ์ของตนกับเอมี่ได้เดินมาถึงทางตันแล้ว

"พ่อคุณไม่อนุญาติให้เราแต่งงานกันใช่ไหม" เอมี่ขยับออกถามน้ำตาคลอ

"เรื่องของเรา..ไม่มีวันเป็นไปได้อีกแล้ว" แววเจ็บปวดปรากฏขึ้นชัดเจนในดวงตาของคนตรงหน้า จนหญิงสาวรู้สึกทรมานใจไปด้วย

"ไม่เป็นไรนะ ไม่มีงานแต่งงานก็ไม่เป็นไร เรากำลังจะมีลูกด้วยกัน" เอมี่ว่าปลอบทั้งน้ำตา

"เราอยู่ด้วยกันไม่ได้...ต่อไปเธอคงได้พบคนที่ดีกว่าฉัน" ชาร์ลีประคองใบหน้าหญิงสาวไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ไม่อาจเอื้อนเอ่ยความจริงที่รับรู้ออกมา เพราะไม่อยากให้เอมี่และพ่อแม่ต้องมารับรู้เรื่องน่าอับอายนี้ไปด้วย

"คุณพูดอะไร พูดแบบนี้หมายความว่าไง" เอมี่กุมมือชายหนุ่มไว้ แววตาเต็มไปด้วยคำถาม

"เราจะไม่พบกันอีก ... ถ้าเธอไม่ต้องการลูก ฉันจะเลี้ยงไว้เอง" ชายหนุ่มว่าเสียงเรียบพยายามเก็บความรู้สึก คิดว่านี่คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย

"คุณพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง คุณเป็นอะไรไป เมื่อเช้าเรายังคุยกันอยู่ดีๆ" เอมี่สับสนไปหมด ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงสองสามชั่วโมงที่ผ่านมา อะไรทำให้คนตรงหน้าเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้

"ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้น ต่อไปเธอไม่ต้องมาทำงานอีกแล้ว ดูแลตัวเองกับลูกให้ดี ฉันจะโอนเงินเข้าบัญชีให้เธอมากพอที่เธอกับลูกจะอยู่กันได้สบายๆ" ชายหนุ่มแสดงเจตนาดี แต่กลับทำให้อีกฝ่ายรู้สึกด้อยค่าขึ้นมาทันที

"ฉันไม่ต้องการเงินของคุณ!!" เอมี่สะบัดมือลงใบหน้าชายหนุ่มอย่างแรง ตอบแทนถ้อยคำราวกับจะใช้เงินฟาดหัวให้เธอออกไปจากเส้นทางชีวิตของเขา

ชาร์ลีดึงหญิงสาวเข้ามากอดอีกครั้งด้วยความรู้สึกอาลัยรัก

"ปล่อยฉัน!!" เอมี่ร้องไห้อย่างหนักผลักไสชายหนุ่มด้วยโทสะที่กำลังพลุ่งพล่าน ก่อนจะพบว่าตนเองกลับมาถึงห้องพักที่บ้านเรียบร้อยแล้ว

"ลาก่อน" ชายหนุ่มกระซิบ ตั้งท่าจะโน้มลงจูบแต่แล้วกลับเปลี่ยนใจ อันตรธานหายไปในอากาศทันที ทิ้งสาวน้อยที่กำลังหัวใจแตกสลายไว้เพียงลำพังท่ามกลางปัญหาที่ถาโถมเข้ามารวดเร็วจนไม่มีโอกาสตั้งรับ








แองจี้หลบลงมานั่งในมุมหนึ่งที่ล็อบบี้ของโรงแรม ซึ่งเป็นที่ๆ คนพลุกพล่านทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้น ขณะที่พยายามควบคุมสติกับสิ่งที่รับรู้มา และไม่อยากเชื่อว่าพีทจะยอมทุมเทกับการแก้แค้นได้มากมายขนาดนี้

"มาอยู่นี่เอง ฉันหาเธอซะทั่ว" เสียงที่ดังกระซิบอยู่ที่ปลายหู ทำให้หญิงสาวสะดุ้งตกใจ พยายามหลับตารวบรวมสติ

"เออ..แองจี้ไปที่ออฟฟิตแล้วไม่เห็นอาพีท ก็เลยลงมานั่งเล่นข้างล่างนี่ค่ะ" หญิงสาวพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

"ประชุมเสร็จแล้วเหรอคะ"

"อืม ร้อนเหรอ" พีทแตะเหงื่อที่ผุดขึ้นที่หน้าผากหญิงสาว

"นิดหน่อยค่ะ" แองจี้เกาะกุมมือชายหนุ่มไว้

"ไม่สบายหรือเปล่า มือเธอเย็นมากเลยนะ" พีทบีบกระชับมือหญิงสาวไว้

"ค่ะ แองจี้ทานยาแล้ว"

"ใกล้เที่ยงแล้ว เธออยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม" พีทยิ้มถามด้วยอารมณ์ดี

"วันนี้ดูอาพีทมีความสุขจังนะคะ มีอะไรหรือเปล่า" แองจี้แกล้งถามด้วยน้ำเสียงแอบเหน็บไปในตัว ไม่อยากนึกว่าตอนนี้ชาร์ลีกับเอมี่จะเป็นอย่างไรบ้าง

"รู้ใจไปซะหมด" พีทยิ้มกว้างหยิกแก้มหญิงสาวเบาๆ เป็นการหยอกก่อนจะเอ่ยชวน

"ไปทานส้มต้ม ไก่ย่างกันไหม"

"นึกยังไงคะ" แองจี้ถามประหลาดใจ

"ก็แค่นึกอยาก" ชายหนุ่มยักไหล่

"ไปก็ได้ค่ะ" ว่าแล้วแองจี้ก็นึกเปรี้ยวปากขึ้นมาเหมือนกัน

"เธอจำได้ไหมว่าร้านอยู่ที่ไหน..."

"อาพีทจะแกล้งแองจี้อีกแล้วใช่ไหม..."





เอมี่เก็บตัวอยู่ในห้องร้องไห้ทั้งวัน จนกระทั่งเต้ยได้รับโทรศัพท์จากชาร์ลีในตอนเย็นถึงรู้ว่าหญิงสาวอยู่ในห้องนอน

"เอมี่ แม่เข้าไปนะลูก" เต้ยเคาะประตูเรียกก่อนเปิดเข้าไปเห็นลูกนอนร้องไห้อยู่บนเตียงจนตาบวมช้ำไปหมด

"แม่.." เอมี่ลุกนั่งกอดมารดาร้องไห้หนักกว่าเดิม

"เป็นอะไรไปลูก ทะเลาะกับชาร์ลีเหรอ เห็นเขาโทรมาบอกแม่ว่าหนูอยู่ในห้อง แม่ก็นึกว่าหนูยังไม่กลับ" เต้ยว่าพลางลูบหลังลูกสาวปลอบโยน

"ทะเลาะกันเรื่องอะไร บอกแม่ได้ไหม" เต้ยเอ่ยถาม

"เอมี่ไม่รู้..เราไม่ได้ทะเลาะอะไรกันเลยค่ะ..อยู่ๆ เขาก็บอกเลิก"

"ใจเย็นๆ นะลูก เล่าให้แม่ฟังตั้งแต่ต้นได้ไหม"

เอมี่เล่าทุกอย่างให้เต้ยฟังเริ่มตั้งแต่เช้าของวันนี้ แต่ยังคงปิดบังเรื่องตั้งครรภ์ เพราะรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะรับปฏิกิริยาและการซักถามใดๆ ได้อีก

"เข้มแข็งไว้นะลูก มันอาจเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด หรือถ้าต้องเลิกกันจริงๆ เอมี่ก็ยังมีโอกาสได้เจอคนอื่นอีก อย่าทำอะไรวู่วามนะลูก พ่อแม่รักหนูนะ" เต้ยปลอบโยนลูก แต่ภายในใจยังคิดว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้น เพราะทั้งคู่ดูรักใคร่กันดี แล้วจู่ๆ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้

"เอมี่ก็รักพ่อกับแม่ค่ะ" หญิงสาวรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิมที่ทำตัวเหลวไหลไม่สมกับที่พ่อแม่รักและไว้ใจ




หลังจากวันนั้นเอมี่เริ่มมีอาการซึมและเหม่อลอย คล้ายกับเมื่อตอนเพิ่งย้ายกลับมาจากเชียงใหม่แต่ดูจะหนักกว่าในคราวนี้ ส่วนชาร์ลีก็ไม่มาที่บ้านหรือแม้แต่โทรศัพท์มาอีกเลยเป็นเวลากว่าอาทิตย์ หญิงสาวมักจะออกมานั่งอาบแดดในตอนเช้านับชั่วโมง น้ำตาคลอขณะที่เผลอเอามือกุมหน้าท้องไว้อย่างเลื่อนลอย สร้างความทรมานใจไม่น้อยให้กับกันและเต้ยซึ่งเฝ้าจับตาดูลูกสาวอยู่ห่างๆ


แม้จะดูราวตัดใจไปได้อย่างไม่ใยดี ชายหนุ่มกลับฝังตัวอยู่ลำพังด้วยความทุกข์ทรมานใจที่เรือนน้ำตก ความทรงจำอันแสนหวานที่มีต่อหญิงซึ่งเข้าใจว่ามีสายเลือดเดียวกันนั้น กัดกร่อนให้เกิดความละอายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอกย้ำให้รู้สึกผิดอยู่ทุกเสี้ยววินาที เขาต้องห้ามใจตัวเองวันละเป็นพันๆ ครั้งเพื่อที่จะไม่ไปพบหญิงสาว




วันเวลาผ่านไป เอมี่เริ่มมีสติมากขึ้น และเริ่มคิดได้ว่าจะต้องเข้มแข็งเพื่อลูกที่จะเกิดมา จึงตัดสินใจว่าจะลืมคนใจร้ายให้ได้ หญิงสาวพร้อมแล้วที่จะยอมรับกับพ่อแม่ถึงสิ่งที่ได้ทำผิดพลาดลงไป และคิดว่าคงจะได้รับการอภัยในที่สุด

เอมี่เปิดลิ้นชักข้างเตียง หยิบแหวนและสร้อยคอที่ชายหนุ่มให้ไว้ออกมาดูเป็นครั้งสุดท้าย คิดว่าจะเอาไปฝังไว้ที่สวนหลังบ้าน จะได้ไม่ต้องเห็นมันอีกต่อไป ก่อนจะได้ยินเสียงสนทนาของพ่อและแม่แว่วมาจากหน้าห้อง

"กันต้องพูดกับลูกให้รู้เรื่อง"

"ใจเย็นๆ นะกัน"

หญิงสาวกำแหวนและสร้อยเส้นนั้นไว้ในมือ ก่อนจะลุกไปเปิดประตู เมื่อได้ยินเสียงเคาะ

"มีอะไรคะ พ่อ แม่" เอมี่มองหน้าทั้งสองแล้วพอจะเดาได้ว่าพ่อกับแม่จะพูดเรื่องอะไร

"นี่ลูกคิดจะปิดพ่อกับแม่ไปอีกนานแค่ไหน" กันชูขวดยาบำรุงสำหรับหญิงตั้งครรภ์ต่อหน้าลูกสาว

"เอมี่ขอโทษค่ะ พ่อแม่" หญิงสาวน้ำตาคลอ ก้มลงกราบเท้าทั้งสอง

"มันอยู่ไหน" กันคุกเข่าลงจับไหล่เอมี่เขย่าด้วยโทสะ จนวัตถุที่อยู่ในมือกลิ้งหลุดออกมา มีเพียงเต้ยเท่านั้นที่มองตามว่าวัตถุนั้นคืออะไร

"เอมี่ไม่รู้" หญิงสาวร้องไห้

"มันจะมาทำอย่างนี้กับลูก แล้วไม่รับผิดชอบไม่ได้" กันยังใส่อารมณ์ต่อ

"พ่อจะไปพบพ่อของมัน" กันยืนกรานมั่นคง

เต้ยหยิบแหวนที่มีประกายเจิดจ้าคุ้นเคยซึ่งไม่ได้เห็นมาแสนนานไว้ในมือด้วยอาการตื่นเต้นจนหัวใจเต้นรัว

"กัน..กันดูแหวนนี่สิ" เต้ยยื่นแหวนวงนั้นให้สามีดูด้วยใจเต้นระทึก ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจระคนตื่นเต้น

"เอมี่ได้แหวนวงนี้มาจากไหนลูก" เต้ยหันไปถามเอมี่ทันที ทั้งสองจ้องมองหน้าลูกสาวเป็นตาเดียวกัน

"ชาร์ลีให้เอมี่มา" หญิงสาวว่าเสียงเบา

"เขาบอกลูกไหมว่าได้มาจากไหน" กันถามด้วยท่าทางกระตือรือร้น ราวกับลืมเรื่องที่พูดกันก่อนหน้านี้ไปสนิท จนเอมี่ถึงกับงงไปกับปฏิกิริยาของพ่อและแม่

"มันติดตัวเขามาตั้งแต่เด็กค่ะ ไม่ได้บอกว่าใครให้มา" กันกับเต้ยมองหน้ากันด้วยความดีใจจนออกนอกหน้า ก่อนจะถามคำถามสุดท้ายเพื่อให้แน่ใจ

"ชาร์ลีมีพลังพิเศษเหมือนที่พ่อเคยมีใช่ไหม" ทั้งสองแทบจะกลั้นหายใจรอคำตอบ

"ค่ะ" เอมี่ตอบออกไปในที่สุด

"ชาร์ลีก็คือตันตันเหรอนี่ ในที่สุดเราก็ได้พบลูกแล้ว" เต้ยโผเข้ากอดกันทันที ดีใจจนน้ำตาไหลพราก

"อะไรกันคะ พ่อ แม่" เอมี่งงไปหมดว่าทั้งสองพูดเรื่องอะไรกัน



กันจำต้องเล่าความจริงทั้งหมดให้เอมี่ได้รับรู้ สถานการณ์ที่ดูจะเลวร้ายและทำให้ทุกคนเครียดกลับพลิกฟื้นไปในทางที่ดี สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือต้องหาตัวชาร์ลีให้พบ เรื่องทุกอย่างจะได้กระจ่างเสียทีว่าที่เขาทำกับเอมี่แบบนี้เป็นไปเพื่อการแก้แค้นให้พีท หรือเพราะเหตุผลใดอื่น

เต้ยเอาอัลบั้มรูปของชายหนุ่มในวัยเยาว์ให้เอมี่ดูเพื่อยืนยัน ว่าทั้งสองเกิดในวันเดือนปีเดียวกัน แต่ต่างสถานที่ และรูปภาพที่เคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ในบ้านหลังนี้อย่างมีความสุข แม้จะไม่มีความทรงจำในส่วนนั้นเหลืออยู่ แต่เอมี่ก็อดยิ้มไม่ได้ กับภาพร่าเริงของเด็กทั้งสอง ไม่อยากเชื่อว่านี่คือรูปของตัวเองกับชายที่ตนรักจนหมดใจ

ส่วนกันและเต้ยนั้น รู้สึกยินดีจนเกินบรรยายที่จะได้ลูกทั้งสองกลับมาอยู่พร้อมหน้ากัน แถมด้วยหลานตัวน้อยที่กำลังจะเกิดมาในอนาคตอันใกล้อีก ทำให้ความทุกข์หนักหนาในชั่วโมงก่อนหน้านี้มลายไปสิ้น



"นี่คือแหวนที่ติดตัวชาร์ลีไป ในคืนที่เขาถูกลักพาตัว" เต้ยเล่าย้อนนึกถึงอดีตในค่ำคืนนั้นได้อย่างแจ่มกระจ่าง

"งั้นแม่ที่ชาร์ลีบอกตลอดเวลาว่าหนีไปกับชายชู้ ก็คือแม่กับพ่อเหรอคะ" เอมี่เริ่มประติดประต่อเรื่องได้

"พีทคงหลอกชาร์ลี เพื่อการแก้แค้น สามีคนเดียวของแม่ก็คือพ่อกัน" เต้ยว่า

"และถ้าเขาเป็นพ่อชาร์ลีจริง เขาจะต้องสูญเสียพลังอมตะ และจะไม่มีวันดูหนุ่มอย่างที่ลูกเห็น เพราะพลังนี้จะถ่ายทอดสู่ลูกชาย" กันกล่าวเสริม

"มิน่าล่ะ แองจี้ถึง..." เอมี่นึกย้อนถึงเรื่องที่แองจี้เคยมาปรึกษาได้ทันที

"ใครอ่ะลูก" เต้ยถามเห็นท่าทีเอมี่เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

"พ่อค่ะแม่ค่ะ เดี๋ยวเอมี่มานะคะ" เอมี่คว้ากระเป๋าถือ กับกุญแจรถ

"เดี๋ยวสิลูก จะไปไหน" กันถาม

"ตามหาชาร์ลีค่ะ" เอมี่หันกลับมาตอบแล้วผละไปทันที




เอมี่โทรนัดแองจี้ออกมาเจอกันทันทีหลังจากที่ออกรถ เพราะคิดว่าหญิงสาวอาจรู้ว่าชาร์ลีอยู่ที่ไหน

"ขอบใจนะแองจี้ที่ยอมออกมาพบฉัน" เอมี่เอ่ยเมื่ออีกฝ่ายมาถึงร้านกาแฟในห้างที่เคยมาด้วยกัน

"ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็นึกห่วงเธออยู่เหมือนกัน" แองจี้ว่า เพราะตั้งแต่วันนั้นทั้งสองก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย

"เธอพบชาร์ลีบ้างไหม" เอมี่ถามด้วยความหวัง

"ไม่อ่ะ ตั้งแต่วันนั้น... เขาก็ไม่เข้าออฟฟิตอีกเลย" แองจี้ว่า

"แล้วเธอรู้ไหมว่าเขาไปอยู่ไหน"

"เธอจะพบเขาอีกทำไมเอมี่ เรื่องของเธอกับชาร์ลีมันน่าจะจบได้แล้วนะ" แองจี้พูดออกไปตรงๆ

"เธอรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เหรอ บอกฉันเถอะนะแองจี้" เอมี่ว่าด้วยสายตาวิงวอน แองจี้ถอนใจก่อนจะตัดสินใจเล่าว่าตนรู้อะไรมา

"วันนั้นฉันแอบได้ยินอาพีทบอกชาร์ลีว่า เธอกับเขาเป็นพี่น้องกัน คงเป็นเพราะเรื่องนี้แหละ เขาถึงได้หลบหน้าเธอ"

"เป็นอย่างนี้นี่เอง" เอมี่พูดกับตัวเอง เมื่อเริ่มเข้าใจสาเหตุที่อีกฝ่ายบอกเลิก

"ช่วยฉันอีกเรื่องได้ไหม" เอมี่หันมาหาเพื่อน

"อะไร.."

"โทรหาชาร์ลีให้ฉันที ถ้าฉันโทรเองเขาต้องไม่รับสายแน่เลย"

"เธอจะให้ฉันบอกเขาว่าอะไร"

"นัดเขาออกมาพบฉัน"

"นี่เธอยังจะ..."

"ฉันขอร้องแองจี้ เรื่องนี้มันมีอะไรซับซ้อนมากกว่าที่เธอคิด"

"เอางั้นก็ได้ ฉันไม่รู้นะว่าจะติดต่อได้หรือเปล่า" แองจี้ว่าแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมากดหาชายหนุ่มทันที ขณะที่เอมี่นึกภาวนาในใจให้อีกฝ่ายรับสาย

"ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก ...the number you dialed could not be conneted" ....


"ติดต่อไม่ได้อ่ะ"

"งั้นคงเหลือวิธีสุดท้ายแล้วล่ะ"

"เธอจะไปไหน"

"เดี๋ยวฉันมา"

แองจี้เฝ้ามองตามเมื่อเห็นเอมี่เดินออกไปนอกห้าง แล้วตรงไปที่ทางม้าลายบริเวณสี่แยกถนนใหญ่ หญิงสาวจับตามองไปเรื่อยๆ ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร แล้วพลันได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แองจี้ชะงักไปชั่วครู่เมื่อเห็นว่าใครโทรกลับ ก่อนจะกดรับพร้อมเสียงอุทานตื่นตระหนก

"เอมี่ กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!!"

"ช่วยด้วย!!" หญิงสาวควักธนบัตรออกวางเป็นค่าเครื่องดื่ม แล้วโยนโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋าทันที ก่อนจะก้าวเท้าเร็วๆ ออกจากร้านไปด้วยรอยยิ้ม

เสียงตื่นตกใจโกลาหลนั้นทำให้คนที่ปลายสายร้อนรนยิ่งกว่าร้อยเท่าพันทวี เขาขว้างโทรศัพท์ทิ้งก่อนจะทะยานไปสู่พิกัดที่จับภาพหญิงสาวซึ่งคิดว่าอยู่ในอันตรายได้ทันที

และเป็นเวลาเดียวกับที่เอมี่ตั้งท่าจะก้าวเท้าไปบนถนนใหญ่ที่รถลาวิ่งกันขวักไขว่ แต่กลับรู้สึกถึงแรงฉุดจนเท้าลอยจากพื้น และอ้อมแขนที่โอบกอดไว้รอบตัว

"เธอคิดจะทำอะไร" ชายหนุ่มขยับออกว่าด้วยอารมณ์โกรธระคนห่วงใย เมื่อทั้งสองยืนกอดกันอยู่หน้าประตูทางเข้าห้างสรรพสินค้า

"ชาร์ลี!" เอมี่ยิ้มดีใจจนน้ำตาร่วง ขณะมองสบตาชายหนุ่ม ทั้งสองเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ไม่รับรู้ถึงสายตาหลายสิบคู่ของคนรอบข้างซึ่งกำลังมองมาด้วยความสนใจ

"เอมี่..ฉัน" ชาร์ลีโน้มลงหาริมฝีปากบางสวย แต่แล้วกลับชะงักราวกับมีอะไรมาฉุดรั้งไว้ เอมี่รู้ถึงสาเหตุจึงโอบรอบคอชายหนุ่มโน้มลงมา แล้วจูบเขาซะเอง ความอ่อนโยนที่โหยหามานาน ทำให้อีกฝ่ายหมดแรงต้านทานในที่สุด เขากอดประคองหญิงสาวแล้วกดริมฝีปากลงอย่างดูดดื่ม เพื่อตอบสนองความรักและคิดถึงที่ต้องทนเก็บกดไว้ตลอดระยะเวลาเกือบเดือนที่ไม่มีโอกาสได้เจอกัน จุมพิตเย้ายวนใจนั้นสิ้นสุดลงพร้อมเสียงปรบมือและเฮลั่นของผู้คนรอบข้าง ทำให้ทั้งสองยิ้มเขินขึ้นมาทันที

"เราหาที่คุยกันก่อนได้ไหม" เอมี่ว่าเขินๆ

"รีบไปกันเถอะ" ชาร์ลีกระซิบแล้วยิ้มขำ



ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นที่ทุ่งหญ้าสีชมพูเงียบสงบ เป็นที่ๆ เหมาะจะเปิดใจคุยกันในทุกๆ เรื่อง

แม้จะดีใจมากเพียงใดที่ได้พบเอมี่อีกครั้ง แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี เพราะยังอยู่กับความรู้สึกผิดตลอดเวลา

เอมี่กอดชายหนุ่มไว้แนบแน่นด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ และคิดว่าจะไม่ยอมให้เขาจากไปอีก

"ที่จริง เราไม่ควรจะพบกันอีก..." ชาร์ลีว่าพยายามจะขยับหญิงสาวออก ทั้งที่ภายในใจไม่อยากทำเช่นนั้น

"ทำไมล่ะคะ" เอมี่ยังไม่ยอมคลายอ้อมแขน เงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม

"เพราะเรา..." ชายหนุ่มอ่ำอึ้ง ไม่รู้จะบอกความจริงออกไปยังไง

"เป็นพี่น้องกันนะเหรอ" เอมี่ต่อให้เสร็จสรรพ

"เธอรู้เรื่องนี้..." ชาร์ลีมองหญิงสาวด้วยแววประหลาดใจ

"ใช่ แล้วรู้ด้วยว่าคุณเข้าใจผิด" เอมี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม

"เธอหมายความว่าไง" ชาร์ลีเริ่มสนใจสิ่งที่หญิงสาวพูดขึ้นมาทันที

"พ่อกันกับแม่เต้ย บอกความจริงฉันหมดแล้ว เราไม่ได้เป็นพี่น้องกัน เพราะฉันไม่ใช่ลูกพ่อกับแม่ คุณต่างหากที่เป็นลูกที่แท้จริง"

"แล้วเธอเป็นลูกใคร" ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนเข้า ถามด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี ราวได้ยินเสียงสวรรค์

"รูปปั้นเทวดากับนางฟ้าที่คุณเห็น นั่นแหละพ่อแม่ฉัน" หญิงสาวว่าหน้าเศร้าขึ้นเล็กน้อย

"เป็นไปได้ยังไง"

"พ่อกับแม่โดนผนึกจนกลายเป็นหินเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน พ่อกันก็เลยเอาฉันมาเลี้ยง ส่วนคุณก็ถูกลักพาตัวไปตั้งแต่สามขวบ"

"พ่อทำกับทุกคนเกินไปแล้วจริงๆ" ชาร์ลีว่าพลางกอดปลอบหญิงสาว

"คุณยังจะเรียกเขาว่าพ่ออีกเหรอ" เอมี่ว่า

"ถึงพ่อจะไม่ได้เลี้ยงฉันมาด้วยความรัก แต่ฉันก็ยังรู้สึกผูกพันธ์กับเขาอยู่ดี มองอีกมุมนึง เราอาจไม่ได้พบรักกันถ้าไม่มีพ่อ และถ้าเราโตมาในครอบครัวเดียวกัน ความรู้สึกที่มีอาจไม่ใช่แบบนี้"

"ยกโทษให้พ่อพีทนะเอมี่ ฉันเคยอยู่กับความโกรธแค้นมาตลอด และไม่เคยมีความสุขกับมันเลยซักวัน ทุกอย่างกำลังจะจบลงแล้ว"

"ฉันจะพยายาม" เอมี่ขยับออก มองสบตาคนตรงหน้า

"ให้ฉันขอบคุณเธอหนักๆ ซักครั้งดีไหมที่รัก" ชายหนุ่มว่าล้อ ก่อนจะโน้มลงจูบหญิงสาวดูดดื่มและหนักหน่วงอีกครั้ง โดยปราศจากความรู้สึกผิดติดค้างในใจ ท่ามกลางดอกหญ้าสีชมพูอร่าม เบ่งบานดุจความรักของทั้งคู่ที่มีอยู่ในขณะนี้ ...





















 

Create Date : 08 มกราคม 2554    
Last Update : 14 มกราคม 2554 10:23:57 น.
Counter : 403 Pageviews.  

