Twilight Stars6 ตอนที่ 79
20 ปีต่อมา...
"จอดรถเดี๋ยวนี้!!" เสียงออกคำสั่งดังเข้ามาภายในห้องโดยสารทำให้หญิงสาวถึงกับสะดุ้ง ในขณะที่สายตาจับจ้องอยู่ที่รถสปอร์ตสีดำมันวาวซึ่งขับไล่มาด้วยความเร็วสูงจากกระจกมองหลังและกระจกข้างเป็นระยะๆ
"ไม่! ไปให้พ้น!!" หญิงสาวตะโกนกลับ แล้วเพิ่มความเร็วขึ้น พลางปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ในสภาพเนื้อตัวยับเยิน เสื้อผ้ามีรอยฉีกขาด ผมเผ้ายุ่งเหยิง
"ฉันขอเตือนเธอเป็นครั้งสุดท้าย จอดเดี๋ยวนี้!" เสียงเข้มด้วยโทสะดังขึ้นอีกระลอก แต่หญิงสาวยังคงเร่งสปีดแบบไม่คิดชีวิต
"จะตามมาเอาอะไรอีก ไปลงนรกซะไป!!" เมื่อสิ้นเสียง พริมก็ถึงกับกรี๊ดสุดชีวิต เมื่อชายที่ไล่ล่ามาในรถคันดังกล่าวมาเกาะอยู่ที่กระจกหน้า มองฝ่าเข้ามาด้วยดวงตาลุกวาว พริมเหยียบเบรคอย่างแรงตามสัญชาตญาณ ทำให้รถหมุนเสียหลักและถูกชนซ้ำโดยรถที่ปราศจากคนขับ ก่อนจะไถลลงข้างทาง กระแทกเสาไฟฟ้าเข้าอย่างจัง ส่งผลให้หญิงสาวหมดสติไปทันที
"บ้าที่สุด!!" คริสดึงประตูรถจนหลุดติดมือแล้วเหวี่ยงกระเด็นไปหลายร้อยเมตร ก่อนจะอุ้มร่างหญิงสาวออกมา แล้วอันตรธานหายไปจากจุดเกิดเหตุในชั่วพริบตา
3 เดือนก่อนเกิดเหตุ...
แองจี้ต้องพาพีทไปรักษาตัวที่อเมริกา เพราะตั้งแต่สูญเสียพลังไป พีทก็เริ่มเจ็บป่วยอ๊อดๆ แอดๆ ในขณะที่แพตตี้กำลังเรียนต่อปริญญาโทอยู่ที่นั่น อีกเพียงปีเดียวก็จะจบ และคงกลับมาช่วยงานได้บ้าง
"พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ พริมดูแลที่นี่ได้" พริมยิ้มกว้างพูดให้พ่อสบายใจ
"พ่อรู้ว่าลูกพ่อเก่ง ดูแลตัวเองด้วยนะลูก" พีทลูบศีรษะลูกสุดที่รัก เพราะพริมได้ดั่งใจพีททุกอย่าง เชื่อฟังและปฏิบัติตามสิ่งที่เขาสั่งสอนเป็นอย่างดี และเป็นเด็กเรียนรู้เร็ว มีบุคลิกเป็นผู้ใหญ่เกินวัย และไม่งอแงเหมือนน้องสาว
"แม่กับพ่อไปแล้วนะลูก" แองจี้ว่า พริมกอดพ่อกับแม่คนละที ก่อนที่ทั้งสองจะเดินไปขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้าประตูบ้านหลังโตราวคฤหาสน์
หลังจากที่รถเคลื่อนออกไป แววหนักใจปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาวทันที เพราะต่อจากนี้คงต้องรับภาระหนักอึ้งไว้เพียงลำพัง ท่ามกลางสภาวะที่มีการแข่งขันสูง เธอต้องก้าวให้ไวทุกฝีก้าว มิฉะนั้นคงไม่มีทางตามคู่แข่งซึ่งเริ่มแทรกซึมเข้ามาในพื้นที่ได้ทัน
"พี่คริส พ่อเคยบอกว่าไม่ให้เราขยายกิจการเข้าไปภาคอื่น ถ้าพ่อรู้.." ชาร์ลว่าเตือนเมื่อรู้ว่าพี่ชายกำลังทำอะไร
"แกก็อย่าบอกพ่อสิ ฉันไม่เทคโอเวอร์กิจการพวกนั้นทั้งหมดก็ดีแล้ว" คริสพูดถึงกิจการที่เคยเป็นเครือเดียวกัน แต่อยู่ในภาคพื้น ที่พ่อไม่ให้แตะต้อง แต่หลังจากที่ชาร์ลียกกิจการทั้งหมดให้ลูกทั้งสองดูแล คริสซึ่งบริหารงานโรงแรม กลับเข้าซื้อกิจการในภาคต่างๆ อย่างลับๆ เพื่อขยายฐานธุรกิจ ส่วนชาร์ลซึ่งดูแลรีสอร์ท และธุรกิจสวนเกษตรนั้น ไม่เคยละเมิดคำสั่งพ่อและมีความสุขกับธุรกิจที่ได้สัมผัสธรรมชาติของตนเป็นอย่างดี
"ผมรู้ว่าห้ามพี่ไม่ได้ แต่ถ้าพ่อรู้ พี่รับผิดชอบเองก็แล้วกัน" ชาร์ลรู้ว่าไร้ประโยชน์ที่จะห้าม เพราะคริสนั้นดื้อรั้นมาแต่ไหนแต่ไร และต้องทำทุกอย่างให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ
