Group Blog
 
All blogs
 

Twilight Stars6 ตอนที่ 80

พริมออกมาจากห้องพักในตอนเช้าก็พบว่าคริสมายืนรอที่หน้าประตูแล้ว ชายหนุ่มยิ้มสดชื่นก่อนยื่นกุหลาบสีแดงสดช่อกลมโตให้

"ขอบคุณค่ะ" พริมรับไว้แล้วยกขึ้นสูดกลิ่นหอมละมุม

"แค่นั้นเหรอ...นึกว่าพริมมีอะไรจะบอกมากกว่านั้นซะอีก" คริสเอ่ยทักท้วง จนอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นยิ้มสบตา

"พริมว่าเราคบกันเป็นเพื่อนดีกว่าค่ะ" หญิงสาวว่า

"ก็ได้..แต่.." คริสยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่ได้แสดงความผิดหวังซักนิดในคำตอบของหญิงสาว เพราะท่าทีและสรรพนามที่เปลี่ยนไป ทำให้เขารู้ว่า 'เพื่อน' หรือ 'แฟน' ในบริบทนี้คือความหมายเดียวกัน

"แต่อะไรคะ" พริมสงสัยว่าเขาคิดอะไรอยู่

"...ถ้าเพื่อนจะกอดจูบเพื่อนบ้าง คงไม่เป็นไรใช่ไหม" ชายหนุ่มโน้มลงกระซิบถามที่ข้างหู

โดยไม่รอฟังคำตอบ คริสกอดหญิงสาวแนบชิด ขณะที่พริมหน้าแดงเรื่อขึ้นด้วยความเขินอาย หัวใจพลางเต้นระทึกด้วยความตื่นเต้นกับความสัมพันธ์ซึ่งกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วกับหนุ่มแปลกหน้าซึ่งเพิ่งจะพบกันเพียงสองสามวัน...




ระหว่างที่หนุ่มสาวนั่งรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันสองต่อสอง ภายในร้านอาหารของโรงแรม หญิงสาวได้รับกุหลาบขาวช่อใหญ่ซึ่งมีผู้ส่งมาให้ พริมยิ้มมองหน้าชายหนุ่ม

"จะให้ดอกไม้วันละสามมื้อเลยเหรอคะ" หญิงสาวว่าล้อ

"ผมเปล่านะ" คริสยิ้มยักไหล่ ทำให้อีกฝ่ายต้องขยับดูการ์ดที่ติดมากับช่อดอกไม้

"คุณอันวาค่ะ" หญิงสาวบอกแล้ววางช่อดอกไม้ลงบนเก้าอี้ว่างข้างกาย

"ใครครับ คู่แข่งผมหรือเปล่า" ชายหนุ่มเอ่ยถามยิ้มสบตา

"เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวมากกกค่ะ เขาเป็นลูกชายเสี่ยอนันต์ลูกค้าคนสำคัญที่ส่งลูกทัวร์ให้โรงแรมพริมค่ะ" หญิงสาวว่า

"งั้นผมก็มีคู่แข่งที่น่ากลัวแล้วสิ" คริสยิ้มเพราะไม่ได้รู้สึกกลัวซักนิด

"แล้วคุณไม่คิดจะทำธุรกิจร่วมกับพริมบางหรือคะ" หญิงสาวเอ่ยถาม

"ผมไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของเรามีเรื่องของธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่อยากให้มันเป็นแค่ผลพลอยได้ ต่อไปในอนาคต พริมจะได้สบายใจด้วยดีไหม" คริสแสร้งว่าเพราะจริงๆ แล้วธุรกิจของเธอและเขาเป็นคู่แข่งกันเสียด้วยซ้ำ

"ตกลงค่ะ" พริมยิ้มรับเพราะนึกว่านั่นคือความหวังดี และเพราะไม่คิดจะเคลือบแคลงชายหนุ่มแต่อย่างใด


"เย็นนี้พริมว่างไหม ผมอยากชวนไปนั่งรถเล่นด้วยกัน" คริสเอ่ยขึ้น

"คงไม่ได้ค่ะ เพราะพริมนัดคุณอันวาไว้ที่ไนท์คลับตอนหนึ่งทุ่ม" หญิงสาวว่า

"พริมต้องนัดเจอลูกค้าในที่แบบนั้นบ่อยๆ ด้วยเหรอ" ชายหนุ่มถามสงสัย เพราะครั้งแรกเขาก็พบหญิงสาวที่นั่น

"เออ..ผมแค่ห่วงพริมน่ะ" คริสรีบว่าต่อ

"ก็ไม่ทุกคนหรอกค่ะ เฉพาะคนสำคัญ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ชายก็ชอบให้เอนเตอร์เทนแบบนั้น" พริมอธิบาย

"งั้นเย็นนี้ผมอาจอยากไปเที่ยวที่นั่นบ้าง"

"ตามสบายค่ะ"





พริมปรากฏตัวขึ้นที่คลับชั้นสามพร้อมเลขาคนสนิทเมื่อได้เวลานัดพบกับลูกค้ารายใหญ่ซึ่งมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว

"สวัสดีครับน้องพริม" ชายร่างท้วมอายุประมาณสามสิบเศษลุกขึ้นเอ่ยทักทายทันที

"สวัสดีค่ะ สบายดีนะคะคุณอันวา" พริมยกมือไหว้แขกอวุโสกว่า

"สบายดีครับ ว่าแต่เมื่อกลางวันได้รับดอกไม้ที่พี่ส่งมาให้หรือยังครับ" ชายหนุ่มมองหน้าด้วยท่าทางกรุ่มกริ่มเปิดเผย

"ได้รับแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ" พริมตอบไปตามมารยาท

"วันนี้มีโอกาสได้มาเจอน้องพริมทั้งที เราอย่าคุยเรื่องงานเลยนะครับ" อันวามองหญิงสาวด้วยสายตาหวานเยิ้ม

"เห็นจะไม่ได้หรอกค่ะ เพราะสัญญา 5 ปีของเราจะหมดในอีก 3 เดือนนี้แล้วค่ะ ถ้ายังตกลงกันไม่ได้ ดิฉันคงไม่สบายใจ" พริมพูดอย่างเป็นต่อ เพราะรู้ว่าชายหนุ่มคงไม่ขัดข้องอยู่แล้ว พร้อมรับเอกสารจากเลขายื่นให้ชายร่างท้วม

"สัญญาเราไม่เคยมีปัญหาอยู่แล้วนี่ครับน้องพริม เราก็ทำธุรกิจร่วมกันมานาน แต่คราวนี้พี่จะขอแก้ไขนิดหน่อย เดี๋ยวขอดูเอกสารก่อนแล้วจะเข้าไปคุยที่ออฟฟิตอีกทีนะครับ" อันวาโยกโย้ เพื่อปัดเรื่องงานไว้ก่อน

"เอางั้นก็ได้ค่ะ สั่งอะไรมาทานก่อนไหมคะ คุณอันวาคงหิวแย่แล้ว" พริมออกความเห็น พร้อมกับเรียกบริกรมาสั่งอาหารและเครื่องดื่ม ก่อนจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำ

ระหว่างทางหญิงสาวแวะไปพูดคุยบางอย่างกับโมญ่า หญิงวัยสามสิบต้นๆ ผู้เข้ามารับช่วงต่อจากป้ามายาซึ่งปลดเกษียณไป ก่อนจะเดินผละไปทางห้องน้ำเพียงเพื่อต้องการจะล้างมือ

หลังจากกลับมาถึงโต๊ะ พริมอนุญาติให้เลขากลับบ้านได้ และนั่นทำให้อันวาพอใจเป็นอย่างยิ่งที่จะได้อยู่กับหญิงสาวสองต่อสอง

"น้องพริมไม่ทานอะไรบ้างล่ะครับ" อันวาถามขณะกำลังมีความสุขกับอาหารและเครื่องดื่มตรงหน้า

"ดิฉันทานก่อนมาที่นี่แล้วล่ะค่ะ ขอนั่งเป็นเพื่อนก็พอนะคะ" หญิงสาวยิ้มหวาน

"แค่นี้พี่ก็มีความสุขแล้วล่ะครับ" ชายหนุ่มเริ่มว่าด้วยเสียงอ้อแอ้ขึ้นมาเล็กน้อย และนั่นทำให้พริมยิ้มกว้างขึ้นอีก

"ออกไปเต้นรำกันซักเพลงดีกว่านะครับน้องพริม" อันวาว่าแล้วคว้าข้อมือหญิงสาวอย่างแรงด้วยฤทธิ์เหล้าและส่วนผสมอื่นที่อยู่ในนั้น

"เออ นั่งทานต่อเถอะค่ะ อิ่มแล้วค่อยไปนะคะ" พริมชักเห็นท่าไม่ดีเพราะชายหนุ่มดูจะไม่เมาเงียบเหมือนทุกครั้ง

"ไม่เอา ไม่กินแล้ว จะเต้นรำ" ชายร่างท้วมว่าเสียงดัง ฉุดข้อมือหญิงสาวลุกขึ้น ขณะที่พริมกำลังตั้งสติว่าจะทำอย่างไรดี และพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมอย่างละม่อมเพราะไม่ต้องการเป็นจุดสนใจ และเป็นจังหวะเดียวกับที่คริสเข้ามาทางประตูพอดี ชายหนุ่มเดินตรงมาที่โต๊ะ หลังจากเห็นสถานการณ์ไม่ดี

"ขอโทษนะครับ" คริสจับแขนอีกข้างของชายล่ำเตี้ยไว้ จนอีกฝ่ายหันมาสบตา และเพียงชั่วอึดใจอันวาก็เป็นลมล้มฟุบไปบนโซฟาทันที

"อ้าวเห็นหน้าผมแค่นี้เป็นลมไปซะล่ะ" คริสว่าขำๆ แล้วหันไปทางหญิงสาว

"เป็นอะไรหรือเปล่าครับพริม" หญิงสาวส่ายหน้าแทนทำตอบ พลางกุมข้อมือตัวเองไว้ด้วยความเจ็บปวด

"ไปกันเถอะ" คริสเอ่ยชวนแล้วยื่นมือให้

"เดี๋ยวค่ะ ต้องเคลียร์นี่ก่อน" พริมมองไปที่ชายร่างท้วมนอนอืดอยู่บนโซฟา หญิงสาวส่งสัญญาณให้โมญ่าเข้ามาเคลียร์พื้นที่เหมือนเช่นทุกครั้ง

"เออ ขอโทษนะคะน้องพริม วันนี้เด็กมันใส่ลงไปผิดตัวค่ะ เลยอาลวาดซะอย่างที่เห็นนั่นแหละค่ะ" โมญ่าเข้ามาอธิบาย

"คราวหน้าช่วยระวังมากกว่านี้ด้วยนะคะ" พริมว่าเสียงขุ่นขึ้นมาเล็กน้อย เพราะถ้าคริสไม่เข้ามา ตนก็ยังไม่รู้จะจัดการอย่างไร อาจถึงขั้นเสียลูกค้าไปเลยก็ได้



"แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร" คริสเห็นท่าทางเงียบๆ ซึมๆ ของอีกฝ่าย ขณะที่ทั้งสองอยู่ในลิฟท์ กำลังจะกลับขึ้นห้องพัก

"ไม่เป็นไรค่ะ แค่ตกใจนิดหน่อย ขอบคุณนะคะที่มาทันเวลาพอดี" พริมว่าขณะที่ยังบีบนวดข้อมือตัวเอง

"พริมไม่คิดว่าที่ทำมันอันตรายไปหน่อยเหรอ" คริสขยับข้อมือหญิงสาวขึ้นดู ปรากฏเป็นรอยแดงช้ำ แล้วพลันนึกว่าน่าจะซัดหน้าไอ้เตี้ยนั่นซักที

"บางทีพริมก็อยากเป็นผู้ชายเหมือนกันค่ะ จะได้ไม่ต้องรู้สึกแย่อย่างนี้" หญิงสาวถอนหายใจ เพราะไม่มีทางเลือก ยังไงก็ต้องรักษาธุรกิจที่เป็นความภาคภูมิใจของพ่อและครอบครัวไว้ให้ได้

"แต่ผมชอบให้พริมเป็นผู้หญิงมากกว่านะ" คริสยิ้มสบตาแล้วยกข้อมือเล็กขึ้นแตะที่ริมฝีปาก

"คุณอยากให้พริมถูกรังแกใช่ไหม" หญิงสาวทำเสียงงอน

"ผมจะไม่ให้ใครรังแกพริมได้อีก..." คริสแทรกฝ่ามือเข้าที่ข้างแก้มหญิงสาว แล้วว่าต่อ

"...แต่จะเก็บไว้รังแกเอง" คริสหัวเราะแล้วรั้งร่างเล็กเข้ามากอด

"นึกว่าจะเป็นคนดีซะอีก" พริมทุบอกกว้างที่ซบอยู่แล้วยิ้มเขิน




หลังจากที่ดูใจกันได้เกือบเดือน พริมหลงรักชายหนุ่มมากขึ้นทุกวัน และนั่นทำให้หญิงสาวมองทุกอย่างในด้านบวก แม้จะยังไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับตัวเขา เพราะทั้งคู่มีเวลาพบกันแค่วันละไม่กี่ชั่วโมง แต่หญิงสาวก็เริ่มวาดฝันสวยงาม เพราะรู้สึกถึงความสุข ความอบอุ่นปลอดภัยทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้เขา และดูเขาจะเพียบพร้อมคู่ควรกับเธอไปซะหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา สถานะทางการเงิน การงาน และสังคม ซึ่งทำให้พริมมองไม่เห็นว่าจะมีอุปสรรคใดมาขัดขวางความรักในครั้งนี้ได้