Twilight Stars6 ตอนที่ 74

"เอมี่จะให้แม่เตรียมอาหารอะไรเป็นพิเศษไหมลูก แม่ไม่รู้เพื่อนหนูชอบทานอะไร" เต้ยว่าขณะที่ทั้งสามร่วมทานมื้อเช้าด้วยกัน

"เออ..ขอเป็นไก่อบน้ำผึ้ง ข้าวผัดปู กุ้งอบวุ้นเส้น สปาเก็ตตี้ครีมซอส แล้วก็สลัดค่ะแม่ อย่างอื่นถ้าจะเพิ่มเติมก็แล้วแต่แม่นะคะ" เอมี่ว่าเมนูคล่องจนเต้ยแอบหันมองหน้าสามี

"เท่าที่ว่ามา แม่ว่าทานกันสี่คนก็ไม่ไหวแล้วนะลูก"

"เพื่อนเอมี่ทานจุมากค่ะแม่ ขนาดข้าวผัดปูจานเบ่อเริ่มกับไก่ทั้งตัวเขายังทานหมดคนเดียวเลยค่ะ" เอมี่ว่าอย่างลืมตัว

"ลูกเคยทำให้เขาทานเหรอ" กันเอ่ยถามขึ้น

"เออ.. เอมี่ไปทำงานก่อนนะคะ สายแล้วค่ะ" หญิงสาวอ้ำอึ้ง รีบเปลี่ยนเรื่องพลางมองนาฬิกา แล้วออกจากบ้านไปทันที

"เดี๋ยวสิ! ตายแล้ว เอมี่ลืมกระเป๋าถืออ่ะกัน" เต้ยเหลือบไปเห็นกระเป๋าถือวางอยู่บนโซฟา รีบเดินไปหยิบแล้วหันมาบอกสามี

"คงยังไปไม่ไกล เดี๋ยวกันเอาไปให้ลูกเอง" กันรีบตามเอมี่ออกไปนอกรั้วบ้าน วิ่งเร็วไปถึงทางแยกก็ไม่เห็นแม้เงา ทำให้เริ่มสงสัยและเป็นกังวลในพฤติกรรมแปลกๆ ของลูกสาว ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้าน

"ทันไหมคะกัน" เต้ยถาม

"ไม่ทันอ่ะ"

"แล้วลูกไปได้ยังไงล่ะ กระเป๋าสตางค์ก็อยู่ในนี้"

"นั่นน่ะสิ เห็นทีต้องพูดกันให้รู้เรื่องแล้วล่ะคราวนี้" กันถอนหายใจก่อนจะหันมองสบตาเต้ยด้วยแววกังวลทั้งสองฝ่าย






แองจี้ลืมตาโตขึ้นทันที เมื่อรู้สึกตัวว่าสายมากแล้วด้วยความเคยชิน และขยับจะลุกออกจากเตียงด้วยอาการร้อนรน ก่อนจะรู้สึกถึงอ้อมแขนที่เอื้อมมาโอบรัดรอบเอวไว้

"เธอจะรีบไปไหน" พีทรั้งร่างเล็กจนแผ่นหลังแนบชิดอกกว้างแล้วเอ่ยถาม

"ก็ไปทำงานไงคะ" หญิงสาวหันมองนาฬิกาบอกเวลา 10 โมงเช้า

"เจ้านายยังอยู่นี่ แล้วเลขาจะเข้าออฟฟิตไปทำอะไร" พีทถาม

"ก็มันสายมากแล้ว..." หญิงสาวว่าแก้เก้อ

"ขยันขนาดนี้ สงสัยต้องให้โบนัสล่วงหน้า" พีทหัวเราะในลำคอเลื่อนตัวลงกดคางไว้บนไหล่หญิงสาว

"จริงอ่ะ" แองจี้ทำเสียงตื่นเต้น

"อืม..จะรับเดี๋ยวนี้เลยไหม" พีทขยับไหล่เสื้อหญิงสาวลงไปบนต้นแขนแล้วจูบไซ้ไปบนผิวขาวนวล

"แองจี้มีนโยบายไม่รับโบนัสล่วงหน้าค่ะ" หญิงสาวขยับไหล่หลบ

"หึ เธอนี่พนักงานดีเด่นจริงๆ" พีทว่าประชดขำๆ ก่อนจะกดปลายจมูกแรงๆ ลงบนผิวนวลเนียนอีกครั้ง

"วันนี้ไปทำงานไหมคะ" แองจี้เอ่ยถาม

"ไปด้วยกันนะ.."

"ถ้าไปโผล่ที่ทำงานด้วยกัน น่าเกลียดตายเลยค่ะ ยัยเลขาหน้าห้องชอบจับผิดแองจี้อยู่เรื่อย"

"ก็ดีน่ะสิ เค้าจะได้จับถูกซะที"

"อาพีทคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอคะ"

"หรือเธอกลัว.."

"แองจี้ไม่เคยกลัวใครอยู่แล้วค่ะ..."

"เหรอ?.."

"ไหนบอกว่าจะไปทำงานไงคะ..."

"....."

"....."





ชาร์ลีสั่งกระเช้าผลไม้ใบใหญ่ตกแต่งสวยงามไว้หลังรถ ก่อนพาเอมี่กลับบ้านในตอนเย็น ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้พบปะและพูดคุยกับแม่ แม้ในใจจะยังแอบเคืองและน้อยใจอยู่บ้างก็ตามที

"รถติดจังเลยค่ะ" เอมี่ว่าขณะที่ทั้งสองนั่งอยู่ในรถด้วยกัน

"เธอไม่ได้นั่งรถนาน คงไม่ชินเป็นธรรมดา"

"พ่อกันก็เคยมีพลังพิเศษ จริงๆ แล้วพ่อกับแม่คงไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ ถ้ารู้ว่าคุณก็มีพลังแบบนั้นด้วย"

"ฉันขอร้องว่าอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่เธอได้ไหมเอมี่"

"ทำไมล่ะค่ะ"

"ฉันมีเหตุผล ถึงเวลาฉันจะเปิดเผยทุกอย่างเอง"

"ตามใจค่ะ ชอบมีลับลมคมในอยู่เรื่อย"

"แต่เธอก็รักฉันใช่ไหม" ชาร์ลีว่าล้อแล้วกุมมือหญิงสาวไว้

"ใครว่าล่ะ.." เอมี่ยิ้มเขิน





"กี่โมงแล้วคะกัน" เต้ยเอ่ยถามขณะที่ยังเตรียมอาหารอยู่ในครัวตามเมนูที่เอมี่ขอไว้

"ห้าโมงครึ่งแล้วที่รัก" กันเดินเข้ามาดูว่ามีอะไรพอหยิบจับช่วยได้บ้าง

"เกือบเสร็จแล้วค่ะ คงทันเวลาพอดี"

"จะต้อนรับว่าที่ลูกเขยทั้งที เล่นเอาภรรยาผมเหนื่อยขนาดนี้เลยเหรอ" กันว่าล้อแล้วโอบเอวเต้ยไว้จากด้านหลัง

"มีอะไรให้ช่วยไหมที่รัก"

"ช่วยทานให้หมดก็พอค่ะ อาหารเยอะขนาดนี้" เต้ยว่าแล้วยิ้มขำมองอาหารกองเต็มโต๊ะเตรียม

"เรื่องนั้นไม่มีปัญหา เต้ยก็รู้ว่ากันเป็นพ่อสองตัน ยังไงก็กินไหว" กันเพียงต้องการพูดล้อเล่น แต่กลับไปสะกิดใจคนฟังเข้าอย่างจัง เต้ยชะงักมือที่เคลื่อนไหวอยู่ทันที ทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าพลาดไปแล้ว

"ขอโทษนะเต้ย กันไม่ได้ตั้งใจ.." กันกระชับอ้อมแขนขึ้นปลอบภรรยา

"เต้ยไม่เป็นไรหรอก" เต้ยเอียงหน้าขึ้นสบตาด้วยใบหน้าเศร้า

"ไม่เอาน่า กันร้องเพลงให้ฟังนะ" กันก้มลงกดจมูกลงบนแก้มนุ่ม ก่อนจะเริ่มครวญเพลงเบาๆ แล้วโยกตัวไปด้วยเหมือนที่เคยทำบ่อยๆ ตั้งแต่ทั้งสองใช้ชีวิตร่วมกันมา





"เต้ยไม่รู้จะอยู่ได้ยังไง ถ้าไม่มีกันอยู่เคียงข้างมาตลอด" เต้ยหันสบตาคนตรงหน้าด้วยความซาบซึ้ง

"กันก็คงอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีเต้ย" แววตาพราวระยับมองตอบสื่อความหมายรักใคร่

"ถ้าสวีทนานกว่านี้ อาหารต้องไม่เสร็จแน่เลย" เต้ยยิ้มเขิน

"งั้นคืนนี้ค่อยมาสวีทกันต่อนะที่รัก" กันโน้มลงกระซิบที่ข้างหู

"เต้ยขอทำอาหารต่อนะ" เต้ยยิ้มละไมให้สามี

"โอเค ครับผม" กันกอดภรรยาเอนตัวไปมาอีกสองสามทีจึงยอมปล่อยแล้วผละออกไปที่ห้องรับแขก





ชาร์ลีจอดรถคันหรูไว้หน้าบ้านด้วยเสียงเงียบกริบ ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วเดินเข้าไปในรั้วบ้านพร้อมเอมี่ แต่เผอิญนึกขึ้นได้ว่าลืมกระเช้าผลไม้ จึงเดินกลับไปเอา ส่วนหญิงสาวเดินเข้าไปในตัวบ้านล่วงหน้า เพื่อบอกพ่อกับแม่

"เอมี่กลับมาแล้วเหรอลูก อ้าวแล้วเพื่อนไม่มาด้วยกันเหรอ" เต้ยเอ่ยทักเมื่อเห็นเอมี่เดินเข้ามาในห้องรับแขก

"เขาไปหยิบของฝากในรถค่ะ พ่อล่ะคะแม่" เอมี่ว่าพลางนั่งลงข้างๆ

"อยู่ข้างบนจ่ะ เดี๋ยวคงลงมา" เต้ยว่าก่อนจะถามต่อถึงเรื่องที่คาใจ

"แล้วเมื่อเช้าหนูไปทำงานยังไงล่ะลูก กระเป๋าถือก็ไม่ได้เอาไป พ่อวิ่งตามไปก็ไม่เห็นหนูแล้ว" เต้ยถามเสียงปกติ แต่ใจนั้นจดจ่อกับคำตอบของลูกสาว

"เออ..คือเอมี่" หญิงสาวอ้ำอึ้งไม่รู้จะอธิบายยังไง

"เมื่อเช้าผมมารับเอมี่ที่หน้าบ้าน เผอิญรีบก็เลยไม่ได้เข้ามาทักทาย ต้องขอโทษด้วยนะครับ" ชาร์ลีถือวิสาสะตอบออกไป ก่อนที่แม่ลูกจะหันมามองตามเสียงพร้อมๆ กัน

"แม่คะ..นี่ชาร์ลีค่ะ" เอมี่รีบแนะนำขณะที่ชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า

"สวัสดีครับแม่" ชาร์ลีว่างกระเช้าลงบนโต๊ะ ก่อนจะไหว้ทักทายด้วยแววตาหลากอารมณ์

"สวัสดีค่ะ" เต้ยยืนขึ้นรับไหว้ชายอ่อนวัยกว่าตรงหน้า ด้วยความรู้สึกเอ็นดู และถูกชะตาขึ้นมาทันที พลางคิดว่าใบหน้าเขาละม้ายคล้ายสามีในวัยหนุ่ม

"แม่สบายดีไหมครับ" ชาร์ลีเข้าสวมกอดมารดาแล้วเอ่ยถาม

"เออ..สบายดีค่ะ" เต้ยงงๆ และเก้อเขินกับการแสดงออกของชายหนุ่ม คิดในใจว่าเขาคงติดธรรมเนียมตะวันตก แต่อ้อมกอดนั้นดูสนิทสนมยาวนานกว่าที่คิดไว้

"นี่ผลไม้ครับแม่ เห็นเอมี่บอกว่าแม่ชอบทาน" ชาร์ลีว่าหลังจากขยับออก

"ขอบคุณค่ะ" เต้ยยิ้มให้ชายหนุ่ม

"มากันแล้วเหรอลูก" กันลงมาจากข้างบนพร้อมเสียงเอ่ยทัก ก่อนที่ทุกคนจะหันไปมอง

"ชาร์ลี นี่พ่อกันค่ะ" เอมี่แนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน

"สวัสดีครับคุณอา" ชาร์ลีไหว้ทักด้วยท่าทางนิ่ง และห่างเหิน

"สวัสดีครับ" กันรับไหว้รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูหน่วยก้านดีแต่สายตาเย็นชาไปซักนิด

"หิวกันหรือยังจ๊ะ แม่เตรียมอาหารไว้แล้ว" เต้ยหันไปถามเด็กๆ ทั้งสอง

"งั้นไปคุยกันต่อที่โต๊ะอาหารดีกว่า แม่เค้าทำไว้เยอะเลย" กันเอ่ยชวนแล้วโอบเอวภรรยาไปที่โต๊ะ ชาร์ลีมองตามด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย

"ทานเยอะๆ นะคะ ได้ยินว่าเป็นอาหารโปรดคุณทั้งนั้น แต่ไม่รู้น้าจะทำถูกปากหรือเปล่า" เต้ยว่ากับคนที่นั่งตรงข้าม

"ขอบคุณครับแม่ ดูหน้าตาก็รู้ว่าต้องอร่อย" ชาร์ลียิ้มโยนลูกหยอดก่อนลงมือทาน ทำให้เต้ยรู้สึกเอ็นดูชายหนุ่มขึ้นเป็นลำดับ จากที่เคยคิดว่าอาจต้องรู้สึกอึดอัดบ้างกับการต้อนรับในครั้งนี้ กลับไม่เป็นอย่างที่คิด

จากการรับประทานอาหารและพูดคุยกัน กันสัมผัสได้ว่าชายหนุ่มเข้ากับลูกสาวและภรรยาได้ดีทีเดียว แต่กับเขาอีกฝ่ายดูจะตั้งแง่อยู่เงียบๆ แต่ถ้าเอมี่และเต้ยรู้สึกดี ตัวเขาเองก็พร้อมจะเปิดใจรับ เพราะชื่นชอบบุคลิกเป็นกันเอง และการวางตัวของชายหนุ่มอยู่ไม่น้อย

ชาร์ลีรู้สึกเจริญอาหารเป็นพิเศษในวันนี้ และเพิ่งได้สัมผัสบรรยากาศครอบครัวอย่างแท้จริง เขาเคยคิดว่าพ่อของเอมี่คงเป็นคนที่ไม่น่าคบหา จากสิ่งที่พีทฝั่งหัวให้ แต่พอได้พูดคุยกันจึงรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนใจดีและอบอุ่นเข้ากันได้ดีกับนิสัยอ่อนโยนของผู้เป็นแม่ และเป็นบุคลิกซึ่งแตกต่างจากพีทโดยสิ้นเชิง ทำให้เขาเริ่มเห็นปัญหาความสัมพันธ์ของพ่อแม่ในแง่มุมที่ต่างออกไป


"ขอบคุณนะครับแม่ คุณอา คราวหน้าผมขอมารบกวนอีกนะครับ" ชาร์ลีว่าเป็นการกล่าวลา

"สาวๆ บ้านนี้คงเต็มใจน่าดู ส่วนอาก็ยินดี" กันว่าด้วยอารมณ์ดี

"ให้เอมี่มาบอกก่อนนะจ๊ะ น้าจะได้เตรียมอาหารไว้เยอะๆ" เต้ยว่าล้อชายหนุ่ม เพราะทานเกือบหมดโต๊ะจริงๆ

"ไปค่ะ เดี๋ยวฉันไปส่ง" เอมี่ว่าหลังจากที่ชาร์ลีลาพ่อแม่เรียบร้อย ก่อนจะเดินเคียงกันไปที่ประตูรั้ว

"ดูคุณสนุกดีนะคะวันนี้" เอมี่ว่าเมื่อทั้งสองมาถึงรถที่จอดอยู่

"เดี๋ยวคืนนี้ค่อยเล่านะที่รัก" ชาร์ลีโน้มลงหอมแก้มพลางกระซิบแล้วขึ้นรถจากไป



"ชาร์ลี่น่ารักดีนะกัน" เต้ยเอ่ยชมเมื่ออยู่กันตามลำพัง

"เต้ยหลงเสน่ห์เขาเข้าอีกคนแล้วสิ" กันว่าล้อ

"เต้ยรู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้ยังไงก็ไม่รู้ เห็นแว๊บแรกยังแอบคิดว่าหน้าเหมือนกันตอนหนุ่มๆ มากเลย"

"หนุ่มๆ กันหล่อกว่านี้ตั้งเยอะ เทียบกันไม่ได้หรอกเต้ย"

"ดีนะ ที่พูดเนี่ยเต้ยได้ยินคนเดียว" เต้ยว่าแหย่แล้วขำ

"เต้ยลองพูดว่าไม่จริงดูสิ" กันมองสบด้วยสายตาข่มขู่แกมหยอก

"อืม..เอาเป็นว่าหล่อคนละแบบ ดีไหม" เต้ยว่าแล้วหัวเราะ

"ตอบแบบนี้ก็พอจะรับได้นะที่รัก" กันหยิกแก้มภรรยาเป็นการหยอกล้อ



"คุยอะไรกันอยู่คะ พ่อแม่" เอมี่เดินกลับเข้ามาพอดี

"แม่เค้ากำลังได้ปลื้มลูกชายคนใหม่อยู่น่ะลูก เห็นเรียกกัน แม่ๆๆ ไม่ขาดปาก" กันว่าล้อภรรยา

"ชาร์ลีกำพร้าแม่มาตั้งแต่เล็กค่ะ เขาคงอยากมีแม่มั้งคะ" เอมี่ว่า

"แม่เขาเป็นอะไรล่ะลูก" เต้ยถามด้วยความสนใจ

"เห็นว่าเลิกกับพ่อเขาไปแต่งงานใหม่ แล้วก็ไม่เคยกลับมาหาเขาอีกเลยค่ะ" เอมี่เล่า

"โธ่! น่าสงสารจัง" เต้ยว่าพลางนึกว่านี่คงเป็นสาเหตุที่ชายหนุ่มเรียกตนว่าแม่ไม่ขาดปาก

"แล้วพ่อว่าเขาเป็นไงคะ" เอมี่หันไปขอความเห็น

"เท่าที่ดูก็โอเคนะ แต่พ่อคงต้องดูต่อไปอีกซักพัก" กันว่ายิ้มๆ

"เอมี่จะบอกเขาค่ะ ว่าให้เอาใจพ่อมากๆ" หญิงสาวว่าล้อ

"เออ..แล้วตกลงเมื่อเช้านี้ลูกไปทำงานยังไง" กันนึกขึ้นมาได้ จึงหันไปถามเอมี่ทันที

"คือ..ชาร์ลีมารับเอมี่ที่หน้าบ้านค่ะ แต่ไม่ได้แวะเข้ามา" เอมี่ตอบออกไปตามที่ชายหนุ่มพูดไว้

"ทีหลังลูกควรจะบอกพ่อแม่บ้างนะ ทำให้ตกใจกันไปหมด" กันว่าตักเตือนลูกสาว

"ค่ะพ่อ เอมี่ขอโทษนะคะ" หญิงสาวยิ้มสำนึกผิด ก่อนจะขอตัวขึ้นไปอาบน้ำ




"รอตั้งนานแล้วที่รัก" ชาร์ลีรวบกอดเอมี่ไว้ทันทีหลังจากที่ประตูห้องนอนปิดลง

"คุณเพิ่งออกไปเมื่อกี้เองนะ แล้วเอารถไปจอดไว้ไหนคะ" เอมี่กระซิบถาม

"ข้างกำแพง ถัดไปอีกซอยนึง" ชายหนุ่มยิ้มสบตา

"ร้ายจริงๆ เลย" เอมี่ตีอกคนตรงหน้า

"ไปกันเถอะ อยู่ที่นี่คุยกันไม่สะดวก" ชาร์ลีเอื้อมมือไปกดล็อคประตู

"แล้วรถคุณล่ะคะ"

"จอดไว้นี่แหละ พรุ่งนี้ตอนมารับ จะได้ไม่ต้องขับไกล"



"วันนี้สนุกไหมค่ะ เห็นคุณทานได้เยอะเลย" เอมี่เอ่ยถามเมื่อทั้งสองนั่งชมวิวด้วยกันอยู่บนยอดตึก

"สนุกสิ อาหารก็อร่อย ฉันฝันอยากมีครอบครัวแบบนี้มานานแล้ว" ชาร์ลีกระชับอ้อมแขนกอดคนที่กำลังนั่งแนบชิดอยู่กลางอก

"ตอนนี้ฝันก็ใกล้เป็นจริงแล้วนี่คะ" เอมี่กุมมือชายหนุ่มไว้

"แม่กับพ่อเธอว่าไงบ้าง" ชาร์ลีก้มลงถาม

"รู้สึกคุณจะผ่านด่านแม่เต้ยได้ฉลุย แต่พ่อกันขอดูไปก่อนค่ะ" เอมี่ว่า

"งั้นก็ไม่น่ามีปัญหา" ชาร์ลีพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

"คุณคงไม่มีปัญหาหรอก แต่ฉันสิ ป่านนี้ยังไม่กล้าสบตาพ่อคุณเลย" เอมี่ว่าด้วยสีหน้ากังวล

"พยายามหน่อยนะเอมี่ ขนาดฉันเป็นลูกยังคุยกันเฉพาะเรื่องงาน ชีวิตฉันไม่เคยสัมผัสบรรยากาศครอบครัวอบอุ่นแบบที่บ้านเธอมีเลยซักครั้ง"

"ก็มาที่บ้านบ่อยๆ สิค่ะ อีกหน่อยเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนี่" เอมี่เอียงหน้าขึ้นยิ้มสบตา

"ฉันก็ไปทุกคืนอยู่แล้วนี่" ชายหนุ่มว่าล้อ

"บ้า..หมายถึงไปทานข้าวกันแบบวันนี้ต่างหาก" เอมี่หยิกแขนอีกฝ่ายเป็นการทำโทษ

"เธอก็ดูเข้ากับแองจี้ได้ดีนี่ ฉันคิดว่าแองจี้น่าจะรู้จักพ่อฉันดี เผลอๆ ดีกว่าฉันเสียด้วยซ้ำ" ชายหนุ่มวกกลับมาเรื่องพ่ออีกครั้ง ด้วยรอยยิ้มมีนัย

"คุณรู้เรื่องแองจี้กับพ่อคุณด้วยเหรอ" เอมี่ถามประหลาดใจ

"อืม.. แองจี้บอกเธอเหรอ" ชาร์ลีถามกลับ

"ค่ะ"

"ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอสนิทกันขนาดนั้น" ชาร์ลียิ้มขำ

"อืม..เรื่องนี้แองจี้อาจช่วยได้" เอมี่ว่าด้วยความหวัง เพราะรู้ว่าเป็นเพียงคนเดียวที่ใกล้ชิดพีทมากที่สุดในตอนนี้





หนี่งเดือนต่อมา...


ชาร์ลีไปมาหาสู่บ้านเอมี่บ่อยครั้งนับตั้งแต่ได้แสดงตัวให้พ่อและแม่ของฝ่ายหญิงรู้จัก จนสนิทสนมกลมกลืนกันในเวลาเพียงชั่วข้ามเดือน โดยเพราะเต้ยซึ่งรู้สึกราวได้ลูกชายกลับคืนมา

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างพีทกับแองจี้ก็เป็นไปด้วยดี และทำให้ชายหนุ่มหลงลืมความแค้นไปได้ชั่วขณะ จนกระทั่ง...

เอมี่และแองจี้เริ่มมีอาการส่อแววตั้งครรภ์ชัดเจน ทั้งสองพูดคุยปรึกษาหารือกันเพราะยังไม่แน่ใจ และยังไม่อยากให้ใครรับรู้เรื่องนี้

"ถ้าจริง เธอก็ยังโชคดีกว่าฉัน เพราะชาร์ลีคงจะหาฤกษ์แต่งงานกับเธอทันที แต่ฉันสิ" แองจี้ว่าหน้าเศร้า ขณะที่นั่งคุยกันในห้องพักพนักงานสองต่อสอง

"ก็จริง แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะบอกพ่อกับแม่ว่ายังไง" เอมี่ดูกังวลไม่น้อยไปกว่าแองจี้เลยซักนิด

"ฉันว่าเราไปตรวจให้แน่ใจก่อนดีกว่า" แองจี้เสนอ

"ดีเหมือนกัน" เอมี่ว่า

"ไปกันตอนนี้เลย ฉันไม่อยากรอแล้ว เธอไปบอกชาร์ลีนะ ฉันจะไปบอกอาพีทว่าเราจะไปช็อปปิ้งกัน"

"อืม.."


"เธอจะพาฉันไปตรวจที่ไหนอ่ะ" เอมี่เอ่ยถาม

"ฉันมีญาติห่างๆ เป็นหมอสูติฯ เปิดคลินิกอยู่แถวนี้แหละ" แองจี้ว่า

"แล้วเขาจะไม่ไปบอก..."

"ไม่ต้องห่วง ฉันมีวิธีให้เขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ" แองจี้พูดด้วยความมั่นใจ

ทั้งสองคนมาถึงคลินิกและเข้าตรวจพร้อมกันกับหมอสูติฯ ซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคน และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่ที่เสียชีวิตไปแล้วของแองจี้

ผลตรวจออกมาเป็นดังที่คาดไว้คือทั้งสองอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ แม้อายุครรภ์ของแองจี้จะน้อยกว่าเกือบเดือน หลังจากที่คุณหมอแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพ และจ่ายยาบำรุงให้พร้อมกับการนัดตรวจในคราวหน้าแล้ว แองจี้จึงขอคุยด้วยตามลำพัง และให้เอมี่ออกไปนั่งคอยข้างนอกก่อน

"แองจี้มีเรื่องจะตกลงกับน้าหมอค่ะ" แองจี้เริ่มเข้าเรื่องทันที

"เรื่องที่หนูท้องนะเหรอ" หญิงสูงวัยกว่าว่า

"หนูไม่สนใจหรอกค่ะว่าคุณพ่อ หรือใครต่อใครจะรู้เรื่องนี้" แองจี้ว่า

"แล้วปัญหาของหนูคืออะไร" อีกฝ่ายเริ่มสนใจ

".............."

".............."