"ถึงตอนนั้น ฉันมีวิธีให้พ่อว่าฉันไม่ได้แม้แต่คำเดียว แกคอยดูก็แล้วกัน" คริสยิ้มเจ้าเล่ห์กับความคิดที่อยู่ในใจ ก่อนจะพูดต่อว่า
"พรุ่งนี้ฉันจะเข้ากรุงเทพ ฝากดูแลทางนี้ด้วยนะชาร์ล"
"พี่จะไปกี่วัน"
"อาจนาน ขึ้นกับความยากง่ายของงาน"
"..เฮ้อ.. มีลับลมคมในตลอด" ชาร์ลยิ้มส่ายหน้า
"ก็มีแกนี่แหละ ที่รู้จักฉันดีที่สุด ไปหาอะไรกินกันดีกว่า เดี๋ยวแกไม่เจอพี่หลายวันจะคิดถึง"
"ไม่มีทาง..."
พริมย้ายออกจากบ้าน มาพักประจำอยู่ที่ชั้นสูงสุดของอาคาร เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทาง และเพื่อสะดวกในการทำงาน พื้นที่ชั้นบนซึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วนและเป็นพื้นที่ส่วนตัวทั้งหมดนั้นบัดนี้ครึ่งหนึ่งถูกจัดให้เป็นห้องพักที่มีราคาแพงที่สุดในอาคาร เพราะหญิงสาวคิดว่าถ้าเก็บไว้ทั้งฟลอร์จะเกินความจำเป็น และไม่ก่อให้เกิดรายได้
"มีแขกมาพักห้องข้างๆ ไหม" พริมเอ่ยถามเลขาส่วนตัว เพราะทั้งชั้นมีเพียงสองห้องเท่านั้น
"มีบุ๊คไว้แล้วค่ะ 3 เดือน" เลขาตอบหลังจากเช็คข้อมูล
"ช่วงนี้แขกเยอะขนาดนั้นเชียว" พริมว่าประหลาดใจ เพราะปกติห้องพักหรูราคาหลายแสนบาท ไม่เคยเต็มยาวขนาดนั้น
"คนเดียวค่ะ" เลขายิ้มตอบ
"เศรษฐีที่ไหนนะ เช็คประวัติทีซิ" พริมสนใจขึ้นมาทันที
"รู้สึกจะเป็นพ่อเลี้ยงจากทางเหนือค่ะ หน้าตาหล่อมากทีเดียว รายระเอียดจะเช็คให้อีกทีนะคะ" เลขายื่นภาพชายหนุ่มพร้อมประวัติที่บันทึกข้อมูลลงทะเบียนให้ดู จากหน้าจอคอมพิวเตอร์พกพาบางเฉียบ
"อืม.. เช็คแล้วถ้ามีธุรกิจทำร่วมกับเราได้ ติดต่อให้ฉันด้วย ไม่มีอะไรแล้ว" หญิงสาวว่าไม่ได้ใส่ใจหน้าตาชายหนุ่มเลยซักนิด เพราะในหัวมีแต่เรื่องงานอยู่เต็มไปหมด
"ค่ะ" เลขาคนสนิทรับคำ ก่อนออกจากห้องไป
เลขาสาวให้ข้อมูลว่าชายหนุ่มเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ใหญ่ทางภาคเหนือ และมีสาขาอยู่ทั่วประเทศ หลังจากเช็คข้อมูลจากชื่อและนามสกุลในวันรุ่งขึ้น
"แล้วนัดให้ฉันหรือยัง" พริมเอ่ยถามทันที
"คืนนี้ค่ะ ทุ่มตรงที่คลับชั้นสาม"
"เยี่ยมมาก"
"คือเออ...เย็นนี้ดิฉันติดธุระสำคัญน่ะค่ะ" เลขาสาวออกตัว
"ไม่เป็นไร ฉันไปคนเดียวได้" พริมเอ่ยเพราะอีกฝ่ายขอลาล่วงหน้ามาสองสามวันแล้ว
พริมไปรอที่คลับตามเวลานัดหมาย ก่อนจะเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามาและจำเขาได้ทันทีจากรูปที่เห็น หญิงสาวเอ่ยทักขณะที่เขาเดินเข้ามาใกล้ สายตาสอดส่องหาคนที่นัดพบ
"สวัสดีค่ะ คุณเมธัสใช่ไหมค่ะ"
คริสหันมองตามเสียงทันที แล้วต้องตะลึง อึ้งไปชั่วครู่เมื่อเห็นหญิงสาวถนัดตาพลางคิดในใจว่า 'หากจะมีแม่ชีหลงเข้ามาในโรงแรม คงเป็นแม่นี่แหละ' ด้วยผมที่รวบไว้จนตึง และแว่นตาที่สวมใส่ แม้จะมีใบหน้าที่สวยงามและบุคลิกน่ามอง แต่นั่นไม่ได้ดึงดูดใจชายหนุ่มแม้แต่น้อย
"เออ.. มีอะไรหรือเปล่าค่ะ" พริมถามประหม่าเมื่อเห็นชายหนุ่มมองตะลึงแบบนั้น