ฝ่ายคริสคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและพริมจะเป็นอย่างไร ต้องดูหลังจากที่แผนการสำเร็จไปแล้ว หากหญิงสาวรักเขาจริงอาจยอมรับได้ในสิ่งที่เขาทำ หากไม่อาจไม่อยากมองหน้าเขาไปอีกทั้งชีวิตเลยก็ได้ ส่วนเรื่องแต่งงานไม่ต้องพูดถึง เพราะมันไม่เคยอยู่ในหัวสมองเขาเลยแม้แต่น้อย และเมื่อถึงเวลาที่เขาอยากมีครอบครัวขึ้นมาจริงๆ ซึ่งอาจจะเป็นอีกซักร้อยปีข้างหน้า พริมก็คงรอไม่ได้แล้ว


"เสาร์-อาทิตย์ นี้พริมว่างไหมครับ" คริสเอ่ยถามเมื่อเดินมาส่งหญิงสาวที่หน้าประตูห้องในคืนวันศุกร์

"ปกติก็ไม่ว่างค่ะ พริมไม่เคยมีวันหยุด" หญิงสาวบอกไปตามตรง

"งั้นพักร้อนซักสองวันเถอะนะ ผมอยากชวนพริมไปเที่ยวทะเล"

"ไปนอนฟังเสียงคลื่น แล้วก็ไม่ต้องคิดถึงเรื่องงาน ดีไหม" ชายหนุ่มเห็นท่าทางลังเลของอีกฝ่าย จึงรีบโน้มน้าวด้วยสิ่งที่หญิงสาวอยากจะทำและจดบันทึกลงในสมุดเล่มนั้น

"ทะเลที่ไหนคะ" พริมเริ่มสนใจขึ้นมาทันที

"เกาะพีพี ส่วนมากผมอยู่แต่ทางเหนือ เลยอยากล่องใต้ดูบ้าง เพื่อนผมมีรีสอร์ทอยู่ที่นั่น"

"แล้วจะไปกันยังไงคะ" พริมสงสัยเพราะมีเวลาแค่สองวัน แต่จะไปไกลขนาดนั้น

"ขับรถไป คืนนี้เลย อีกครึ่งชั่วโมงเจอกันหน้าลิฟท์นะครับ" คริสโน้มลงหอมแก้มหญิงสาว แล้วเดินผละไปทันที โดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายปฏิเสธ หรือไถ่ถามอะไรได้อีก




"ดาวสวยจังเลยนะคะ" พริมแหงนมองไปบนท้องฟ้าจากหน้าต่างรถสปอร์ตสีดำคันหรู ซึ่งกำลังแล่นด้วยความเร็วสูงอยู่นอกเมืองไร้แสงไฟรบกวนความงามเปล่งประกายของดาวน้อยนับล้านดวง

"พริมอยู่แต่ในกรุงเทพ คงไม่ค่อยได้เห็นอะไรแบบนี้" คริสหันมองหญิงสาว

"ถ้าเลือกได้ พริมก็อยากมีเวลาได้สัมผัสธรรมชาติเหมือนกันค่ะ แต่ตั้งแต่พ่อป่วย..." หญิงสาวพูดมาถึงตรงนี้แล้วก็เงียบไป ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมากดหาคนที่กำลังพูดถึงทันที



"ฮัลโหล พริมเหรอลูก" เสียงดังมาจากปลายสาย

"ค่ะแม่ แม่สบายดีไหมคะ ขอโทษนะคะ พริมไม่ได้โทรหาเป็นอาทิตย์แล้ว"

"ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่รู้ว่าหนูงานยุ่ง"

"นิดหน่อยค่ะแม่ พ่อเป็นไงบ้างคะ"

"ก็บ่นคิดถึงหนูทุกวัน แต่พักนี้พ่อดูอาการดีขึ้นมากเลยล่ะ"

"หนูขอคุยกับพ่อหน่อยนะคะแม่"

"ได้จ่ะ" แองจี้ว่าแล้วยื่นโทรศัพท์ให้พีททันที

"พริมเป็นไงบ้างลูก"

"หนูสบายดีค่ะพ่อ พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ งานที่นี่ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ"

"พักผ่อนดูแลสุขภาพตัวเองบ้างนะลูก พ่อเป็นห่วง"

"ขอบคุณค่ะพ่อ เห็นแม่บอกว่าพ่อดีขึ้นมากแล้ว หายเร็วๆ นะคะ พริมคิดถึงพ่อค่ะ" หญิงสาวว่าน้ำตาซึม

"ถ้าหมออนุญาติแล้วพ่อจะรีบกลับนะ เห็นยัยแพตบอกว่าอีกสองเดือนปิดเทอมแล้วจะกลับไปอยู่เป็นเพื่อนพริม คงทำให้พริมวุ่นมากขึ้นจนลืมเหงาเลยล่ะ" พีทว่าแล้วยิ้มขำ

"ดีสิค่ะ พริมก็คิดถึงน้องเหมือนกัน ไม่ได้เจอกันตั้งเกือบปี" หญิงสาวว่าพลางนึกถึงความร่าเริงเฮี้ยวซ่าของน้องสาว

"บางครั้งยัยแพตก็ทำเอาพ่อโมโหจนลืมป่วยได้เหมือนกัน" พีทว่าแล้วหัวเราะ

"งั้นพริมคงต้องเตรียมรับมือไว้ให้ดีแล้วล่ะค่ะ" พริมยิ้มออกมาได้กับเสียงหัวเราะของพ่อ

"นี่ลูกยังไม่นอนอีกเหรอ จะเที่ยงคืนแล้วนะ"

"จะไปเดี๋ยวนี้ค่ะพ่อ พริมรักพ่อนะคะ" หญิงสาวว่าอ้อน

"พ่อก็รักพริม ฝันดีนะลูก"




"ขอโทษนะคะ พอพูดแล้วก็อดคิดถึงไม่ได้" พริมหันมาบอกชายหนุ่ม

"ดูครอบครัวพริมอบอุ่นดีนะครับ" คริสว่า

"ค่ะแต่เขาอยู่ไกลกันหมด พริมก็เลยเหมือนอยู่ตัวคนเดียว"

"คนเดียวที่ไหนครับ" คริสว่าแล้วเอื้อมกุมมือหญิงสาวไว้

"ขอบคุณค่ะ" พริมหันยิ้มสบตาชายหนุ่ม

"แล้วคุณมีพี่น้องบ้างไหมคะ" พริมอยากรู้เรื่องส่วนตัวเขาบ้าง

"ผมมีน้องชายอยู่คนนึง เป็นฝาแฝดกัน" คริสว่า

"จริงอ่ะ หน้าตาคงเป็นพิมพ์เดียวกันเลยสิคะเนี่ย" พริมว่าตื่นเต้นเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน

"แฝดคนละฝาน่ะ ต่างกันยังกับมาคนละท้องเลยล่ะ" คริสว่าขำๆ

"อ้าว นึกว่าจะมีคนหน้าเหมือนคุณซะอีก"

"ไม่ดีเหรอ ถ้าหน้าเหมือนกัน เดี๋ยวเกิดพริมจำแฟนตัวเองไม่ได้ทำไง" ชายหนุ่มว่าล้อแล้วหัวเราะ

"บ้า..ใครแฟนพริม" หญิงสาวยิ้มเขิน

"เพื่อนก็ได้ แล้วเมื่อไหร่ผมจะได้เป็นมากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน หรือไม่ก็ มากกว่าแฟนแต่ไม่ใช่..."

"นี่ หยุดเลยนะคะ ถ้าพูดต่อพริมจะหยิกให้เขียวเลย" หญิงสาวรีบเบรคเพราะรู้ว่าเขาจะพูดอะไรต่อ

"ว้า ไม่ให้พูดคนขับก็ง่วงแย่สิครับ"...

"งั้นแวะปั้มข้างหน้าเลยค่ะ เดี๋ยวพริมลงไปซื้อกาแฟให้"...

"กาแฟก็ช่วยไม่ได้"...

"นี่แน่ะ ช่วยไม่ได้"...

"โอ๊ย! ผมขับรถอยู่นะพริม"...

"....."

"....."




พริมผล็อยหลับไปบนรถ และตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เมื่อได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังมาแต่ไกล พอทอดสายตาผ่านกระจกใสบานใหญ่ออกไปจึงเห็นเป็นหาดทรายขาวบริสุทธิ์และน้ำทะเลสีเขียวใสสะอาดกระจ่างตา

เมื่อหญิงสาวเริ่มขยับตัวมองไปรอบๆ จึงรู้ว่าตนกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่มในอ้อมแขนของใครบางคนซึ่งโอบกระชับมาจากด้านหลัง พริมรู้ว่าอีกฝ่ายยังหลับอยู่ จึงลังเลว่าจะขยับลุกปลุกให้เขาตื่น หรือจะนอนนิ่งเพื่อให้เขาได้พักผ่อนต่อ

แต่แล้วก็ตัดสินใจเลือกอย่างหลัง เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงขับรถมาทั้งคืน พริมนอนนิ่งมองลำแขนแข็งแรงวางพาดอยู่ใกล้ปลายคาง แล้วเผลอเลื่อนมือขึ้นสัมผัสแผ่วเบา พลางนึกว่าจะดีเพียงใดหากได้ตื่นขึ้นในอ้อมแขนนี้ทุกเช้าไปตลอดชีวิต และยิ้มให้กับความโชคดีของตัวเองที่ได้มีโอกาสมาพบคนดีๆ อย่างคริส ต่อไปชีวิตตนคงเหมือนพ่อกับแม่ที่ได้ร่วมทุกข์สุขกันมาจนถึงทุกวันนี้

คริสอดนึกสงสารในความคิดไร้เดียงสาของหญิงตรงหน้าซึ่งมองทุกอย่างสวยงามไปหมดไม่ได้ ทว่าการแสดงก็ต้องดำเนินต่อไปจนจบ แล้วพริมจะได้เรียนรู้ว่าชีวิตจริงคงมิได้สวยงามดั่งเทพนิยาย

"ตื่นนานแล้วเหรอครับพริม" คริสกระซิบถาม

"ไม่นานหรอกค่ะ พริมกลัวคุณจะตื่นก็เลยไม่กล้าลุก" หญิงสาวสารภาพ

"พริมน่ารักที่สุดเลย" คริสกระชับอ้อมแขน แล้วซุกหน้าลงกับเรือนผมนุ่มสลวย

"งั้นขอนอนต่ออีกสามชั่วโมงนะ" คริสแกล้ง

"นอนทั้งวันเลยก็ได้ค่ะ แต่ต้องให้พริมลุกเดี๋ยวนี้" หญิงสาวว่าแล้วพยายามขยับแขนคริสออก

"พริมพูดงี้ได้ไงครับ มาด้วยกัน ก็ต้องกินด้วยกัน นอนด้วยกันสิ" คริสว่าแล้วแกล้งรัดแน่นขึ้นกว่าเดิม

"พริมหายใจไม่ออกแล้วนะ" หญิงสาวหยิกแขนชายหนุ่ม

"งั้นจะช่วยผายปอดให้เอาไหม" คริสว่าแล้วขยับตัวขึ้นด้านบนทันที แล้วโน้มใบหน้าลงมาใกล้

"ไม่เอา" พริมรีบเบี่ยงหน้าหลบเป็นพัลวัน ก่อนที่คริสจะขยับลงซุกไซ้ไปที่ซอกคอแทน

ทั้งสองหยอกเย้ากันจนพอใจแล้ว จึงไปอาบน้ำก่อนจะชวนกันออกไปเดินเล่นที่ชายหาดเงียบสงบ





"ที่นี่สงบดีจังเลยนะคะ" พริมมองไปรอบๆ หาดทรายเม็ดระเอียดขาวสะอาดตา ขณะที่ทั้งคู่นั่งทานอาหารเช้าด้วยกันที่ร้านอาหารเล็กๆ ห่างจากที่พักราวห้าร้อยเมตร

"เสียดายพริมไม่มีเวลา ไม่งั้นเราจะได้อยู่นานหน่อย"

"ไม่ได้หรอกค่ะ แค่สองวันพริมก็ห่วงงานจะแย่อยู่แล้ว ช่วงนี้ต้องต่อสัญญากับบริษัททัวร์หลายแห่งด้วยค่ะ" หญิงสาวบอกเรื่องงานออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร

"จริงสินะ ใกล้จะมีประชุมสมาคมทัวร์แล้วนี่ครับ"

"ค่ะ คุณอันวาเขาเป็นประธานสมาคม พริมถึงต้องเอาใจเขาให้ช่วยล๊อบบี้บริษัทอื่นไว้ด้วยอีกทาง ถ้าขาดลูกค้าหลักพวกนี้ โรงแรมพริมคงจะแย่แน่ค่ะ"

"แล้วพริมไม่คิดจะขยายกิจการมาทางใต้หรือทางเหนือบางเหรอครับ เพราะแหล่งท่องเที่ยวเยอะออกขนาดนี้"

"พริมก็เคยถามค่ะ แต่ดูเหมือนพ่อจะไม่มีนโยบาย คงกลัวพริมกับน้องจะดูแลไม่ไหว เพราะกิจการที่เรามีอยู่ก็ล้นมือแล้วค่ะตอนนี้"

"ดูสิ พามาเที่ยวทั้งที ดันเผลอชวนพริมคุยเรื่องงานซะงั้น" คริสรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อคิดว่าได้ข้อมูลพอสมควรแล้ว

"ไม่เป็นไรค่ะ อาหารที่นี่ใช่ได้เลยนะคะ" พริมว่า

"อิ่มแล้วไปเล่นน้ำกันนะ อากาศกำลังอุ่นเลย" คริสเอ่ยชวน

"ไม่ดีกว่าค่ะ พริมอยากนอนเล่น"....