"น้าหมอเก็บไปคิดดูนะคะ แองจี้ไม่บังคับ" หญิงสาวว่าทิ้งทวนอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ก่อนจะเดินออกจากห้องตรวจ


แองจี้ขอร้องให้เอมี่ปิดเรื่องของตนเป็นความลับ เพราะไม่อยากให้พีทรู้ และแอบหวังเล็กๆ ว่าหากอายุครรภ์มากขึ้นจนเอาเด็กออกไม่ได้ พีทอาจเปลี่ยนใจ หรือถ้าโชคดีกว่านั้นลูกเป็นหญิง ปัญหาทุกอย่างก็คงจะจบลงด้วยดี ทว่าหญิงสาวยังต้องใช้สมองอย่างหนักเพื่อรับกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนไปในอนาคตอันใกล้นี้


ส่วนเอมี่ทั้งดีใจและกังวลในเวลาเดียวกัน หญิงสาวนึกไม่ออกเลยว่าชาร์ลีจะดีใจขนาดไหน เพราะเขาเฝ้าถามไถ่อยู่บ่อยครั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ จนเอมี่นึกสงสัยว่าทำไมดูเขาสนใจเรื่องลูกมากกว่าเรืองการแต่งงานเสียด้วยซ้ำ

แต่ปัญหาที่หญิงสาวกังวลก็คือเรื่องพ่อกับแม่ เอมี่ไม่รู้จะเริ่มต้นบอกเรื่องนี้ยังไง แม้ทั้งสองจะรู้ว่าตนคบหาดูใจกับชายหนุ่ม แต่อายุครรภ์นั้นกลับยาวนานกว่านั้น หากสืบสาวราวเรื่องไป ความจริงทั้งหมดตั้งแต่ถูกจับตัวไปก็คงต้องเปิดเผยออกมาทั้งหมด



ทั้งสองแยกย้ายกันกลับไปที่ห้องทำงานเมื่อมาถึงออฟฟิต เอมี่เห็นชาร์ลีกำลังง่วนอยู่กับงานบนโต๊ะ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองแว๊บนึงแล้วเอ่ยทักขณะที่ตายังจับจ้องไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์

"ไปช้อปปิ้งสนุกไหมที่รัก ไม่เห็นซื้ออะไรมา"

"ได้มาเยอะกว่าที่คิดอีกค่ะ" เอมี่ว่าแล้วเอนพิงพนักเก้าอี้มองคนที่กำลังยุ่งอยู่กับงาน

"ซ่อนไว้ตรงไหนล่ะ" ชาร์ลีว่าขำๆ แต่ยังไม่หันมามอง

"มาดูใกล้ๆ สิคะ" เอมี่ทำเสียงเชิญชวน จนอีกฝ่ายชะงัก รู้ว่าต้องมีอะไรพิเศษ จึงยอมลามือจากงานตรงหน้า ขยับลุกเดินมาหาคนที่กำลังนั่งมองอยู่

"ไหนว่ามา มีอะไร" ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

"นั่งลงค่ะ" เอมี่ฉุดมือให้อีกฝ่ายนั่งคุกเข่าลงตรงหน้า ชาร์ลียิ้มขำนึกสงสัยว่าเอมี่จะเล่นอะไร

"อยู่ในนี้..." เอมี่กุมมือชายหนุ่มวางไว้บนหน้าท้อง แล้วยิ้มสบตา

"นี่เธอ.." ชาร์ลียิ้มกว้างขึ้นทันที เมื่อเข้าใจความหมาย เอมี่พยักหน้าแทนคำตอบ

"กี่เดือนแล้วที่รัก" ชายหนุ่มถามด้วยท่าทีตื่นเต้นดีใจ

"สามเดือนแล้วค่ะ" เอมี่ยิ้มเขิน

"ว่าไงลูกพ่อไปเลี้ยงฉลองที่ไหนกันดี" ชาร์ลีโน้มลงจูบที่หน้าท้องแล้วเอ่ยถาม

"ยังไม่รู้เลย ว่าพ่อกับแม่จะว่ายังไง" เอมี่เอ่ยขึ้น

"ไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่ปล่อยให้เธอโดนดุคนเดียวหรอก" ชาร์ลียิ้มสบตาแล้วดึงเอมี่เข้ามา กอด ทำให้หญิงสาวยิ้มออกมาได้





แองจี้ยืนอยู่หน้าประตูออฟฟิต แต่กลับเปลี่ยนใจเพราะเกิดไม่อยากเห็นหน้าพีทขึ้นมาตอนนี้ หญิงสาวถอยหลังกลับก้าวเท้าตรงไปที่ลิฟ ยืนรอด้วยจิตใจเลื่อนลอย จนกระทั่งประตูลิฟ เปิดออก กลับพบคนที่ไม่อยากเจอยืนอยู่ตรงหน้าพอดี

"เธอจะไปไหนอีก ตั้งแต่เช้ายังอู้งานไม่พออีกหรือไง" พีทเอ่ยทักประชดระคนหยอกล้อ

"แองจี้ปวดหัวค่ะ ก็เลย..คิดว่าจะกลับบ้าน" หญิงสาวตอบเสียงเรียบ ไม่มีแววร่าเริง

พีทดึงแองจี้เข้ามาในลิฟ ก่อนประตูจะปิดลงอัตโนมัติด้วยระบบสั่งการทางจิต

"ปวดหัวแล้วยังจะขับรถอีก ขึ้นไปพักข้างบนนะ" พีทว่าด้วยน้ำเสียงห่วงใย

"ไม่ค่ะ แองจี้อยากอยู่คนเดียว" หญิงสาวขัดขืนเมื่อประตูลิฟเปิดออกอีกครั้งบนชั้นสูงสุดของอาคาร

"เอางี้ ถ้าเธอยอมอยู่ที่นี่ ฉันจะให้เธออยู่ตามลำพัง แต่ถ้ายืนยันว่าจะกลับบ้าน ฉันจะไปด้วย" พีทยื่นข้อเสนอ ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าแองจี้เป็นอะไร แต่ก็ไม่อยากจะขัดใจให้หญิงสาวอารมณ์ขุ่นไปมากกว่านี้

"แองจี้อยู่ก็ได้ค่ะ" หญิงสาวว่าพลางเดินไปที่ประตูห้อง ก่อนจะเปิดออกแล้วหันมาบอกคนข้างหลัง

"อาพีทไปได้แล้วค่ะ แองจี้จะอยู่คนเดียว"

"เย็นนี้ ฉันต้องได้คำตอบนะว่าเธอเป็นอะไร" พีทโน้มลงหอมแก้มแองจี้ก่อนจะจากไป



แองจี้ใช้เวลาตลอดบ่ายตามลำพังเพื่อใคร่ครวญว่าจะทำอย่างไรดีกับชีวิตต่อจากนี้ไป ซึ่งต้องระมัดระวังทุกย่างก้าวเพราะถ้าพลาดนั่นหมายถึงชีวิตตนและลูกที่อยู่ในท้อง หากพีทร้ายกาจกว่านี้อีกซักนิดคงไม่ต้องตัดสินใจยากถึงเพียงนี้

สุดท้ายคำตอบที่ได้ก็คือต้องถ่วงเวลาดูสถานการณ์ไปก่อน อีกสองเดือนก็จะรู้ว่าลูกเป็นหญิงหรือชาย หากโชคร้าย ตนก็ยังมีไพ่อีกใบในมือ ซึ่งอาจช่วยคลี่คลายเรื่องทุกอย่างได้



"คิดอะไรอยู่ที่รัก" พีทเข้ามาสวมกอดจากด้านหลังเงียบๆ เลื่อนฝ่ามือทาบทับบริเวณหน้าท้องและกดคางไว้บนไหล่ ขณะที่แองจี้กำลังยืนเหม่อมองออกไปนอกระเบียง ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งเฮือก รีบขยับตัวออกจากการเกาะกุม

"ตกใจอะไร" พีทคว้าข้อมือแล้วมองท่าทางตื่นๆ ของอีกฝ่ายด้วยความสนเท่ห์

"ปละ..เปล่าค่ะ อาพีทมาเงียบๆ แองจี้ก็เลยตกใจ" หญิงสาวรีบว่าหลบสายตา

"ขวัญอ่อนจริงนะ แม่สาวน้อย" พีทว่าแล้วดึงแองจี้เข้ามากอด

หญิงสาวกอดตอบซบหน้าลงบนอกกว้างด้วยน้ำตาซึม นึกน้อยใจว่านี่ควรเป็นช่วงเวลาที่ตนจะได้บอกเรื่องน่ายินดีกับคนตรงหน้า แต่กลับปริปากไม่ได้และต้องทนเก็บกดความรู้สึกนี้ไว้เพียงลำพัง

"ยังปวดหัวอยู่เหรอ" พีทขยับออก มองสบดวงตาพราวด้วยน้ำใสๆ ที่ไหลลื่นขึ้นมา

"นิดหน่อยค่ะ แองจี้อยากทานอะไรร้อนๆ" หญิงสาวว่า

"งั้นไปกันเลย" พีทยิ้มสบตา ก่อนทั้งสองจะมาปรากฏตัวในโซนพลาซ่าของโรงแรม



"ร้านนี้ไหม" พีทหันมาถามเมื่อทั้งสองมาหยุดอยู่หน้าร้านสุกี้ MM

"ดีค่ะ ทานผักเยอะๆ มีประโยชน์ต่อ..." แองจี้หยุดปากไว้ทัน

"ต่ออาการปวดหัวเหรอ" พีทว่าล้อ

"ค่ะ" แองจี้ยิ้มรับแล้วจูงมือกันเข้าไปในร้าน






"พรุ่งนี้ฉันจะคุยกับพ่อเรื่องของเรา" ชาร์ลีนอนกอดเอมี่ไว้ในอ้อมแขนด้วยความรักใคร่

"ไม่รู้พ่อคุณจะว่ายังไงนะคะ" เอมี่รู้สึกไม่มั่นใจเพราะรู้ว่าพีทไม่ชอบหน้าตนแม้แต่น้อย

"ไม่ต้องห่วงนะ พ่อสัญญาไว้แล้ว" ชาร์ลีหลุดปากออกมา

"สัญญาอะไรคะ" เอมี่หันไปสบตาชายหนุ่มแล้วถาม

"สัญญาว่า..ถ้าเธอท้อง เราจะได้แต่งงานกัน" ชาร์ลีสารภาพ

"นี่แสดงว่าคุณ.." เอมี่รู้สึกเคืองขึ้นมาทันทีที่ชายหนุ่มปกปิดเรื่องนี้ไว้ตลอดเวลา

"เอมี่ ฉันขอโทษ" ชายหนุ่มว่าขณะที่อีกฝ่ายพยายามผลักให้หลุดจากการเกาะกุม

"คุณทำอย่างนี้ได้ยังไง" เอมี่โกรธจนน้ำตาร่วง

"ไม่เอาน่าที่รัก ฉันขอโทษแล้วไง จะเป็นแม่คนแล้วนะ อย่าอารมณ์เสียสิ" ชาร์ลีกอดหญิงสาวแนบอก ทั้งปลอบทั้งว่ากระเซ้าไปพร้อมๆ กัน

"พวกคุณรวมหัวกันจะทำให้ฉันอับอายมาตั้งแต่ต้นแล้วนี่" หญิงสาวว่าเสียงสะอื้น

"ฉันรักเธอนะเอมี่ และฉันก็ไม่คิดว่าข้อเสนอของพ่อมันจะมีผลอะไรกับเรา ในเมื่อเราก็จะแต่งงานกันอยู่แล้ว ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน เข้าใจฉันนะที่รัก" ชาร์ลีว่าปลอบด้วยอ้อมกอดรักใคร่จนหญิงสาวใจอ่อน

"ถ้าคุณทำแบบนี้อีก ฉันจะไม่มีวันอภัยให้" เอมี่คาดโทษอีกฝ่ายจริงจัง

"ฉันควรจะขอบคุณเธอยังไงดี..." ชายหนุ่มคลายวงแขนออก ขยับขึ้นยิ้มสบตาคนที่อยู่ในอ้อมแขน

"ให้ฉันบีบคอซักทีดีไหม..." เอมี่ว่าประชด

"อย่าเลยที่รัก..." ชาร์ลีว่าแล้วโน้มริมฝีปากลงมาใกล้...






















 

Create Date : 01 มกราคม 2554    
Last Update : 12 มกราคม 2554 9:35:18 น.
Counter : 442 Pageviews.  

Twilight Stars6 ตอนที่ 73

ชาร์ลีและเอมี่ออกไปหาซื้อของมาประดับตกแต่งบ้านให้ดูมีชีวิตชีวาเพื่อต้อนรับเทศกาลปีใหม่ซึ่งจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ ทั้งสองเลือกซื้อต้นสนต้นใหญ่พร้อมหลอดไฟ และของประดับตกแต่ง ก่อนจะแยกกันไปหาซื้อของขวัญให้กันและกัน

เอมี่เดินมองหาของขวัญไปเรื่อยๆ จนไปสะดุดตาที่ตู้โชว์เครื่องประดับ ซึ่งมีจี้สไตล์แปลกตาอยู่หลายชิ้น หญิงสาวไล่สายตาดูด้วยความสนใจ

"เลือกของขวัญอยู่เหรอ" เสียงใสไร้อารมณ์ของใครบางคนเอ่ยทักขึ้น

"แองจี้ มาซื้อของเหมือนกันเหรอ" เอมี่ทักด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

"เปล่าอ่ะ เบื่อๆ ก็เลยออกมาเดินเล่น" แองจี้พิงขอบตู้ท่าทางบ่งอาการตามที่พูด

"ขอดูเส้นนั้นค่ะ" เอมี่บอกพนักงาน

"ซื้อให้ชาร์ลีเหรอ" แองจี้หันไปมองแล้วถาม

"อืม..ของขวัญปีใหม่อ่ะ" เอมี่ว่าพลางมองจี้ในมือแล้วยิ้มด้วยความพอใจ

"สวยดีนะ" แองจี้เอ่ยชม

"เธอชอบก็เลือกดูซักชิ้นสิ" เอมี่ว่า แองจี้ก้มลงไปมองในตู้แล้วไปสะดุดกับสร้อยเส้นหนึ่งในนั้นทันที

"ฉันเอาเส้นนั้น ห่อของขวัญให้ด้วย" แองจี้บอกพนักงานขายโดยไม่ลังเลใจ

"ตัดสินใจเร็วชะมัด" เอมี่ยิ้มขำ ก่อนจะยื่นเส้นที่อยู่ในมือให้พนักงาน



หลังจากได้สิ่งที่ต้องการแล้วทั้งสองจึงชวนกันไปหาเครื่องดื่มและนั่งคุยกันในมุมสงบภายในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง

"มีอะไรหรือเปล่า ดูท่าทางเธออารมณ์ไม่ค่อยดี" เอมี่ถามออกไป

"ฉันทะเลาะกับอาพีทเมื่อวานนี้" แองจี้บอกออกไปตรงๆ

"อยากจะเล่าไหม" เอมี่เปิดโอกาส

"เธอเคยถามชาร์ลีไหม ว่าถ้าเธอมีลูก เขาจะทำยังไง" แองจี้โยนคำถามแทนคำตอบ เพราะแน่ใจว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองต้องไม่ธรรมดา

"อืม..ไม่เคยอ่ะ" เอมี่ลังเลก่อนตอบ

"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับปัญหาของเธอ" เอมี่เริ่มสงสัย

"อาพีทบอกฉันว่าถ้ามีลูกสาวให้เก็บไว้ได้ แต่ถ้ามีลูกชายฉันต้องทำลาย" แองจี้เข้าประเด็น

"นี่เธอกับ..." เอมี่ไม่รู้ว่าจะเรียกพ่อสามีว่าอะไรดี เพราะสายตาที่ไม่เคยญาติดีนั้นทำให้เธอรู้สึกอึดอัดทุกครั้ง

"ก็อย่างที่เธอคิดนั่นแหละ" แองจี้สรุป

"แล้วทำไมมีลูกชายเลี้ยงไว้ไม่ได้ล่ะ" เอมี่ถามกลับอีก

"เขาบอกแค่ว่าไม่พร้อมจะมีลูกชาย ฉันถามว่าเรื่องสมบัติใช่ไหม เขาก็บอกว่าไม่ใช่ ฉันอยากรู้ว่าอะไรกันแน่คือเหตุผลที่แท้จริง" แองจี้ว่าน้ำตาซึม

"ใจเย็นๆ นะแองจี้ มันต้องมีทางออกสิ" เอมี่พยายามปลอบ

"เธอลองตะล่อมถามชาร์ลีหน่อยได้ไหม มันอาจมีอะไรเกี่ยวกับพ่อลูกคู่นี้ที่เรายังไม่รู้" แองจี้กุมมือเอมี่ไว้ด้วยความหวัง

"ฉันจะลองดู" เอมี่รับปากแม้จะเกรงว่าคำตอบที่ได้อาจเหมือนกับที่แองจี้ประสบมา

"ขอบใจนะเอมี่ ฉันไปล่ะ ชาร์ลีมาโน่นแล้ว" แองจี้ลุกผละไปก่อนที่ชาร์ลีจะเห็นว่าเอมี่นั่งอยู่ตรงมุมห้องพอดี


"เมื่อกี้เธอนั่งอยู่กับใคร" ชาร์ลีสังเกตเห็นถ้วยกาแฟพร่องวางอยู่ตรงหน้า

"พอดีเจอเพื่อนค่ะ นั่งคุยกันซักพัก เขาติดธุระก็เลยรีบไป" เอมี่ว่ายิ้มๆ

"ดีนะที่เป็นเพื่อนผู้หญิง" ชาร์ลีแกล้งทำเสียงเข้ม

"รู้ได้ยังไงคะ" เอมี่ยิ้มเลิกคิ้ว

"ก็..ฉันมีตาทิพย์"

"จริงอ่ะ"

"ลิปสติกยังติดยังที่ปากถ้วยอยู่เลย" ชาร์ลียิ้มขำที่เห็นหญิงสาวมองค้อน

"กลับกันเลยไหม กว่าจะจัดของเสร็จคงมืดพอดี" เอมี่เอ่ยชวน

"ครับคุณนาย กาแฟเดี๋ยวผมค่อยกลับไปดื่มที่บ้านก็ได้" ชาร์ลีว่าล้อแล้วเรียกพนักงานเก็บเงิน





แองจี้เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยเพราะไม่รู้จะไปไหน หญิงสาวออกจากบ้านว่างเปล่ามาตั้งแต่ช่วงสาย พ่อคงติดธุระกับสาวๆ ที่ไหนซักแห่งหนึ่งในช่วงเทศกาลแบบนี้ พี่ชายก็คงมีความสุขอยู่กับครอบครัว และเมื่อคิดถึงใครอีกคนขึ้นมา แองจี้ก็เดินมาหยุดหน้าโปรแกรมหนังพอดี

หญิงสาวเลือกเรื่องที่กำลังจะฉายในอีกสิบนาทีข้างหน้า เพราะเดินจนเมื่อยขาไปหมดแล้วตอนนี้ และตัดสินใจซื้อตั๋วที่นั่งแบบฮันนีมูนสองที่ซึ่งคิดว่าจะนั่งคนเดียวสบายๆ ไม่ต้องมีใครมารบกวน

แองจี้นั่งอยู่ท่ามกลางคู่รักอีกหลายคู่ เพราะที่นั่งในวันนี้เต็มหมดแม้จะมีช่วงห่างของเก้าอี้พอสมควร แต่ก็ทำให้รู้สึกแสลงใจอยู่ไม่น้อย ก่อนจะบอกตัวเองว่าไม่เห็นต้องใส่ใจอะไรเลย...ทว่าน้ำตากลับร่วงตั้งแต่ดูโฆษณาไปจนถึงหนังตัวอย่าง








แองจี้สัมผัสได้ว่าคู่รักเก้าอี้ข้างๆ ซ้ายขวาเริ่มหันมาสนใจตนซึ่งนั่งร้องไห้อยู่ตามลำพัง และคงคิดกันไปต่างๆ นานา ทำให้รู้สึกอึดอัดขึ้นมา ตั้งท่าจะลุกออกจากที่นั่งตั้งแต่หนังยังไม่เริ่ม ทันใดนั้นเองแสงไฟภายในโรงหนังเกิดดับวูบลง ทิ้งไว้เพียงความมืดสนิท หญิงสาวจึงไม่กล้าขยับตัว

ท่ามกลางความมืดมิดและเสียงอื้ออึงของผู้ชมในโรง แองจี้รับรู้ได้ถึงสัมผัสที่มาเกาะกุมมือไว้จากที่ว่างด้านข้าง หญิงสาวตกใจจะดึงมือออก แต่แล้วกลับได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ดังขึ้นใกล้ริมฝีปาก

"แองจี้ ฉันเอง" หญิงสาวหยุดชะงักด้วยความงุนงง ก่อนที่ริมฝีปากอีกฝ่ายจะประทับจูบลงมาอย่างดูดดื่ม แองจี้รู้ได้ทันทีจากสัมผัสและกลิ่นไออันเคยคุ้นว่าเป็นใคร ทำให้หัวใจหดหู่สองดวงที่ต้องอยู่ลำพังเกือบทั้งวันพองโตขึ้นมาทีละน้อยจากความนุ่มนวลอบอุ่นนั้น และรู้ว่าจะไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไป

พีทถอนริมฝีปากแล้วยิ้มสบตาหญิงสาวในระยะใกล้ ก่อนจะเอนลงพิงพนักแล้วโอบไหล่แองจี้เข้ามาแนบชิด

"อาพีทมาได้ยังไงคะ" แองจี้กระซิบถามเสียงเฉยชา เพราะนึกขึ้นมาได้ว่าโกรธเขาอยู่

"ก็เธอซื้อตั๋วให้ฉันแล้วนี่" พีทยกมือเล็กขึ้นจูบ

"แองจี้ซื้อไว้นั่งคนเดียวต่างหาก" หญิงสาวว่าเสียงงอน

"ดูหนังเถอะ เรื่องนี้สนุกเหรอ" พีทชวนเปลี่ยนเรื่องหลังจากที่จอเริ่มแสดงภาพอีกครั้ง

"เขาว่าเป็นหนังเศร้าค่ะ" แองจี้บอก

"มิน่าล่ะ เธอนั่งร้องไห้ตั้งแต่เริ่มโฆษณา" พีทว่าล้อแล้วกลั้นหัวเราะ

"นี่ อาพีทรู้ได้ยังไง" แองจี้ทุบอกชายหนุ่มด้วยอาการเขิน

"ถ้าเธอทำร้ายร่างกายฉันอีก เธอจะได้เล่นบทนางเอกซะเอง" พีทกระซิบคาดโทษที่ข้างหู แล้วมองแองจี้ด้วยสายตาสื่อความหมายเปิดเผย

"อาพีทบ้า" แองจี้ตั้งท่าจะทุบอีก แต่ยั้งมือไว้ได้ทัน

"เกือบไปแล้ว.." พีทหัวเราะในลำคอ แล้วโอบกอดคนที่กำลังมองค้อนให้เข้ามาแนบชิดยิ่งขึ้น

หนังที่ดูจะเศร้าตั้งแต่เริ่มเปิดฉากในวันนี้จึงกลายกลับเป็นหนังรัก อบอุ่น ในความรู้สึกสำหรับคู่รักที่กำลังนั่งชมแนบชิดกันอยู่ในขณะนี้






ชาร์ลีและเอมี่ช่วยกันจัดตกแต่งต้นสนประดับจนสวยงามเรียบร้อยในเวลาพลบค่ำพอดี ก่อนจะแยกกันไปอาบน้ำแล้วออกมาทานอาหารร่วมกันที่ห้องรับแขก ซึ่งตกแต่งไว้สวยงาม







มื้อเย็นวันนี้เป็นอาหารง่ายๆ ซึ่งก็คือสปาเก็ตตี้ครีมซอสแฮมเห็ด อีกหนึ่งเมนูโปรดที่แม่ชอบทำให้ทาน

"อร่อยไหม" เอมี่ถามจดจ้องปฏิกิริยาคนตรงหน้า

"ก็พอได้ แต่จานเธอคงอร่อยกว่า" ชาร์ลีว่ายิ้มๆ

"เล่นมุกเดิมอีกแล้วนะ" เอมี่ค้อนแล้วยิ้มขำ

"รู้ทันอีกละ" ชายหนุ่มทำท่าเซ็ง

"มะ อ้าปาก" เอมี่ม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ในจานป้อนให้

"อืม คำนี้สิอร่อยมากกก" ชาร์ลียกนิ้วประกอบคำพูด


"เธอไม่ค่อยทานเลย เบื่อฝีมือตัวเองเหรอ" ชายหนุ่มว่าล้อหลังมื้ออาหาร ขณะที่ช่วยกันเก็บจานไปล้างในครัว

"พักนี้ทานอะไรไม่ค่อยลงอ่ะ" เอมี่สารภาพขณะที่นั่งรออีกฝ่ายล้างจาน

"อย่าบอกว่าลดน้ำหนักนะ แค่นี้ก็รักก็หลงจะแย่อยู่แล้ว" ชาร์ลีว่าล้อแล้วหันหลังมองหญิงสาว

"เปล่าซะหน่อย" เอมี่รีบออกตัว

"ถึงเธอหนักกว่านี้อีก 20 กิโล ฉันก็อุ้มไหว" ชาร์ลีว่า

"อุ้มไปทิ้งลงเหวใช่ไหม" เอมี่หัวเราะ

"รู้ทันอีกละ" ชาร์ลีหัวเราะขึ้นมาบ้าง

"นี่ คุณกล้าทิ้งฉันลงเหวจริงๆ เหรอ" เอมี่เล่นงานกลับทันที

"หึ หึ เธอก็ลองน้ำหนักขึ้นซัก 20 กิโล ดูสิ" ชาร์ลีล้างจานเสร็จเช็ดมือ แล้วหันมาหาคนที่นั่งคอยอยู่ข้างหลัง

"ฉันจะขึ้นให้ถึง 30 กิโล เลยคอยดู" เอมี่ท้าทาย

"งั้นคงต้องป้องกันกันตั้งแต่ตอนนี้แล้วล่ะ" ชาร์ลีทำท่าจริงจัง บังคับหญิงสาวนอนราบลงบนโต๊ะเตรียมอาหาร

"นี่จะทำอะไร ปล่อยนะ" เอมี่หัวเราะแล้วดันอกคนตรงหน้าไว้

"แค่ให้ออกกำลังกาย นิดๆ หน่อยๆ" ชาร์ลีโน้มลงซุกไซ้ที่ซอกคอหญิงสาว เอมี่หัวเราะและดันไหล่ชายหนุ่มจนแทบหมดแรง เขาจึงยอมปล่อย



"ออกไปดูของขวัญดีกว่าค่ะ" เอมี่เอ่ยชวน

"เธอซื้ออะไรให้ฉัน" ชาร์ลีหันหลังแล้วย่อตัวลง เอมี่โอบรอบคอแล้วขึ้นขี่หลัง ก่อนทั้งสองจะกลับออกไปที่ห้องรับแขกอีกครั้ง

"ต้องดูเองค่ะ ถึงจะเซอร์ไพรส์" หญิงสาวเกยคางไว้บนไหล่แล้วว่า

"ฉันชักตื่นเต้นแล้วสิ" ชาร์ลีว่าก่อนจะปล่อยเอมี่ลง ทั้งสองเดินไปหยิบกล่องของขวัญของตัวเองมาแล้วยื่นให้อีกฝ่าย

"ใครแกะก่อน" ชาร์ลีถามพลางฉุดมือเอมี่ให้นั่งลงเอนพิงกลางอก ขณะที่หญิงสาวเขย่ากล่องกระดาษสีขาวซึ่งผูกทับด้วยริบบิ้นสีทองด้วยความสงสัยใคร่รู้

"คุณเปิดก่อนละกัน" เอมี่เอียงหน้าขึ้นบอก

"โอเค" ชาร์ลีแกะกล่องกระดาษใบเล็กออก แล้วเปิดดูกล่องแก้วใสซึ่งอยู่ด้านในอีกชั้น ก่อนจะหยิบจี้โลหะรูปพระจันทร์เสี้ยวสีเงินโค้งโอบพระอาทิตย์สีทองเข้ารูปกันเป็นวงกลมออกมาดูแล้วยิ้มกว้าง





"ชอบไหมคะ" เอมี่เอียงหน้าขึ้นถาม

"ของที่เธอให้ ฉันต้องชอบอยู่แล้วล่ะ" ชาร์ลีว่ากดจมูกลงบนศีรษะคนตรงหน้าเป็นการขอบคุณ

"ฉันสวมให้นะ" เอมี่ขยับออกแล้วเอี่ยวตัวไปสวมสร้อยเส้นนั้นให้ชายหนุ่ม



"ลองแกะกล่องเธอบ้าง ถ้าไม่ชอบฉันคงเสียใจแย่" ชายหนุ่มรีบออกตัวไว้ก่อนด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

"อะไรเอ่ย" เอมี่เขย่ากล่องอีกที ก่อนจะปลดริบบิ้นสีทองออกดูภายใน ซึ่งมีกระดาษขาวรองทับไว้อีกชั้น แล้วก็ถึงกับหน้าแดงเรื่อขึ้นมากับของขวัญที่อยู่ตรงหน้า

"ชอบใช่ไหม" ชาร์ลีว่าดักคอแล้วยิ้มขำอาการเขินของหญิงสาว

"ใช่..แต่ฉัน.." เอมี่ชูชุดบิกินี่สีขาวเนื้อดีไว้ในมือ







"ชอบก็ดีแล้ว พรุ่งนี้ใส่ไปเล่นน้ำตกกัน" ชาร์ลีเกยคางไว้บนไหล่

"ฉันอาจจะใส่ไม่ได้ก็ได้" เอมี่พยายามหาข้อแก้ตัว

"ฉันวัดมากับมือหลายครั้งแล้ว ไม่น่าพลาด" ชายหนุ่มว่าหน้าตาเฉย ก่อนที่เอมี่จะเริ่มเข้าใจความหมายในคำพูดนั้นแล้วหันมาเล่นงานอีกฝ่ายด้วยอาการเขินทันที