"คือ..ผมไม่คิดว่าผู้บริหารโรงแรม จะสาวแล้วก็..สวยขนาดนี้" ชายหนุ่มรีบเรียกสติกลับ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ฟังดูจริงใจสุดๆ
"ชมเกินไปแล้วล่ะค่ะ เชิญนั่งค่ะ" พริมยิ้มกว้างรับคำชมซึ่งรู้ว่าไม่จริงใจสิ้นดี และอ่านออกทันทีว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
"จะดื่มอะไรก่อนไหมคะ" หญิงสาวเรียกบริกรให้มารับออเดอร์ ก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มคุยกันต่อ
"ที่นี่บรรยากาศดีนะครับ" ชายหนุ่มนั่งพิงพนักมองไปรอบๆ
"ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณเมธัส.."
"เรียกผมว่าคริสดีกว่า"
"ค่ะ ชมโรงแรมเราทั่วหรือยังคะ ได้ข่าวว่าคุณทำบริษัททัวร์ ถ้าสนใจยังไงเราอาจทำสัญญาร่วมกันได้" หญิงสาวว่าเรื่องธุรกิจออกไปอย่างไม่อ้อมค้อม
"โรงแรมคุณมีสาขาที่ไหนบ้างล่ะครับ"
"เรามีสาขาในเกือบทุกจังหวัดค่ะ ยกเว้นภาคเหนือกับภาคใต้ แต่เรามีโรงแรมและรีสอร์ทที่ทำธุรกิจร่วมกันในเขตนั้นอยู่ด้วยค่ะ"
"ที่ไหนบ้างล่ะครับ" คริสถามด้วยความสนใจ แต่หญิงสาวเอ่ยมาแต่ละชื่อล้วนเป็นธุรกิจคู่แข่งทั้งสิ้น
"เอาเป็นว่าผมจะพิจารณาดูอีกที วันนี้เราอย่าพูดเรื่องธุรกิจกันเลยนะครับ ผมเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว" ชายหนุ่มเอนคอลงพาดพนักโซฟา ทำท่าเมื่อย
"ต้องการคนปรนนิบัติไหมล่ะคะ ที่นี่เรามีระดับวีไอพีไว้บริการค่ะ" หญิงสาวถามความเห็น ทำเอาคริสมองหน้าแล้วยิ้มขำ
"ไม่ล่ะครับ แต่ถ้าเป็นคุณก็ไม่แน่" คริสแกล้งเอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่ายไว้ แต่หญิงสาวกลับสบตาเขานิ่ง พลางเกิดจินตนาการว่าได้ตบหน้าชายหนุ่มเข้าอย่างแรงด้วยความสะใจ
"ผมล้อเล่นน่ะ อย่าถือสาเลยนะ" คริสขยับมือออกแล้วหัวเราะเสียงดังเมื่อรู้ว่าหญิงสาวคิดอะไรอยู่ในใจ
"ฉัน.." พริมกำลังจะเอ่ยขอตัว เพราะคิดว่าคืนนี้คงไม่ได้งาน เขาจะอยู่อีกตั้งสามเดือน ไว้วันหลังค่อยคุยกันใหม่ดีกว่า
"ชูส์.. เพลงโปรดผมเลย ให้เกียรติเต้นรำกันซักเพลงนะครับ" ชายหนุ่มรีบว่าขัดเพราะรู้อีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร แม้จะไม่รู้จักชื่อเพลงเสียด้วยซ้ำ
"แต่.." พริมพยายามจะปฏิเสธเพราะรู้สึกเหนื่อยเต็มที
"เพื่อมิตรภาพของเรา.." ชายหนุ่มยื่นมือออกให้ พริมลอบถอนใจก่อนจะยอมรับ เพราะรู้ว่าชายตรงหน้าก็แค่เพลย์บอยดีๆ นี่เอง ติดแค่ตรงที่อาจมีผลประโยชน์ร่วมกันในอนาคต
คริสรวบเอวบางของหญิงสาวไว้ด้วยมือทั้งสองข้างทันทีที่มาถึงฟลอร์ทำให้พริมรู้สึกอึดอัดในความใกล้ชิดเกินขอบเขต สำหรับคนซึ่งพบกันครั้งแรก แต่ก็จำต้องเลื่อนมือขึ้นแนบอกแข็งแรง กลั้นใจบอกตัวเองว่าแค่เพลงเดียว
"ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย" ชายหนุ่มแกล้งขยับเข้ากระซิบถาม ทำให้ดูคล้ายทั้งคู่ยืนกอดกันมากกว่าจะเป็นการเต้นรำ
"พริมรดาค่ะ"
พริมดันอกอีกฝ่าย เป็นการส่งสัญญาณว่าเขาเข้าใกล้เกินไปแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะแปลสัญญาณผิดพลาด คริสรวบกอดหญิงสาวแนบชิดยิ่งขึ้น และชั่วขณะนั้น กลิ่นไอและอ้อมกอดของเขาทำให้รู้สึกราวได้อยู่ในอ้อมแขนของพ่อซึ่งเป็นที่พึ่งในยามที่รู้สึกอ่อนแอและเหนื่อยล้า หญิงสาวไม่รู้ว่าอะไรทำให้ตนคิดไปเช่นนั้น แล้วเผลอหลับตาซบใบหน้าลงบนอกอุ่นด้วยความรู้สึกผ่อนคลายท่ามกลางเสียงเพลงพลิ้วไหวในความมืดสลัวของสถานที่