"นี่รูปปั้นใครคะคริส พริมว่าจะถามคุณตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้ว" หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อทั้งคู่เดินจูงมือกันมาเกือบถึงที่พัก

"เทวดากับนางฟ้าที่รักกันมาก แต่ทั้งสองทำผิดกฏสวรรค์น่ะ ก็เลยถูกสาปให้กลายเป็นหิน" คริสเล่ายิ้มๆ เมื่อนึกย้อนถึงเรื่องที่แม่เล่าให้ฟังในวัยเด็ก

"เรื่องหลอกเด็กใช่ไหมคะเนี่ย" พริมหัวเราะ

"ก็คงงั้น มาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ละลึกดีกว่า" คริสยื่นโทรศัพท์ออกห่าง ขณะที่ทั้งสองยืนอยู่หน้ารูปปั้น เขาโอบไหล่หญิงสาวไว้แนบชิด ก่อนที่ภาพใบหน้าร่าเริ่งเต็มไปด้วยความสุขของทั้งคู่จะถูกบันทึกลงไป

"ส่งรูปให้พริมด้วยนะคะ" หญิงสาวว่า แล้วอีกฝ่ายก็จัดการให้ทันที

"เรียบร้อยแล้วครับ ทีนี้ก็ถึงค่าบริการแล้วล่ะ" คริสโน้มใบหน้าลงมาใกล้

"จับให้ได้ก่อนละกัน" พริมผลักอกชายหนุ่ม ก่อนจะวิ่งไปหลบอีกด้านของรูปปั้น

ทั้งสองวิ่งไล่วนหลบต้อนกันไปมาโดยมีรูปปั้นกั้นขวางอยู่ พร้อมกับเสียงหัวเราะสนุกสนานแข่งกับเสียงคลื่นในบรรยากาศสดชื่นของยามเช้า

พริมเสียที และถูกจับได้ในที่สุด คริสดึงหญิงสาวเข้ามากอดแล้วขยับร่างเล็กให้หลังพิงรูปปั้นหิน สายตาทั้งคู่สบประสานกันนิ่งด้วยรอยยิ้มฉายชัดอยู่ภายใน

คริสแทรกฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าที่ลำคอหญิงสาว โน้มลงจูบริมฝีปากนุ่มละมุมแผ่วเบาดุจระลอกคลื่นซัดเข้าหาฝั่งอย่างต่อเนื่อง จุมพิตนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนหวานประวิงเวลาซึ่งมีอยู่เหลือเฟือสำหรับคู่รัก ก่อนที่ทั้งสองจะถอนริมฝีปากออกอย่างอ่อนโยนในที่สุด ชายหนุ่มโอบกอดร่างบอบบางไว้นิ่งนาน ขณะที่อีกฝ่ายหลับตาซบหน้าลงกับอกกว้าง พลันอยากให้เวลาหยุดหมุนลงตรงนี้...




พริมปูผ้าลงบนพื้นทรายพร้อมหมอนใบนิ่ม นอนฟังเสียงคลื่นใต้ร่มไม้ด้วยความสบายใจ ท่ามกลางลมทะเลปลายฤดูหนาวพัดพลิ้วเย็นสดชื่น นี่คือสิ่งที่นึกฝันว่าจะมีเวลาได้สัมผัส ในช่วงชีวิตที่ยุ่งแต่กับงานจนไม่เหลือเวลาให้กับตัวเอง

คริสปล่อยให้หญิงสาวได้พักผ่อนตามอัธยาศัย ขณะที่เขาลงไปดำผุดดำว่ายในท้องทะเลกว้าง เพื่อปลดปล่อยพลังมหาศาลในตัวออกไปบ้าง เพราะการที่ต้องอยู่ในพื้นที่จำกัดในเมืองหลวงนานๆ ทำให้เขาอึดอัดพอสมควร


พริมรู้สึกตัวตื่นหลังจากหลับไปกว่าครึ่งชั่วโมง เมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสนุ่มเย็นกดลงบนริมฝีปาก และหยดน้ำที่ร่วงลงมาบนใบหน้า

"ไปเล่นน้ำกัน" คริสใช้ศอกและลำแขนทั้งสองข้างซึ่งคร่อมร่างเล็กไว้ยันตัวขึ้นยิ้มสบตาหญิงสาว ด้วยหยดน้ำเกาะพราวตั้งแต่เส้นผม ใบหน้าหล่อคม แผงอกเปลือยเปล่าและลำแขนเต็มไปด้วยมัดกล้าม

"พริมขอนอนต่อดีกว่าค่ะ" หญิงสาวรีบขยับหันหน้าไปทางอื่นด้วยใจเต้นระทึกในสรีระดึงดูดใจและสายตาของอีกฝ่าย

"ไม่เอาน่าพริม มาเที่ยวทะเลทั้งที" คริสยิ้มขำปฏิกิริยาเขินจนหน้าเรื่อนั้น ก่อนจะขยับลุกดึงมือพริมจนต้องยอมลุกแล้วจูงมือกันตรงไปหาน้ำทะเล

ทั้งสองเดินลึกลงไปเรื่อยๆ แต่พอก้าวเท้าไปอีกที พริมก็จมพรวดลงไปใต้น้ำเพราะชั้นของทรายซึ่งเป็นแอ่งขนาดใหญ่ใต้พื้นน้ำ หญิงสาวตะเกียกตะกายกอดคอคริสไว้ด้วยอารามตกใจ

"กลับเถอะคะคริส น่ากลัวจังเลย" พริมชักหน้าเสีย

"ไม่ต้องกลัวนะ" คริสขยับเรียวขาสวยขึ้นโอบรอบเอวแข็งแรง แล้วกอดประคองเอวบางไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง

"คุณลอยตัวในน้ำได้ด้วยเหรอ" พริมว่าประหลาดใจ

"ทำได้มากกว่านั้นอีก..." คริสมองเรียวปากสวยตรงหน้าแล้วโน้มลงจูบหญิงสาวก่อนจะดำดิ่งลงสู่พื้นทะเลไปด้วยกัน พริมหลับตาเคลิ้มไปกับสัมผัสนุ่มนวลใต้น้ำราวความฝัน และประหลาดใจอีกครั้งที่ไม่รู้สึกอึดอัดราวสามารถหายใจในน้ำได้ ร่างทั้งสองที่กอดเกี่ยวกันแนบสนิทค่อยๆ โผล่ขึ้นสู้ผิวน้ำอีกครั้ง

"คุณทำได้ยังไง" พริมลืมตาขึ้นมองชายหนุ่มด้วยสายตางุนงงสับสน

"ความสามารถพิเศษน่ะ ห้ามเลียนแบบ" คริสยิ้มขำก่อนจะโอบอุ้มหญิงสาวไว้ในท่าเดิม แล้วพากลับไปถึงริมหาด

ชายหนุ่มนอนเอนกายลงบนชายหาด โดยมีหญิงสาวทาบทับอยู่บนร่างแข็งแรง ร่างแนบชิดสื่อภาษารักกันทางสายตา พริมค้ำศอกไว้ข้างศีรษะชายหนุ่มแล้วโน้มลงจูบดูดดื่ม ขณะที่อีกฝ่ายเคลื่อนไหวฝ่ามือลูบไล้จากต้นขาขาวนวลผ่านกางเกงขาสั้นลายสก๊อตสีฟ้าไปบนแผ่นหลังบอบบางภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวชุ่มน้ำ หมายจะปลดเปลื้องอาภรณ์ภายในด้วยอารมณ์กระเจิดกระเจิงและเร่าร้อนขึ้นทุกขณะจากจุมพิตเย้ายวนและระลอกคลื่นซัดสาดแผ่วเบาอยู่รอบกาย

พริมรีบขยับลุกแล้วรวบมือซุกซนนั้นไว้ ขณะที่ยังนั่งคร่อมอยู่บนร่างชายหนุ่ม พยายามสูดหายใจเข้าเต็มปอด

"เรามาไกลไปหน่อยแล้วค่ะ" พริมยิ้มสบตาชายหนุ่ม ก่อนจะลุกยืนแล้วฉุดมือเขาขึ้น

"ไกลอีกหน่อยไม่ได้เหรอพริม" คริสหยอกเย้าแล้วโอบเอวหญิงสาวเดินตรงเข้าที่พักไปด้วยกัน

"ไม่ได้ค่ะ พริมไม่เคยทำการค้าขาดดุลขนาดนี้มาก่อนนะคะ" หญิงสาวว่าแล้วหัวเราะ

"ต้องอยู่ใน waiting room อีกนานไหมครับพริม" ...

"ก็จนกว่า wedding room จะเปิดประตูค่ะ" ...

"...."

"...."









"คืนนี้พระจันทร์สีแปลกตาจังเลยนะคะ" พริมนอนอยู่ในอ้อมแขนชายหนุ่มมองฝ่าแสงสลัวผ่านกระจกใสออกไปภายนอก ซึ่งเห็นดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า

"เขาเรียกว่าพระจันทร์สีเลือด จะปรากฏครั้งเดียวในรอบ 400 ปี" คริสบอกเล่าแนบชิด สายตามองออกไปยังจุดเดียวกัน

"งั้นเราก็โชคดีมากสิคะที่ได้เห็น" พริมว่าตื่นเต้น เอียงมองคนข้างหลังเล็กน้อย

"เราโชคดีที่ได้นอนดูด้วยกันมากกว่า" คริสว่าแล้วกระชับอ้อมแขนเข้า

"คุณรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เหรอคะคริส" พริมพลิกตัวกลับมองสบตาชายหนุ่ม

"อืม.." คริสขยับเข้าประทับริมฝีปากบนหน้าผากหญิงสาว

"พริมรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยทุกครั้งเวลาอยู่กับคุณ" หญิงสาวสารภาพแล้วขยับเข้าซุกอกแข็งแรง

"พริมรู้ว่าคุณจะไม่มีวันทำร้ายพริม" หญิงสาวเอ่ยอย่างมั่นใจ ซึ่งทำให้คนฟังถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน คริสกอดหญิงสาวแนบอกหมายให้จดจำสิ่งดีๆ ในคืนนี้ไว้ เผื่อวันข้างหน้าซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...





















 

Create Date : 23 มกราคม 2554    
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2554 21:10:08 น.
Counter : 424 Pageviews.  

Twilight Stars6 ตอนที่ 79




20 ปีต่อมา...



"จอดรถเดี๋ยวนี้!!" เสียงออกคำสั่งดังเข้ามาภายในห้องโดยสารทำให้หญิงสาวถึงกับสะดุ้ง ในขณะที่สายตาจับจ้องอยู่ที่รถสปอร์ตสีดำมันวาวซึ่งขับไล่มาด้วยความเร็วสูงจากกระจกมองหลังและกระจกข้างเป็นระยะๆ

"ไม่! ไปให้พ้น!!" หญิงสาวตะโกนกลับ แล้วเพิ่มความเร็วขึ้น พลางปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ในสภาพเนื้อตัวยับเยิน เสื้อผ้ามีรอยฉีกขาด ผมเผ้ายุ่งเหยิง

"ฉันขอเตือนเธอเป็นครั้งสุดท้าย จอดเดี๋ยวนี้!" เสียงเข้มด้วยโทสะดังขึ้นอีกระลอก แต่หญิงสาวยังคงเร่งสปีดแบบไม่คิดชีวิต

"จะตามมาเอาอะไรอีก ไปลงนรกซะไป!!" เมื่อสิ้นเสียง พริมก็ถึงกับกรี๊ดสุดชีวิต เมื่อชายที่ไล่ล่ามาในรถคันดังกล่าวมาเกาะอยู่ที่กระจกหน้า มองฝ่าเข้ามาด้วยดวงตาลุกวาว พริมเหยียบเบรคอย่างแรงตามสัญชาตญาณ ทำให้รถหมุนเสียหลักและถูกชนซ้ำโดยรถที่ปราศจากคนขับ ก่อนจะไถลลงข้างทาง กระแทกเสาไฟฟ้าเข้าอย่างจัง ส่งผลให้หญิงสาวหมดสติไปทันที

"บ้าที่สุด!!" คริสดึงประตูรถจนหลุดติดมือแล้วเหวี่ยงกระเด็นไปหลายร้อยเมตร ก่อนจะอุ้มร่างหญิงสาวออกมา แล้วอันตรธานหายไปจากจุดเกิดเหตุในชั่วพริบตา





3 เดือนก่อนเกิดเหตุ...