"นี่ พูดแบบนี้อยากโดนบีบคอใช่ไหม" เอมี่หันมาหาชายหนุ่มแล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงทับ กุมมือทั้งสองข้างไว้ที่คอเขาทันที ชาร์ลีรวบตัวหญิงสาวไว้แล้วพลิกตัวกลับ ทำให้เอมี่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในที่สุด

"ก็มันจริงนี่นา" ชายหนุ่มหัวเราะขำ

"ยังจะหัวเราะอีก" เอมี่ทุบอกชายหนุ่ม

"ไม่เอาน่าที่รัก ใส่ให้ฉันดูคนเดียว ไม่เห็นเป็นไรเลย" ชาร์ลียิ้มสบตา ก่อนจะโน้มลงจูบหญิงสาวซึ่งอยู่ในอาการงอนปนเขิน

"ทุกอย่างลงตัวแล้วใช่ไหม" ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกแล้วถามย้ำ ทั้งสองสบตากันแล้วยิ้มขำแทนคำตอบที่ไม่ต้องเอื้อนเอ่ย






พีทพาแองจี้ไปหาอะไรทานหลังจากที่ออกจากโรงภาพยนตร์ ก่อนจะชวนหญิงสาวไปที่ห้องพัก แต่แองจี้ปฏิเสธ

"เธอกลัวฉันเหรอ" พีทเอ่ยถาม

"เปล่าค่ะ แองจี้กลัวใจตัวเองมากกว่า" หญิงสาวบอกออกไปตรงๆ

"งั้นไปขับรถเล่นกัน เธอคงไม่อยากกลับไปอยู่บ้านคนเดียว ในวันส่งท้ายปีแบบนี้หรอกใช่ไหม" พีทเสนอ

"ก็ได้ค่ะ" แองจี้ยื่นกุญแจรถให้

"ซื้อไวน์ซักขวดไปฉลองกันนะ" พีทว่าก่อนจะแวะเข้าไปในร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์


ทั้งสองขับรถออกจากห้างในตอนหัวค่ำ เพื่อไปหาที่ฉลองกันสองต่อสอง

"อาพีทจะพาแองจี้ไปไหนคะ" หญิงสาวหันมาถามหลังจากรถแล่นออกนอกเมืองมาได้ซักพัก

"พัทยา" ชายหนุ่มหันมาตอบ

"ไม่พลุกพล่านไปหน่อยเหรอคะ แองจี้อยากอยู่สงบๆ ค่ะ"

"เราจะขึ้นไปบนเขากัน" พีทหันมาตอบแล้วกลับไปมองทางอีกครั้ง

"ดีเหมือนกันค่ะ" แองจี้ยิ้มออกมาได้

พีทหันมาดูหญิงสาวอีกที หลังจากเงียบไปซักพักก็เห็นหลับเอาศีรษะพิงกระจกรถไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินมาทั้งวัน

กว่าจะตื่นอีกทีก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน หญิงสาวงัวเงียลืมตาขึ้นไม่รู้ว่ามาถึงจุดหมายตั้งแต่เมื่อไหร่

"ตื่นได้เวลาพอดี" พีทหันมาเอ่ยทัก

"แองจี้หลับไปนานไหมคะ" หญิงสาวยังคงงัวเงีย

"ก็เกือบข้ามปี" พีทว่าขำๆ

"แองจี้เพลียนี่ค่ะ เดินมาตั้งแต่เช้า" หญิงสาวว่าเขินๆ

"ออกไปดูพลุกันเถอะ ใกล้เที่ยงคืนแล้ว" พีทชวนแล้วเปิดประตูรถยืนมองวิวเมืองพัทยาในยามค่ำคืน





"ที่นี่อากาศเย็นเหมือนกันนะคะ" แองจี้ยืนกอดอกเคียงข้าง

"ดีขึ้นไหม" พีทขยับมายืนด้านหลังแล้วโอบกอดกุมมือแองจี้ไว้

หญิงสาวเบียดแผ่นหลังเข้าหาอกอุ่นแทนคำตอบ ก่อนจะได้เสียงพลุและแสงไฟสวยงามแตกกระจายอยู่เบื้องหน้า แองจี้ยิ้มสบตากับคนข้างหลัง แล้วหันกลับไปมองพลุสวยงามซึ่งจุดต้อนรับปีใหม่นานกว่าสิบนาที





"ขอบคุณนะคะอาพีท นี่เป็นหนึ่งในรอบหลายปีที่แองจี้ไม่ต้องอยู่คนเดียว" หญิงสาวว่าน้ำตาคลอ ก่อนจะสวมกอดคนตรงหน้าแนบแน่นราวเด็กขาดความอบอุ่น

"ต่อไปเธอคงไม่ต้องรู้สึกอย่างนั้นอีกแล้ว.." พีทกอดตอบปลอบโยนจนแองจี้รู้สึกดีขึ้น

"แองจี้มีของขวัญให้อาพีทด้วยค่ะ" หญิงสาวขยับออกเมื่อนึกถึงจี้ที่ซื้อเมื่อตอนกลางวันขึ้นมาได้ จึงรีบเดินไปที่รถแล้วนำกล่องของขวัญชิ้นเล็กนั้นมายื่นให้ชายหนุ่ม

"ฉันไม่ได้ซื้ออะไรให้เธอเลย" พีทมองกล่องของขวัญแล้วมองหน้าอีกฝ่าย

"แองจี้ไม่ต้องการอะไรจากอาพีทแล้วล่ะค่ะ นอกจาก..." แองจี้พูดค้างไว้ไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ

"เปิดเลยค่ะ ดูว่าชอบไหม" หญิงสาวรีบเปลี่ยนเรื่อง พีทยิ้มขำท่าทางกระตือรือร้นของแองจี้ แล้วแกะห่อของขวัญออกดู

ปรากฏเป็นสร้อยคอรูปซาตานอยู่ด้านหนึ่งของปลายสร้อยทำจากโลหะผสมทองแดง ส่วนอีกปลายเป็นรูปนางฟ้าทำจากโลหะสีเงิน ซึ่งสามารถนำมาประกบติดกันสื่อถึงความรักต่างขั้วซึ่งมาบรรจบกันได้อย่างลงตัว





"เธอเห็นฉันแย่ขนาดนี้เลยเหรอ" พีทมองจี้ที่อยู่บนสร้อยแล้วยิ้มขำ

"ถึงแองจี้จะไม่ได้เป็นนางฟ้า แต่อาพีทน่ะเป็นซาตานแน่ๆ ค่ะ" แองจี้ว่าประชด

"ฉันโหดกับเธอขนาดนั้นเชียว" พีทว่าแล้วดึงหญิงสาวเข้ามาโอบกอดแนบชิด

"ใช่ค่ะ อาพีทใจร้ายที่สุดในโลก" แองจี้ว่าน้ำตาซึม

"หึ สงสัยจะจริงอย่างที่เธอว่า ใครๆ ก็คงเห็นฉันเป็นแบบนั้น" พีทว่าเสียงเรียบ

"แต่แองจี้ก็ตัดใจจากอาพีทไม่ได้อยู่ดี"

"คงมีเธอคนเดียวบนโลกใบนี้..ที่รักฉัน เธอเป็นนางฟ้าสำหรับฉันจริงๆ นะแองจี้"

"และคงมีอาพีทคนเดียวที่เห็นแองจี้เป็นนางฟ้า" หญิงสาวยิ้มขำทั้งน้ำตาเพราะรู้ถึงนิสัยเจ้าอารมณ์ของตนเองดี

"งั้นเราก็คงเป็นคู่ที่เหมาะสมกันที่สุดแล้วล่ะ" พีทขยับออกยิ้มสบตาก่อนจะจูบหญิงสาวด้วยความรัก ภายใต้แสงดาวพร่างพราย






"อธิษฐานอะไรที่รัก" กันโอบกอดภรรยากุมมือที่ประสานกันไว้กลางอกแล้วโน้มลงถาม ขณะที่ทั้งสองยืนดูพลุด้วยกันที่ระเบียงโรงแรม ในช่วงเวลาปีใหม่ที่กำลังย่างผ่านเข้ามา

"ขอให้เราได้พบลูก หวังว่าปีนี้เราคงได้อยู่พร้อมหน้ากันซะที" เต้ยเอียงหน้าขึ้นมองสบดวงตาคมพราวเต็มได้ด้วยแววแห่งความรักคู่นั้น

"ไม่แน่เต้ยอาจได้หลานพ่วงมาด้วยก็ได้" กันว่าล้อแล้วยิ้มขำก้มลงหอมแก้มนวลใส

"คิดได้นะกัน" เต้ยหยิกลำแขนแล้วหัวเราะ

"ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นอ่ะ..เต้ยไม่เคยได้ยินเหรอ ตอนเราอายุเท่านี้ก็มีลูกสองคนแล้ว" กันยังล้อต่อ

"เต้ยไม่หวังมากขนาดนั้นหรอก ขอแค่ได้เจอลูกก็พอ"

"ลูกก็คงอยากพบเราเหมือนกัน เต้ยว่าไหม"

ทั้งสองยิ้มให้กำลังใจกันและกัน

"โทรหาเอมี่หน่อยดีไหมคะ ป่านนี้ไม่รู้หลับหรือยัง" เต้ยนึกขึ้นมาได้

"พรุ่งนี้ค่อยโทรดีกว่า เผื่อลูกหลับแล้วจะตื่นซะเปล่าๆ" กันว่าขำๆ

"ก็ได้ค่ะ"

"ไปนอนกันเถอะที่รัก"

เต้ยโอบแขนไปรอบคอกันแล้วยิ้ม ก่อนที่อีกฝ่ายจะอุ้มภรรยาขึ้นอย่างรู้หน้าที่ ซึ่งทำให้ความรักของทั้งสองไม่เคยจืดจางไปซักวันแม้จะใช้ชีวิตร่วมกันมากว่า 20 ปีแล้วก็ตามที...






ใกล้เวลาเที่ยงคืนเต็มทีขณะที่หนุ่มสาวนั่งรอเคาท์ดาวน์ด้วยกันอยู่บนเตียงนอนอบอุ่น เอมี่นั่งอิงแอบอยู่กลางอกซิกซ์แพ็ก พูดคุยหยอกล้อกับคนที่อยู่ด้านหลังท่ามกลางแสงสลัวจากดวงจันทร์ซึ่งสาดส่องผ่านกระจกใสโค้งครึ่งวงกลมเข้ามาภายใน

"เสียดายเน๊อะ ไม่มีพลุให้ดู" เอมี่เปยขึ้น

"เธอชอบดูพลุเหรอ" ชาร์ลีถามพลางกดจมูกลงบนขมับหญิงสาว

"อืม มากๆ เลยล่ะ" เอมี่เอียงหน้าขึ้นตอบ

"ใกล้ได้เวลาแล้ว" ชายหนุ่มโอบกอดแนบชิดยิ่งขึ้นก่อนจะเริ่มนับตัวเลขถอยหลังจนชิดปลายหูอีกฝ่าย

"10..9..8..7..6..5.." เอมี่ยิ้มเขินกับเสียงนับที่ดังใกล้ราวเสียงกระซิบ

"4..3..2..1.." เสียงดีดนิ้วในอากาศดังขึ้นพร้อมภาพพลุอลังการแตกกระจายงดงามอยู่นอกหน้าต่างใสไร้สิ่งปิดบัง พร้อมเสียงที่ดังกระหึ่มสมจริง จนเอมี่อดตื่นเต้นไม่ได้ หญิงสาวยิ้มกว้างแล้วหันมามองชายหนุ่มซึ่งกำลังจ้องมองท่าทางดีใจนั้นอยู่ก่อนแล้ว

ทั้งสองสบตากันก่อนที่ริมฝีปากจะเคลื่อนเข้าหากัน ท่ามกลางแสงสีพลุที่จุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

"ขอบคุณค่ะชาร์ลี เป็นคืนปีใหม่ที่พิเศษจริงๆ" เอมี่เอ่ยสบตาชายหนุ่ม

"ฉันดีใจที่เธอชอบ แต่คำขอบคุณเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม" ขาร์ลีขยับหญิงสาวลงนอนราบ

"ฉันเพลียแล้วอ่ะวันนี้" เอมี่ว่าพลางดันอกอีกฝ่ายไว้

"งั้นก็พักผ่อนเถอะนะ.." ชาร์ลียิ้มสบตาด้วยความรัก โน้มลงจูบที่หน้าผาก แล้วกอดหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะเข้าสู้ห้วงนิทราไปด้วยกันอย่างมีความสุข






"ดื่มฉลองกันหน่อยดีไหม" พีทเอ่ยถามหลังจากถอนริมฝีปากอบอุ่นออก

"อาพีทไม่กลัวแองจี้เมาแล้วอาละวาดเหรอคะ" หญิงสาวถามแล้วยิ้มล้อ

"ฉันรู้จักวิธีจัดการกับผู้หญิงเมาได้ดีกว่าที่เธอคิด" พีทล้อกลับก่อนจะอุ้มแองจี้ขึ้นนั่งบนฝากระโปรงรถ แล้วเปิดประตูคว้าขวดไวน์ที่ซื้อมา ขึ้นไปนั่งเคียงข้างหญิงสาว

"ซื้อที่เปิดมาด้วยหรือเปล่าคะ" แองจี้เอนหลังพิงกระจกรถแล้วหันมอง

"เธอคงลืมว่าพูดอยู่กับใคร" พีทหันมายิ้มสบตา ก่อนที่จุกค๊อกจะลอยขึ้นจากปากขวด โดยไม่ต้องใช้มือสัมผัสเลยด้วยซ้ำ

"แล้วแก้วละคะ อย่าบอกว่าอาพีทจะเสกให้ไวน์เข้าไปอยู่ในท้องแองจี้ได้" หญิงสาวว่าขำๆ

"เธอรู้ไหมว่าวิธีดื่มไวน์แพงๆ ให้ได้รสชาติ เค้าไม่ใช้แก้วกันหรอก" พีทเริ่มว่าด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

"ไม่เคยได้ยินค่ะ" แองจี้ว่าเคลือบแคลงในรอยยิ้มของอีกฝ่าย

"ขั้นแรกเธอต้องลองชิมรสชาติโดยใช้ปลายลิ้นสัมผัส" พีทยกขวดไวน์ขึ้นแล้วดื่มลงไปสองสามอึก

แองจี้กลั้นหัวเราะเพราะไม่เห็นชายหนุ่มจะทำตามที่สาธยายไว้ แต่แล้วใบหน้าเขากลับโน้มลงมาใกล้ จูบหญิงสาวดูดดื่มจนสัมผัสได้ถึงรสและกลิ่นของไวน์ แล้วค่อยๆ ถอนริมฝีปากออก

"ให้ดื่มแบบนี้แองจี้คงเมาหรอก" หญิงสาวว่าประชด

"นี่แค่ขั้นตอนการชิมต่างหาก" พีทยิ้มพราว

"แล้วเมื่อไหร่จะได้ดื่มจริงๆ ซะทีล่ะคะ"

"หลับตาก่อน..." พีทกระซิบที่ข้างหู แองจี้ยิ้มแล้วทำตาม ชายหนุ่มไล้ปากขวดไวน์แผ่วเบาตั้งแต่หน้าผากผ่านสันจมูกลงมาคลอเคลียที่ริมฝีปาก แล้วรินไวน์ลงบนกลีบปากที่แยกออกจากกันอย่างเบามือ สร้างความวาบหวิบเคล้ารสนุ่มของน้ำสีอำพันซึ่งไหลรินละเรื่อยลงมาถึงปลายคาง ลำคอและเนินอก แองจี้ตั้งท่าจะประท้วง แต่อีกฝ่ายกลับโน้มลงซุกไซ้ลิ้มรสไวน์จากลำคอลากไล้มาวนเวียนที่เนินอก ก่อนจะปล่อยมือจากขวดไวน์ว่างเปล่า เลื่อนขึ้นประกบจูบริมฝีปากเรียวสวยแล้วรวบกอดหญิงสาวขึ้นมานอนทาบทับบนร่างชุ่มโชกไปด้วยกลิ่นไวน์หอมกลุ่น

"เป็นการดื่มไวน์ที่เลอะเทอะที่สุดในชีวิตแองจี้เลยค่ะ" หญิงสาวถอนริมฝีปากออกยันตัวบนอกแข็งแรงแล้วยิ้มหน้าเรื่อ

"แต่เป็นไวน์รสชาติดีที่สุดที่ฉันเคยลอง" พีทไล้ปลายนิ้วไปบนแก้มสีชมพูเปล่งปลั่ง

"พูดแบบนี้แสดงว่า..."

"เปล่า นี่ครั้งแรก..."

"แล้วไปค่ะ..."

หญิงสาวโน้มลงจุมพิตชายหนุ่มอีกครั้งท่ามกลางวิวแสงสีเมืองพัทยาซึ่งไม่เคยหลับใหลเบื้องล่าง รายล้อมด้วยน้ำทะเล ภูเขา และหมู่ดาวนับล้าน บนฝากระโปรงรถคันงาม ซึ่งคงเป็นบรรยากาศที่จะอยู่ในความทรงจำทั้งสองไปอีกแสนนาน...




"ขอบคุณนะคะอาพีท เป็นคืนที่สนุกมากจริงๆ" แองจี้ว่าเมื่อรถจอดลงที่หน้าประตูบ้านในตอนเช้าตรู่

"แน่ใจนะว่าเธออยากจะอยู่บ้านคนเดียว" พีทเอ่ยถามเพราะรู้ว่าภายในบ้านนั้นว่างเปล่า มีเพียงคนรับใช้

"แองจี้ชินแล้วค่ะ ว่าจะนอนพักให้เต็มที่ ตื่นแล้วค่อยว่ากันอีกที วันหยุดทั้งทีนี่ค่ะ" แองจี้ว่าแล้วฝืนยิ้ม

"ตามใจ..งั้นคืนนี้.."

"อย่าดีกว่าค่ะ เราตกลงกันแล้วนี่คะ แองจี้จะรอจนกว่าอาพีทจะพร้อมค่ะ" หญิงสาวรีบว่าตัดบท

"ไว้เจอเธอที่ทำงานละกัน" พีทถอนหายใจ ก่อนจะโน้มเข้าหอมแก้มหญิงสาวแล้วจากไป




เอมี่ลืมตาขึ้นในอ้อมแขนสีเข้มอบอุ่น แต่ยังคงนอนนิ่งพลางนึกไปถึงเรื่องที่คุยกับแองจี้เมื่อวานนี้ ลังเลว่าจะถามออกไปดีไหม แต่ถ้าไม่ถามคงต้องค้างคาใจไปอีกนาน

"ตื่นแล้วเหรอที่รัก" เสียงดังมาจากด้านหลังพร้อมปลายจมูกที่กดลงบนผมนุ่มสวย

"ชาร์ลี ถามอะไรหน่อยได้ไหม" เอมี่ไล้มือไปบนลำแขนแข็งแรง

"อะไร.." ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนเข้า

"ถ้า..เรามีลูกด้วยกัน.." เอมี่ว่าเสียงเบา

"เธอท้องแล้วเหรอ" ชาร์ลียิ้มกว้างขยับเอมี่ให้หันมาสบตา

"ปละ..เปล่าฉันแค่สมมุติน่ะ" เอมี่ยิ้มเขิน

"ถ้าเธอท้อง เราจะแต่งงานกันทันที" ชาร์ลีตอบโดยไม่ลังเล จนเอมี่ประหลาดใจ

"แล้ว..คุณอยากได้ลูกผู้หญิงหรือลูกผู้ชาย" เอมี่ถามเข้าประเด็นที่อยากรู้

"ถ้าเลือกได้ เป็นแฝดก็ดีนะ ผู้หญิงคน ผู้ชายคน" ชาร์ลียิ้มสบตา

"คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ" เอมี่รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกเพราะไม่ได้ยินคำตอบที่ใจนึกกลัว

"จริงสิ ฉันรักเธอนะเอมี่" ชาร์ลีรั้งร่างหญิงสาวมากอด

"ฉันก็รักคุณค่ะ" เอมี่ยิ้มตอบแล้วซบหน้าลงกับอกอุ่น




ชาร์ลีและเอมี่ใช่เวลาในวันหยุดร่วมกันทั้งที่บ้านบนเขาและเรือนน้ำตกอย่างมีความสุข จนกระทั่งเวลาหนึ่งอาทิตย์กำลังจะสิ้นสุดลงในค่ำคืนนี้

"พรุ่งนี้พ่อกับแม่เธอจะกลับมาแล้วใช่ไหม" ชาร์ลีถามขณะที่ทั้งสองนั่งชมดาวด้วยกันที่ระเบียงหน้าบ้านบนเขาสุขสงบ

"คงมาถึงซักเย็นๆ ค่ะ" เอมี่เอียงศีรษะลงซบไหล่คนข้างๆ

"ฉันพร้อมจะไปพบแม่กับพ่อเธอแล้ว" แม้คำพูดนั้นจะฟังดูแปลกแต่เอมี่ก็ไม่ได้เอะใจ เพราะมัวแต่ดีใจกับสิ่งที่ได้ยิน

"จริงอ่ะ" เอมี่หันมองสบตาด้วยแววตาตื่นเต้น

"จริงสิ นัดทานข้าวกันซักมื้อ ที่ไหนดี" ชาร์ลีขอความเห็น

"อืม..ที่บ้านฉันดีไหม ดูไม่เป็นทางการดี" เอมี่เสนอ

"ตกลง" ชาร์ลีโน้มเข้าจูบริมฝีปากหญิงสาวแผ่วเบา ก่อนจะยิ้มสบตากันแล้วนั่งชมดาวกันต่อ





แองจี้ไม่ได้พบพีทอีกเลยตั้งแต่วันที่เขามาส่งที่หน้าบ้าน และนี่เป็นคืนที่สามที่นอนไม่หลับด้วยความวุ่นวายใจ ทั้งที่ควรจะดีใจเพราะนี่คือทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเขาและเธอ





ทั้งที่คิดว่าตนเองเคยชินกับการอยู่คนเดียว กลับไม่เป็นไปดังคาด ทั้งเสียงเพลงที่ดังเข้ามากระทบโสติประสาทตอนนี้ยิ่งเสียดแทงใจให้ทรมานเกินบรรยาย ได้แต่บอกตัวเองให้เข้มแข็งแล้วข่มตานอนทั้งน้ำตารอให้ถึงเวลาเช้าเพื่อจะได้พบใครคนนั้น...


พีทยืนพิงขอบระเบียงมองวิวแสงไฟยามราตรี วุ่นวายใจอยู่ไม่น้อยกับความรักที่มีต่อแองจี้ และความแค้นฝังใจซึ่งต้องสะสางให้สำเร็จหรืออย่างน้อยๆ ก็ให้มันเบาบางลงไปบ้าง เขายกแก้วเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด ก่อนจะเดินกลับไปล้มตัวนอนลงบนโซฟา พยายามจะตัดทุกอย่างออกจากสมองแล้วข่มตาหลับให้ได้

"ปัดโธ่! โว้ย" พีทสบถออกมาเสียงดัง ก่อนจะลุกขึ้นขว้างแก้วที่อยู่ในมือลงพื้นจนแตกกระจาย แล้วทะยานหายไปทางระเบียงทันที




แองจี้รีบลุกจากที่นอนตั้งแต่เช้า ทั้งที่รู้สึกเพลียจากอาการหลับไม่สนิทติดต่อกันหลายคืน ก่อนจะรีบไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานหลังจากหยุดติดต่อกันมาหลายวัน

"เมื่อคืนคุณพ่อกลับบ้านหรือเปล่าคะป้า" แองจี้ถามสาวใช้เก่าแก่ที่ยกอาหารมาเสริฟ

"กลับค่ะ แต่ท่านเมามาก"

"อืม.." แองจี้เปล่งเสียงเป็นการรับรู้ ไม่ได้แปลกใจอะไร ก่อนจะเริ่มทานอาหารด้วยความรู้สึกพะอืดพะอม

"ปลาอะไรเนี่ย ทำไมกลิ่นมันคาวอย่างงี้" แองจี้รีบผลักถ้วยข้าวต้มปลาตรงหน้าออก แล้วหันไปถาม

"ก็ปลาเก๋าที่คุณหนูชอบทานไงคะ ก็สดดีเหมือนทุกครั้ง ไม่น่าคาวนะคะ" หญิงสูงวัยรีบตอบด้วยอาการรน

"เก็บไปเถอะ ฉันไม่กินแล้ว ขอกาแฟถ้วยนึงก็พอ" แองจี้ว่าพลางมองนาฬิกาข้อมือ



แองจี้มาถึงที่ทำงานก่อนเวลาแปดโมงนิดหน่อย แต่ไม่เห็นพีทอยู่ในห้องทำงานเหมือนทุกครั้ง ในใจรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่คิดว่าอีกซักพักก็คงมาเพราะที่พักอยู่บนชั้นสูงสุดของอาคารเดียวกันนี่เอง

หญิงสาวรออยู่นับชั่วโมงก็ไม่เห็นวี่แววว่าชายหนุ่มจะปรากฏตัว จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาทันที แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ แองจี้เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมาอีกครั้ง รีบเดินไปที่หน้าประตูเพื่อถามเลขาหน้าห้องแม้จะไม่เคยญาติดีกันเลย

"คุณเมย์ อาพีทบอกว่าจะมาทำงานหรือเปล่าวันนี้" หญิงสาวฝืนใจทักถามอีกฝ่ายก่อน

"เธอเป็นเลขาในห้องไม่รู้ ส่วนฉันอยู่นอกห้องจะไปรู้อะไร" เมย์ว่ากระทบซะงั้น

"บอกซะว่าไม่รู้ก็จบ เล่นลิ้นอยู่ได้" แองจี้กระแทกเสียงใส่ด้วยอารมณ์ขุ่น ก่อนจะเดินกระแทกเท้าออกไป

เมย์ได้แต่ถลึงตาใส่ ไม่อยากเสี่ยงต่อปากต่อคำและเกรงภัยจะมาถึงตัว เพราะเริ่มรับรู้ถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาระหว่างแองจี้และพีท



หญิงสาวกดลิฟแล้วยืนรอ ลังเลว่าจะขึ้นไปหาคนที่อยู่ข้างบนดีไหม เพราะไม่เคยเห็นเขามาทำงานสายซักครั้ง ขณะที่ยืนละล้าละลังอยู่นั้น ประตูลิฟก็เปิดออกพอดี แองจี้ยืนอึ้งไปชั่วครู่ เพราะเห็นคนที่กำลังคิดถึงยืนอยู่อีกด้านของประตูลิฟเพียงลำพัง

"เธอจะไปไหน" พีทเอ่ยทักหญิงสาว

"เออ..แองจี้เห็นอาพีทยังไม่มา เลยคิดว่าจะไปซื้อขนมข้างล่าง" หญิงสาวว่าเร็วๆ

"หมดเวลาพักแล้ว" พีทชำเลืองมองปุ่มเรียกลิฟขึ้นที่หญิงสาวกดไว้แว๊บนึง แล้วเดินนำไปที่ออฟฟิต

"ค่ะ" แองจี้ลอบถอนใจโล่งอกก่อนจะเดินตามไป




"คุณเมย์ วันนี้ผมไม่รับแขก ห้ามใครเข้าไปรบกวน" พีทสั่งเสียงเข้มก่อนเดินเข้าห้อง

"ค่ะ" เลขาสาวรีบรับคำ

"ทำไมวันนี้อาพีทมาสายล่ะคะ" แองจี้เอ่ยถามหลังเดินผ่านประตูห้องทำงานเข้ามา และยังคงเดินตามชายหนุ่มไปที่โต๊ะ

"วันหยุดไปเที่ยวไหนมาบ้างคะ" หญิงสาวยังชวนคุย ขณะที่อีกฝ่ายหันกลับมามองนิ่ง ด้วยแววคุกรุ่นอยู่ภายในจนแองจี้ต้องหลบสายตา

"หยุดถามฉันซักที ฉันไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น ฉันอยู่ที่ห้องนั่งคิดถึงเธอทั้งวัน เหมือนกับที่เธอคิดถึงฉันนั่นแหละ ทำไมฉันมาสายน่ะเหรอ เพราะฉันไม่ได้นอนทั้งคืน เหมือนกับที่เธอนอนไม่หลับไงล่ะ พอใจหรือยัง!" พีทระเบิดอารมณ์อัดอั้นใส่หญิงสาวทันที แองจี้ตะลึงมองอีกฝ่ายด้วยอาการตกใจก่อนจะโต้ตอบกลับไปด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านแรงพอกัน

"ทั้งหมดที่พูดมาเป็นความผิดของแองจี้ใช่ไหม แล้วใครล่ะที่ทำให้เรื่องทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ ความจริงอาพีทน่าจะปล่อยให้แองจี้ตายไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น จะช่วยไว้ทำไม แองจี้ไม่ได้มีความสุขกับสภาพที่เป็นอยู่นี่เลยซักนิด" หญิงสาวว่าพลางกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หันหลังเตรียมก้าวไปที่ประตู แต่กลับถูกพีทกระชากแขนจนร่างบางกระเด็นเข้ามาปะทะอกแข็งแรง

"ปล่อยแองจี้นะ" หญิงสาวร้องไห้ฟูมฟายผลักอกคนตรงหน้า แต่วงแขนนั้นกลับโอบกอดแนบชิดกว่าเดิมจนขยับตัวไม่ได้

พีทกดศีรษะเล็กลงบนอกกว้าง กอดปลอบจนหญิงสาวอยู่ในอาการสงบแล้วจึงคลายอ้อมแขนออก แองจี้กอดตอบขณะที่ยังซบหน้าลงบนอกอุ่นกลั้นเสียงสะอื้น

"ฉันขอโทษ ไม่ได้เห็นหน้าเธอสองสามวัน เลยทำให้ฉันหงุดหงิด" พีทลูบหลังปลอบประโลม

"อาพีทคิดถึงแองจี้ขนาดนั้นเลยเหรอคะ" หญิงสาวว่าด้วยอารมณ์ดีขึ้นจนยิ้มออกมาได้ทั้งน้ำตา

"คงมากพอๆ กับที่เธอคิดถึงฉันมั้ง" พีทว่าล้อ

"แองจี้เปล่าซะหน่อย" หญิงสาวว่าเขินๆ ขณะที่อีกฝ่ายเชยคางไว้ด้วยสันนิ้วเรียวยาวให้เงยหน้าขึ้นสบตา

"นี่คือโทษของการที่เธอพูดโกหก" พีทต้อนแองจี้จนหลังชนผนังกระจก คร่อมร่างบอบบางไว้ด้วยมือและแขนทั้งสองข้าง แล้วโน้มใบหน้าลงหาริมฝีปากสวยได้รูป ก่อนที่จุมพิตอบอุ่น นุ่มนวล และโหยหาจะดำเนินไปอย่างประวิงเวลา จนทั้งสองสามารถสบตากันด้วยรอยยิ้มและท่าทีที่ต่างออกไป...