คริสก้มมองหญิงสาวพลางนึกแดกดันว่าหล่อนช่างกล้าหลับคาอกขณะเต้นรำกับเขา ไม่มีความเป็นมืออาชีพเอาซะเลย แล้วพลอยคิดต่อไปอีกว่าพริมจะดูแลกิจการใหญ่โตขนาดนี้ได้อย่างไร คงมีแต่เจ๊งกับเจ๊ง หากเขาคิดจะเข้าครอบครองธุรกิจนี้ก็เป็นบุญมหาศาลสำหรับเธอแล้ว
"ง่วงนอนเหรอ" ชายหนุ่มกระซิบถาม เสียงนั้นปลุกให้พริมตื่นจากภวังค์ทันที
"ขอโทษนะคะ" หญิงสาวรีบขยับออกว่าเขินๆ เกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด
"ฉันต้องไปแล้วค่ะ วันหลังค่อยคุยกันใหม่นะคะ" พริมว่าก่อนจะเดินผละไป โดยมีคริสเดินตามไปติดๆ
"รอด้วยครับพริม ผมก็จะกลับห้องพักเหมือนกัน" ชายหนุ่มถือวิสาสะเรียกอย่างสนิทสนม
"วิวสวยดีนะครับ" คริสเอ่ยเมื่อทั้งสองอยู่ในลิฟท์แก้วตามลำพัง
"ค่ะ ฉันเห็นมาตั้งแต่เด็กก็ยังสวยเหมือนเดิมทุกวัน" หญิงสาวยืนเคียงข้างหันมองออกสู่วิวภายนอก
"พรุ่งนี้งานแต่งงานลูกสาวท่านรัฐมนตรีวิสิต คิดว่าคุณคงได้รับเชิญเหมือนกัน ไปด้วยกันนะครับ" ชายหนุ่มเอ่ยชวน
"ตกลงค่ะ งานเลี้ยงอยู่ที่ชั้นเจ็ดนี่เอง" พริมตอบรับเพราะไม่คิดจะพลาดงานนี้อยู่แล้ว
"กู๊ดไนท์นะคะ พรุ่งนี้ฉันจะให้เลขา.." หญิงสาวกล่าวเมื่อลิฟท์มาถึงจุดหมาย
"ผมจะโทรหาคุณเอง กู๊ดไนท์ครับพริม" ชายหนุ่มว่าดักคอ ก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง
หญิงสาวกลับเข้าที่พักด้วยความเหนื่อยล้า และต้องรีบไปอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่น เฉกเช่นที่เคยปฏิบัติเป็นกิจวัตร ก่อนจะมานั่งคิดแผนงานต่อจนถึงเที่ยงคืน และกิจกรรมสุดท้ายก็คือหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาเขียนระบายความในใจลงไป และนั่นทำให้รู้สึกโล่งและหลับสบายในแต่ละคืน ยิ่งช่วงที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวไร้สมาชิกในครอบครัวให้พูดคุยด้วยเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าช่วยได้มาก
"วันนี้งานก็ยุ่งเหมือนทุกวัน เมื่อไหร่จะได้พักผ่อนยาวๆ แบบไม่ต้องคิดถึงเรื่องงาน นอนชายทะเล ฟังเสียงคลื่นให้ช่ำปอด แต่งตัวสบายๆ ออกไปดินเนอร์กับหนุ่มหน้าตาดีและจริงใจซักคน ไม่ต้องพูดเรื่องธุรกิจ ไม่ต้องมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง จะมีคนแบบนั้นอยู่บนโลกนี้ด้วยเหรอ คนที่จะรักหวังดีและไม่ต้องการผลตอบแทน คงจะมีแต่พ่อเท่านั้น พ่อจะเป็นไงบ้างนะ ขอให้หายป่วยเร็วๆ นะคะ พริมไม่อยากเหนื่อยคนเดียวแล้วค่ะ คิดถึงทุกคนเหลือเกิน กลับมาเร็วๆ นะคะ" หญิงสาวบันทึกได้เพียงเท่านั้น ปิดสมุดลงแล้วผล็อยหลับไปทันทีด้วยความอ่อนเพลีย และไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่าตนมิได้อยู่ภายในห้องนอนเพียงลำพัง หากแต่มีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาเดินสำรวจท่ามกลางความมืดสลัวและเงียบสงบ