แองจี้ต้องพาพีทไปรักษาตัวที่อเมริกา เพราะตั้งแต่สูญเสียพลังไป พีทก็เริ่มเจ็บป่วยอ๊อดๆ แอดๆ ในขณะที่แพตตี้กำลังเรียนต่อปริญญาโทอยู่ที่นั่น อีกเพียงปีเดียวก็จะจบ และคงกลับมาช่วยงานได้บ้าง

"พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ พริมดูแลที่นี่ได้" พริมยิ้มกว้างพูดให้พ่อสบายใจ

"พ่อรู้ว่าลูกพ่อเก่ง ดูแลตัวเองด้วยนะลูก" พีทลูบศีรษะลูกสุดที่รัก เพราะพริมได้ดั่งใจพีททุกอย่าง เชื่อฟังและปฏิบัติตามสิ่งที่เขาสั่งสอนเป็นอย่างดี และเป็นเด็กเรียนรู้เร็ว มีบุคลิกเป็นผู้ใหญ่เกินวัย และไม่งอแงเหมือนน้องสาว

"แม่กับพ่อไปแล้วนะลูก" แองจี้ว่า พริมกอดพ่อกับแม่คนละที ก่อนที่ทั้งสองจะเดินไปขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้าประตูบ้านหลังโตราวคฤหาสน์

หลังจากที่รถเคลื่อนออกไป แววหนักใจปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาวทันที เพราะต่อจากนี้คงต้องรับภาระหนักอึ้งไว้เพียงลำพัง ท่ามกลางสภาวะที่มีการแข่งขันสูง เธอต้องก้าวให้ไวทุกฝีก้าว มิฉะนั้นคงไม่มีทางตามคู่แข่งซึ่งเริ่มแทรกซึมเข้ามาในพื้นที่ได้ทัน






"พี่คริส พ่อเคยบอกว่าไม่ให้เราขยายกิจการเข้าไปภาคอื่น ถ้าพ่อรู้.." ชาร์ลว่าเตือนเมื่อรู้ว่าพี่ชายกำลังทำอะไร

"แกก็อย่าบอกพ่อสิ ฉันไม่เทคโอเวอร์กิจการพวกนั้นทั้งหมดก็ดีแล้ว" คริสพูดถึงกิจการที่เคยเป็นเครือเดียวกัน แต่อยู่ในภาคพื้น ที่พ่อไม่ให้แตะต้อง แต่หลังจากที่ชาร์ลียกกิจการทั้งหมดให้ลูกทั้งสองดูแล คริสซึ่งบริหารงานโรงแรม กลับเข้าซื้อกิจการในภาคต่างๆ อย่างลับๆ เพื่อขยายฐานธุรกิจ ส่วนชาร์ลซึ่งดูแลรีสอร์ท และธุรกิจสวนเกษตรนั้น ไม่เคยละเมิดคำสั่งพ่อและมีความสุขกับธุรกิจที่ได้สัมผัสธรรมชาติของตนเป็นอย่างดี

"ผมรู้ว่าห้ามพี่ไม่ได้ แต่ถ้าพ่อรู้ พี่รับผิดชอบเองก็แล้วกัน" ชาร์ลรู้ว่าไร้ประโยชน์ที่จะห้าม เพราะคริสนั้นดื้อรั้นมาแต่ไหนแต่ไร และต้องทำทุกอย่างให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ

"ถึงตอนนั้น ฉันมีวิธีให้พ่อว่าฉันไม่ได้แม้แต่คำเดียว แกคอยดูก็แล้วกัน" คริสยิ้มเจ้าเล่ห์กับความคิดที่อยู่ในใจ ก่อนจะพูดต่อว่า

"พรุ่งนี้ฉันจะเข้ากรุงเทพ ฝากดูแลทางนี้ด้วยนะชาร์ล"

"พี่จะไปกี่วัน"

"อาจนาน ขึ้นกับความยากง่ายของงาน"

"..เฮ้อ.. มีลับลมคมในตลอด" ชาร์ลยิ้มส่ายหน้า

"ก็มีแกนี่แหละ ที่รู้จักฉันดีที่สุด ไปหาอะไรกินกันดีกว่า เดี๋ยวแกไม่เจอพี่หลายวันจะคิดถึง"

"ไม่มีทาง..."





พริมย้ายออกจากบ้าน มาพักประจำอยู่ที่ชั้นสูงสุดของอาคาร เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทาง และเพื่อสะดวกในการทำงาน พื้นที่ชั้นบนซึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วนและเป็นพื้นที่ส่วนตัวทั้งหมดนั้นบัดนี้ครึ่งหนึ่งถูกจัดให้เป็นห้องพักที่มีราคาแพงที่สุดในอาคาร เพราะหญิงสาวคิดว่าถ้าเก็บไว้ทั้งฟลอร์จะเกินความจำเป็น และไม่ก่อให้เกิดรายได้

"มีแขกมาพักห้องข้างๆ ไหม" พริมเอ่ยถามเลขาส่วนตัว เพราะทั้งชั้นมีเพียงสองห้องเท่านั้น

"มีบุ๊คไว้แล้วค่ะ 3 เดือน" เลขาตอบหลังจากเช็คข้อมูล

"ช่วงนี้แขกเยอะขนาดนั้นเชียว" พริมว่าประหลาดใจ เพราะปกติห้องพักหรูราคาหลายแสนบาท ไม่เคยเต็มยาวขนาดนั้น

"คนเดียวค่ะ" เลขายิ้มตอบ

"เศรษฐีที่ไหนนะ เช็คประวัติทีซิ" พริมสนใจขึ้นมาทันที

"รู้สึกจะเป็นพ่อเลี้ยงจากทางเหนือค่ะ หน้าตาหล่อมากทีเดียว รายระเอียดจะเช็คให้อีกทีนะคะ" เลขายื่นภาพชายหนุ่มพร้อมประวัติที่บันทึกข้อมูลลงทะเบียนให้ดู จากหน้าจอคอมพิวเตอร์พกพาบางเฉียบ

"อืม.. เช็คแล้วถ้ามีธุรกิจทำร่วมกับเราได้ ติดต่อให้ฉันด้วย ไม่มีอะไรแล้ว" หญิงสาวว่าไม่ได้ใส่ใจหน้าตาชายหนุ่มเลยซักนิด เพราะในหัวมีแต่เรื่องงานอยู่เต็มไปหมด

"ค่ะ" เลขาคนสนิทรับคำ ก่อนออกจากห้องไป




เลขาสาวให้ข้อมูลว่าชายหนุ่มเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ใหญ่ทางภาคเหนือ และมีสาขาอยู่ทั่วประเทศ หลังจากเช็คข้อมูลจากชื่อและนามสกุลในวันรุ่งขึ้น

"แล้วนัดให้ฉันหรือยัง" พริมเอ่ยถามทันที

"คืนนี้ค่ะ ทุ่มตรงที่คลับชั้นสาม"

"เยี่ยมมาก"

"คือเออ...เย็นนี้ดิฉันติดธุระสำคัญน่ะค่ะ" เลขาสาวออกตัว

"ไม่เป็นไร ฉันไปคนเดียวได้" พริมเอ่ยเพราะอีกฝ่ายขอลาล่วงหน้ามาสองสามวันแล้ว




พริมไปรอที่คลับตามเวลานัดหมาย ก่อนจะเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามาและจำเขาได้ทันทีจากรูปที่เห็น หญิงสาวเอ่ยทักขณะที่เขาเดินเข้ามาใกล้ สายตาสอดส่องหาคนที่นัดพบ

"สวัสดีค่ะ คุณเมธัสใช่ไหมค่ะ"

คริสหันมองตามเสียงทันที แล้วต้องตะลึง อึ้งไปชั่วครู่เมื่อเห็นหญิงสาวถนัดตาพลางคิดในใจว่า 'หากจะมีแม่ชีหลงเข้ามาในโรงแรม คงเป็นแม่นี่แหละ' ด้วยผมที่รวบไว้จนตึง และแว่นตาที่สวมใส่ แม้จะมีใบหน้าที่สวยงามและบุคลิกน่ามอง แต่นั่นไม่ได้ดึงดูดใจชายหนุ่มแม้แต่น้อย

"เออ.. มีอะไรหรือเปล่าค่ะ" พริมถามประหม่าเมื่อเห็นชายหนุ่มมองตะลึงแบบนั้น

"คือ..ผมไม่คิดว่าผู้บริหารโรงแรม จะสาวแล้วก็..สวยขนาดนี้" ชายหนุ่มรีบเรียกสติกลับ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ฟังดูจริงใจสุดๆ

"ชมเกินไปแล้วล่ะค่ะ เชิญนั่งค่ะ" พริมยิ้มกว้างรับคำชมซึ่งรู้ว่าไม่จริงใจสิ้นดี และอ่านออกทันทีว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

"จะดื่มอะไรก่อนไหมคะ" หญิงสาวเรียกบริกรให้มารับออเดอร์ ก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มคุยกันต่อ

"ที่นี่บรรยากาศดีนะครับ" ชายหนุ่มนั่งพิงพนักมองไปรอบๆ

"ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณเมธัส.."

"เรียกผมว่าคริสดีกว่า"

"ค่ะ ชมโรงแรมเราทั่วหรือยังคะ ได้ข่าวว่าคุณทำบริษัททัวร์ ถ้าสนใจยังไงเราอาจทำสัญญาร่วมกันได้" หญิงสาวว่าเรื่องธุรกิจออกไปอย่างไม่อ้อมค้อม

"โรงแรมคุณมีสาขาที่ไหนบ้างล่ะครับ"

"เรามีสาขาในเกือบทุกจังหวัดค่ะ ยกเว้นภาคเหนือกับภาคใต้ แต่เรามีโรงแรมและรีสอร์ทที่ทำธุรกิจร่วมกันในเขตนั้นอยู่ด้วยค่ะ"

"ที่ไหนบ้างล่ะครับ" คริสถามด้วยความสนใจ แต่หญิงสาวเอ่ยมาแต่ละชื่อล้วนเป็นธุรกิจคู่แข่งทั้งสิ้น

"เอาเป็นว่าผมจะพิจารณาดูอีกที วันนี้เราอย่าพูดเรื่องธุรกิจกันเลยนะครับ ผมเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว" ชายหนุ่มเอนคอลงพาดพนักโซฟา ทำท่าเมื่อย

"ต้องการคนปรนนิบัติไหมล่ะคะ ที่นี่เรามีระดับวีไอพีไว้บริการค่ะ" หญิงสาวถามความเห็น ทำเอาคริสมองหน้าแล้วยิ้มขำ

"ไม่ล่ะครับ แต่ถ้าเป็นคุณก็ไม่แน่" คริสแกล้งเอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่ายไว้ แต่หญิงสาวกลับสบตาเขานิ่ง พลางเกิดจินตนาการว่าได้ตบหน้าชายหนุ่มเข้าอย่างแรงด้วยความสะใจ

"ผมล้อเล่นน่ะ อย่าถือสาเลยนะ" คริสขยับมือออกแล้วหัวเราะเสียงดังเมื่อรู้ว่าหญิงสาวคิดอะไรอยู่ในใจ

"ฉัน.." พริมกำลังจะเอ่ยขอตัว เพราะคิดว่าคืนนี้คงไม่ได้งาน เขาจะอยู่อีกตั้งสามเดือน ไว้วันหลังค่อยคุยกันใหม่ดีกว่า

"ชูส์.. เพลงโปรดผมเลย ให้เกียรติเต้นรำกันซักเพลงนะครับ" ชายหนุ่มรีบว่าขัดเพราะรู้อีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร แม้จะไม่รู้จักชื่อเพลงเสียด้วยซ้ำ

"แต่.." พริมพยายามจะปฏิเสธเพราะรู้สึกเหนื่อยเต็มที

"เพื่อมิตรภาพของเรา.." ชายหนุ่มยื่นมือออกให้ พริมลอบถอนใจก่อนจะยอมรับ เพราะรู้ว่าชายตรงหน้าก็แค่เพลย์บอยดีๆ นี่เอง ติดแค่ตรงที่อาจมีผลประโยชน์ร่วมกันในอนาคต







คริสรวบเอวบางของหญิงสาวไว้ด้วยมือทั้งสองข้างทันทีที่มาถึงฟลอร์ทำให้พริมรู้สึกอึดอัดในความใกล้ชิดเกินขอบเขต สำหรับคนซึ่งพบกันครั้งแรก แต่ก็จำต้องเลื่อนมือขึ้นแนบอกแข็งแรง กลั้นใจบอกตัวเองว่าแค่เพลงเดียว

"ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย" ชายหนุ่มแกล้งขยับเข้ากระซิบถาม ทำให้ดูคล้ายทั้งคู่ยืนกอดกันมากกว่าจะเป็นการเต้นรำ

"พริมรดาค่ะ"

พริมดันอกอีกฝ่าย เป็นการส่งสัญญาณว่าเขาเข้าใกล้เกินไปแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะแปลสัญญาณผิดพลาด คริสรวบกอดหญิงสาวแนบชิดยิ่งขึ้น และชั่วขณะนั้น กลิ่นไอและอ้อมกอดของเขาทำให้รู้สึกราวได้อยู่ในอ้อมแขนของพ่อซึ่งเป็นที่พึ่งในยามที่รู้สึกอ่อนแอและเหนื่อยล้า หญิงสาวไม่รู้ว่าอะไรทำให้ตนคิดไปเช่นนั้น แล้วเผลอหลับตาซบใบหน้าลงบนอกอุ่นด้วยความรู้สึกผ่อนคลายท่ามกลางเสียงเพลงพลิ้วไหวในความมืดสลัวของสถานที่

คริสก้มมองหญิงสาวพลางนึกแดกดันว่าหล่อนช่างกล้าหลับคาอกขณะเต้นรำกับเขา ไม่มีความเป็นมืออาชีพเอาซะเลย แล้วพลอยคิดต่อไปอีกว่าพริมจะดูแลกิจการใหญ่โตขนาดนี้ได้อย่างไร คงมีแต่เจ๊งกับเจ๊ง หากเขาคิดจะเข้าครอบครองธุรกิจนี้ก็เป็นบุญมหาศาลสำหรับเธอแล้ว

"ง่วงนอนเหรอ" ชายหนุ่มกระซิบถาม เสียงนั้นปลุกให้พริมตื่นจากภวังค์ทันที

"ขอโทษนะคะ" หญิงสาวรีบขยับออกว่าเขินๆ เกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด

"ฉันต้องไปแล้วค่ะ วันหลังค่อยคุยกันใหม่นะคะ" พริมว่าก่อนจะเดินผละไป โดยมีคริสเดินตามไปติดๆ

"รอด้วยครับพริม ผมก็จะกลับห้องพักเหมือนกัน" ชายหนุ่มถือวิสาสะเรียกอย่างสนิทสนม



"วิวสวยดีนะครับ" คริสเอ่ยเมื่อทั้งสองอยู่ในลิฟท์แก้วตามลำพัง

"ค่ะ ฉันเห็นมาตั้งแต่เด็กก็ยังสวยเหมือนเดิมทุกวัน" หญิงสาวยืนเคียงข้างหันมองออกสู่วิวภายนอก

"พรุ่งนี้งานแต่งงานลูกสาวท่านรัฐมนตรีวิสิต คิดว่าคุณคงได้รับเชิญเหมือนกัน ไปด้วยกันนะครับ" ชายหนุ่มเอ่ยชวน

"ตกลงค่ะ งานเลี้ยงอยู่ที่ชั้นเจ็ดนี่เอง" พริมตอบรับเพราะไม่คิดจะพลาดงานนี้อยู่แล้ว

"กู๊ดไนท์นะคะ พรุ่งนี้ฉันจะให้เลขา.." หญิงสาวกล่าวเมื่อลิฟท์มาถึงจุดหมาย

"ผมจะโทรหาคุณเอง กู๊ดไนท์ครับพริม" ชายหนุ่มว่าดักคอ ก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง




หญิงสาวกลับเข้าที่พักด้วยความเหนื่อยล้า และต้องรีบไปอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่น เฉกเช่นที่เคยปฏิบัติเป็นกิจวัตร ก่อนจะมานั่งคิดแผนงานต่อจนถึงเที่ยงคืน และกิจกรรมสุดท้ายก็คือหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาเขียนระบายความในใจลงไป และนั่นทำให้รู้สึกโล่งและหลับสบายในแต่ละคืน ยิ่งช่วงที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวไร้สมาชิกในครอบครัวให้พูดคุยด้วยเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าช่วยได้มาก


"วันนี้งานก็ยุ่งเหมือนทุกวัน เมื่อไหร่จะได้พักผ่อนยาวๆ แบบไม่ต้องคิดถึงเรื่องงาน นอนชายทะเล ฟังเสียงคลื่นให้ช่ำปอด แต่งตัวสบายๆ ออกไปดินเนอร์กับหนุ่มหน้าตาดีและจริงใจซักคน ไม่ต้องพูดเรื่องธุรกิจ ไม่ต้องมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง จะมีคนแบบนั้นอยู่บนโลกนี้ด้วยเหรอ คนที่จะรักหวังดีและไม่ต้องการผลตอบแทน คงจะมีแต่พ่อเท่านั้น พ่อจะเป็นไงบ้างนะ ขอให้หายป่วยเร็วๆ นะคะ พริมไม่อยากเหนื่อยคนเดียวแล้วค่ะ คิดถึงทุกคนเหลือเกิน กลับมาเร็วๆ นะคะ"


หญิงสาวบันทึกได้เพียงเท่านั้น ปิดสมุดลงแล้วผล็อยหลับไปทันทีด้วยความอ่อนเพลีย และไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่าตนมิได้อยู่ภายในห้องนอนเพียงลำพัง หากแต่มีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาเดินสำรวจท่ามกลางความมืดสลัวและเงียบสงบ

คริสเดินไปรอบๆ ห้องโดยปราศจากเสียงรบกวน เพราะเขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งในความมืดได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มมาหยุดอยู่ข้างเตียง แล้วหยิบสมุดติดมือขึ้นมาด้วยท่าทีสนใจและยิ้มกับตัวเองเมื่อคิดว่าพบสิ่งที่ต้องการแล้ว

เพียงชั่วอึดใจเขากลับมานั่งอ่านบันทึกเล่มนั้น หน้าแล้วหน้าเล่าอย่างเพลิดเพลินอยู่บนเก้าอี้เอนริมสระน้ำ เพื่อศึกษาตัวตนที่แท้จริงของหญิงสาว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อแผนการในอนาคต คริสปิดสมุดลงด้วยรอยยิ้มเมื่ออ่านจนถึงหน้าสุดท้าย เขากลับไปที่ห้องหญิงสาวอีกครั้งเพื่อคืนสมุดไว้ที่เดิม แต่พอจะจากไปกลับได้ยินเสียงเอ่ยทัก

"อย่าเพิ่งไปสิ..กลับมาก่อน"

ชายหนุ่มประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน ครั้นหันกลับจึงรู้ว่าพริมกำลังละเมออยู่นั่นเอง เขายิ้มขำพลางอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาว่าหญิงสาวฝันเห็นอะไร


คริสเอนกายลงนอนแผ่วเบา ใช้ฝ่ามือค้ำยันศีรษะมองคนที่กำลังหลับ แล้วเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความฝันนั้นทันที

หญิงสาวในความฝันแต่งชุดกระโปร่งสีสดใส ปล่อยผมยาวสลวย ใบหน้าเนียนสวยปราศจากแว่นบดบังดวงตากลมโตเป็นประกาย พร้อมรอยยิ้มร่าเริงเปิดเผย ทำให้ชายหนุ่มตะลึงไปกับความงามซึ่งดูกลมกลืนไปกับธรรมชาติบนทุ่งหญ้าสีชมพูละลานตา

พริมวิ่งไล่กระต่ายสีขาวตัวน้อย ซึ่งกระโดดหลบไปมากลางทุ่งหญ้าสว่างไสว แล้วภาพชายหนุ่มอีกคนก็ปรากฏขึ้นในความฝัน คริสยิ้มขำเมื่อเห็นตัวเองในนั้นราวกับเป็นตัวละครในทีวี

"คริสช่วยจับที" พริมร้องบอกพร้อมเสียงหัวเราะขณะไล่ต้อนเจ้าขนปุย ทั้งสองดูสนิทสนมกันจนชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นตัวเอง

"จับได้แล้ว" ชายหนุ่มรวบกอดไว้ทันที เมื่อหญิงสาวล้มนั่งลงกับพื้นหญ้านุ่ม

"ให้จับกระต่ายต่างหาก" พริมยิ้มดันอกคนตรงหน้าเมื่อเขาพยายามจะโน้มใบหน้าลงมาใกล้

"ปล่อยมันไปก่อนนะที่รัก" คริสขยับหญิงสาวลงนอนบนพรมหญ้าสีชมพู ทั้งคู่มองสบตากันด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่ริมฝีปากชายหนุ่มจะเคลื่อนเข้าหาอย่างอ่อนโยน ภาพหนุ่มสาวพรอดรักกันทำให้คนที่สังเกตการณ์อยู่ขยับตัวเข้าหาเจ้าของความฝันโดยไม่รู้ตัว แล้วพลันโน้มริมฝีปากลงแนบชิดเผลอไผลไปกับความสวยงามที่เห็นอยู่ตรงหน้า

จุมพิตนั้นไม่เพียงเป็นภาพที่เห็นได้ในจิตนาการยามหลับ แต่กลับรับรู้ได้ถึงความอบอุ่น อ่อนหวาน และกลายเป็นความหวั่นไหวไปในที่สุด หญิงสาวเอื้อมมือขึ้นโอบรอบคอชายหนุ่ม เมื่อสัมผัสทวีความดูดดื่มขึ้นเรื่อยๆ และนั่นทำให้คนที่กำลังเคลิ้มตื่นจากมนต์สะกดแห่งความฝันในที่สุด ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นกลับพบตนเองนอนอยู่เพียงลำพัง

พริมหอบหายใจ เพราะยังรู้สึกตื่นเต้น หวั่นไหวไปกับนิมิตเสมือนจริงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ในชีวิต พลางใช้ปลายนิ้วแตะที่ริมฝีปากอบอุ่นชุ่มชื้น ไม่อยากเชื่อว่าเป็นความฝัน แต่ก็ไม่มีหลักฐานอื่นใดหรือแม้กระทั่งคู่กรณีชี้บ่งว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง...




พริมยืนแปรงผมอยู่หน้ากระจกในตอนเช้า พลางย้อนนึกถึงความฝันเสมือนจริงกับชายที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก หญิงสาวหลุดยิ้มเขินกับตัวเองออกมาเพราะภาพและสัมผัสเหล่านั้นยังคงแจ่มกระจ่างในความทรงจำ ก่อนจะรีบตั้งสติและเตือนตัวเองว่าให้ลบความคิดเหล่านั้นออกไปให้หมด เพราะนั่นก็แค่ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง และเป็นเรื่องน่าอายที่ตนจะไม่บอกเล่าให้ใครฟังเป็นอันขาด นอกจาก..จดบันทึกลงไป เมื่อนึกมาถึงตรงนี้หญิงสาวเดินไปหยิบสมุดที่หัวเตียงแล้วเก็บลงในลิ้นชักใส่กุญแจไว้ทันทีก่อนออกจากห้องไป

หญิงสาวเดินตรงไปที่ลิฟท์ แต่แล้วช่วงก้าวกลับสะดุดลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครยื่นรออยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาหันมายิ้มทัก ในระยะที่พริมเดินใกล้เข้าไปทุกที หญิงสาวสำรวจมองรูปร่างสูงใหญ่ล่ำสันกว่ามาตรฐานชายไทยโดยทั่วไป สันจมูกโด่งได้ส่วน และดวงตาคมเป็นประกาย แล้วพลางนึกในใจ 'ดูๆ ไปหน้าตาเขาก็คล้ายพ่อเหมือนกันนะ หนุ่มๆ พ่อคงหน้าตาแนวๆ นี้ ...คิดอะไรเนี่ย บ้าจัง!' หญิงสาวดุตัวเองในใจ

"เมื่อคืนหลับสบายไหมคะ" พริมเอ่ยทัก แล้วต้องดุตัวเองอีกครั้ง 'ไม่มีอะไรจะถามแล้วหรือไง บ้าที่สุด!' ขณะที่ใบหน้ายังยิ้มละไมปานว่าไม่มีอะไรอยู่ในใจ

"ไม่แค่สบายอย่างเดียวครับ ฝันดีอีกต่างหาก" คริสว่าแล้วยิ้มกว้างระคนล้อเลียน ขณะที่อีกฝ่ายทำหน้าไม่ถูก พยายามขบริมฝีปากไว้ไม่ให้ถามออกไปว่าเขาฝันอะไร

"อยากรู้ไหมครับ ผมฝันว่าอะไร" ชายหนุ่มว่ายุ

"เออ.." พริมลังเลอยากรู้แต่ไม่อยากถาม หากชายหนุ่มกลับเล่าความฝันโดยไม่รีรอ

"เมื่อคืนผมฝันว่าได้จูบ..." คริสพูดทิ้งจังหวะ ทำให้คนฟังถึงกับกลั้นหายใจหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันที และเป็นเวลาเดียวกับที่ประตูลิฟท์เปิด ทั้งสองเดินเข้าไปภายใน แล้วคริสก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ราวกับลืมไปว่าได้พูดอะไรค้างไว้

"ทานอาหารเช้าหรือยังครับ"

"ยังเลยค่ะ คิดว่าจะไปทานที่ออฟฟิต"

"งั้นไปทานเป็นเพื่อนผมนะครับ คงไม่เสียเวลามาก" คริสเอ่ยชวนแต่ดูพริมยังลังเล

"ผมจะได้เล่าความฝันให้ฟังต่อ" ชายหนุ่มต่อรองแล้วยิ้มเป็นนัย

"ก็ได้ค่ะ" พริมว่าแล้วนึกย้ำกับตัวเองในใจว่าเพื่อธุรกิจ


ตลอดเวลาอาหารเช้า คริสก็ยังไม่ยอมปริปากเรื่องความฝันต่อ แต่กลับพูดถึงงานเลี้ยงวิวาห์ลูกสาวท่านรัฐมนตรีแทน ทั้งที่อีกฝ่ายเฝ้ารอใจจดจ่อ จนต้องถอดใจไปเองเพราะหญิงสาวไม่อยากเอ่ยปากถามให้เสียฟอร์มเช่นกัน

"เย็นนี้ผมไปรับที่ห้องนะครับพริม" ชายหนุ่มกล่าวเป็นการอำลาหลังจากอาหารเช้าเสร็จสิ้นลง

"ค่ะ ขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ" หญิงสาวว่าแล้วลุกผละไป ชายหนุ่มมองตามแล้วยิ้มที่มุมปากเมื่อรู้ว่าหมากกำลังเดินไปตามเกมที่วางไว้




คริสกดกริ่งที่หน้าประตูห้องหญิงสาวเมื่อถึงเวลานัดหมาย และเมื่อประตูเปิดออก ชายหนุ่มก็ถึงกับอึ้งในความงามของหญิงตรงหน้า พริมช่างเป็นหญิงที่มีหลายรูปลักษณ์ ซึ่งทำให้ความรู้สึกเขาต่างออกไปในแต่ละครั้งที่ได้พบ

หญิงสาวในชุดราตรีเข้ารูปสีครามท้องฟ้ายามสนธยา เปิดไหล่และแผ่นหลังขาวนวลโดดเด่น ตัดกับสีชุดและผมดำขลับซึ่งรวบไว้เป็นลอนหลวมๆ และใบหน้าซึ่งแต่งแต้มไว้คมสวยสะดุดตา พร้อมเครื่องประดับ สร้อยคอ ต่างหู เข้าชุดกัน ดูสวยสง่าน่ามอง น่า...