"ไปเที่ยวสนุกไหมคะ" เอมี่เอ่ยทักเมื่อกลับมาถึงบ้านและเห็นพ่อกับแม่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น

"สนุกมากลูก" กันบอกลูกสาวขณะที่เอมี่เข้ามานั่งแทรกระหว่างพ่อกับแม่

"ที่พักเป็นไงคะแม่" เอมี่หันไปถามเต้ย

"สวยแล้วก็หรูมากๆ เลยลูก ทริปนี้คุ้มทุกบาททุกสตางค์จริงๆ พวกลุงป้าน้าอาฝากมาชมหนูกันใหญ่" เต้ยกล่าวชมจนเอมี่ยิ้มจนแก้มปริ

"เออ..จริงๆ แล้วเจ้านายเอมี่ใจดีน่ะค่ะ" หญิงสาวพูดเป็นนัย

"เหรอจ๊ะ งั้นฝากขอบคุณเขาด้วยละกัน" เต้ยยิ้มบอกลูกสาว

"คือ..เอมี่จะพามาแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จักได้ไหมคะ" หญิงสาวว่าเขินๆ

ทำเอาพ่อกับแม่มองหน้ากันด้วยอาการประหลาดใจและตั้งตัวไม่ทันกับสิ่งที่ได้ยิน

"เอาสิ ลูกรู้จักกันมานานแล้วเหรอ" กันว่าพยายามวางหน้าปกติ

"ก็ซักพักแล้วค่ะ เขาเป็นลูกชายเจ้าของโรงแรมที่เอมี่ทำงานอยู่ค่ะ" เอมี่ยิ้มบอกด้วยแววตาสดใส ส่วนพ่อกับแม่กลับมองหน้ากันด้วยสีหน้ากังวล

"งั้นเอมี่ให้เขามาทานข้าวกับเราพรุ่งนี้นะคะแม่"

เต้ยหันมองหน้ากัน ก่อนจะเห็นสามีพยักหน้าเห็นชอบ

"เออ..จ่ะ"

"ขอบคุณค่ะแม่"




"ยังไม่นอนอีกเหรอเต้ย" กันเพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินมานั่งลงข้างๆ ตรงโซฟาภายในห้องนอน

"เต้ยห่วงลูกอ่ะกัน" เต้ยว่าด้วยสีหน้ากังวล

"เรื่องลูกมีแฟนนะเหรอ" กันถามยิ้มๆ

"กันไม่ห่วงลูกบ้างหรือไง" เต้ยหันมองหน้า

"ซักวันเอมี่ก็ต้องมีใครซักคนดูแล ลูกให้เรารับรู้ด้วยก็ดีแล้ว" กันกุมมือเต้ยแล้วว่าปลอบ

"ผู้ชายฐานะขนาดนั้น เต้ยกลัวลูกโดนหลอก" เต้ยยังไม่คลายความวิตก

"งั้นลูกพามาบ้านก็ดีแล้ว เราจะได้ช่วยกันดูไง อย่าเพิ่งคิดมากนะที่รัก" กันโอบไหล่ภรรยา

"เต้ยคงแค่ทำใจไม่ได้ ที่อยู่ๆ ลูกมาบอกปุบปับแบบนี้"

"ไม่เอาน่า ไปนอนกันดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้เห็นหน้าไอ้หนุ่มนั่น เต้ยค่อยคิดดีกว่า" กันว่าล้อแล้วลุกขึ้นฉุดมือภรรยาให้ลุกตาม

เต้ยเงยหน้าขึ้นสบตาแล้วส่ายหน้าขืนตัวไว้

"เฮ้อ...ต้องให้ออกแรงอยู่เรื่อย" กันแกล้งบ่นแล้วอุ้มคนตรงหน้าขึ้นทันที

"ก็กันอยากลืมหน้าที่ตัวเองทำไม" เต้ยว่าล้อแล้วยิ้มขำ

"จะเป็นยายแล้วนะเราอ่ะ" กันว่าแล้วหัวเราะ

"ตัวเองนั่นแหละจะเป็นคุณตา" เต้ยตีอกกันแล้วมองค้อน

"คุณยายเต้ย...คุณยายเต้ย" กันวางภรรยาไว้บนที่นอนว่าล้อแล้วซุกไซ้ซอกคอ จนอีกฝ่ายหัวเราะดิ้นขลุกขลักไปมา

"นี่กัน..หยุดเดี๋ยวนี้นะ"

"หยุดก็ได้.."

ทั้งสองมองสบตากันด้วยรอยยิ้มดังเช่นในวัยเยาว์ แววตาซุกซนหยอกล้อกันด้วยความรักใคร่ไม่เคยจางหายไปในความรู้สึก กันโน้มลงจูบริมฝีปากอ่อนนุ่มอย่างหลงใหล สัมผัสอ่อนโยนเคยคุ้นปลุกไฟรักอมตะในกายทั้งสองให้ลุกลามได้อย่างน่าอัศจรรย์ในค่ำคืนอันยาวนานและอบอุ่นที่มีใจสองดวงผูกพันกันเป็นนิรันดร์...






"ฉันบอกพ่อกับแม่แล้วนะ ว่าคุณจะไปทานข้าวด้วยพรุ่งนี้" เอมี่เอียงหน้าขึ้นบอก ระหว่างที่หนุ่มสาวนั่งเล่นกันอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ริมทะเลสาบนิ่งสนิทสะท้อนเงาหมู่ดาวเป็นประกาย

"แล้วพ่อแม่เธอว่าไง" ชาร์ลีก้มลงถาม

"ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่คะ พ่อกับแม่คงอยากพบคุณเหมือนกัน" เอมี่ว่า

"หวังว่าคงจะเป็นอย่างนั้น" ชาร์ลีว่าแล้วมองออกไปที่วิวทะเลสาบ

"บอกได้หรือยัง ว่าคุณมีปัญหาอะไรกับครอบครัวฉัน" เอมี่ตัดสินใจถามออกไป

"ยัง" ชาร์ลีว่า

"ที่คุณทำดีกับฉัน คงไม่ใช่เรื่องของการแก้แค้นใช่ไหม"

"เธอไม่ไว้ใจฉันเหรอ"

"แค่รู้สึกว่าฉันเห็นคุณเพียงด้านเดียว"

"เชื่อใจฉันนะเอมี่ ฉันไม่มีวันทำร้ายเธอ หรือคนที่เธอรัก"

"ค่ะ ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนดี" เอมี่ยิ้มสบตา ก่อนที่ริมฝีปากอบอุ่นจะแนบลงมาแผ่วเบา

"กลับกันเถอะ เริ่มหนาวแล้ว" ชาร์ลีบอกหญิงสาวด้วยรอยยิ้ม

แล้วร่างทั้งคู่ก็ปรากฏขึ้นบนเตียงนุ่มภายในบ้านซึ่งทั้งสี่ชีวิตพ่อแม่ลูกเคยอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขเมื่อนานมาแล้ว หากว่าภาพเหตุการณ์เหล่านั้นจะยังอยู่ในความทรงจำของคนทั้งสอง...






แองจี้ประทินผิว ทาโลชั่นหอมกรุ่นพลางนึกถึงเรื่องราวที่ทะเลาะกับพีทเมื่อตอนเช้า แล้วก็ยิ้มอารมณ์ดีกับตัวเอง เมื่อได้รู้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายที่มีต่อตน หญิงสาวเดินยิ้มออกมาจากห้องน้ำ แล้วตรงไปปิดไฟก่อนจะไปที่เตียงนอน

พอเริ่มเอนตัวลงนอนกลับตกอยู่ในอ้อมแขนกอดกระชับแนบชิดจนได้กลิ่นไอละมุนคุ้นเคย แองจี้รู้ว่ามีเพียงคนเดียวที่ถือวิสาสะเข้าออกห้องเธอได้ง่ายดายแบบนี้

"อาพีทมาทำไมคะ" แองจี้ดันอกคนตรงหน้าไว้

"เธอคงไม่อยากให้ฉันหงุดหงิดใส่เธอตอนเช้าอีกใช่ไหม" พีทไม่ตอบแต่ถามแองจี้กลับหน้าตาเฉย

"แต่เราตกลงกันแล้ว.." แองจี้ท้วง

"แค่นอนกอด คงไม่ทำให้เธอท้องได้หรอก แต่ถ้าเธอยังไม่หยุดดิ้นก็ไม่แน่..." พีทว่าล้อเสียงต่ำสื่อความหมาย

แองจี้รู้ว่าไม่มีทางชนะคนตรงหน้าได้ จึงเลิกขัดขืนแล้วนอนนิ่งๆ

"กู๊ดไนท์ค่ะ" หญิงสาวว่าก่อนจะหลับตาลง

พีทขยับขึ้นมองคนที่กำลังนอนหลับตา ก่อนจะโน้มลงจูบริมฝีปากนิ่งแผ่วเบา แองจี้ยกฝ่ามือขึ้นต่อต้านการกระทำที่กำลังสร้างความหวั่นไหวทวีขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มกุมมืออ่อนแรงนั้นไว้ข้างหนึ่งก่อนจะเอ่ยกระซิบบนริมฝีปากบางสวย

"กู๊ดไนท์ที่รัก..." ร่างบางซึ่งหัวใจกำลังสั่นไหวถูกฉุดรั้งเข้ามากอดแนบสนิทอีกครั้ง

"อาพีทจะแกล้งแองจี้ใช่ไหม" หญิงสาวเอ่ยถาม

"ฉันแค่ห้ามใจตัวเองไม่ได้" พีทตอบแล้วหัวเราะในลำคอ

"คำแก้ตัวฟังไม่ขึ้นค่ะ..."

"ให้ฉันทำแผนประกอบคำรับสารภาพอีกทีดีไหม..."

"บ้า..นอนได้แล้วค่ะ"

"นอนไม่หลับ..."

"ช่างอาพีทสิ แองจี้ไม่เกี่ยว..."

"เธอเป็นนางฟ้าใจร้าย..."

"...."

"...."

และแล้วการสนทนาหยอกล้อโต้ตอบของทั้งคู่ก็สิ้นสุดลงยามใกล้รุ่ง เมื่อร่างกายเริ่มอ่อนเพลีย ทว่าหัวใจกลับผูกพันกันด้วยสายใยรักซึ่งถักทอประสานกันแนบแน่นมั่นคงยิ่งขึ้นทุกลมหายใจ ....



















 

Create Date : 31 ธันวาคม 2553    
Last Update : 7 มกราคม 2554 7:15:34 น.
Counter : 400 Pageviews.  

Twilight Stars6 ตอนที่ 72

พีทและแองจี้ใช้เวลาร่วมกันตามลำพังในเรือนกระจกหลังนั้น ลืมทุกสิ่งในโลกภายนอก และรับรู้ถึงความสุขที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต เวลาที่หมุนเคลื่อนไปสร้างความสนิทสนมให้ทั้งคู่ ผ่านการพูดคุยหยอกล้อกันและทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยกัน ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา

"ต้องกลับแล้วเหรอค่ะ" แองจี้ทิ้งตัวลงนอนหนุนตักพีทซึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟานุ่มสีขาวสะอาดตา

"ใช่ ตกลงเธอจะลาออกหรือเปล่า" พีทก้มลงมองหญิงสาวแล้วเอ่ยถาม พลางไล้ปลายนิ้วไปบนแก้มนวลใส

"อืม..ถ้าอาพีทไม่อยากเห็นหน้า แองจี้อยู่บ้านก็ได้ค่ะ" หญิงสาวตอบเฉไฉไปทางอื่น

"ก็ดีเหมือนกันนะ เห็นหน้าเธอทุกวัน ฉันก็ชักจะเบื่อแล้วล่ะ" พีทแกล้งกลับด้วยสีหน้าจริงจัง

แองจี้งอนหน้าบึ้งแล้วตั้งท่าจะลุกออกไปทันที

"แต่เผอิญฉันเป็นพวกความอดทนสูง คงทนเห็นหน้าเธอไปได้อีกซักตลอดชีวิต" พีทฉุดหญิงสาวไว้แล้วหลุดยิ้มออกมา

"งั้นแองจี้จะไปพิสูจน์ความอดทนอาพีทค่ะ" แองจี้ยิ้มล้อ

"แสดงว่าที่ผ่านมายังไม่ชัดเจนใช่ไหม" พีทลุกขึ้นแล้วโน้มลงซุกไซ้ไปที่ซอกคอหญิงสาวพร้อมกับจี้เอวไปด้วย แองจี้กรี๊ดกร๊าดจักจี้ดิ้นขลุกขลักหัวเราะจนแทบหมดแรง ทั้งสองมองสบตากันด้วยรอยยิ้มที่ฉายชัดออกมาจากแววตาเมื่อการหยอกล้อสิ้นสุดลง แล้วเพลงรักบทสุดท้ายก็บรรเลงขึ้นบนโซฟานุ่มเป็นการอำลาเรือนกระจกหลังงามกลางทะเลสาบแห่งนี้...






"กลับมาแล้วเหรอครับพ่อ" ชาร์ลีเอ่ยทัก เมื่อเดินเข้ามาในห้องทำงานพีท ก่อนจะหันไปยิ้มให้แองจี้แวบหนึ่งเป็นการทักทาย

"มีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า" พีทเอนพิงพนักเก้าอี้ มองลูกชายนอกไส้

"ผมมีเรื่องจะคุยด้วย" ชายหนุ่มมองตอบจริงจัง

"ขอกาแฟฉันซักถ้วยแองจี้" พีทว่าสายตายังจับจ้องคนตรงหน้า

"เออ..ค่ะ" หญิงสาวมองปฏิกิริยาของพ่อลูก แล้วปลีกออกไปทันที



แองจี้เดินเข้าไปในห้องพักพนักงานเพื่อชงเครื่องดื่ม เห็นเอมี่กำลังง่วนอยู่กับเครื่องชงกาแฟสด ซึ่งตนไม่รู้วิธีจัดการกับมันด้วยซ้ำ

"ชงกาแฟอยู่เหรอ เผื่อฉันซักแก้วสิ" แองจี้ทักหญิงสาว รู้สึกว่าควรจะญาติดีกันไว้ เพราะอีกหน่อยอาจได้เกี่ยวดองกัน

"ได้สิ" เอมี่ตอบรับประหลาดใจเล็กน้อยกับท่าทีเป็นมิตร ที่แองจี้แสดงออก

"เธอเก่งนะ ใช้เครื่องพวกนี้เป็นด้วย" แองจี้ว่า เพราะรู้ว่าพีทแค่ต้องการให้ตนออกมาจากห้องนั้น ปกติแล้วไม่เคยใช้ให้ทำอะไรยากๆ แบบนี้

"ฉันชอบทำอาหารน่ะ เครื่องดื่มแบบนี้ก็เคยทำมาบ้าง" เอมี่ว่าพลางทำไปเรื่อยๆ

"สอนฉันบ้างได้ไหม" แองจี้ว่าแล้วขยับเข้าไปดูใกล้ๆ

"ไม่ยากหรอก เธอต้องลองทำเองซักครั้ง" เอมี่ยื่นอุปกรณ์ให้แล้วบอกวิธีทำ...




"ผมรักเอมี่ เราจะแต่งงานกัน" ชาร์ลีพูดแบบไม่อ้อมค้อม

"หึ ฉันไม่ประหลาดใจหรอกนะ ถ้าแกรักกันจริงๆ ฉันก็จะสงเคราะห์ให้" พีทยิ้มย่องหัวเราะในลำคอ

ทั้งนี้เพราะเขาคิดว่าเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว การจะควบคุมชาร์ลีด้วยพลังที่มีอยู่คงเป็นไปได้ยาก และวิธีที่จะเล่นงานครอบครัวนี้ได้ ก็มีเพียงทางเดียวคือการเปิดเผยถึงชาติกำเนิดที่แท้จริงของทั้งสอง แต่อาจต้องรอเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ความทรมานบังเกิดอย่างสาสม

"ขอบคุณครับพ่อ" ชาร์ลีว่าแม้จะรู้สึกแปลกๆ กับท่าทีของอีกฝ่าย

"แต่ฉันมีข้อแม้..."




"ไหนดูซิ รสชาติเป็นไง" แองจี้ยกกาแฟที่ชงเองเมื่อกี้ขึ้นจิบ เพราะคิดว่าพ่อลูกคงคุยกันอีกนาน ก่อนจะเอ่ยกับเอมี่ว่า

"นั่งดื่มด้วยกันก่อนนะ ไม่ต้องรีบหรอก ชาร์ลียังอยู่ในห้องอาพีทอยู่เลย"

"ฉันรู้แล้วล่ะ" เอมี่เดินไปนั่งที่โซฟา โดยมีแองจี้เดินตามไป

"เธอรู้ใช่ไหม ว่าพ่อลูกนั้นน่ะมีพลังพิเศษ" แองจี้กระซิบถาม

"อืม..เธอก็รู้ด้วยเหรอ" เอมี่มองอีกฝ่ายประหลาดใจ




"ฉันจะให้แกแต่งงานกันได้ ก็ต่อเมื่อเอมี่ท้องแล้วเท่านั้น" พีทยื่นข้อเสนอที่ทำให้ชาร์ลีสนเท่ห์อีกครั้ง

"บอกเหตุผลผมหน่อยได้ไหม" ชาร์ลีถามออกไป เพราะฟังดูแล้วเป็นข้อแม้ที่ไม่เข้าท่าซักเท่าไหร่ ที่จะต้องทำให้เอมี่ท้องก่อนแต่ง

"ฉันแค่อยากให้แน่ใจว่า แฟนแก่จะมีผู้สืบทอดวงศ์ตระกูลก็เท่านั้น อีกอย่างเรื่องนี้ห้ามให้แม่แกรู้เด็ดขาด จนกว่าแกจะกำหนดวันแต่งแน่นอน"

"ถ้าเหตุผลมีแค่นั้น... หวังว่าพ่อจะรักษาสัญญาของตัวเองด้วยนะครับ" ชาร์ลีว่าก่อนจะเดินออกจากห้องไป




สองสาวกำลังคุยกันออกรสออกชาติเข้าคอกันเป็นอย่างดี เมื่อชาร์ลีเดินมาตาม และบอกแองจี้ว่าพีทกำลังรอกาแฟอยู่ ทั้งคู่จึงผละกันไปทำงาน

"พ่อคุณว่ายังไง" เอมี่ถามกระตือรือร้นเมื่อประตูห้องทำงานปิดลง

"พ่อเห็นด้วย แต่อยากให้เราคบกันไปอีกซักพัก" ชาร์ลีเลี่ยงที่จะบอกความจริงที่ตกลงไว้กับพีท

"ก็ดีเหมือนกัน ถ้าจู่ๆ พาคุณไปบอกกับพ่อแม่ว่าเราจะแต่งงานกัน คงช็อตไปเลย" เอมี่ยิ้มสบตาชายหนุ่ม

"ก็คงงั้นแหละ" ชาร์ลีโน้มลงหอมแก้มแล้วกอดหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน รู้สึกผิดต่อเอมี่นิดๆ กับสิ่งที่รับปากพ่อไว้




"เมื่อกี้คุยอะไรกันคะ" แองจี้วางถ้วยกาแฟลงตรงหน้าแล้วถาม

"รู้แล้วเธออาจจะอิจฉาคู่นั้นก็ได้" พีทว่าล้อปนยิ้มเยาะ

"บอกก่อนสิคะ จะได้รู้ว่าจะตาร้อนดีไหม" แองจี้ว่าแล้วเดินไปนั่งบนตักพีท

"ชาร์ลีจะแต่งงานกับเอมี่" พีทบอกแล้วรวบเอวอีกฝ่ายไว้

"งั้นเราแต่งพร้อมกับคู่นั้นเลยดีไหมคะ" แองจี้ออกความเห็น

"คนคงหัวเราะเยาะฉัน ที่ลุกขึ้นมาแต่งงานแข่งกับลูกชาย" พีทว่าขำๆ

"พูดแบบนี้อาพีทจะไม่ยอมแต่งกับแองจี้ใช่ไหม" หญิงสาวเริ่มงอน

"ให้คู่นั้นแต่งไปก่อนซักพัก ตกลงไหม" พีทกระชับอ้อมแขนเอาใจ

"ก็ได้ค่ะ" แองจี้ยิ้มออกมาได้ในที่สุด






"เต้ยไปด้วยกันนะ เต้ยไม่ไปกันก็เหงาแย่สิ" กันโยนลูกอ้อนขณะที่ทั้งสองอยู่กันตามลำพัง

"เต้ยห่วงลูกนี่นา"

"ชวนลูกไปด้วยก็ได้"

"ลูกโตแล้วเต้ยกลัวลูกไม่อยากไปกับเราน่ะสิ"

"มีอะไรกันคะ พ่อแม่" เอมี่เดินออกมาพอดีได้ยินทั้งสองสนทนากันในห้องรับแขก

"พ่อกำลังชวนแม่ไปเที่ยวเชียงใหม่ ลุงโตโน่ อาเซน อาริท ป้าเอ้ก น้ามีน น้ามายด์ ก็ไปกันหมด แม่หนูจะให้พ่อไปคนเดียว" กันเอ่ยขอแนวร่วม

"ทำไมล่ะค่ะ แม่ไปกับพ่อเถอะ นานๆ จะได้รวมพลกันซักที" เอมี่ว่ายิ้มๆ

"ก็แม่หวงเอมี่ ไม่อยากให้อยู่บ้านคนเดียว" เต้ยหันไปบอกลูกสาว

"เอมี่โตจนจะออกเรือนได้แล้วนะคะแม่" หญิงสาวว่าขำๆ

"นั่นนะสิ ลูกเราก็เป็นเด็กดีมาตลอด ไม่เห็นต้องห่วงอะไรเลย" กันเสริม เล่นเอาเอมี่หน้าเจื่อนไปเล็กน้อย

"ไปด้วยกันนะลูก ลางานแค่สองสามวันคงไม่เป็นไรหรอก" เต้ยเสนอ

"ไม่ดีกว่าค่ะ เอมี่เพิ่งเข้าไปทำงาน ถ้าขอลาไปเที่ยวจะน่าเกลียดนะคะแม่ อีกอย่างพ่อแม่ไปสองคนก็ครบคู่แล้ว ถือว่าไปฮันนีมูนรอบที่นับไม่ถ้วนก็แล้วกันค่ะ" เอมี่ว่าแซวแล้วหัวเราะ

"เชียงใหม่เอมี่ก็ไปอยู่มาเป็นเดือนแล้ว เอมี่เบื่อแล้วค่ะ" หญิงสาวรีบยกเหตุผล

"แน่ใจนะลูกว่าอยู่คนเดียวได้" เต้ยถามย้ำ

"แน่ใจค่ะแม่" เอมี่ยิ้มยืนยัน

"ว่าแต่จองที่พักกันหรือยังค่ะพ่อ" เอมี่หันไปถามกัน

"ยังเลย ว่าจะให้หนูช่วยเรื่องนี้เหมือนกัน เพื่อนหนูมีโรงแรมอยู่ทางโน่นไม่ใช่เหรอ"

"ได้ค่ะพ่อ"



เอมี่บอกชาร์ลีเรื่องที่พ่อแม่และเพื่อนๆ จะไปเที่ยวเชียงใหม่หนึ่งอาทิตย์ในช่วงปีใหม่ ชายหนุ่มคิดว่านี่คงเป็นโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดเอมี่ยิ่งขึ้น และถ้าโชคดีกว่านั้นทั้งสองอาจได้ฤกษ์แต่งงานในเร็ววันนี้

"เอาโปรแกรมท่องเที่ยวกับที่พักให้พ่อแม่เธอเลือกนะ แล้วที่เหลือฉันจัดการเอง" ชาร์ลีเสนอด้วยความยินดี

"แล้วเรื่องค่าใช้จ่ายล่ะค่ะ" เอมี่ถาม

"เธอบอกเขาเองละกัน ถ้าให้พักฟรีพ่อแม่เธอต้องสงสัยแน่ๆ"

"ขอบคุณค่ะชาร์ลี" เอมี่เขย่งขึ้นหอมแก้มชายหนุ่ม แล้วถูกรวบกอดไว้

"ช่วงที่พ่อแม่เธอไม่อยู่ เราไปอยู่ที่บ้านบนเขากันดีไหม ป่านนี้ผักที่เธอปลูกไว้คงโตเต็มแปลงแล้ว" ชาร์ลีเอ่ยชวน

"แมวไม่อยู่หนูร่าเริงอีกแล้วนะ" เอมี่ว่าล้อ

"หนูตัวนี้ใช่ไหม" ชาร์ลีล้อกลับแล้วโน้มลงไซ้ซอกคอ เอมี่หัวเราะจักจี้พยายามผลักให้หลุดจากอ้อมแขน