คริสเดินไปรอบๆ ห้องโดยปราศจากเสียงรบกวน เพราะเขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งในความมืดได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มมาหยุดอยู่ข้างเตียง แล้วหยิบสมุดติดมือขึ้นมาด้วยท่าทีสนใจและยิ้มกับตัวเองเมื่อคิดว่าพบสิ่งที่ต้องการแล้ว
เพียงชั่วอึดใจเขากลับมานั่งอ่านบันทึกเล่มนั้น หน้าแล้วหน้าเล่าอย่างเพลิดเพลินอยู่บนเก้าอี้เอนริมสระน้ำ เพื่อศึกษาตัวตนที่แท้จริงของหญิงสาว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อแผนการในอนาคต คริสปิดสมุดลงด้วยรอยยิ้มเมื่ออ่านจนถึงหน้าสุดท้าย เขากลับไปที่ห้องหญิงสาวอีกครั้งเพื่อคืนสมุดไว้ที่เดิม แต่พอจะจากไปกลับได้ยินเสียงเอ่ยทัก
"อย่าเพิ่งไปสิ..กลับมาก่อน"
ชายหนุ่มประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน ครั้นหันกลับจึงรู้ว่าพริมกำลังละเมออยู่นั่นเอง เขายิ้มขำพลางอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาว่าหญิงสาวฝันเห็นอะไร
คริสเอนกายลงนอนแผ่วเบา ใช้ฝ่ามือค้ำยันศีรษะมองคนที่กำลังหลับ แล้วเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความฝันนั้นทันที
หญิงสาวในความฝันแต่งชุดกระโปร่งสีสดใส ปล่อยผมยาวสลวย ใบหน้าเนียนสวยปราศจากแว่นบดบังดวงตากลมโตเป็นประกาย พร้อมรอยยิ้มร่าเริงเปิดเผย ทำให้ชายหนุ่มตะลึงไปกับความงามซึ่งดูกลมกลืนไปกับธรรมชาติบนทุ่งหญ้าสีชมพูละลานตา
พริมวิ่งไล่กระต่ายสีขาวตัวน้อย ซึ่งกระโดดหลบไปมากลางทุ่งหญ้าสว่างไสว แล้วภาพชายหนุ่มอีกคนก็ปรากฏขึ้นในความฝัน คริสยิ้มขำเมื่อเห็นตัวเองในนั้นราวกับเป็นตัวละครในทีวี
"คริสช่วยจับที" พริมร้องบอกพร้อมเสียงหัวเราะขณะไล่ต้อนเจ้าขนปุย ทั้งสองดูสนิทสนมกันจนชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นตัวเอง
"จับได้แล้ว" ชายหนุ่มรวบกอดไว้ทันที เมื่อหญิงสาวล้มนั่งลงกับพื้นหญ้านุ่ม
"ให้จับกระต่ายต่างหาก" พริมยิ้มดันอกคนตรงหน้าเมื่อเขาพยายามจะโน้มใบหน้าลงมาใกล้
"ปล่อยมันไปก่อนนะที่รัก" คริสขยับหญิงสาวลงนอนบนพรมหญ้าสีชมพู ทั้งคู่มองสบตากันด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่ริมฝีปากชายหนุ่มจะเคลื่อนเข้าหาอย่างอ่อนโยน ภาพหนุ่มสาวพรอดรักกันทำให้คนที่สังเกตการณ์อยู่ขยับตัวเข้าหาเจ้าของความฝันโดยไม่รู้ตัว แล้วพลันโน้มริมฝีปากลงแนบชิดเผลอไผลไปกับความสวยงามที่เห็นอยู่ตรงหน้า
จุมพิตนั้นไม่เพียงเป็นภาพที่เห็นได้ในจิตนาการยามหลับ แต่กลับรับรู้ได้ถึงความอบอุ่น อ่อนหวาน และกลายเป็นความหวั่นไหวไปในที่สุด หญิงสาวเอื้อมมือขึ้นโอบรอบคอชายหนุ่ม เมื่อสัมผัสทวีความดูดดื่มขึ้นเรื่อยๆ และนั่นทำให้คนที่กำลังเคลิ้มตื่นจากมนต์สะกดแห่งความฝันในที่สุด ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นกลับพบตนเองนอนอยู่เพียงลำพัง
พริมหอบหายใจ เพราะยังรู้สึกตื่นเต้น หวั่นไหวไปกับนิมิตเสมือนจริงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ในชีวิต พลางใช้ปลายนิ้วแตะที่ริมฝีปากอบอุ่นชุ่มชื้น ไม่อยากเชื่อว่าเป็นความฝัน แต่ก็ไม่มีหลักฐานอื่นใดหรือแม้กระทั่งคู่กรณีชี้บ่งว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง...