"จะไปกันหรือยังคะ" พริมยิ้มรับสายตาที่จ้องมองมาด้วยความชื่นชม

"ครับ คืนนี้พริมสวยจัง" ชายหนุ่มเอ่ยชมจริงใจ

"ขอบคุณค่ะ คุณก็ดูดีมากค่ะ" หญิงสาวว่าก่อนจะคล้องแขนชายหนุ่มเดินไปที่ลิฟท์ด้วยกัน


งานเลี้ยงคอกเทลน่าเบื่อกลับมีสีสันขึ้นมาในค่ำคืนนี้ เมื่อหนุ่มสาวได้มีโอกาสพูดคุยสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกัน พริมรู้สึกดีกับชายหนุ่มแม้จะไม่เคยได้เปิดโอกาสให้ชายใดได้ใกล้ชิด เพราะไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาคบหาได้อย่างบริสุทธิ์ใจ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนจากฐานะทางการงานและการเงินที่หญิงสาวมีอยู่ในขณะนี้ และเพราะภาระหน้าที่ที่หนักหน่วงจึงทำให้ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องเหล่านี้

แต่สำหรับคริสซึ่งมีเป้าหมายแน่วแน่ในการกระทำของตนทุกอย่าง กลับมองว่าความสัมพันธ์อันดีที่ได้ก่อขึ้น เป็นเพียงบันไดไปสู่ความสำเร็จ แม้จะรู้สึกหวั่นไหวไปบ้างในบางคราว แต่เป้าหมายแห่งชัยชนะในอาชีพการงานย่อมสำคัญที่สุดสำหรับหนุ่มนักธุรกิจไฟแรงอย่างเขา




"ผมว่าเวลาพริมไม่ใส่แว่นดูดีกว่าเยอะเลยนะ" ชายหนุ่มชมขณะที่ทั้งสองอยู่ในลิฟท์แก้วตามลำพัง เมื่อความสูงไต่ระดับถึงจุดกึ่งกลางตึก

"ใส่เลนส์ก็สบายตาดีค่ะ แต่บางทีก็ขี้เกียจถอดเข้าถอดออก" หญิงสาวว่าพลางหันออกมองวิวภายนอก

คริสยืนพิงผนังมองแผ่นหลังอีกฝ่ายนิ่ง พลันเกิดความคิดบางอย่างขึ้น และนั่นทำให้ลิฟท์ซึ่งใช้งานมานานปีไม่เคยมีปัญหาเพราะได้รับการซ่อมบำรุงอย่างดี เกิดทรยศต่อหน้าที่ขึ้นมากระทันหัน โดยการกระตุกอย่างแรง พริมเสียหลักเซไปด้านหลังเพียงเล็กน้อยก็ชนเข้ากับแผ่นอกแข็งแรงของคนที่เข้ามายืนรอรับสถานการณ์อยู่แล้ว

ชายหนุ่มรวบกอดเอวเล็กแนบชิด ขณะที่พริมรีบหันมาเผชิญหน้าแล้วดันอกเขาไว้ แต่แล้วกลับตกอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม เมื่อลิฟท์กระตุกอย่างแรงอีกครั้ง และในคราวนี้ทำให้การเคลื่อนไหวหยุดชะงัก และแสงไฟพลันดับวูบลง ทิ้งไว้เพียงความมืดมิด และเสียงลมหายใจของคนทั้งสอง

พริมยืนนิ่งในอ้อมแขนอบอุ่นเมื่อสายตายังปรับสภาพไม่ได้ และเริ่มขยับตัวออกมองสบตาชายหนุ่มซึ่งกำลังจ้องมองมาในแสงสลัว คริสคลายอ้อมแขนออกเล็กน้อย

"เมื่อคืนผมฝันว่าได้จูบ..พริม" ชายหนุ่มสารภาพก่อนจะเคลื่อนริมฝีปากลงแนบชิด หญิงสาววางมือไว้บนอกหมายจะต้านทาน แต่กลับไร้เรียวแรงเมื่อคริสเลื่อนฝ่ามือขึ้นเกาะกุมแผ่นหลังและไหล่เปลือยเปล่า

ผิวอ่อนละมุมใต้ฝ่ามือและริมฝีปากอิ่มสวยเย้ายวนใจนั้นทำให้ชายหนุ่มสูญเสียการควบคุมตัวไปชั่วขณะ และกำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งเสน่หาอบอวลด้วยความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน ซึ่งไม่เคยสัมผัสมาก่อน จึงไม่รู้จะเรียกความรู้สึกนี้ว่าอะไร คงเป็นมารยาหญิงที่จะทำให้เขาลุ่มหลง เมื่อคิดดังนั้นชายหนุ่มจึงถอนริมฝีปากออกทันที เพราะรู้ว่าตนกำลังจะตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ

พริมหลุดออกจากอาการเคลิบเคลิ้มรู้สึกสับสนระคนอับอายไม่น้อย เมื่อคริสหยุดการกระทำอันชวนหวั่นไหวลงกระทันหันอย่างนั้น ไม่รู้จะโกรธตัวเองหรือคนตรงหน้าดี หญิงสาวรีบหันหลังให้อีกฝ่ายกุมมือประสานกันไว้แน่น ขณะทั้งสองนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจก่อนที่ลิฟท์และแสงไฟจะเริ่มทำงานอีกครั้ง

"ขอโทษนะพริม ผมไม่ได้ตั้งใจ..." คริสเอ่ยทำลายบรรยากาศเงียบงัน

พริมรู้สึกเจ็บแปลบกับคำพูดที่ไม่เจตนาจะแสดงความรับผิดชอบใดๆ แม้ตนจะสมยอม แต่เขาก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน หญิงสาวไม่รู้จะพูดอะไร และก้าวเท้าเร็วๆ ออกจากลิฟท์ไปเมื่อมาถึงจุดหมาย โดยไม่หันกลับไปมองคนข้างหลัง

"เดี๋ยวสิพริม" คริสรีบตามออกมา คว้าแขนหญิงสาวแล้วดึงเข้ามาโอบกอด

"ปล่อยค่ะ!" พริมมองสบตาชายหนุ่มด้วยแววขุ่นเคือง

"พริมโกรธที่โดนจูบ หรือ..." คริสถามด้วยรอยยิ้มในแววตา

"คุณไม่ได้เจตนานี่คะ ฉันจะโกรธคุณได้ยังไง" หญิงสาวว่าประชดทันที

"แล้วถ้าผมเจตนา พริมจะยกโทษให้ไหม" ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนแล้วยิ้มกว้าง

"อย่ามาล้อเล่นแบบนี้นะคะ" พริมทำหน้าบึ้ง ที่เขาเห็นเป็นเรื่องสนุก

"ผมรู้ว่าถ้าขอพริมแต่งงานตอนนี้อาจเร็วไป แต่ถ้าขอคบเป็นแฟน พริมจะว่าไง" ชายหนุ่มเอื้อนเอ่ยขึ้นมากระทันหันและไม่อ้อมค้อมเลยซักนิด ชนิดที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว และไม่รู้จะตอบอย่างไร

"คบเป็นแฟนก็เร็วไปอยู่ดีค่ะ เราเพิ่งเจอกันแค่สองวัน" หญิงสาวเอ่ยออกไปในที่สุด

"แค่สองวันเองเหรอ ทำไมรู้สึกเหมือนเรารู้จักกันมานานแล้ว" คริสยังคงอ้อนคำหวาน จนหญิงสาวอดเคลิ้มไม่ได้ เพราะรู้สึกกับเขาเช่นนั้นจริงๆ

"เป็นอันว่าตกลงใช่ไหม"

"เป็นอันว่าพรุ่งนี้จะให้คำตอบค่ะ"

"ตกลง พรุ่งนี้ผมจะมาฟังข่าวดีแต่เช้า" ชายหนุ่มพูดเองเออเอง ก่อนจะจูงมือหญิงสาวไปส่งที่หน้าประตูห้อง

"ฝันดีนะคะ" พริมเปิดประตูแล้วหันมาเอ่ยลา

"ฝันแบบเมื่อคืนใช่ไหม" คริสถามแล้วยิ้มล้อ

"บ้า.." พริมยิ้มเขินแล้วปิดประตูลงทันที ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนยิ้มอยู่คนเดียว ก่อนจะเดินผิวปากเป็นเพลงด้วยอารมณ์ดีกลับห้องตัวเองไป
















 

Create Date : 20 มกราคม 2554    
Last Update : 29 มกราคม 2554 8:48:36 น.
Counter : 461 Pageviews.  

Twilight Stars6 ตอนที่ 78

หลังจากนั้นพีทแต่งงานกับแองจี้ และทำตามที่หญิงสาวขอไว้ทั้งหมด รวมทั้งยกกิจการโรงแรมและรีสอร์ททางภาคเหนือและภาคใต้ให้ชาร์ลีและเอมี่ โดยไม่จะไม่มีการขยายกิจการล้ำเข้าไปในพื้นที่หากินของแต่ละฝ่าย

ชาร์ลี เอมี่และลูกๆ ย้ายไปอยู่เชียงใหม่เพื่อดูแลธุรกิจอย่างใกล้ชิด ส่วนกันและเต้ยไปปลูกบ้านอยู่บนที่เจ้าคุณปู่ และใช้ชีวิตอย่างสงบสุขที่นั่น




ห้าปีต่อมา...



เอมี่นั่งมองดูลูกๆ ซึ่งเติบโตแข็งแรงขึ้นทุกวันและอยู่ในวัยกำลังซน แม้จะเป็นฝาแฝด แต่เด็กทั้งสองกับมีหน้าตา ผิวพรรณ และนิสัยแตกต่างราวกับคนละขั้ว แต่พออยู่ด้วยกัน ก็เล่นเข้าขากันได้เป็นอย่างดี แม้จะทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นครั้งคราว แต่พี่น้องคู่นี้ก็ดูจะสนิทและรักใคร่กันมาก

คริสตัวโตกว่าน้องเล็กน้อยมีผิวขาวใสเหมือนแม่ ติดจะนิสัยเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจตัวเอง รักแรง เกลียดแรง และไม่เคยยอมให้ใครรังแกไม่ว่าจะเป็นเด็กในวัยเดียวกันหรือกระทั่งเด็กที่โตกว่า ส่วนชาร์ลนั้นดูเป็นเด็กเรียบร้อย มีจิตใจอ่อนโยน ผิวเข้มเหมือนพ่อ ชอบใช้ความคิดมากกว่ากำลังในการแก้ปัญหา ทำให้คริสมักจะคิดว่าน้องเป็นเด็กอ่อนแอ ที่ต้องคอยให้เขาปกป้องอยู่เรื่อย

"นั่งชมผลงานตัวเองอยู่เหรอที่รัก" ชาร์ลีว่าหยอกก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว ขณะที่เด็กๆ กำลังวิ่งไล่จับกันที่สนามหญ้า ในบริเวณบ้านเนื้อที่กว่าห้าไร่ชานเมืองเชียงใหม่

"เวลาผ่านไปเร็วจังเลยนะคะ เผลอแป๊ปเดียว คริส กับ ชาร์ล โตขนาดนี้แล้ว" เอมี่ยิ้มมองเด็กๆ อย่างมีความสุข

"พรุ่งนี้จะพาเด็กๆ ไปหาปู่กับย่า จัดของเสร็จหรือยังที่รัก" ชาร์ลีเอ่ยถาม

"เรียบร้อยแล้วค่ะ ลูกๆ ตื่นเต้นกันใหญ่เชียว" เอมี่ว่า

"พี่ถึงก่อน พี่ชนะ" คริสว่าเสียงแหลมใส วิ่งเข้ามากอดเอมี่แล้วมองหน้าน้องชายซึ่งวิ่งเข้าไปหาพ่อ

"ชนะต้องเป็นผู้ร้าย ชาร์ลเป็นพระเอก" น้องชายยังไม่ยอมแพ้

"แม่ตีชาร์ลเลยครับ ชาร์ลพูดร้าย" คริสเงยหน้าขึ้นฟ้องทันที

"ตีพี่คริสนั่นแหละ ชาร์ลพูดจริง" น้องชายว่าคืน

"นี่แน่ะ พูดจริง" คริสเดินไป หยิกแก้มน้องทั้งสองข้างส่ายไปมา จนอีกฝ่ายร้องไห้แล้วหัวเราะเสียงดัง

"คริส!" เอมี่อุทาน ขณะที่ชาร์ลีรีบแยกทั้งสองออก

"ทำแบบนี้ไม่ได้นะลูก ขอโทษน้องเดี๋ยวนี้" เอมี่ดุลูกชาย

"ก็ชาร์ลยั่วคริสก่อน.." เด็กชายทำหน้างอ

"ลูกผู้ชายทำผิดแล้วต้องรู้จักขอโทษนะลูก" เอมี่ลูบศีรษะลูก

"เป็นลูกผู้ชายก็ต้องไม่ขี้แยด้วยลูก" ชาร์ลีว่าแล้วอุ้มลูกชายชูขึ้นจนสุดแขน แกว่งไปมาจนหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาได้ คริสรีบชูแขนขึ้นจะให้พ่ออุ้มบ้าง ชายหนุ่มจึงต้องอุ้มลูกไว้ด้วยแขนคนละข้าง

"เอ้า ไหนดีกันให้พ่อดูก่อนสิ" ทั้งสองเอานิ้วก้อยมาเกี่ยวกันไว้ แล้วยิ้มหน้าบาน

"ไปอาบน้ำแบบลูกผู้ชายกันดีกว่า หิวกันหรือยังลูก" ชาร์ลีอุ้มลูกเข้าบ้านโดยมีเอมี่เดินตามเข้าไป

"คริสหิวแล้วครับ"

"ชาร์ลหิวกว่าพี่คริส"...

"พี่หิวกว่า"...

"ชาร์ลหิวกว่า"...

"หิวเท่ากัน ไม่ได้เหรอลูก"...