เอมี่เปิดโปรแกรมทัวร์ให้พ่อกับแม่ดู ซึ่งมีหลากหลายล้วนเป็นสถานที่สวยงาม และที่พักชั้นดี

"นี่ไม่ใช่โรงแรมเพื่อนเอมี่นะคะ แต่เป็นโรงแรมกับรีสอร์ทในเครือที่เอมี่ทำงานอยู่ค่ะ" เอมี่บอกพ่อกับแม่

"ส่วนนี่ก็ราคาของแต่ละโปรแกรมค่ะ" เอมี่ยื่นลิสราคาให้

"มันไม่ถูกไปเหรอลูก พักตั้งหกคืน รถรับส่ง ตั๋วเครื่องบินอีก" กันมองดูราคาด้วยความประหลาดใจ

"เขาให้ราคาพ่วงไปกับทัวร์กรุ๊ปใหญ่ค่ะพ่อ ห้องพักหลายพันบาท บริษัททัวร์เขาก็จ่ายจริงไม่กี่ร้อยบาทค่ะ" เอมี่พยายามอธิบายให้เนียน

"ดีเหมือนกันนะ เอมี่อย่าเพิ่งลาออกนะลูก พ่อกับแม่จะได้ไปเที่ยวบ่อยๆ" กันว่าแล้วหัวเราะ

"พ่อขอปรึกษากับลุงป้าน้าอาก่อนนะ ว่าจะเลือกโปรแกรมไหน น่าสนใจทั้งนั้นเลย"

"ขอคำตอบเร็วหน่อยนะคะ เพราะว่าช่วงเทศกาล เอมี่กลัวห้องเต็มค่ะ"

"พรุ่งนี้นะลูก"

"ค่ะพ่อ"





แองจี้อยู่รอพีทจนถึงทุ่มกว่า และเห็นว่าเขาเริ่มลามือจากงานตรงหน้า

"เสร็จแล้วเหรอคะ" แองจี้ถามด้วยความหวัง

"อืม..ที่เหลือค่อยมาต่อพรุ่งนี้" พีทว่าพลางมองนาฬิกาข้อมือ

"เพิ่งหัวค่ำ ไปดูหนังกันไหมคะอาพีท" แองจี้เอ่ยชวน

"ไม่ได้หรอก นัดเสี่ยอนันต์ไว้ตอนสองทุ่ม"

"ตาเสี่ยลามกนั่นอีกแล้วเหรอคะ" แองจี้ทำหน้างอ

"พูดแบบนี้ไม่ไปด้วยใช่ไหม" พีทหันมามองแล้วยิ้มขำ

"ไปก็ได้ค่ะ นัดกันที่ไหนคะ" แองจี้ทำหน้าเซ็ง

"ที่เดิม" พีทว่าแล้วลุกเดินมาหา

"โหย..เจอตาเสี่ยลามกไม่พอ ต้องเจอยัยป้ามารยามหาภัยอีก" แองจี้ทำหน้าเซ็งเป็นสองเท่า

"เธอกลัวสองคนนั้นด้วยเหรอ" พีทแกล้งแหย่ขณะยืนพิงที่ขอบโต๊ะด้านในตรงหน้าแองจี้

"ถ้าอาพีทไปด้วย แองจี้ไม่กลัวหรอกค่ะ" หญิงสาวยิ้มสบตา

"งั้นก็ไปกันเลย" พีทว่าแล้วส่งมือให้พร้อมรอยยิ้ม



ทั้งสองมาถึงไนท์คลับของโรงแรมก่อนเวลา ขณะที่สั่งอาหารรองท้องเสร็จเรียบร้อย มายาก็เดินตรงเข้ามาอีกเช่นเคย แองจี้ขี้เกียจต่อปากต่อคำด้วยจึงขอตัวไปห้องน้ำก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินมาถึงโต๊ะ

"แหมวันนี้มีอะไรให้รับใช้ไหมค่ะคุณพีท" สาวใหญ่จีบปากจีบคอเข้ามาทัก

"ก็อย่างเคยแหละ นัดเสี่ยอนันต์ไว้ คุณช่วยหาสาวๆ ไว้ด้วย" พีทว่าเอนพิงพนักผ่อนคลาย

"ได้ค่ะ เออ..คราวที่แล้วมีอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่าค่ะ เห็นคุณให้เด็กๆ ลงมาหมดเลย" มายาตะล่อมถาม

"แค่เบื่อๆ ไม่มีอะไรหรอก" พีทว่าไม่ใส่ใจ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

"หวังว่าคราวนี้คุณคงไม่ทำอะไรเกินหน้าที่อีกนะ ไม่งั้นจะได้เห็นดีกัน" พีทว่าเสียงจริงจัง

"ค่ะ" มายารับคำหน้าเสียไปเล็กน้อย พลางนึกว่านังเด็กนั่นมีอะไรดีนักหนา พีทถึงได้ออกโรงปกป้องขนาดนี้

"ไปทำงานของคุณเถอะ" พีทออกปาก

"ค่ะ" มายาฝืนยิ้มแล้วผละตรงไปทางห้องน้ำทันที



สาวใหญ่เดินเข้ามาในห้องน้ำหญิง เห็นแองจี้กำลังเติมหน้าที่กระจก และมีบรรดาสาวๆ ในสังกัดอีกสองสามคนยืนอยู่ในบริเวณนั้นด้วย จึงเปยขึ้นว่า

"แหมลูกๆ จ๊ะ รู้ไหมคุณพีทเอ่ยชมพวกหนูๆ ใหญ่เลยว่าปรนนิบัติได้เยี่ยมกันทุกคน"

"จริงเหรอค่ะ" หนึ่งในบรรดาลูกๆ ถามด้วยความกระตือรือร้นแบบงงๆ เพราะท่าทางชายหนุ่มไม่ได้บอกเช่นนั้น

"ก็จริงน่ะสิ คุณพีทยังบอกว่าอยากเจอพวกหนูอีกเร็วๆ นี้แหละ" มายายังคงเติมสีใส่ไข่ต่อ ขณะที่แองจี้เริ่มมีปฏิกิริยาต่อสิ่งที่ได้ยิน

"เขาคงจะเบื่อพวกชอบแสดงออกแบบไม่มีระดับแล้วล่ะ" ว่าพลางปลายตามาที่แองจี้

"นี่ป้า พูดแบบนี้หมายความว่าไง" แองจี้ชักฉุนขาด

"ก็หมายความอย่างที่พูดทุกอย่างนั่นแหละ" มายาลอยหน้าตอบ

"จะพูดอะไรดูตาม้าตาเรือซะมั่งว่าฉันเป็นใคร แล้วป้าเป็นใคร ถ้ายังอยากหากินแถวนี้ล่ะก็ ระวังคำพูดบ้าง"

"ไม่ต้องมาขู่ฉันหร๊อก.. ฉันพูดอะไรมีหลักฐานเสมอ" มายาว่าพลางล้วงโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วเปิดคลิปยื่นในแองจี้ดูพฤติกรรมราวนางแมวยั่วสวาทของตนที่ขึ้นไปนั่งคร่อมบนตักพีท หญิงสาวไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองทำอย่างนั้นลงไปได้ในที่สาธารณะ แต่จะยอมให้ยัยป้ามารยาเยาะเย้ยสะใจไม่ได้

"แค่นี้นะจิ๊บจ๊อย... ไม่งั้นฉันจะเอาอาพีทซะอยู่หมัดเหรอ" หญิงสาวยิ้มระรื่นก่อนจะคืนโทรศัพท์ให้ ทั้งที่ในใจเดือดปุดๆ แล้วตอนนี้

"อ้อ..ถ้าฝีมือไม่ถึงอย่าคิดมายุ่งกับฉัน ไม่งั้นฉันจะเป่าหูอาพีทให้พวกเธอไม่มีที่ทำกินกันเลยทีเดียว" แองจี้ยิ้มเยาะทิ้งทวนก่อนเดินจากไป ปล่อยให้สาวใหญ่ขบฟันด้วยความขัดเคืองใจอีกเช่นเคย



แองจี้เดินมากระแทกตัวนั่งลงข้างพีท ชายหนุ่มมองกิริยานั้นแล้วถามด้วยความสงสัย

"อารมณ์เสียอะไรมาล่ะ" พีทโอบรอบไหล่เริ่มชินกับนิสัยเด็กๆ ของอีกฝ่าย

"อาพีทก็รู้อยู่แก่ใจนี่คะ ไม่เห็นต้องให้แองจี้สาธยาย" หญิงสาวหันมาแขวะทันที

"ถึงฉันจะเป็นยอดมนุษย์ ก็ไม่ได้รู้ทุกอย่างหรอกนะ" พีทว่าขำๆ

"ยังจะมาขำอีก" แองจี้หน้าบึ้งกว่าเดิม

"ไว้ค่อยคุยกันนะ เสี่ยอนันต์มาโน่นแล้ว" พีทยังคงว่าแบบใจเย็น



และก็เป็นดังคาด เสี่ยเลือกเข้ามานั่งฝั่งที่แองจี้นั่งอยู่ โดยไม่ต้องแนะนำกันอีก เพราะทั้งสองฝ่ายจดจำกันได้อย่างแม่นยำ

"วันนี้ก็มาด้วยเหรอหนู" เสี่ยเริ่มมองด้วยสายตาแทะโลมเหมือนเดิม

"ค่ะ" แองจี้แสยะยิ้มนึกในใจ 'เห็นแล้วยังจะมาถามอีก' ด้วยอารมณ์ขุ่น

"เห็นเรียบร้อยแบบนี้ ลีลาไม่เบาเลยนะหนูนี่" เสี่ยพูดหยอกล้อด้วยสายตาหื่น แองจี้รู้ทันทีว่าต้องหมายถึงคลิปที่เห็นเมื่อกี้ ส่วนพีทงงเล็กน้อยเพราะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน

แองจี้เบียดเข้าหาพีทพลางกระซิบ

"อาพีท แองจี้จะหมดความอดทนแล้วนะ" ก่อนจะรู้สึกถึงมืออุ่นเคล้าคลึงลงบนไหล่ที่อยู่ฝั่งเสี่ยอนันต์

"ไอ้เสี่ยลามก! วันๆ คิดอะไรบ้างเนี่ย" แองจี้ลุกขึ้นตบหน้าเสี่ยอย่างแรงก่อนจะเดินเร็วๆ ออกไป

"หนอยนังตัวดี คุณต้องจัดการให้ผมนะคุณพีท" เสี่ยมองตามแองจี้ แล้วหันมาทางพีท

"ถ้าเป็นฉัน แกจะโดนหนักกว่านี้" พีทกระชากคอเสื้อเสี่ย กำหมัดเตรียมจะซัดเข้าที่ใบหน้า แต่ก็ยั้งไว้ได้ทัน เสี่ยอนันต์เป็นลมล้มฟุบไปอีกตามเคยหลังจากมองสบตาอีกฝ่าย พีทส่งสัญญาณให้สมุนมาจัดการ แล้วรีบตามแองจี้ออกไป






"อาพีทจะตามมาว่าแองจี้ใช่ไหม" หญิงสาวสะบัดแขนแล้วทำหน้างอ เมื่อทั้งสองเข้าไปอยู่ในลิฟแก้วตามลำพัง

"ฉันยังไม่ได้พูดอะไรอย่างนั้นซักหน่อย" พีทต้อนหญิงสาวจนหลังชนผนังใส แล้วค้ำฝ่ามือทั้งสองข้างไว้บนที่ว่างข้างศีรษะแองจี้ เพื่อไม่ให้หลบหนีได้

"อาพีทไม่โกรธแองจี้เหรอคะ ที่ทำกับลูกค้าแบบนั้น" หญิงสาวถามสบตา

"ลูกค้าฉันมีเยอะแล้ว แต่นางแมวดุๆ อย่างเธอคงมีแค่คนเดียว" พีทว่าล้อ

"ก็อาพีทอยากให้แองจี้ตามมาด้วยทำไม" แองจี้ว่างอนๆ

"ถ้าไม่มีเธอฉันคงเหงาแย่" พีทยิ้มก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่ริมฝีปากสวย

"แองจี้ยังไม่ได้คิดบัญชีอีกเรื่องกับอาพีทนะคะ" หญิงสาวคาดโทษ เริ่มรู้สึกประหม่าหวั่นไหวไปกับสายตาและความใกล้ชิด

"เหรอ งั้นเราไปสะสางกันต่อที่อื่นดีกว่า" พีทว่าจนชิดริมฝีปาก ก่อนที่ลิฟจะค่อยๆ ไต่ระดับท่ามกลางวิวกรุงเทพฯยามราตรีขึ้นสู่ชั้นสูงสุดของอาคารอย่างรู้หน้าที่








เอมี่ขับรถมาส่งพ่อและแม่ที่สนามบินในตอนเช้าตรู่ของวันเดินทาง หลังจากที่ได้พบลุงป้าน้าอาซึ่งมารวมพลกันเรียบร้อยและใกล้เวลาขึ้นเครื่อง หญิงสาวจึงลากลับ

"เที่ยวให้สนุกนะคะ พ่อแม่" เอมี่ขยับเข้ากอดกันและเต้ย

"จ่ะ เอมี่ก็ดูแลตัวเองนะลูก" เต้ยลูบศีรษะลูกสาวด้วยความรักใคร่

"เฝ้าบ้านดีๆ นะเราอ่ะ" กันว่าแล้วยิ้มล้อลูก

"รับทราบค่ะพ่อ งั้นหนูไปเลยนะคะ" เอมี่ไหว้พ่อแม่และผู้ใหญ่คนอื่นๆ ก่อนจะเดินผละไปยังที่จอดรถ


เมื่อเข้าใกล้รถ เอมี่ก็ต้องตกใจที่เห็นคนนั่งอยู่ข้างในฝั่งคนขับ แต่พอเห็นชัดเจนว่าเป็นใครก็ยิ้มออกมาได้

"นี่ เข้ามานั่งในนี้ได้ยังไง" เอมี่เปิดประตูรถเข้าไปนั่งอีกฝั่ง

"แค่ประตูรถ ไม่ใช่ปัญหา" ชาร์ลียิ้มให้ก่อนจะยื่นมือขอกุญแจ

"เก่งนัก ทำไมไม่ขับไปเลยล่ะ ต้องใช้กุญแจด้วยเหรอ" เอมี่แกล้งว่าให้

"นั่นน่ะสินะ ถ้ามีข้อแลกเปลี่ยนก็จะทำให้ดู" ชาร์ลีว่าเสียงเจ้าเล่ห์

"ข้อแลกเปลี่ยนอะไร" เอมี่ถามก่อนที่ชายหนุ่มจะเอียงหน้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบ

"บ้า" เอมี่ยิ้มเขินแล้วยื่นกุญแจรถให้ทันที

"นึกว่าจะแน่" ชาร์ลีหัวเราะแล้วรับกุญแจรถ ขับออกไปทันที





แองจี้นอนลืมตาในอ้อมแขนอบอุ่นระลึกถึงความทรงจำอันแสนหวานในราตรีที่เพิ่งผ่านมาได้อย่างแจ่มชัด หญิงสาวนึกไปพลางอมยิ้มกับตัวเองขณะที่แผ่นหลังยังเบียดชิดกับอกอุ่นซึ่งกระเพื่อมขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ บ่งบอกว่าเจ้าของร่างนั้นยังคงหลับสนิท


...ประตูลิฟแก้วเปิดออกหลังจากทั้งคู่มาถึงจุดหมาย ซึ่งเป็นห้องพักบนเนื้อที่อีกครึ่งหนึ่งของอาคารชั้นบนสุด ได้รับการตกแต่งไว้สวยงามไม่แพ้อีกฟากฝั่ง

พีทคว้าเอวหญิงสาวไว้ตั้งท่าจะโน้มลงจูบ แต่อีกฝ่ายกลับดันอกไว้เป็นการปราม ขณะที่ประตูห้องกำลังปิดตัวลงอย่างช้าๆ

แองจี้เบี่ยงตัวออกจากการเกาะกุมแล้วเดินไปที่ระเบียง มองวิวภายนอกซึ่งมีเพียงความมืดมิดที่ประดับไปด้วยแสงไฟหลากสี ดูระยิบระยับงดงามตามแบบฉบับสังคมเมือง

พีทเดินตามมายืนเคียงข้างก่อนจะขยับหญิงสาวให้หันมาสบตาแล้วเอ่ยถาม

"มีบัญชีอะไรจะสะสางกับฉันก็ว่ามา"

"ป้ามารยาบอกว่าอาพีทติดใจสาวๆ ที่ขึ้นมาหาอาพีทที่นี่วันนั้น.." แองจี้เข้าประเด็นทันที สายตายังคงจับจ้องที่ใบหน้าอีกฝ่าย

"ถ้าจริง เธอคงไม่ได้มายืนมองหน้าฉันอยู่อย่างนี้หรอก" พีทว่าพร้อมรอยยิ้มในดวงตา พลางแทรกฝ่ามือข้างหนึ่งเข้าที่ข้างแก้มหญิงสาว

"แองจี้เคยคิดว่าจะทนกับเรื่องพวกนี้ได้ เพราะพ่อก็มีผู้หญิงหลายคน แล้วก็ทำเหมือนว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่พอเอาเข้าจริง แองจี้เพิ่งรู้ว่าตัวเองคงไม่มีวันจะรับได้ ถ้าคนที่แองจี้...ไปยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนอื่น" หญิงสาวว่าน้ำตาซึม

"ถ้ามีเธออยู่ด้วย ฉันก็คงไม่ต้องการใครอีกแล้ว" พีทดึงแองจี้เข้ามากอด และบอกตัวเองว่าหากแม้หญิงสาวต้องตายจากไป เขาก็จะเฝ้ารอการกลับมาทุกภพทุกชาติไป

"อาพีทพูดจริงใช่ไหม" แองจี้ยิ้มทั้งน้ำตา

พีทขยับออกเช็ดน้ำตาแล้วโน้มลงจูบหญิงสาวอ่อนโยนแทนคำตอบ ก่อนจะพากลับเข้าไปภายในห้อง



แองจี้ออกมาจากห้องน้ำในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวเนื้อดี เห็นพีทนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาพาดเท้าไว้บนโต๊ะกระจกตรงหน้า จึงเดินเข้าไปหาด้วยอารมณ์ที่แตกต่างจากเมื่อพักใหญ่ที่ผ่านมา

"ยัยป้านั่น แอบถ่ายคลิปที่แองจี้ทำแบบนี้กับอาพีทในคลับด้วยค่ะ" หญิงสาวฟ้องขณะที่ขึ้นไปนั่งคร่อมบนตักชายหนุ่ม บดบังจอทีวีและความสนใจของคนตรงหน้าได้อย่างสนิท

"มิน่า เสี่ยอนันต์ถึงได้พูดกับเธออย่างนั้น" พีทยิ้มขำ แล้วประสานมือรอบเอวหญิงสาว

"อาพีทไม่โกรธเหรอคะ ที่แองจี้เมาแล้วทำตัวน่าเกลียด" หญิงสาวโอบรอบคออีกฝ่าย

"ถ้าเธอทำกับคนอื่น ฉันคงโกรธ.." พีทกระชับอ้อมแขนแล้วไซ้ปลายจมูกไปที่ต้นคอเย็นและหอมด้วยกลิ่นสบู่ละมุม ก่อนจะเคลื่อนไหวอย่างเพลิดเพลิน

"ไปอาบน้ำก่อนนะคะ" แองจี้โน้มลงกระซิบที่ข้างหู ด้วยความหวั่นไหวจากฝ่ามือที่ลูบไล้ไปบนแผ่นหลัง พร้อมกับปลายจมูกและริมฝีปากซุกไซ้ซุกซน



พีทออกมาจากห้องน้ำ มองไปรอบๆ โดยปราศจากเงาของหญิงสาว เขาประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะจับได้ว่าอีกฝ่ายแอบอยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งของพื้นที่ซึ่งเชื่อมติดกันอยู่หลายห้อง เป็นห้องทำงาน ห้องพักผ่อนส่วนตัว ห้องนอน ห้องรับแขก ห้องน้ำ

พีทเดินเอื่อยไปที่เตียง และรู้ว่าจะจัดการกับเด็กซนอย่างไร โดยไม่ต้องออกแรง เขาขึ้นไปนั่งกอดอกหลับตาพิงพนักบนที่นอนด้วยท่าทางผ่อนคลายก่อนที่ไฟทุกดวงในห้องทุกห้องจะดับลง ทำให้ความมืดมิดและความเงียบเข้าครอบคลุม ตามมาด้วยอาการผวาของคนที่กำลังแอบซ้อนตัวอยู่

หญิงสาวเริ่มขยับออกจากที่ซ้อน เดินคลำทางเพราะมองไม่เห็นอะไรเลย

"อาพีทอยู่ไหนค่ะ ไฟดับอ่ะ แองจี้มองไม่เห็นอะไรเลย" แองจี้พยายามส่งเสียงเรียก แต่ปราศจากเสียงตอบรับ

เมื่อสายตาเริ่มคุ้นชินกับความมืด แองจี้เริ่มเห็นทุกสิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะมองไปรอบๆ ตัวซึ่งตอนนี้ได้กลายสภาพเป็นสวนดอกไม้ป่าหลากสี ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ ความสว่างนั้นชัดเจนเหมือนยามรุ่งอรุณ หมอกอ่อนโรยตัวลงมาปกคลุมทั่วบริเวณ ท้องฟ้าปลอดโปร่งสีครามแซมด้วยปุยเมฆสีขาว บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเสียงนกขับขานแผ่วเบาราวเสียงดนตรี





หญิงสาวเดินลัดเลาะไปตามหินน้อยใหญ่ระเกะระกะซึ่งมีดอกไม้ขึ้นอยู่เต็ม จนเห็นเตียงใหญ่สี่เสาพร้อมม่านสีขาวปลิวระเรื่อยขึ้นลงตามแรงลม อยู่ตรงหน้า

แองจี้เดินมาถึงที่นอนหลังงาม มองเข้าไปเห็นคนที่เรียกหากำลังนั่งหลับตาพิงพนักอยู่ หญิงสาวขยับเข้าไปนั่งตรงหน้า ก่อนที่อีกฝ่ายจะลืมตาขึ้น

"สวยจังเลยค่ะอาพีท" แองจี้ว่าตื่นเต้นมองไปรอบๆ

"เธออยากเปลี่ยนไปที่อื่นอีกก็ได้นะ" พีทขยับขาออกนั่งชันเข่าไว้ข้างหนึ่งให้หญิงสาวนั่งแนบแผ่นหลังไว้กลางอกกว้าง

"ทำยังไงล่ะคะ" แองจี้เอียงหน้าขึ้นถาม

"ก็แค่หลับตาแล้วคิดถึงที่ๆ เธออยากไป"

หญิงสาวหลับตาจนได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่ง และเมื่อลืมตาขึ้นภาพวิวรอบตัวกลายเป็นชายหาดยามอาทิตย์ใกล้อัสดง ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงส้มสลับกับปุยเมฆสีทอง ละลอกคลื่นเล็กหลายร้อยลูกซัดเข้าหาฝั่งเป็นฟองฟูสีขาวสะอาดตา





"ที่นี่โรแมนติกดีนะคะอาพีท" แองจี้ยิ้มสบตา

"โรแมนติกสำหรับฉันต้องแบบนี้"

พีทยิ้มตอบโน้มลงจูบหญิงสาว ก่อนที่วิวโดยรอบจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยเมฆดำทะมึน เสียงฟ้าร้องทำให้แองจี้สะดุ้ง แต่ก็ยังรู้สึกปลอดภัยในอ้อมแขนที่กอดกระชับขึ้น ขณะที่สายฟ้าฟาดลงมาเป็นทางยาวชัดเจนในความมืดสลัว ก่อความรู้สึกหวาบไหวไปกับแสงวูบวาบนั้น




"แองจี้ขอเปลี่ยนที่นะคะ" หญิงสาวอ้อนชิดริมฝีปากอีกฝ่าย

"ตามใจ.."

พีทขยับแองจี้นอนราบลงบนที่นอน ก่อนจะพบว่าตนเองและหญิงสาวกำลังคลอเคลียกันอยู่บนพื้นทราย ซึ่งสภาพโดยรอบได้กลายเป็นเนินทรายกว้างใหญ่สุดสายตา ท่ามกลางแสงแดดร้อนระอุในช่วงเที่ยงวัน





"ร้อนไปหน่อยนะที่รัก"

พีทกระซิบที่ข้างหู แล้วเริ่มซุกไซ้ไปที่ซอกคอขณะที่สาบเสื้อคลุมเริ่มแยกออกจากกัน และการหยอกล้อโอ้โลมทวีความลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางบรรยากาศเขียวชอุ่มของทุ่งหญ้าในตอนเช้า และสายฝนที่โปรยปรายบางเบาลงมาอย่างต่อเนื่อง ชะโลมไฟรักให้อบอุ่นนุ่มนวลอ่อนหวานแตกต่างไปอีกแบบจากค่ำคืนผ่านๆ มา...