พริมยืนแปรงผมอยู่หน้ากระจกในตอนเช้า พลางย้อนนึกถึงความฝันเสมือนจริงกับชายที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก หญิงสาวหลุดยิ้มเขินกับตัวเองออกมาเพราะภาพและสัมผัสเหล่านั้นยังคงแจ่มกระจ่างในความทรงจำ ก่อนจะรีบตั้งสติและเตือนตัวเองว่าให้ลบความคิดเหล่านั้นออกไปให้หมด เพราะนั่นก็แค่ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง และเป็นเรื่องน่าอายที่ตนจะไม่บอกเล่าให้ใครฟังเป็นอันขาด นอกจาก..จดบันทึกลงไป เมื่อนึกมาถึงตรงนี้หญิงสาวเดินไปหยิบสมุดที่หัวเตียงแล้วเก็บลงในลิ้นชักใส่กุญแจไว้ทันทีก่อนออกจากห้องไป
หญิงสาวเดินตรงไปที่ลิฟท์ แต่แล้วช่วงก้าวกลับสะดุดลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครยื่นรออยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาหันมายิ้มทัก ในระยะที่พริมเดินใกล้เข้าไปทุกที หญิงสาวสำรวจมองรูปร่างสูงใหญ่ล่ำสันกว่ามาตรฐานชายไทยโดยทั่วไป สันจมูกโด่งได้ส่วน และดวงตาคมเป็นประกาย แล้วพลางนึกในใจ 'ดูๆ ไปหน้าตาเขาก็คล้ายพ่อเหมือนกันนะ หนุ่มๆ พ่อคงหน้าตาแนวๆ นี้ ...คิดอะไรเนี่ย บ้าจัง!' หญิงสาวดุตัวเองในใจ
"เมื่อคืนหลับสบายไหมคะ" พริมเอ่ยทัก แล้วต้องดุตัวเองอีกครั้ง 'ไม่มีอะไรจะถามแล้วหรือไง บ้าที่สุด!' ขณะที่ใบหน้ายังยิ้มละไมปานว่าไม่มีอะไรอยู่ในใจ
"ไม่แค่สบายอย่างเดียวครับ ฝันดีอีกต่างหาก" คริสว่าแล้วยิ้มกว้างระคนล้อเลียน ขณะที่อีกฝ่ายทำหน้าไม่ถูก พยายามขบริมฝีปากไว้ไม่ให้ถามออกไปว่าเขาฝันอะไร
"อยากรู้ไหมครับ ผมฝันว่าอะไร" ชายหนุ่มว่ายุ
"เออ.." พริมลังเลอยากรู้แต่ไม่อยากถาม หากชายหนุ่มกลับเล่าความฝันโดยไม่รีรอ
"เมื่อคืนผมฝันว่าได้จูบ..." คริสพูดทิ้งจังหวะ ทำให้คนฟังถึงกับกลั้นหายใจหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันที และเป็นเวลาเดียวกับที่ประตูลิฟท์เปิด ทั้งสองเดินเข้าไปภายใน แล้วคริสก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ราวกับลืมไปว่าได้พูดอะไรค้างไว้
"ทานอาหารเช้าหรือยังครับ"
"ยังเลยค่ะ คิดว่าจะไปทานที่ออฟฟิต"
"งั้นไปทานเป็นเพื่อนผมนะครับ คงไม่เสียเวลามาก" คริสเอ่ยชวนแต่ดูพริมยังลังเล
"ผมจะได้เล่าความฝันให้ฟังต่อ" ชายหนุ่มต่อรองแล้วยิ้มเป็นนัย
"ก็ได้ค่ะ" พริมว่าแล้วนึกย้ำกับตัวเองในใจว่าเพื่อธุรกิจ
ตลอดเวลาอาหารเช้า คริสก็ยังไม่ยอมปริปากเรื่องความฝันต่อ แต่กลับพูดถึงงานเลี้ยงวิวาห์ลูกสาวท่านรัฐมนตรีแทน ทั้งที่อีกฝ่ายเฝ้ารอใจจดจ่อ จนต้องถอดใจไปเองเพราะหญิงสาวไม่อยากเอ่ยปากถามให้เสียฟอร์มเช่นกัน
"เย็นนี้ผมไปรับที่ห้องนะครับพริม" ชายหนุ่มกล่าวเป็นการอำลาหลังจากอาหารเช้าเสร็จสิ้นลง
"ค่ะ ขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ" หญิงสาวว่าแล้วลุกผละไป ชายหนุ่มมองตามแล้วยิ้มที่มุมปากเมื่อรู้ว่าหมากกำลังเดินไปตามเกมที่วางไว้
คริสกดกริ่งที่หน้าประตูห้องหญิงสาวเมื่อถึงเวลานัดหมาย และเมื่อประตูเปิดออก ชายหนุ่มก็ถึงกับอึ้งในความงามของหญิงตรงหน้า พริมช่างเป็นหญิงที่มีหลายรูปลักษณ์ ซึ่งทำให้ความรู้สึกเขาต่างออกไปในแต่ละครั้งที่ได้พบ
หญิงสาวในชุดราตรีเข้ารูปสีครามท้องฟ้ายามสนธยา เปิดไหล่และแผ่นหลังขาวนวลโดดเด่น ตัดกับสีชุดและผมดำขลับซึ่งรวบไว้เป็นลอนหลวมๆ และใบหน้าซึ่งแต่งแต้มไว้คมสวยสะดุดตา พร้อมเครื่องประดับ สร้อยคอ ต่างหู เข้าชุดกัน ดูสวยสง่าน่ามอง น่า...