"คุณพ่อขา" เด็กหญิงในชุดกระโปรงสีชมพูสดใสเปิดประตูออฟฟิตเข้ามาเอ่ยเรียกแล้วเดินตรงมาหา

"ว่าไงลูกพ่อ วันนี้แต่งตัวสวย จะไปเที่ยวไหนเอ่ย" พีททักลูกสาวแล้วอุ้มขึ้นนั่งบนตัก

"คุณแม่จะพาไปซื้อของค่ะ พริมอยากได้ตุ๊กตาสามตัว" เด็กหญิงผมดำขลับ ใบหน้าขาวนวล เอื้อนเอ่ยด้วยดวงตากลมโตเป็นประกาย

"ทำไมต้องสามตัวด้วยล่ะลูก" พีทถามหยอกเย้าสงสัย

"พริมจะให้น้องแพตตัวนึงค่ะ อีกสองตัวพริมจะเล่นเอง" เด็กหญิงเงยหน้าบอกเสียงใส

"งั้นซื้อสี่ตัวดีไหมลูก จะได้แบ่งเท่าๆ กัน" พีทออกความเห็น

"น้องเด็ก เล่นตัวเดียวก็พอค่ะ ไม่สิ้นเปลืองนะคะ" เด็กหญิงทำว่าอย่างมีเหตุผล

"ลูกพ่อรู้จักประหยัดด้วย" พีทว่าแล้วหัวเราะ

"จะไปกันหรือยังคะลูก" แองจี้ปล่อยลูกสาวคนเล็กลงเดิน เด็กหญิงผมหยักโศกเป็นลอนสีน้ำตาลเข้ม รีบวิ่งไปจับมือพี่สาว

"ปี่ปิม...เที่ยวกัน" แพตตี้วัยสองขวบหน้าตาน่ารักยิ้มร่าเริง

"คนนี้ก็เที่ยวเก่งเหมือนกันน้า แล้วใครจะอยู่เป็นเพื่อนพ่อล่ะเนี่ย" พีทว่าแล้วปล่อยพริมลง หันไปอุ้มอีกคนไว้แทน ก่อนจะเดินไปหาแองจี้

"ทำงานไปค่ะ เดี๋ยวแองจี้กับลูกเที่ยวเผื่อนะคะ" แองจี้ว่าล้อ

"มื้อเที่ยงตามไปนะจ๊ะที่รัก" พีทหอมแก้มแองจี้ก่อนจะปล่อยลูกลงเดิน

"ไปค่ะลูกพริม" แองจี้ยื่นมือออกรับลูกสาว ก่อนที่สามแม่ลูกจะออกไปด้วยกัน






"เอมี่บอกว่าที่ตรงนี้เคยเป็นมหาวิทยาลัยมาก่อน" ชาร์ลีเอ่ยขึ้นขณะที่พาพ่อและลูกๆ มาชมสถานที่

"ใช่ พีทเป็นคนทำลายทุกอย่างลงกับมือ ดีที่ไม่มีใครเสียชีวิต นอกจาก..." กันยังจำภาพเหตุการณ์วันนั้นได้ติดตา

"ผมอยากจะสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ ให้เหมือนกับตอนที่พ่อกับแม่เคยอยู่ ผมรู้ว่ามันคงทดแทนสิ่งที่เสียไปแล้วไม่ได้ แต่ก็อยากทำฝันของพ่อกับแม่ให้เป็นจริง" ชาร์ลีว่า

"คงต้องใช้งบประมาณมหาศาลเลยล่ะ" กันว่า

"ไม่ต้องห่วงนะครับพ่อ ผมขอเวลาอีกซักพัก ให้คริสกับชาร์ลโตอีกหน่อย กว่าจะสร้างเสร็จ ผมคงยกกิจการให้ลูกๆ ดูแล แล้วผมกับเอมี่จะมาอยู่กับพ่อแม่ที่นี่" ชาร์ลีบอกถึงแผนที่อยู่ในใจ

"ถ้าแม่รู้คงดีใจน่าดู" กันยิ้มอย่างมีความสุข

"ปู่พามาดูอะไรครับ ไม่เห็นมีอะไรเลย" คริสว่าสงสัยมองเห็นแต่ที่โล่งๆ

"งั้นมาเล่นจานบินกันดีกว่า" กันว่า ขณะที่หลานๆ ทำตาโตแค่นึกก็สนุกแล้ว

"เล่นยังไงครับปู่" ชาร์ลรีบถามด้วยความสนใจ

"เดี๋ยวให้พ่อเขาสาธิตให้ดูนะลูก" กันว่าแล้วมองหน้าลูกชายอย่างรู้กันว่า วันนี้จะฝึกให้เด็กๆ ทั้งสองใช้พลังที่มีอยู่ในตัว

กันหยิบจานใบเล็กที่เตรียมมาแล้วขว้างขึ้นไปในอากาศก่อนที่ชาร์ลีจะใช้พลังระเบิดจานที่ลอยอยู่จนแตกกระจาย

"พ่อทำได้ยังไงครับ" ชาร์ลถามตื่นเต้น

"คริส กับ ชาร์ล ก็ทำได้ลูกแต่ต้องตั้งสมาธิดีๆ" ชาร์ลีบอกลูกๆ

"ชาร์ลขอลองก่อนครับ" ชาร์ลว่าขณะที่คริสยืนยิ้มนิ่งๆ

"เอ้า งั้นให้ลองคนละห้าใบนะ พร้อมหรือยังลูก" ชาร์ลพยักหน้าพยายามจ้องจานที่พ่อขว้างขึ้นไปในอากาศทีละใบ แล้วปล่อยพลังออกไป ถูกบ้าง พลาดบ้าง

"โดนตั้งสามใบแน่ะ เก่งมากลูก" ชาร์ลีว่าให้กำลังใจ

"ตาคริสแล้ว พ่อโยนทีเดียวหมดเลยครับ" คริสว่าด้วยความมั่นใจ

"จะได้หล่นแตกหมดพี่คริส" ชาร์ลว่าล้อแล้วหัวเราะพี่ชาย

"เอางั้นเลยเหรอลูก" ชาร์ลียิ้มขำ

"ครับ" คริสเลิกคิ้วทำหน้าทะเล้น

ชาร์ลีปล่อยจานพร้อมกันห้าใบตามที่ลูกเรียกร้อง แล้วต้องถึงกับตะลึงเมื่อจานทั้งหมดแตกกระจายกลางอากาศพร้อมๆ กันด้วยพลังที่ปล่อยออกมารุนแรงกว่าที่ชาร์ลเพิ่งทำหลายเท่าตัว พร้อมเสียงฟ้าคำรามสนั่นหวั่นไหว ดังกระหึ่มครึกโครมไปทั่วบริเวณ ชาร์ลรีบเกาะขาพ่อไว้ร้องไห้ด้วยความตกใจ



"กรี๊ดดด" เอมี่ปล่อยจานที่กำลังยืนล้างร่วงลงพื้นด้วยความตื่นตระหนก แล้วเข้ากอดแม่ไว้ทันที

"เกิดอะไรขึ้นเนี่ย อยู่ๆ ฟ้าก็ร้องแบบนี้" เต้ยมองออกไปนอกหน้าต่างครัวด้วยความงุนงง ขณะที่กอดปลอบแล้วรีบพาลูกสาวเข้าไปนั่งในห้องรับแขก

"ที่นี่เป็นแบบนี้บ่อยๆ เหรอคะแม่" เอมี่เอามือปิดหู ข่มความกลัว

"นี่ครั้งแรกลูก ไม่ใช่หน้าฝนด้วย ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้" เต้ยว่า



พ่อและปู่ของเด็กทั้งสองสบตากันด้วยความเคร่งเครียด รู้กันเป็นนัยถึงสิ่งผิดปกติในพลังที่แสดงออกมาเมื่อครู่นี้ และพยายามเก็บรักษาอาการกันอย่างสุดกำลัง

"เยส!! เป็นไงชาร์ล" คริสเยาะเย้ยน้องแล้วหัวเราะชอบใจ

"พ่อเห็นไหม คริสเก่งกว่า" เด็กชายว่าด้วยความภาคภูมิใจ

"เออ..เก่งมากลูก" ชาร์ลีเอ่ยออกไปในที่สุด...



หลังจากพาพ่อและเด็กๆ ไปส่งถึงบ้าน ชาร์ลีรีบรุดไปหาแองจี้ทันที เพราะทนเก็บสิ่งที่ติดค้างคาใจไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว และคนที่จะให้คำตอบซึ่งเขามั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ก็คือหญิงสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น

"แองจี้" ชายหนุ่มเอ่ยทักขณะที่หญิงสาวกำลังเลือกซื้อตุ๊กตากับลูกๆ ในห้างสรรพสินค้า

"ชาร์ลี!" แองจี้อุทานด้วยความยินดี ก่อนที่รอยยิ้มจะจางลงเมื่อเห็นสายตาเคร่งเครียดของอีกฝ่าย

"ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย" ชาร์ลีว่าเสียงเครียด

"คุณรู้เรื่องแล้วใช่ไหม" แองจี้รู้ทันทีว่าเขาจะพูดเรื่องอะไร

"คุณแม่ขา พริมเอาสองตัวนี้นะคะ ตัวนี้ให้น้องแพตค่ะ" เด็กหญิงว่าเสียงใส เข้ามายืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคน

"นี่.." ชาร์ลีนั่งลงมองใบหน้าเด็กหญิงตรงหน้าซึ่งมีเค้าเหมือนเอมี่ในวัยเด็ก แต่เด็กหญิงมองตอบด้วยสายตาห่างเหิน แล้วขยับเข้าใกล้แม่อัตโนมัติ

"สวัสดีคุณอาค่ะลูกพริม" แองจี้บอกลูก

"สวัสดีค่ะ" พริมยกมือไหว้ แล้วเดินไปหาน้องซึ่งเดินเตาะแตะอยู่แถวนั้นทันที


"ฉันขอโทษนะคะชาร์ลี ฉันไม่มีทางเลือกจริงๆ" แองจี้สารภาพ

"คุณคงไม่อยากเห็นพ่อคุณฆ่าลูกตัวเอง หรือใช้พลังทำร้ายใครอีก ฉันแค่คิดว่าถ้าลูกได้อยู่กับคุณและเอมี่จะต้องปลอดภัย"

"ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอ แต่ที่เธอทำมันไม่ถูกต้อง และมันผิดมากด้วย" ชาร์ลีรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เพราะเขาเองก็รักคริส ไม่น้อยกว่าที่แองจี้รักพริม

"ฉันขอร้อง ลืมเรื่องนี้ซะเถอะนะ มันผ่านมาตั้งห้าปีแล้ว คิดว่าทำเพื่อลูกก็ได้ คุณก็เห็นแล้วนี่ว่าพริมไม่รู้จักคุณเลยด้วยซ้ำ คุณเองก็คงไม่อยากคืนคริสให้ฉัน" แองจี้พยายามหว่านล้อม

"ฉันคงยังให้คำตอบเธอไม่ได้ เพราะเอมี่ควรมีส่วนในการตัดสินใจ เธอไม่น่าทำเรื่องแบบนี้เลยจริงๆ" ชาร์ลีว่าก่อนจะจากไป ทิ้งให้แองจี้อยู่กับความหวาดกลัว ว่าทั้งสองจะคิดอ่านประการใดกับเรื่องนี้




ชาร์ลีกลับมาถึงบ้านเห็นลูกๆ เล่นหยอกล้อกัน นอนหนุนตักเอมี่คนละข้าง ทำให้เขาไม่รู้จะพูดยังไง หญิงสาวจะคิดยังไงหากรู้ว่าเด็กที่คิดว่าเป็นลูกตนแท้จริงเป็นลูกของ... และคริส กับพริมควรจะรับรู้ปัญหาที่ผู้ใหญ่ก่อขึ้นหรือไม่ ความเป็นจริงกับความถูกต้องขัดแย้งอยู่ในใจ จนทำให้ชายหนุ่มอึดอัด

กันสังเกตเห็นอาการของลูกชายจึงชวนออกไปพูดคุยถึงเรื่องราวทั้งหมด เพื่อให้ชายหนุ่มได้ระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมาบ้าง

"แองจี้แอบเปลี่ยนลูกจริงๆ ครับพ่อ" ชาร์ลีว่า

"แล้วลูกจะทำยังไง" กันกุมไหล่ลูกชาย

"ไม่รู้สิครับ ผมไม่อยากให้เอมี่เสียความรู้สึกดีๆ ที่มีกับลูก"

"แต่เอมี่มีสิทธิ์จะรู้ และควรมีส่วนในการตัดสินใจเรื่องนี้โดยตรงนะ"

"งั้นผมจะหาโอกาสเหมาะๆ บอกครับพ่อ"

"ดีแล้วล่ะลูก นี่เป็นปัญหาที่ลูกสองคนต้องช่วยกันแก้ไข" กันตบไหล่ลูกชายสองสามทีเพื่อให้กำลังใจ ขณะที่ชาร์ลีได้แต่ถอนหายใจ




ชาร์ลีตัดสินใจบอกความจริงเกี่ยวคริสให้เอมี่รับรู้หลังจากที่ทั้งสองส่งลูกๆ ไปโรงเรียนและได้ใช้เวลาอยู่กันตามลำพัง หญิงสาวรู้สึกตกใจและสับสนไปหมด ไม่คิดว่าแองจี้จะทำเช่นนี้ได้ลงคอ ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือคริสเป็นลูกของคนที่ผนึกพ่อแม่ตนจนกลายเป็นหินซึ่งเท่ากับฝังทั้งสองไว้ทั้งเป็น

"แล้วลูกเราล่ะค่ะ" เอมี่เอ่ยถามน้ำตาซึม

"ก็ดูแกมีความสุขดี แล้วก็คงจะติดแองจี้มาก" ชาร์ลีว่าไปตามที่เห็น

"เราจะทำยังไงดีคะชาร์ลี ฉันกลัวจะทำใจให้รู้สึกกับคริสเหมือนเดิมไม่ได้" เอมี่รับสารภาพ

"แต่ถ้าพริมกลับมาอยู่กับเรา ก็คงเหมือนคนแปลกหน้า แล้วถ้าคริสต้องกลับไปอยู่กับแองจี้ ฉันไม่รู้ว่าพ่อพีทจะรับได้ไหม ฉันคงทนไม่ได้ถ้าต้องเห็นคริสเป็นอะไรไป" ชาร์ลีว่าด้วยสีหน้ากังวลแล้วกอดเอมี่ไว้

"ฉันก็เหมือนกัน ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วย" เอมี่ซบหน้าลงกับอกแข็งแรง

"ค่อยๆ คิดดีกว่า เรายังพอมีเวลา ฉันไม่อยากให้คริสกับพริมต้องมารับเคราะห์กับเรื่องของผู้ใหญ่" ชาร์ลีว่าปลอบ

"เผอิญเย็นนี้มีประชุม ฝากไปรับลูกๆ ที่โรงเรียนด้วยนะที่รัก" ชาร์ลีขยับออกโน้มลงจูบริมฝีปากแผ่วเบา ก่อนจะจากไป ทิ้งให้เอมี่วนเวียนอยู่กับความคิดของตนเองจนปวดหัวไปหมด




เอมี่ไปรับเด็กๆ ที่โรงเรียนด้วยอาการมึนร้าวไปทั้งศีรษะ สองพี่น้องวิ่งแข่งกันเข้ามาหาทันทีที่คุณครูประกาศชื่อ และเหมือนเช่นทุกครั้งที่คริสวิ่งมาถึงก่อน แล้วกอดเอวแม่ไว้ทันที

"เย้ คริสถึงก่อน" เด็กชายว่าด้วยใบหน้าร่าเริง แต่กลับรู้สึกถึงสัมผัสและใบหน้าที่เคร่งเครียดผิดปกติของผู้เป็นแม่ในวันนี้

"แม่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ" คริสเงยหน้าขึ้นถามยังไม่ยอมคลายอ้อมแขนออก ขณะที่ชาร์ลยืนยิ้มอยู่ข้างๆ