เมื่อความคิดเกี่ยวกับค่ำคืนอันยาวนานสิ้นสุดลง คำถามบางอย่างกลับผุดขึ้นในใจหญิงสาว และถึงกับอดรนทนรอให้ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาตอบไม่ไหว

"อาพีท.." แองจี้เขย่าลำแขนซึ่งโอบกอดอยู่ตรงหน้า

"อืม.." เสียงตอบกลับงัวเงียดังมาจากด้านหลังเมื่อถูกปลุกให้ตื่น

"ถ้าแองจี้ท้อง อาพีทจะทำยังไง" หญิงสาวถามออกไปตรงๆ และคาดว่าคงได้คำตอบที่น่าพอใจ หลังจากที่ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันดำเนินมาถึงขั้นนี้ ส่วนอีกฝ่ายก็ดึงสติจากอาการง่วงงุนกลับมาได้ทันทีและนิ่งไปชั่วครู่

"อาพีทได้ยินที่แองจี้ถามไหมคะ" แองจี้เขย่าแขนอีกฝ่าย พีทกอดกระชับวงแขนแล้วถอนหายใจ

"ถ้าเป็นลูกผู้หญิง เธอเลี้ยงไว้ได้" พีทว่าเสียงเรียบจริงจัง จนแองจี้รู้สึกสะท้านไปกับคำตอบที่คาดไม่ถึง

"ถ้าเป็นลูกชาย อาพีทจะทำยังไง" แองจี้พยายามเก็บอาการและน้ำเสียงเพราะต้องการรู้คำตอบ

"เธอต้องเอาออก" พีทไม่อ้อมค้อมกับคำตอบของตนแม้แต่น้อย

"อาพีทกลัวว่าถ้าลูกแองจี้เป็นผู้ชาย จะไปแย่งสมบัติชาร์ลีใช่ไหม" นั่นเป็นเพียงเหตุผลเดียวที่แองจี้พอจะนึกออก

"ถ้าเป็นเรื่องนั้นอาพีทไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ เท่าที่แองจี้มีอยู่ลูกก็ไม่มีทางกินใช้หมดอยู่แล้ว" หญิงสาวดิ้นรนจะลุกออกจากเตียง ขณะที่อีกฝ่ายฉุดรั้งไว้ด้วยอ้อมแขนแข็งแรง

"มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด" พีทพยายามจะอธิบาย แต่ก็คิดว่าคงเป็นเหตุผลที่ไม่มีหญิงใดจะรับได้

"งั้นเพราะอะไร อาพีทก็พูดมาสิ"

"เอาเป็นว่าฉันยังไม่พร้อมจะมีลูกชายตอนนี้" พีทพูดตัดบทออกไปแค่นั้น

"ถ้าอย่างนั้น อาพีทก็เลิกยุ่งเกี่ยวกับแองจี้ จนกว่าอาพีทจะพร้อมก็แล้วกัน" หญิงสาวสะบัดเสียงด้วยอารมณ์ขุ่น

"ก็ดีเหมือนกัน" พีทขยับขึ้นสบตาแองจี้ ก่อนจะโน้มลงหอมแก้มหญิงสาวซึ่งทำหน้าบึ้งเบี่ยงหลบ

"ยังไงฉันก็รักเธอนะแองจี้" สายตานั้นจริงจัง แต่อีกฝ่ายไม่พร้อมจะรับรู้อะไรแล้วในตอนนี้





ชาร์ลีขับรถพาเอมี่กลับมาส่งที่บ้านและระหว่างที่รอหญิงสาวเก็บกระเป๋าเสื้อผ้า เขาเดินชมภายในตัวบ้านไปเรื่อยๆ ก่อนจะตรงเข้าไปในห้องแม่ซึ่งประตูเปิดค้างไว้ ชายหนุ่มมองไปรอบๆ ห้องที่จัดเก็บไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย แลดูสะอาดสะอ้าน ก่อนสายตาจะไปสะดุดลงที่อัลบั้มรูปเก่าๆ ในสภาพดีที่วางไว้บนโต๊ะ เขาทิ้งตัวลงบนโซฟา แล้วหยิบมาเปิดดู คิดว่าคงเป็นรูปเอมี่ตอนเด็กๆ แต่ภายในกลับเป็นรูปเด็กทารกแรกเกิด เป็นภาพเดี่ยวบ้าง ถ่ายคู่กับแม่บ้าง ใต้ภาพระบุชื่อ ตันตัน พร้อมวันเกิดไว้ชัดเจน

ชายหนุ่มพลิกต่อไปหน้าแล้วหน้าเล่าด้วยความสนใจ เป็นภาพเด็กคนเดิมซึ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหน้าท้ายๆ ซึ่งเป็นภาพหมู่ถ่ายสลับกัน และทำให้เขาถึงกับอึ้งไป เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าตนเองเคยใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย ใบหน้าทุกคนดูยิ้มแย้มแต่งแต้มไปด้วยความสุข แม้แต่เด็กชายในภาพ ซึ่งมั่นใจว่าเป็นตัวเขาเอง

"เสร็จแล้วค่ะชาร์ลี" เอมี่ส่งเสียงเรียก ชาร์ลีรีบปิดอัลบั้มวางไว้ที่เดิม เพราะคิดว่าหญิงสาวคงยังไม่รู้เรื่องนี้ ก่อนจะเดินไปหาที่ห้องฝั่งตรงข้าม

"งั้นไปกันเลยนะ" ชาร์ลีโน้มลงสัมผัสริมฝีปากหญิงสาวแผ่วเบา แล้วทั้งคนและกระเป๋าเดินทางก็อันตรธานหายไปเหลือไว้เพียงห้องนอนว่างเปล่า



"บ้านยังดูสะอาดเอี่ยมเหมือนเดิมเลยนะ" เอมี่มองไปรอบๆ บ้านที่คุ้นตารู้สึกอบอุ่นใจที่ได้กลับมาอีกครั้ง

"ฉันให้คนมาทำความสะอาด ถ้าเธอมาเห็นสภาพก่อนหน้านี้คงจะ..." ชาร์ลีว่าขำๆ พลางนึกย้อนเมื่อครั้งที่มาสำรวจบ้านก่อนให้คนมาเก็บกวาด หลังจากที่แองจี้และพ่อมาเยือนกันตามลำพัง และสามารถเดาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้ไม่ยาก

"คงจะอะไร..." เอมี่หันมองหน้าสงสัย

"ไม่มีอะไรหรอก" ชาร์ลียิ้มกว้างแล้วโอบเอวหญิงสาวตรงไปที่ห้องอีกฝั่งที่เอมี่เคยพัก

"คุณแอบเอาใครมาซ่อนไว้หรือเปล่า"

"กำลังซ่อนอยู่นี่ไง" ชาร์ลีผลักเอมี่ลงบนเตียงนุ่ม ก่อนจะทิ้งตัวด้านข้างยันศีรษะไว้ ใช้ขายาวก่ายทับไม่ให้ขยับหนี

"ฉันรู้สึกไม่ดีเลย ที่ต้องหลอกพ่อกับแม่" เอมี่ว่าด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

"ฉันขอโทษนะเอมี่ แต่ฉันสัญญาว่าจะไม่มีใครอื่นนอกจากเธอ" ชาร์ลีลูบไล้แก้มนวลสบตาหญิงสาว

"ขอบคุณค่ะชาร์ลี" เอมี่กุมอีกฝ่ายไว้ แล้วยิ้มละไม

"ไปทำอาหารทานกันดีกว่า" ชาร์ลีหอมแก้มเอมี่ ลุกขึ้นแล้วยื่นมือให้เพื่อฉุดหญิงสาวขึ้นจากที่นอน



"ทานไรดีคะ" เอมี่เปิดตู้เย็นสำรวจอาหารสดภายใน

"ขอเมนูที่เธอเคยทำให้ฉันกินคนเดียวหมดได้ไหม" ชาร์ลีว่าล้อแล้วหัวเราะ

"กินคนเดียว แล้วยังให้ฉันยืนดูอีก คุณน่ะใจร้ายมากรู้ไหม" เอมี่หันมาหยิกแขนชายหนุ่มแล้วยิ้มขำ

"คราวนี้ฉันจะเหลือให้เธอซักน่องนะ" ชาร์ลีกระเซ้าต่อ

"ไหนบอกรักอย่างนั้นอย่างนี้ ที่แท้ก็โกหก" เอมี่แกล้งงอนหันหน้าเข้าหาตู้เย็น

"ฉันล้อเล่นน่า ใครจะกล้าทำกับเมียรักขนาดนั้น" ชาร์ลีเข้าโอบกอดเอาใจ

"คุณทำมาแล้วนี่" เอมี่หลุดหัวเราะแล้วเอียงหน้าขึ้นมองคนข้างหลัง

"งั้นให้ฉันขอโทษเธอย้อนหลัง ดีไหม" ชาร์ลีโน้มใบหน้าลงใกล้

"บ้า" เอมี่รีบหันหน้าหลบริมฝีปากซึ่งพลาดโดนแค่แก้มนุ่ม แล้วเสียงหัวเราะสดใสของทั้งสองก็ดังไปทั่วบ้านบนเขาสุขสงบแห่งนี้อีกครั้ง



อาหารกลางวันจบลงที่ไข่เจียว น้ำพริกกะปิ และผักสดๆ จากสวน เพราะต้องรอหมักไก่อีกหลายชั่วโมง อาหารพื้นๆ กลับให้รสชาติดีอย่างประหลาดเมื่อทั้งสองร่วมทานด้วยกัน เป็นช่วงเวลาที่ได้อยู่กันตามลำพังอีกครั้ง บนระเบียงริมผาที่คุ้นเคย และทำให้ลืมโลกภายนอกไปอย่างสิ้นเชิง

"บ่ายนี้มีงานต้องทำไหม" เอมี่เอ่ยถามขณะทานข้าว

"ฉันพักร้อนทั้งอาทิตย์ อยากจะอยู่กับเธอตามลำพัง" ชาร์ลียิ้มสบตา

"งั้นเราไปเที่ยวน้ำตกด้วยดีไหม" เอมี่เสนอ พลางนึกถึงเรือนริมน้ำตกที่เคยไปด้วยกัน

"ทุกที่ๆ เธออยากไป" ชาร์ลีว่าแล้วเอื้อมมือไปเกาะกุมมืออีกฝ่ายไว้

"ขอบคุณนะคะชาร์ลี คุณดีกับฉันมากๆ เลย" เอมี่ยิ้มขอบคุณด้วยใจจริง ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกละอายใจเล็กน้อยที่ไม่ได้บอกหญิงสาวถึงจุดประสงค์แอบแฝงในการมาเที่ยวครั้งนี้ แต่ก็ได้เพียงปลอบใจตัวเองว่าที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่ออนาคตที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างเปิดเผย



หลังมื้ออาหารกลางวันชาร์ลีและเอมี่ออกไปช่วยกันถอนวัชพืชในแปลงผัก แม้จะเป็นตอนกลางวัน แต่บรรยากาศที่หนาวเย็นกว่าปกติทำให้รู้สึกอบอุ่นเมื่อต้องนั่งอยู่กลางแดด หลังจากที่คุยหยอกล้อกันและทำงานไปด้วยกว่าชั่วโมง ทั้งสองจึงตัดสินใจไปพักผ่อนซักพักก่อนได้เวลาเตรียมอาหารเย็น

เอมี่ลุกจากม้านั่งเล็กๆ แล้วเกิดอาการหน้ามืดทันที

"เป็นอะไรหรือเปล่าเอมี่" ชาร์ลีรีบพยุงหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน

"สงสัยนั่งตากแดดนานไปหน่อยน่ะ" เอมี่ยืนนิ่งๆ ซักพักจึงรู้สึกดีขึ้น

"ไปพักผ่อนก่อนนะ" ชาร์ลีอุ้มหญิงสาวจนตัวลอย ก่อนจะวางลงบนเตียงกว้างภายในห้องนอน

"ยังไม่ได้ล้างมือเลยอ่ะ" เอมี่ยิ้มขำ

"ฉันพาไป" ชาร์ลีตั้งท่าจะอุ้มเอมี่ขึ้นอีกครั้ง

"ไม่ต้องหรอก ฉันไปเองได้ค่ะ" เอมี่ว่าก่อนจะลุกออกจากเตียงอย่างรวดเร็ว แล้วเกิดอาการขึ้นมาอีกครั้ง

"อย่าดื้อน่าที่รัก" ชาร์ลีว่าล้อด้วยสายตาห่วงใย เอมี่จึงยอมแต่โดยดี


"เมื่อก่อนไม่เห็นเธอเป็นแบบนี้" ชาร์ลีนอนตะแคงเคียงข้างแล้วกุมมือหญิงสาวขึ้นแตะที่ริมฝีปาก

"ก็คุณใช้งานฉันหนัก ฉันก็เลยแข็งแรงยังกับแรด" เอมี่ว่าล้อแล้วหัวเราะ

"พูดยังงี้ สงสัยต้องปลดออกจากเลขา ไปเป็นพนักงานทำความสะอาด" ชายหนุ่มล้อกลับ

"คิดเหรอว่าฉันจะยอม" เอมี่ดึงจมูกโด่งของอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้

"พูดแบบนี้อยากจะโดนทำโทษใช่ไหม" ชาร์ลีกุมมืออีกข้างของหญิงสาวกดไว้ข้างศีรษะ แล้วโน้มใบหน้าลงมาใกล้

"นี่ฉันไม่สบายอยู่นะ" เอมี่หัวเราะแล้วเบี่ยงหน้าหลบ

"ฉันจะช่วยรักษาอยู่นี่ไง" ชาร์ลีเลื่อนฝ่ามือเข้าที่ต้นคอเอมี่ แล้วแนบริมฝีปากลงจูบหญิงสาวอย่างอ่อนโยนก่อนจะค่อยๆ ถอนออก แล้วจูบที่หน้าผากอีกครั้ง

"พักผ่อนนะ" ชายหนุ่มยิ้มสบตา แล้วเลื่อนผ้าห่มขึ้นคลุมร่างบอบบาง

"อยู่เป็นเพื่อนฉันนะ" เอมี่กุมมือชายหนุ่มไว้ด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะหลับตาลงด้วยความอ่อนเพลีย



ทั้งสองนั่งทานอาหารเมนูโปรดด้วยกัน ภายในบ้านเพราะอากาศเย็นเกินกว่าจะนั่งทานข้างนอกได้ ชาร์ลีดูเจริญอาหารเป็นพิเศษ ส่วนเอมี่พยายามฝืนกินเพราะไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ และถึงกับลอบถอนหายใจเมื่อมื้ออาหารเสร็จสิ้นลง

"ยังเวียนหัวอยู่หรือเปล่า" ชาร์ลีสังเกตเห็นท่าทางฝืนของเอมี่ แม้จะพยายามปกปิด

"นิดหน่อยอ่ะ"

"งั้นเธอนั่งรออยู่นี่ ฉันเก็บเอง" ชายหนุ่มเสนอแล้วลุกขึ้นเก็บจานชามไปไว้ที่ครัว ก่อนจะย้อนกลับมาชวนเอมี่ออกไปนั่งชมจันทร์รับอากาศบริสุทธิ์ด้วยกัน เผื่อจะทำให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้น





ดวงจันทร์ขาวนวลเปล่งประกายบนท้องฟ้าที่มืดสนิทไร้แสงไฟรบกวน ลอยเด็นอยู่ตรงหน้าหนุ่มสาวซึ่งยืนประคองกอดกันชื่นชมความงามด้วยหัวใจที่เบ่งบานไปด้วยความรัก แม้อากาศจะเย็นแต่ความแนบชิดได้ส่งผ่านพลังงานความอบอุ่นให้ใจทั้งสองดวงซื่งสื่อภาษารักกันท่ามกลางความเงียบสงบของธรรมชาติรอบกาย

"ไปอาบน้ำนอนกันดีกว่า มือเธอเย็นหมดแล้ว" ชาร์ลีกุมมือหญิงสาวแล้วกระซิบที่ข้างหู

"ดีเหมือนกันค่ะ" เอมี่หันกลับมาสบตาก่อนจะแทรกฝ่ามือเย็นเข้าใต้เสื้อแจคเก็ทกอดชายหนุ่มแล้วแนบใบหน้าลงกับอกกว้าง

"อุ่นจัง" เอมี่หลับตาแล้วยิ้มกับแผ่นอก

"งั้นยืนที่นี่ทั้งคืนเลยดีไหม" ชาร์ลีโอบกอดหญิงสาวแนบชิดแล้วว่าล้อ

"อืม..จะได้เป็นน้ำแข็ง เหมือนรูปปั้นเทวดากับนางฟ้า" เอมี่หัวเราะเบาๆ

"ฉันไม่เอาด้วยนะแบบนั้น" ชาร์ลีหัวเราะแล้วอุ้มเอมี่เข้าบ้านไปทันที



หลังจากที่กลับเข้ามาในห้องนอน ชาร์ลีแยกไปอาบน้ำห้องฝั่งตรงข้าม ก่อนจะกลับมาในชุดนอน และเห็นเอมี่ยืนแปลงผมอยู่

"ผมเธอสวยอยู่แล้วน่า" ชาร์ลีดึงแปลงออกจากมือแล้วโอบเอวหญิงสาวไว้

"นี่ ยังแปลงไม่ครบร้อยเลยนะ" เอมี่ตีอกชายหนุ่มเบาๆ

"ทดไว้ต่อพรุ่งนี้เช้าละกัน" ชาร์ลียิ้มขำ

"คุณไปนอนก่อนสิ ฉันยังไม่ง่วงเลยนะ" เอมี่ท้วงเพราะอยากแปลงผมต่อ

"ไม่ได้หรอก นอนก็ต้องนอนด้วยกัน" ว่าแล้วไฟในห้องก็ดับวูบลงทันที

"นี่ เล่นแบบนี้อีกแล้วนะ" เอมี่ตั้งท่าจะโวยวาย แต่ริมฝีปากถูกประกบปิดไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่ตัวจะลอยขึ้นจากพื้น จนกระทั่งหลังสัมผัสกับที่นอนนุ่ม หญิงสาวจึงรู้ว่าหมดเวลาประท้วงแล้ว...




















 

Create Date : 11 ธันวาคม 2553    
Last Update : 31 ธันวาคม 2553 22:59:00 น.
Counter : 550 Pageviews.  

Twilight Stars6 ตอนที่ 71



พีทพาแองจี้ออกจากสถานที่เกิดเหตุ โดยไม่สนใจชายสองคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการปาหินเข้าใส่รถหญิงสาว และคิดว่าดีเพียงใดแล้วที่เค้าไม่ตอบโต้ถึงชีวิต

แองจี้กอดรอบคอชายหนุ่มไว้แน่น ยังอยู่ในอาการตกใจ และเริ่มรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพีทพามาถึงเขื่อนสวยงามแห่งหนึ่ง ทั้งสองยืนอยู่บนสันเขื่อนซึ่งเป็นแนวโค้งยาว ท่ามกลางทัศนียภาพอันงดงามและเงียบสงบของแอ่งน้ำขนาดใหญ่ในยามค่ำคืน ท้องฟ้าปลอดโปร่งประดับไปด้วยหมู่ดาว และภูเขาหลายลูกซึ่งโอบล้อมคนทั้งสองไว้เพียงลำพัง ทำให้ใจสองดวงที่แนบชิดกันอยู่ตอนนี้เกิดความอบอุ่นสุขสงบเกินบรรยาย

พีทโอบกอดหญิงสาวนิ่งนานโดยไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งแองจี้รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว จึงขยับตัวออก

"อาพีทคงไม่ว่าง แต่ก็ยังอุตส่าห์มาช่วย" แองจี้ว่าหลบตา

"นี่เธอตั้งใจจะขอบคุณ หรือจะพูดประชดฉันกันแน่" พีทยึดคางหญิงสาวไว้แผ่วเบาแล้วยิ้มสบตา

"อาพีทเสร็จธุระแล้วล่ะสิ ถึงได้มาช่วยแองจี้ได้" หญิงสาวเริ่มว่าประชดจริงๆ คราวนี้ เมื่อนึกว่าเค้าไปทำอะไรมาก่อนจะมาช่วย

"หึงฉันเหรอ" ชายหนุ่มไล้ปลายนิ้วไปบนแก้มนวล สายตายังสบประสานกัน

"เปล่าซะหน่อย" แม้จะปฏิเสธแต่สายตาและน้ำเสียงนั้นชัดเจนจนพีทไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ อีก

"ธุระของฉันมีแค่เรื่องเดียว..." พีทว่าแล้วโน้มใบหน้าลงมาใกล้

"คือมาช่วยเธอ..." เค้าแนบริมฝึปากลงแผ่วเบา และเริ่มเคลื่อนไหวตอบสนองความเย้ายวนใจที่ได้รับจากริมฝีปากนุ่มละมุนของอีกฝ่าย และเริ่มตระหนักแล้วว่าหญิงสาวในอ้อมแขนนี้แตกต่าง... และมีอิทธิพลต่อเค้ามากกว่าที่คิดไว้



"นี่เขื่อนอะไรคะอาพีท" แองจี้นั่งเอนพิงอยู่กลางอกชายหนุ่ม ขณะที่ทั้งสองกำลังชมบรรยากาศยามค่ำคืนด้วยกัน

"เขื่อนภูมิพล เขื่อนแห่งแรกแล้วก็ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ติดอันดับ 8 ของโลกด้วย" พีทว่าขณะที่โอบรอบตัวหญิงสาวไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง

"รู้มากขนาดนั้นเชียว" แองจี้เอียงหน้าขึ้นมองแล้วยิ้มขำ

"ก็อยู่มาจนป่านนี้แล้ว" พีทยักไหล่

"อาพีทอายุเท่าไหร่กันแน่" แองจี้ชักสงสัย เพราะดูจากรูปร่างและใบหน้าหล่อเหลานี้แล้ว เดาไม่ออกเลยจริงๆ

"เธอคิดว่าซักเท่าไหร่ล่ะ" พีทไม่อยากบอกให้หญิงสาวตกใจเล่น

"อืม คงจะน้องๆ พ่อ ถ้าคิดซะว่ามีลูกตอนอายุยังน้อย ก็ต้องซัก 40 อัพ แต่หน้าตาอาพีท กับชาร์ลี ไม่แตกต่างกันเลยนะคะ" แองจี้ตั้งข้อสังเกต

"ถ้าเธอเชื่อฟังฉัน ฉันจะบอกสูตรลับ เธอจะได้เป็นสาว 2000 ปี" พีทอำแองจี้ แต่หญิงสาวก็ถึงกับหูผึ่ง เพราะความสาวเป็นสุดยอดปราถนาของหญิงทุกคนอยู่แล้ว

"อาพีทไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม" แองจี้จ้องด้วยสายตาจับพิรุธ

"ก็ดูฉันสิ" พีทว่าขำๆ

ทั้งสองพูดคุยหยอกเย้ากันจนใกล้รุ่ง และนั่งดูพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้าด้วยกัน ต่างดื่มด่ำไปกับห้วงเวลาแห่งความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดกันท่ามกลางบรรยากาศงดงาม ปราศจากสิ่งรบกวน ทำให้ทั้งสองสามารถเปิดรับความสุขที่ซึมผ่านเข้าสู่จิตใจได้อย่างเต็มอิ่ม ในช่วงเวลาทุกๆ นาทีที่ผ่านไป

ขณะที่นั่งชมความงามของพระอาทิตย์แรกขึ้น ทอแสงสีแดงนวลตาผ่านม่านหมอกละอองอากาศในยามเช้ากันเงียบๆ ซักพัก พีทก้มมองหญิงสาวในอ้อมแขนปรากฏว่าหลับไปแล้ว ด้วยความอ่อนเพลียจากการขับรถมาทั้งวัน และนั่งชมดาวอีกทั้งคืน เค้ากดจมูกลงบนผมนุ่มลื่นก่อนจะกระชับอุ้มหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน เพื่อไปหาที่พักผ่อนที่ให้ความอุ่นสบายได้มากกว่านี้





แล้วร่างทั้งสองก็ปรากฏขึ้นที่หน้าบ้านซึ่งปลูกยื่นเข้าไปในทะเลสาบ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศ โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติสวยงาม ตัวบ้านดูกระทัดรัดโปร่งใสด้วยกระจกรอบทิศ สามารถรับชมวิวภายนอกได้จากทุกองศาพร้อมหลังคาแก้วใสกระจ่างในยามเช้าและสามารถมองเห็นดาวพร่างพรายในยามค่ำคืน

พีทอุ้มร่างเล็กที่ยังหลับใหลข้ามสะพานเล็กๆ ซึ่งทอดไปยังตัวบ้าน ก่อนจะวางลงแผ่วเบากลางเตียงใหญ่ภายในห้องนอนโปร่งแสง แล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมทับให้ ชายหนุ่มออกเดินสำรวจรอบตัวบ้านซึ่งไม่ได้แวะเวียนมานานพอสมควรแล้ว แต่ทว่ามีคนมาทำความสะอาดเป็นประจำ ข้าวของจำเป็นจึงยังอยู่ครบ ขาดแต่เพียงอาหารซึ่งก็สามารถสั่งได้เพียงปลายประสาทสัมผัส

กลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยมากระทบปลายจมูกปลุกให้หญิงสาวตื่นขึ้นเมื่อใกล้เที่ยงวัน แองจี้ลุกขึ้นด้วยอาการงุนงงเล็กน้อย มองไปรอบๆ ห้องที่ไม่คุ้นตา ก่อนจะลุกออกจากเตียงเดินตามกลิ่นหอมยั่วน้ำย่อยนั้นไป

"อาพีททำอะไรคะ หอมจังเลย" แองจี้เดินเข้ามาภายในครัวบิ้วอิน ขนาดย่อม เห็นพีทกำลังย่างเนื้อบนเตา

"ไปอาบน้ำก่อนนะ เสร็จแล้วจะได้ทาน" พีทบอกขณะที่ยังพลิกเนื้อไปมา

"อาพีทอาบแล้วเหรอค่ะ แองจี้ไม่มีชุดเปลี่ยนอ่ะ"

"มีผ้าเช็ดตัวกับเสื้ออยู่ในห้องนอน เธอคงพอใส่ได้"

"งั้นแองจี้ไปอาบก่อนนะคะ" หญิงสาวว่าแล้วเดินผละไป

แองจี้กลับเข้าไปภายในห้องนอนอีกครั้ง ก่อนจะรูดม่านพลาสติกใสออกจากตู้เสื้อผ้าแบบเปลือย ภายในมีเสื้อเชิ้ตสีขาวอยู่ 5-6 ชุด พร้อมผ้าเช็ดตัวอีกหลายผืน หญิงสาวเลือกเสื้อที่แขวนอยู่ออกมาพร้อมผ้าเช็ดตัว ก่อนจะเดินไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ติดกับห้องนอน

แองจี้ยืนละล้าละลังมองไปรอบห้องโปร่งใสไปหมดทุกด้านไม่มีม่านบดบังแม้แต่น้อย ก่อนจะหันกลับไปมองที่ห้องครัว แล้วตัดสินใจว่าต้องรีบอาบให้เรียบร้อยก่อนอีกฝ่ายจะทำอาหารเสร็จ

หญิงสาวรีบตรงไปเปิดน้ำใส่อ่างเปลซึ่งตั้งขวางออกสู่วิวทะเลสาบ ก่อนจะผสมสบู่ตีฟองจนได้ที่ แล้วเปลื้องชุดออกลงแช่ทันที ความอุ่นนุ่มลื่นของน้ำให้ความรู้สึกสบายตัวสุดๆ แองจี้ลูบไล้ฟองน้ำไปบนผิวกายอย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งพีทปรากฏกายขึ้นด้วยผ้าขนหนูห่อปิดช่วงล่างไว้เพียงผืนเดียว

"อาพีทออกไปรอข้างนอกก่อนได้ไหม แองจี้จะอาบอีกแป๊ปเดียว" หญิงสาวรีบบอกด้วยอาการตกใจที่เห็นอีกฝ่ายเดินมาถึงอ่าง

"อาบด้วยกันจะได้ไม่ต้องคอย ประหยัดน้ำด้วย" พีทว่าหน้าตาเฉย ก่อนจะปลดผ้าขนหนูออกแล้วลงไปนั่งแช่ฝั่งตรงข้าม ทำเอาน้ำทะลักล้นออกนอกอ่าง แองจี้จะลุกขึ้นก็ไม่กล้า เพราะอีกฝ่ายนั่งจ้องอยู่

"ขอฉันใช้ฟองน้ำหน่อยได้ไหม" พีทเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม แองจี้ยื่นให้แต่โดยดี ชายหนุ่มขยับเรียวขาสวยข้างหนึ่งขึ้นวางพาดบนอกกว้างแล้วบรรจงลูบไล้ฟองนุ่มไปตามความยาวจนถึงต้นขา ก่อนจะขยับวางลงอีกฝั่งของลำตัวแข็งแรงด้วยมัดกล้าม แล้วรวบตัวหญิงสาวมานั่งแนบชิดกันที่กลางอ่างอาบน้ำใบสวย

"แองจี้หิวข้าวแล้วค่ะ" หญิงสาวรีบว่าหน้าเรื่อไปกับความหวั่นไหวที่เกาะกุมจิตใจ

"งั้นรีบอาบกันเถอะ..." พีทว่าพลางโน้มเข้าหาริมฝีปากบางสวย เคลื่อนไหวหยอกล้อท่ามกลางแสงสว่างสีทองสดใสสาดส่องเข้ามาทางทุกบานกระจก และฟองสบู่ฟูนุ่มที่โอบล้อมร่างทั้งสองไว้ในพื้นที่จำกัด ภาพหนุ่มสาวคลอเคลียกันงดงามราวศิลปะที่ระบายไปด้วยสีสันแห่งความรัก...