"จะไปกันหรือยังคะ" พริมยิ้มรับสายตาที่จ้องมองมาด้วยความชื่นชม
"ครับ คืนนี้พริมสวยจัง" ชายหนุ่มเอ่ยชมจริงใจ
"ขอบคุณค่ะ คุณก็ดูดีมากค่ะ" หญิงสาวว่าก่อนจะคล้องแขนชายหนุ่มเดินไปที่ลิฟท์ด้วยกัน
งานเลี้ยงคอกเทลน่าเบื่อกลับมีสีสันขึ้นมาในค่ำคืนนี้ เมื่อหนุ่มสาวได้มีโอกาสพูดคุยสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกัน พริมรู้สึกดีกับชายหนุ่มแม้จะไม่เคยได้เปิดโอกาสให้ชายใดได้ใกล้ชิด เพราะไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาคบหาได้อย่างบริสุทธิ์ใจ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนจากฐานะทางการงานและการเงินที่หญิงสาวมีอยู่ในขณะนี้ และเพราะภาระหน้าที่ที่หนักหน่วงจึงทำให้ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องเหล่านี้
แต่สำหรับคริสซึ่งมีเป้าหมายแน่วแน่ในการกระทำของตนทุกอย่าง กลับมองว่าความสัมพันธ์อันดีที่ได้ก่อขึ้น เป็นเพียงบันไดไปสู่ความสำเร็จ แม้จะรู้สึกหวั่นไหวไปบ้างในบางคราว แต่เป้าหมายแห่งชัยชนะในอาชีพการงานย่อมสำคัญที่สุดสำหรับหนุ่มนักธุรกิจไฟแรงอย่างเขา
"ผมว่าเวลาพริมไม่ใส่แว่นดูดีกว่าเยอะเลยนะ" ชายหนุ่มชมขณะที่ทั้งสองอยู่ในลิฟท์แก้วตามลำพัง เมื่อความสูงไต่ระดับถึงจุดกึ่งกลางตึก
"ใส่เลนส์ก็สบายตาดีค่ะ แต่บางทีก็ขี้เกียจถอดเข้าถอดออก" หญิงสาวว่าพลางหันออกมองวิวภายนอก
คริสยืนพิงผนังมองแผ่นหลังอีกฝ่ายนิ่ง พลันเกิดความคิดบางอย่างขึ้น และนั่นทำให้ลิฟท์ซึ่งใช้งานมานานปีไม่เคยมีปัญหาเพราะได้รับการซ่อมบำรุงอย่างดี เกิดทรยศต่อหน้าที่ขึ้นมากระทันหัน โดยการกระตุกอย่างแรง พริมเสียหลักเซไปด้านหลังเพียงเล็กน้อยก็ชนเข้ากับแผ่นอกแข็งแรงของคนที่เข้ามายืนรอรับสถานการณ์อยู่แล้ว
ชายหนุ่มรวบกอดเอวเล็กแนบชิด ขณะที่พริมรีบหันมาเผชิญหน้าแล้วดันอกเขาไว้ แต่แล้วกลับตกอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม เมื่อลิฟท์กระตุกอย่างแรงอีกครั้ง และในคราวนี้ทำให้การเคลื่อนไหวหยุดชะงัก และแสงไฟพลันดับวูบลง ทิ้งไว้เพียงความมืดมิด และเสียงลมหายใจของคนทั้งสอง
พริมยืนนิ่งในอ้อมแขนอบอุ่นเมื่อสายตายังปรับสภาพไม่ได้ และเริ่มขยับตัวออกมองสบตาชายหนุ่มซึ่งกำลังจ้องมองมาในแสงสลัว คริสคลายอ้อมแขนออกเล็กน้อย
"เมื่อคืนผมฝันว่าได้จูบ..พริม" ชายหนุ่มสารภาพก่อนจะเคลื่อนริมฝีปากลงแนบชิด หญิงสาววางมือไว้บนอกหมายจะต้านทาน แต่กลับไร้เรียวแรงเมื่อคริสเลื่อนฝ่ามือขึ้นเกาะกุมแผ่นหลังและไหล่เปลือยเปล่า