"อาพีทไม่ไปทำงานเหรอคะวันนี้" แองจี้เอ่ยถามขณะที่ทั้งสองออกมานั่งเล่นที่พื้นระเบียงหลังมื้ออาหาร

"ฉันก็อยากพักผ่อนบ้าง เธอคงไม่รู้ว่าฉันทำงานมาหนักขนาดไหนแล้ว" พีทล้มตัวลงนอนหนุนตักหญิงสาวเอียงหน้าออกสู่วิวทะเลสาบ

"อาพีทไม่แบ่งงานให้ชาร์ลีบ้างล่ะค่ะ จะได้มีเวลาพักผ่อน"

"งานเค้าไม่ได้น้อยไปกว่าฉันหรอก เรามีโรงแรมกับรีสอร์ท รวมกับกิจการอื่นๆ อีกกว่าสองร้อยแห่งทั่วประเทศ ชาร์ลีต้องดูแลภาคเหนือกับภาคใต้ทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นของฉัน" พีทอธิบาย


"อาพีทคงรักแม่ของชาร์ลีมากใช่ไหม" แองจี้ตัดสินใจถามออกไป หลังจากที่ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบได้ซักพัก

"เธออยากรู้ไปทำไม" พีทเอียงหน้าขึ้นสบตาหญิงสาว

"แองจี้แค่อยากรู้ว่าอาพีทมีหัวใจให้ใครบ้างไหม" หญิงสาวพูดออกไปตรงๆ

"ตอนนี้ฉันมีให้เค้าเพียงความเกลียดแค้นชิงชัง" พีทว่าด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป

"บอกแองจี้ได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น" หญิงสาวแนบฝ่ามือไว้ที่ข้างแก้มชายหนุ่ม

"เพราะเค้าไม่เคยรักฉัน เค้าย่ำยีหัวใจฉันถึงสองครั้ง จนฉันไม่คิดอภัยให้เค้าอีกแล้ว"

"งั้นแองจี้ควรต้องเกลียดอาพีทด้วยใช่ไหม" หญิงสาวก้มลงสบตาชายหนุ่ม

"ทำไม"

"เพราะอาพีทก็ไม่คิดจะตอบแทนความรักของแองจี้ อีกหน่อยเบื่อแล้วก็คงทิ้งขว้างเสียด้วยซ้ำ"

"แองจี้เคยโหยหาความรักจากพ่อ จนมาพบอาพีทก็เป็นแบบนี้อีก แองจี้ควรจะโทษใคร"

พีทลุกขึ้นเช็ดน้ำตาที่กำลังร่วงออกมาด้วยความน้อยใจในชะตากรรม ก่อนจะดึงหญิงสาวมากอดไว้แนบอก

"ฉันสัญญาว่าจะไม่ทิ้งเธอ" พีทให้คำมั่น แองจี้ไม่รู้ว่าควรจะดีใจไหมกับสิ่งที่ได้ยิน เค้าคงทำได้ดีที่สุดเพียงแค่นี้





"ห้ามเอามาคืนฉันอีกนะ" ชาร์ลีสวมสร้อยคอรูปพระอาทิตย์ประกบติดกับพระจันทร์ลงบนคอหญิงสาว เอมี่หันผละจากวิวที่มองอยู่ตรงหน้ามาหาชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง

"ก็คุณอยากใจร้ายก่อนทำไม" เอมี่ยิ้มเขิน

"แหวนวงนี้ก็เหมือนกัน" ชาร์ลีว่าแล้วหยิบแหวนออกจากกระเป๋าแล้วสวมลงบนนิ้วเรียวสวยที่มันเคยอยู่

"ฉันคงหาคนที่เหมาะสมกว่าเธอไม่ได้อีกแล้วล่ะ" ชายหนุ่มยิ้มสบตา

"ต่อไปถึงเลิกกัน ฉันก็ไม่ให้คืนแล้วนะ" เอมี่แกล้งว่ากลับ

"ฉันไม่เอาคืน แต่จะให้หัวใจไปด้วย" ชาร์ลีสวมกอดหญิงสาวอ่อนโยนด้วยความรัก รับรู้ถึงความอบอุ่นที่หัวใจขาดหายไปแสนนาน


"บ่ายนี้ว่างอ่ะ เธออยากจะไปเที่ยวไหนไหม" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น

"อืม อยากไปอยู่สองสามที่ แต่ไม่รู้ว่าไปยังไง" เอมี่ว่า

"นั่นไม่ใช่ปัญหา" ชาร์ลียิ้มกว้าง





ทั้งสองมายืนอยู่บนทุ่งหญ้าสีชมพูสวยสด แม้เวลาจะผ่านไปกว่าสองทศวรรษจากรุ่นสู่รุ่น แต่ความงามของสถานที่แห่งนี้ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง เมื่อมองผ่านสายตาของคนที่กำลังมีความรัก สีชมพูของดอกหญ้าเหล่านี้ยิ่งเปล่งประกายงดงามกว่าที่เป็น

"ที่นี่สวยจริงๆ ด้วย อีกหน่อยคงต้องพาเธอมาบ่อยๆ" ชาร์ลีว่าขณะที่มองไปรอบๆ ลานสีชมพูกว้างสุดตา

"เมื่อก่อนพ่อกับแม่เคยพามาบ่อยๆ" เอมี่นอนราบลงกับพื้น มองท้องฟ้าปลอดโปร่ง และปุยเมฆสีขาวดูฟูนุ่มจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อน

"ฉันรู้สึกเหมือนเคยเห็นที่นี่" ชาร์ลีนอนตะแคงลงข้างๆ ใช้ศอกยันศีรษะไว้แล้วเด็ดดอกหญ้าแซมลงบนเส้นผมหญิงสาว

"คุณเคยมาที่นี่ด้วยเหรอ" เอมี่หันมอง

"ในฝันมั้ง" ชาร์ลียิ้มสบตา

"แล้วเคยฝันเห็นฉันบ้างไหม"

"อืม.."

"ฝันว่าไง.."

"ถ้าให้เล่าอาจจะไม่ชัดเจนพอ" ชายหนุ่มยิ้มขำแล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้

"คนบ้า.." เอมี่ผลักไหล่เขาออก

ทั้งสองคุยหยอกล้อกันท่ามกลางอากาศเย็นสบาย สายลมอ่อนๆ พัดดอกหญ้าไหวพลิ้ว ส่งกลิ่นหอมละมุน ภายใต้ไม้ใหญ่ร่มเดิมซึ่งในอดีตหนุ่มสาวอีกคู่เคยหยอกเย้าพะเน้าพะนอกันเช่นนี้ไม่ผิดเพี้ยน ก่อนจะงีบอิงแอบหลับไปด้วยกัน บนพรมธรรมชาติหนานุ่มสีชมพูสดใส



"ที่นี่ไม่เห็นมีอะไรเลย" ชาร์ลีมองไปรอบๆ ด้วยความสนเท่ห์ เพราะตรงหน้าเป็นเพียงที่เรียบโล่งว่างเปล่า

"ที่ตรงนี้เคยเป็นมหาวิทยาลัย พ่อกับแม่พบรักกันที่นี่"

"แล้วทำไมกลายเป็นแบบนี้ล่ะ"

"พ่อบอกว่ามีคนใจร้าย พังจนราบหมดเลยภายในวันเดียว"

"พื้นที่ขนาดนี้ไม่มีทางรื้อได้ในวันเดียวหรอก...นอกจากว่า" ชาร์ลีคำนวณพลังที่ตนมีอยู่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำได้ แต่หากเป็นพลังของอีกคนล่ะก็..

"ใช่ คนที่ทำมีพลังมหาศาลเลยล่ะ"

"งั้นฉันก็พอจะรู้ว่าใคร"

"ใครอ่ะ"

"พ่อฉันไง"

"พ่อคุณ!" เอมี่นึกถึงหน้าตาเหี้ยมโหดนั้นขึ้นมาทันที

"เขาจะทำไปเพื่ออะไร" เอมี่ซักต่อ

"นั่นนะสิ ถ้าอยากรู้ต้องไปถามพ่อแม่เธอ น่าจะรู้ดีที่สุด" ชาร์ลีพูดแบบไม่ใส่ใจเท่าไหร่ เพราะไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่เกินคาดหมายหากพ่อตนจะทำเช่นนี้

"แล้วเออ..คุณไม่คิดจะทำธุรกิจด้านการศึกษาบ้างเหรอ" เอมี่ขยับไปยืนตรงหน้าชายหนุ่มแล้วถาม

"สร้างตรงที่พ่อฉันเคยรื้อเนี่ยนะ" ชาร์ลีโอบรอบเอวหญิงสาวแล้วถาม

"การสร้างก็ดีกว่าการทำลายไม่ใช่เหรอ" เอมี่ยังคงหว่านล้อมต่อ

"ฉันจะคิดเรื่องนี้ดูอีกที หลังจากที่เราแต่งงานกัน" ชาร์ลีให้ความหวัง เพราะยังต้องแก้ปัญหาอีกหลายอย่าง

"จริงนะ" เอมี่ยิ้มสบตา ก่อนจะขยับเข้ากอดชายหนุ่มด้วยความดีใจที่จะมีโอกาสทำฝันของพ่อและแม่ให้เป็นจริง







และที่สุดท้ายที่เอมี่อยากจะมาเยือนในวันนี้ ก็คือริมชายหาดสุขสงบที่พ่อและแม่เคยพามาทุกปี ซึ่งมีรูปปั้นเทวดากับนางฟ้ายืนกอดกันประกอบเรื่องเล่าราวนิทานสุดโรแมนติก ทำให้หญิงสาวประทับใจมาถึงทุกวันนี้

"ที่นี่เหมาะจะทำโรงแรมหรือรีสอร์ทมากทีเดียว" ชายหนุ่มมองไปรอบๆ ชายหาดสงบ ซึ่งยังคงความเป็นธรรมชาติได้มากเทียบกับส่วนอื่นๆ ของเกาะ

"แต่ฉันอยากให้ที่นี่เป็นอย่างนี้ตลอดไป ไม่อยากให้มีใครมารบกวน" เอมี่ว่า

"ทำไมล่ะ"

"ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกผูกพัน อาจเป็นเพราะมาที่นี่ทุกปี เพื่อมาดูรูปปั้นเทวดานางฟ้า" เอมี่มองไปยังรูปปั้นตรงหน้าแล้วยิ้ม

"นี่รูปปั้นใคร" ชาร์ลีใช้มือสัมผัส และรับรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่รูปปั้นธรรมดา

"เทวดากับนางฟ้าที่พบรักกัน แต่ว่าทำผิดกฏก็เลยถูกสาปให้เป็นหินทั้งคู่" เอมี่เล่า

"นี่เธอเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ" ชาร์ลีหันมายิ้มล้อ

"คุณจะว่าฉันเพ้อฝันใช่ไหม" เอมี่เริ่มทำหน้างอน

"เปล๊า...เธอเป็นอย่างนั้นจริงๆ" ชาร์ลีว่าแล้วหัวเราะ

"จำคืนที่น้ำตกได้ไหม" เอมี่ถามขึ้นเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

"จำได้สิ คืนแรกของเราไง" ชาร์ลีส่งประกายตามีความหมาย

"ไม่ใช่อย่างนั้น" เอมี่ตีแขนชายหนุ่มแล้วยิ้มเขิน ก่อนจะว่าต่อ

"ฉันฝันเห็นที่นี่ เห็นสองคนนี้กำลังถูกสาปให้เป็นหิน"

"แล้วเห็นหน้าคนทำไหม" ชาร์ลีถามล้อ

"เห็นสิ.."

"หน้าตาเป็นไงล่ะ เผื่อฉันจะรู้จัก" ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ

"ก็หน้าเหมือน..พ่อคุณอ่ะ สายตาน่ากลัวมากๆ เลย" เอมี่เล่าหน้าตาจริงจัง

"อืม..นอกจากจะเพ้อฝันแล้ว ยังจินตนาการเยี่ยมอีกต่างหาก" ชาร์ลียิ้มหยอกแล้วหยิกแก้มหญิงสาว ทั้งที่คิดว่าเรื่องนี้อาจมีอะไรซับซ้อนกว่าที่คิด

"นี่ พูดอย่างนี้อยากเจ็บตัวใช่ไหม" เอมี่ดึงมือเขาออกแล้ววิ่งไล่ตีชายหนุ่มซึ่งวิ่งถอยหลังจนทั้งสองหกล้มลงบนพื้นทราย พร้อมเสียงหัวเราะประสานกัน ขณะที่หญิงสาวนอนราบอยู่บนร่างอีกฝ่าย ชาร์ลีพลิกตัวกลับใช้ลำแขนประคองศีรษะเอมี่

"แต่ฉันก็รักที่เธอเป็นแบบนี้นะรู้ไหม" ชาร์ลีมองสบตาหญิงสาวด้วยประกายจริงจัง

"กำลังบอกรักฉันอยู่หรือเปล่า..." เอมี่ถามหน้าเรื่อ

"ฉันรักเธอเอมี่..แต่แค่บอกคงไม่พอ.."

ชายหนุ่มโน้มริมฝีปากลงแนบชิดเพื่อยืนยันคำพูดที่ได้เอ่ยออกมาจากใจ ซึ่งมีเพียงรูปปั้น น้ำทะเลใส และเม็ดทรายขาวบริสุทธิ์เป็นพยานในความรักที่ทั้งสองแสดงออกต่อกัน ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบและเสียงคลื่นซัดสาด





"โทรหาพ่อเธอซักหน่อยนะ เดี๋ยวจะเป็นห่วง" พีทยื่นโทรศัพท์ให้แองจี้ขณะที่หญิงสาวนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น

"ป่านนี้พ่อคงยังไม่ทราบหรอกค่ะว่ารถแองจี้ระเบิด" หญิงสาวว่าสีหน้าน้อยใจก่อนจะรับโทรศัพท์มากดหาพ่อ

และก็เป็นดังนั้น...

"แองจี้เหรอลูก มีธุระอะไรกับพ่อ" เสียงจากปลายสายดังขึ้น

"แองจี้ต้องมีธุระใช่ไหมคะ ถึงจะคุยกับพ่อได้" หญิงสาวว่าเสียงเครือเดินเลี่ยงไปที่ระเบียงบ้าน

"พ่อกำลังยุ่งอยู่น่ะลูก" แม้จะตอบเช่นนั้น แต่แองจี้กลับได้ยินเสียงสาวๆ ดังแว่วเข้ามาทางโทรศัพท์

"เมื่อคืนรถแองจี้ชนต้นไม้ระเบิดค่ะ" หญิงสาวเล่าทั้งที่ไม่คิดว่าพ่อจะตื่นเต้น แล้วก็เป็นไปดังคาด

"เรียกประกันหรือยังล่ะ" เสียงคุณเรืองศักดิ์ฟังราวกับไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย

"พ่อไม่คิดจะถามบ้างหรือไง ว่าแองจี้เป็นยังไงบ้าง" หญิงสาวกระแทกเสียงลงในโทรศัพท์

"แกอย่ามาใส่อารมณ์กับฉันนะ ถ้าแกเป็นอะไร จะมาทำเสียงแบบนี้ใส่ฉันได้เหรอ หมดธุระของแกแล้วใช่ไหม ฉันกำลังยุ่งอยู่" เสียงโทรศัพท์ตัดสายไปทันที

"พ่อ พ่อ! เดี๋ยว" แองจี้อารมณ์พุ่งถึงขีดสุด ขว้างโทรศัพท์ลงไปในทะเลสาบด้วยแรงโทสะทั้งหมดที่มีอยู่



"แองจี้บอกแล้วว่าพ่อไม่สนใจหรอก ขนาดใช้โทรศัพท์อาพีท เขายังไม่คิดจะถามเลยว่าอยู่ที่ไหน" หญิงสาวระบายความในใจเมื่อพีทเดินเข้ามาสวมกอดจากด้านหลัง

"พ่อเธอคงติดธุระยุ่งจริงๆ" พีทไม่รู้จะปลอบแองจี้ยังไง

"อย่าปลอบแองจี้เลยค่ะ อาพีทก็รู้อยู่แก่ใจ เพราะพ่อกับอาพีทก็ไม่ได้ต่างกันเลยซักนิด" หญิงสาวว่าเสียงเครือ

"แล้วเธอมาโกรธฉันเรื่องอะไร" พีทท้วง

"แองจี้โกรธตัวเองมากกว่าค่ะ นี่คงเป็นผลกรรมที่พ่อทำกับผู้หญิงพวกนั้น ลูกสาวถึงได้มาตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน" ว่าแล้วก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แองจี้ร้องไห้จนตัวสั่นสะท้าน พีทกระชับอ้อมแขนขึ้นแทนคำปลอบโยน

"แองจี้ขออยู่คนเดียวได้ไหม ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ แองจี้ชินแล้ว" หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

"อย่าอยู่นานนักล่ะ อากาศคืนนี้ค่อนข้างเย็น" พีทถอดเสื้อแจคเก็ทออกคลุมให้ก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน


พีทนั่งอยู่บนโซฟาผ้านุ่มสีขาวภายในห้องรับแขก ซึ่งมีเพียงแสงสลัวตามธรรมชาติส่องผ่านเข้ามา พลางนึกว่าจะทำอย่างไรให้แองจี้รู้สึกดีขึ้น แม้เขาไม่ได้คิดจะยกย่องหญิงสาวออกหน้าออกตา แต่ก็คิดจริงจังมากกว่าหญิงอื่นๆ ที่ก้าวเข้ามาในชีวิตหลังจากที่เต้ยจากไป

ใจพลันนึกไปถึงวัตถุชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นสมบัติตกทอดสู่เจ้านางในตระกูลและยังไม่มีหญิงใดได้ครอบครองเมื่อสืบทอดมาถึงรุ่นนี้ สำหรับเขามันก็แค่วัตถุชิ้นเดียว และถ้ามันจะทำให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้น...


"ฉันต้องไปทำธุระ แต่คงไม่นาน" พีทบอกกล่าวแองจี้

"ไปเถอะค่ะ แองจี้อยู่คนเดียวได้" หญิงสาวบอกกล่าวเลื่อนลอย ยังนั่งกอดเข่าทั้งสองข้าง มองออกไปบนพื้นน้ำไหวตัวเป็นละลอกด้วยแรงลม

"ไปนั่งข้างในดีกว่าไหม ตรงนี้ลมเย็นมากแล้วนะแองจี้" พีทขยับนั่งลงข้างๆ

"ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ แองจี้ชอบบรรยากาศแบบนี้" หญิงสาวหันมองแล้วส่งยิ้มให้

"งั้นเดี๋ยวฉันมานะ" พีทว่าก่อนจะปล่อยหญิงสาวไว้ตามลำพังอีกครั้ง


เมื่อได้จมอยู่กับความคิดของตัวเองอีกครั้ง แองจี้กลับยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวและไร้ค่า หากว่าไม่มีตนอยู่บนโลกใบนี้ ก็คงไม่มีใครใส่ใจเท่าไร ยิ่งคิดก็ยิ่งทรมานกับความทุกข์ซึ่งเก็บกดไว้ภายใน สายตายังจับนิ่งอยู่ที่เวิ้งน้ำสีทะมึน หากฝังตัวลงไป ความทุกข์ทั้งมวลคงมลายหายสิ้น ไม่ต้องเป็นลูกที่พ่อไม่รัก ไม่ต้องเป็นภรรยาแอบซ่อนของใคร คงเป็นหนทางเลือกที่ดีไม่น้อย

หญิงสาวลุกขึ้นเดินไปที่ขอบระเบียงคล้ายถูกสะกดด้วยความคิดของตัวเอง ก้าวข้ามขอบกั้นเตี้ยๆ นั้นออกไปแล้วนั่งลงตรงราวไม้ ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดใด แองจี้หลับตานิ่ง ปล่อยให้น้ำตาร่วงลง ก่อนจะทิ้งตัวลงไปในน้ำเบื้องหน้า แม้จะว่ายน้ำเป็น แต่หญิงสาวก็ไม่คิดจะดิ้นรนให้พ้นความทรมานจากการขาดอากาศหายใจในขณะที่ร่างกำลังดิ่งลงสู่พื้นเบื้องล่าง แล้วทุกอย่างก็ดับวูบไปหลังจากความทรมานสิ้นสุดลง...

พีทดึงร่างหญิงสาวขึ้นมาช้าไปเพียงเสี้ยวนาที เพราะแองจี้สิ้นลมหายใจไปแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกราวหัวใจกำลังแตกสลาย เขากอดร่างเล็กเปียกโชกนั้นไว้พร่ำเรียกชื่ออยู่ตลอดเวลา และในวินาทีนั้นเอง เขาตัดสินใจได้ว่า ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด ต้องทำให้แองจี้ฟื้นขึ้นมาให้ได้





พีทนำร่างไร้วิญญาณนั้นไปที่ห้องนอน ก่อนจะปลดเปลื้องอาภรณ์เปียกโชกออก แล้วใช้ผ้าห่มคลุมทับร่างเย็นซีดนั้นราวกับแองจี้จะรับรู้ได้ถึงความอบอุ่น ก่อนจะปลดปล่อยพลังอัสนีในตัวผ่านทางฝ่ามือลงสู่หน้าผากหญิงสาว ซึ่งเป็นพลังมหาศาลถึงหนึ่งในสี่ที่มีอยู่ทั้งหมด สร้างความปั่นป่วนให้กับท้องฟ้าภายนอก เกิดเป็นแสงอัสนีบาตสว่างไสวไปทั่วบริเวณ

ชายหนุ่มรู้ว่านี่จะเป็นวิธีเดียวที่จะรักษาชีวิตแองจี้ไว้ได้ แม้เขาจะต้องสูญเสียพลังเหล่านั้นไปตลอดกาล เพราะเพิ่งตระหนัก ณ วินาทีนี้ว่าเขาคงอยู่โดยปราศจากหญิงตรงหน้านี้ไม่ได้ ขณะที่ใจพร่ำเรียกให้หญิงสาวฟื้นคืนมา พลังก็ถูกถ่ายเทออกไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งร่างที่กำลังหลับใหลนั้นเริ่มขยับและฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง...

พีทรวบหญิงสาวขึ้นมากอดแนบร่างเปียกชื้น ด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข

"แองจี้ อย่าทำอย่างนี้อีกนะ ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเธอ" พีทบอกความรู้สึกในใจที่เพิ่งค้นพบ

"อาพีทห่วงแองจี้ด้วยเหรอค่ะ" หญิงสาวถามออกไปแผ่วเบา

"ห่วงสิ ห่วงมากด้วย" พีทกระชับกอดหญิงสาวด้วยความรัก

"บอกรักแองจี้ซักครั้งได้ไหม หลอกแองจี้ก็ได้" หญิงสาวเอ่ยดังเพียงเสียงกระซิบ น้ำตาพลางร่วงออกจากหางตาทั้งสองข้าง

"ฉันไม่อยากหลอกเธอ" พีทขยับออกมองแองจี้ด้วยแววตาจริงจัง

"ไม่เป็นไรค่ะ แองจี้เข้าใจ" หญิงสาวขยับออกห่างด้วยท่าทางเศร้าจนเห็นได้ชัด

พีทคว้ามือแองจี้ไว้ แล้วสวมแหวนประดับเพชรรูปสายฟ้าลงบนนิ้วมือเรียวซีดจากความหนาวเย็น แองจี้มองแหวนวงนั้นด้วยหัวใจชินชา ไม่ต่างจากวัตถุสวยงามอื่นๆ ที่พ่อเฝ้าปรนเปรอให้ชั่วชีวิต ก่อนจะขบริมฝีปากด้านในไว้จนเจ็บเมื่อนึกถึงเจตนาที่เขาให้วัตถุชิ้นนี้กับเธอ เขาคงคิดว่าเธอจะหลงไหลได้ปลื้มไปกับของพวกนี้

"ขอบคุณค่ะ" แองจี้เอ่ยเสียงเรียบโดยไม่คิดจะไถ่ถามถึงที่มาด้วยซ้ำ

"นี่เป็นแหวนประจำตระกูล ตกทอดมานับร้อยปี" พีทยังเกาะกุมมืออีกฝ่ายไว้

"แล้วให้แองจี้ทำไมคะ" หญิงสาวถามด้วยความประหลาดใจ รู้สึกดีขึ้นเมื่อรับรู้ถึงคุณค่าทางใจของวัตถุชิ้นนี้

"เพราะ..ฉันรักเธอ" พีทดึงหญิงสาวเข้ามากอดอีกครั้ง

"ไหนว่าไม่อยากหลอกแองจี้" หญิงสาวท้วง

"ฉันพูดจริง" พีทขยับออกยิ้มสบตา

"ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ" แองจี้ยิ้มถามแววตามีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

"เมื่อกี้มั้ง.." พีทขยับหญิงสาวนอนราบลงบนที่นอน

"แองจี้ไม่เชื่อ.." หญิงสาวยิ้มประหม่ากับสายตาที่จ้องมองมา

"งั้นฉันคงต้องพิสูจน์ให้เธอเห็นซักครั้ง" พีทเกาะกุมมือทั้งสองข้างของหญิงสาวไว้เหนือศีรษะ

"อาพีทตัวเปียกค่ะ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่านะคะ" แองจี้รีบเอ่ยทักเปลี่ยนเรื่องเมื่อชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงมาใกล้

"เปลี่ยนทำไม ถอดออกเลยดีกว่า" ชายหนุ่มยิ้มตาเป็นประกายสื่อความหมาย ก่อนจะแนบริมฝีปากลง จุมพิตหญิงสาวด้วยความรัก...

และนั่นนำไปสู่การปะทุของเพลิงรัก รุนแรงเกินกว่าจะดับลงได้ด้วยวิธีอื่น ร่างกายอบอุ่นเคลื่อนไหวแนบชิดไปกับทุกสัมผัสแผดเผาด้วยฝ่ามือและริมฝีปากอ่อนโยน ลามเลียไปทั่วร่างกายทั้งสองซึ่งตอบรับกันได้อย่างลงตัวไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงพลิกแพลงไปในองศาใด ความรักที่เปิดใจให้กัน ได้นำทางให้ทั้งคู่พานพบกับความอิ่มเอมหฤหรรษ์ บังเกิดกับร่างกายและจิตใจในแบบที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิต

"แองจี้รักอาพีทค่ะ" หญิงสาวพูดกับอกกว้างที่ซุกซบอยู่หลังจากไฟรักโหมกระหน่ำมอดไหม้ลง เหลือทิ้งไว้เพียงความเย็นสดชื่นราวน้ำค้างในยามค่ำคืน

"ฉันก็รักเธอ" พีทกดจมูกลงบนศีรษะแองจี้ พลางกอดกระชับร่างเล็กในอ้อมแขนให้แนบชิดยิ่งขึ้นภายใต้ผ้าห่มผืนบาง สร้างความอบอุ่นให้กันและกันได้อย่างดีในราตรีอันหนาวเหน็บ










"ขอบคุณค่ะที่พาไปเที่ยว วันนี้สนุกมากเลย" เอมี่พูดเบาๆ กับเจ้าของอ้อมแขนที่โอบกอดมาจากด้านหลัง

"ฉันก็มีความสุขที่ได้อยู่กับเธอ" ชาร์ลีกระซิบพลางกุมมือหญิงสาวไว้ และรู้สึกผิดสังเกตจึงเอ่ยถาม

"เธอถอดแหวนออกเหรอ"

"ฉันกลัวพ่อกับแม่จะสงสัย" เอมี่รับสารภาพเสียงอ่อย ราวกับเด็กที่กำลังทำผิด ชาร์ลีขยับหญิงสาวให้หันมาสบตา

"ขอโทษนะเอมี่ ที่ทำให้เธอรู้สึกแบบนี้ ฉันจะพูดกับพ่อเรื่องของเรา ฉันจะอภัยให้... เพื่อเธอ" ชาร์ลีพูดละไว้ในฐานที่เข้าใจคนเดียว ก่อนจะกอดหญิงสาวแนบชิดยิ่งขึ้น เขาคิดว่าความแค้นทั้งมวลควรจะสิ้นสุดลงได้แล้ว เพราะเขาไม่เคยมีความสุขอยู่กับมันซักวัน ต่างกับที่เป็นอยู่ในขณะนี้

"ขอบคุณค่ะชาร์ลี" หญิงสาวยิ้มกับอกอุ่นท่ามกลางความรักและเข้าใจที่ทั้งสองมีให้กัน และหวังว่าอีกไม่นานพ่อและแม่จะรับรู้ และยอมรับความผูกพันที่ทั้งคู่มีต่อกันนี้ด้วย...















 

Create Date : 05 ธันวาคม 2553    
Last Update : 31 ธันวาคม 2553 19:21:02 น.
Counter : 845 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  

Kim-Ha
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จิ้นกระจาย ^^


Smileymissmynovel@gmail.com






Friends' blogs
[Add Kim-Ha's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.