ผิวอ่อนละมุมใต้ฝ่ามือและริมฝีปากอิ่มสวยเย้ายวนใจนั้นทำให้ชายหนุ่มสูญเสียการควบคุมตัวไปชั่วขณะ และกำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งเสน่หาอบอวลด้วยความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน ซึ่งไม่เคยสัมผัสมาก่อน จึงไม่รู้จะเรียกความรู้สึกนี้ว่าอะไร คงเป็นมารยาหญิงที่จะทำให้เขาลุ่มหลง เมื่อคิดดังนั้นชายหนุ่มจึงถอนริมฝีปากออกทันที เพราะรู้ว่าตนกำลังจะตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ
พริมหลุดออกจากอาการเคลิบเคลิ้มรู้สึกสับสนระคนอับอายไม่น้อย เมื่อคริสหยุดการกระทำอันชวนหวั่นไหวลงกระทันหันอย่างนั้น ไม่รู้จะโกรธตัวเองหรือคนตรงหน้าดี หญิงสาวรีบหันหลังให้อีกฝ่ายกุมมือประสานกันไว้แน่น ขณะทั้งสองนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจก่อนที่ลิฟท์และแสงไฟจะเริ่มทำงานอีกครั้ง
"ขอโทษนะพริม ผมไม่ได้ตั้งใจ..." คริสเอ่ยทำลายบรรยากาศเงียบงัน
พริมรู้สึกเจ็บแปลบกับคำพูดที่ไม่เจตนาจะแสดงความรับผิดชอบใดๆ แม้ตนจะสมยอม แต่เขาก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน หญิงสาวไม่รู้จะพูดอะไร และก้าวเท้าเร็วๆ ออกจากลิฟท์ไปเมื่อมาถึงจุดหมาย โดยไม่หันกลับไปมองคนข้างหลัง
"เดี๋ยวสิพริม" คริสรีบตามออกมา คว้าแขนหญิงสาวแล้วดึงเข้ามาโอบกอด
"ปล่อยค่ะ!" พริมมองสบตาชายหนุ่มด้วยแววขุ่นเคือง
"พริมโกรธที่โดนจูบ หรือ..." คริสถามด้วยรอยยิ้มในแววตา
"คุณไม่ได้เจตนานี่คะ ฉันจะโกรธคุณได้ยังไง" หญิงสาวว่าประชดทันที
"แล้วถ้าผมเจตนา พริมจะยกโทษให้ไหม" ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนแล้วยิ้มกว้าง
"อย่ามาล้อเล่นแบบนี้นะคะ" พริมทำหน้าบึ้ง ที่เขาเห็นเป็นเรื่องสนุก
"ผมรู้ว่าถ้าขอพริมแต่งงานตอนนี้อาจเร็วไป แต่ถ้าขอคบเป็นแฟน พริมจะว่าไง" ชายหนุ่มเอื้อนเอ่ยขึ้นมากระทันหันและไม่อ้อมค้อมเลยซักนิด ชนิดที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว และไม่รู้จะตอบอย่างไร
"คบเป็นแฟนก็เร็วไปอยู่ดีค่ะ เราเพิ่งเจอกันแค่สองวัน" หญิงสาวเอ่ยออกไปในที่สุด
"แค่สองวันเองเหรอ ทำไมรู้สึกเหมือนเรารู้จักกันมานานแล้ว" คริสยังคงอ้อนคำหวาน จนหญิงสาวอดเคลิ้มไม่ได้ เพราะรู้สึกกับเขาเช่นนั้นจริงๆ
"เป็นอันว่าตกลงใช่ไหม"
"เป็นอันว่าพรุ่งนี้จะให้คำตอบค่ะ"
"ตกลง พรุ่งนี้ผมจะมาฟังข่าวดีแต่เช้า" ชายหนุ่มพูดเองเออเอง ก่อนจะจูงมือหญิงสาวไปส่งที่หน้าประตูห้อง
"ฝันดีนะคะ" พริมเปิดประตูแล้วหันมาเอ่ยลา
"ฝันแบบเมื่อคืนใช่ไหม" คริสถามแล้วยิ้มล้อ
"บ้า.." พริมยิ้มเขินแล้วปิดประตูลงทันที ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนยิ้มอยู่คนเดียว ก่อนจะเดินผิวปากเป็นเพลงด้วยอารมณ์ดีกลับห้องตัวเองไป
Create Date : 20 มกราคม 2554 | | |
Last Update : 29 มกราคม 2554 8:48:36 น. |
Counter : 461 Pageviews. |
| |
|
|
|