"แม่ปวดหัวนิดหน่อย" เอมี่ก้มมองใบหน้าใสซื่อของคริสนิ่งไปชั่วครู่ก่อนตอบ

"สวัสดีคุณครูก่อนค่ะ จะได้กลับบ้านกัน" เอมี่บอกลูกๆ

"ขอซื้อไอศครีม ครับแม่" ชาร์ลบอกเอมี่เมื่อมาถึงหน้าโรงเรียน และกำลังจะไปขึ้นรถซึ่งจอดอยู่อีกฟากของถนน

"เอาสิลูก" เอมี่ควักเงินจากกระเป๋าถือแล้วยื่นให้ เด็กๆ วิ่งไปที่รถไอศครีมทันที

ส่วนเอมี่ก็มัวยืนใจลอยคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ จนกระทั่งชาร์ลเดินมาจับมือไว้ เอมี่จึงพาลูกข้ามถนนไปด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย

"ชาร์ลรอด้วย" คริสรอรับเงินทอน แล้ววิ่งตามไปทันที ก่อนจะเห็นรถซึ่งกำลังวิ่งมาด้วยความเร็ว บีบแตรดังลั่นจนเอมี่ตกใจหลุดออกจากภวังค์ความคิด แต่รถวิ่งมาจวนตัวเต็มทีแล้ว

คริสพุ่งตัวไปแบบไม่คิดชีวิต ผลักแม่และน้องด้วยพลังที่มีอยู่ จนตัวเองถูกรถเชี่ยวกลิ้งไปนอนสลบอยู่ขอบฟุตบาทอีกฟากฝั่ง เอมี่กรีดร้องด้วยอาการตกใจ รีบพยุงชาร์ลขึ้นวิ่งตรงไปหาคริส ซึ่งนอนหัวแตกเลือดอาบใบหน้า

"คริส!! อย่าเป็นอะไรไปนะลูก" เอมี่นั่งลงกับพื้นกอดลูกไว้แนบอก โดยมีชาร์ลนั่งร้องไห้ตกใจกลัวอยู่ข้างๆ ก่อนจะมีพลเมืองดีและเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนมาช่วยอุ้มขึ้นรถ และช่วยขับพาไปโรงพยาบาล

เอมี่รีบโทรศัพท์บอกชาร์ลีให้ไปที่โรงพยาบาลทันที และเมื่อมาถึงก็พบว่าเขามารออยู่แล้ว คริสถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉินโดยมีพ่อแม่และน้องตามไปติดๆ แต่ไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปข้างใน

"ถ้าฉันไม่ใจลอย ลูกคงไม่ต้องเป็นแบบนี้" เอมี่ร่ำไห้โทษตัวเอง

"ใจเย็นๆ นะที่รัก ลูกไม่เป็นอะไรหรอก" ชาร์ลีว่าปลอบอุ้มลูกอีกคนและกอดภรรยาไว้ ขณะที่ทั้งสามยืนรออยู่หน้าห้องตรวจ



คุณหมอแจ้งว่าได้ทำการเย็บแผลแตกที่ศีรษะและเข้าเฝือกที่แขนซ้ายไว้แล้ว ส่วนอาการด้านสมองจะเช็คละเอียดอีกทีภายหลัง เพราะตอนนี้เด็กยังไม่ฟื้น

"ฉันขอเฝ้าลูกที่นี่นะคะ" เอมี่ว่าหลังจากคริสถูกนำตัวมาไว้ที่ห้องพัก และต่างเฝ้าดูอาการมาได้ซักพัก แต่เด็กชายยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น

"งั้นเดี๋ยวฉันพาชาร์ลกลับไปอาบน้ำนอนแล้วจะเอาเสื้อผ้ามาให้นะ" ชาร์ลีว่า

"ชาร์ลไม่กลับ จะอยู่กับพี่คริส" เด็กชายว่าน้ำตาซึม จับมือพี่ชายไว้

"อย่าดื้อนะลูก ไปกับพ่อนะครับ" เอมี่ว่าแล้วดึงลูกเข้ามากอด

"กลับไปเตรียมเสื้อผ้ากับของเล่นให้พี่คริสดีกว่า พรุ่งนี้พ่อจะพามาแต่เช้าแล้วจะให้อยู่กับพี่เขาทั้งวันเลยดีไหม" ชาร์ลีพูดหว่านล้อมลูก

"ก็ได้ครับ" ชาร์ลยอมทำตาม เพราะคิดว่าตื่นขึ้นมาคริสคงอยากเล่นของเล่น และตั้งใจว่าจะขนมาให้เยอะ



หลังจากที่ได้อยู่กันตามลำพัง เอมี่นั่งมองลูกน้อยซึ่งสะบักสะบอมไปด้วยแผลถลอกไปทั้งตัว พลางร้องไห้จนร่างสั่นสะท้าน ด้วยนึกละอายใจต่อความรักบริสุทธิ์ของลูกที่ช่วยตนไว้อย่างไม่คิดชีวิต

"คริส..แม่ขอโทษ" เอมี่กุมมือลูกไว้ แล้วซบหน้าลงร้องไห้อย่างหนัก

"ฟื้นนะลูก คริสเป็นลูกแม่ ได้ยินไหม"...

ถึงวินาทีนี้ ทุกสิ่งที่ติดค้างในใจกลับถูกปลดเปลื้องออกไปจนหมด และทำให้เอมี่ตัดสินใจได้ในทันทีเกี่ยวกับเรื่องที่คิดวนเวียนมาตั้งแต่เช้า จนทำให้เกิดเหตุเลวร้ายนี้ขึ้น



เช้าวันต่อมาคริสเพิ่งฟื้นและมีชาร์ลนั่งอยู่ข้างเตียงเป็นเพื่อนเล่นของเล่นกันสนุกสนานไปตามประสา เด็กชายดูอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชาร์ลีและเอมี่ปล่อยให้เด็กๆ เล่น แล้วออกมายืนคุยกันที่นอกระเบียง

"คริสไม่เป็นอะไรหรอกเห็นไหม พวกเรามีพลังอมตะที่จะรักษาตัวเอง จนกว่าจะสูญเสียพลังนั้นไป" ชาร์ลีว่า

"ฉันก็ไม่สบายใจอยู่ดีค่ะ เพราะลูกยังเล็ก" เอมี่หันไปมองเด็กๆ

"คือ..ฉันตัดสินใจได้แล้วว่าอยากมีลูกชายสองคน ไม่ว่าจะเกิดจากท้องใคร คริสจะเป็นลูกของฉันตลอดไป...คุณจะว่ายังไง" เอมี่มองหน้าอีกฝ่ายรอคำตอบ

"ก็คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายแล้วล่ะ ฉันดีใจนะที่เธอตัดสินใจแบบนี้" ชาร์ลียิ้มกว้างให้กำลังใจแล้วโน้มศีรษะเอมี่เข้ามาซบอก

"แต่..ฉันอยากเจอพริมซักครั้งค่ะ"...

"ให้คริสหายดีก่อนนะที่รัก คิดว่าแองจี้ก็คงอยากพบคริสซักครั้งเหมือนกัน"...





หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองฝ่ายได้นัดพบกันและได้มีโอกาสพบเจอลูกซึ่งพรัดพรากจากกันไปกว่าห้าปี เด็กๆ ต่างผูกพันสนิทสนมกับพ่อแม่ที่เลี้ยงตนมา และดูมีความสุขกับสภาพที่เป็นอยู่ ทำให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกโล่งอก

"ขอบคุณมากนะเอมี่ ชาร์ลี ที่อภัยให้ฉัน" แองจี้เอ่ยด้วยความซาบซึ้ง เพราะทั้งคู่ยินดีจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับสำหรับพีทและเด็กๆ ต่อไป

"เรื่องมันล่วงเลยมาขนาดนี้แล้ว โทษเธอไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร" เอมี่ว่า

"ฉันก็ต้องขอโทษพวกเธออยู่ดี ถ้ามีทางเลือกฉันคงไม่ทำแบบนี้" แองจี้พูดด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด

"ชั่งเถอะ ถือว่าเราไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว ขอแค่เธอรักพริมให้เหมือนกับที่เรารักคริส ฉันกับเอมี่ก็พอใจแล้วล่ะ" ชาร์ลีว่า

"เธอช่วยเก็บสร้อยเส้นนี้ไว้ให้พริมด้วยนะ ถือว่าเป็นของที่ระลึกจากพ่อกับแม่" เอมี่ปลดสร้อยรูปพระอาทิตย์ประกบคู่กับพระจันทร์ออกให้

แองจี้รับมาแล้วถอดแหวนที่พีทให้ ยื่นให้เอมี่ไว้เช่นกัน

"นี่เป็นแหวนประจำตระกูล เธอช่วยเก็บไว้ให้คริสด้วยนะ"

"เธอทำแบบนี้แล้วพ่อจะไม่สงสัยเหรอ" ชาร์ลีออกความเห็น

"ฉันทำอีกวงหน้าตาเหมือนกันไว้แล้วล่ะ" แองจี้ว่า

"เธอนี่ร้ายจริงๆ" ชาร์ลีว่าแล้วยิ้มขำ

"ก็ใครล่ะ ทำให้ฉันเป็นแบบนี้" ...










 

Create Date : 19 มกราคม 2554    
Last Update : 23 มกราคม 2554 12:43:49 น.
Counter : 315 Pageviews.  

Twilight Stars6 ตอนที่ 77

สองเดือนต่อมา....


ท่ามกลางราตรีเงียบสงบ ปกคลุมด้วยเงาสลัวจากแสงจันทร์ซึ่งสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างและประตูระเบียง แองจี้รู้สึกตัวตื่นในอ้อมแขนที่คุ้นเคย เพราะรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของชีวิตน้อยๆ ภายในครรภ์ หญิงสาวยกมือขึ้นสัมผัสรอยนูนที่หน้าท้องจากการเคลื่อนไหวของลูกน้อยด้วยรอยยิ้มตื่นเต้น พลันลังเลก่อนจะเกาะกุมมือชายหนุ่มซึ่งกอดกระชับมาจากด้านหลังขึ้นอย่างเบามือ แล้ววางแนบแผ่วเบาลงบนหน้าท้องตน เพราะในส่วนลึกของจิตใจแล้วต้องการให้เขามีส่วนร่วมในช่วงเวลาดีๆ แบบนี้เป็นที่สุด แต่สัมผัสราวปุยนุ่นบนฝ่ามือนั้น ทำให้พีทลืมตาขึ้นเงียบๆ เมื่อรับรู้ถึงความลับที่แองจี้ปกปิดมานาน

"เธอปิดเรื่องนี้มานานแค่ไหนแล้ว" คำถามดังขึ้นที่ปลายหูแผ่วเบา แต่คนฟังกลับสะดุ้งเฮือก มือที่เกาะกุมมือชายหนุ่มนั้นเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที

"...ห้าเดือนแล้วค่ะ..." แองจี้บอกออกไปในที่สุด

"เด็กผู้หญิงหรือผู้ชาย" พีทยังคงถามเสียงเรียบ

"แองจี้ไม่รู้ แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย ถึงจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แองจี้ก็ไม่เรียกร้องให้อาพีทรับผิดชอบ แองจี้เลี้ยงเองได้" หญิงสาวเริ่มสะอื้นจนตัวสั่นสะท้าน

"มันไม่ใช่เรื่องของการรับผิดชอบเลี้ยงดู เธอเข้าใจไหม" พีทขยับขึ้นสบตาแองจี้ว่าเสียงจริงจัง

"ถ้าจะฆ่าลูก ก็ฆ่าแองจี้ซะด้วยสิ" หญิงสาวมองด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว

"ฉันจะทำอย่างนั้นได้ยังไง เธอก็รู้ว่าฉันรักเธอ" พีทเริ่มว่าด้วยอารมณ์ขุ่น

"อาพีทไม่เคยรักใครหรอกค่ะ อาพีทรักแต่ตัวเอง" แองจี้ว่าให้

"ฉันจะรอให้เธอคลอดก่อนก็ได้ แต่ถ้าเป็นเด็กผู้ชาย อย่าหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน" พีทเอ่ยข่มขู่

แองจี้ซบหน้าลงกับหมอนร้องไห้กับความใจร้ายของคนตรงหน้า พลางคิดว่าจะทำอย่างไรดี เมื่อเรื่องทุกอย่างผิดพลาดไปหมดในตอนนี้




แองจี้ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้าน และไม่ยอมพบหน้าพีทอีก ส่วนชายหนุ่มก็แวะเวียนมาหาอยู่เงียบๆ ทุกวัน เพราะในใจยังคงนึกห่วงหญิงสาวอยู่ตลอดเวลา แองจี้เริ่มมีอาการหดหู่ หลังจากที่คุณเรืองศักดิ์จับได้ว่าลูกสาวตนกำลังตั้งครรภ์ โดยไม่ยอมปริปากว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้อง

"นี่อย่าบอกนะว่าแกเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็ก" คุณเรืองศักดิ์ว่าด้วยโทสะ

"พ่อจะดูถูกแองจี้มากไปแล้วนะคะ" หญิงสาวไม่อยากเชื่อว่าพ่อจะพูดแบบนี้

"แล้วแกจะให้ฉันคิดยังไง ถามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมบอก ฉันจะลากคอมันมาให้ได้ แกคอยดู"

"แองจี้บอกแล้วไงคะ ว่าจะเลี้ยงเอง แองจี้ไม่ต้องการให้ใครรับผิดชอบทั้งนั้น"

"งั้นแกจะไปเลี้ยงที่ไหนก็ไป จะมาอยู่ประจานฉันทำไม ป่านนี้คงนินทากันไปทั้งเมืองแล้ว"

"แค่นี้ใช่ไหมคะ ที่พ่อห่วง" แองจี้กลั้นน้ำตาไว้ก่อนจะเดินผละไป




คุณเรืองศักดิ์ตัดสินใจไปพบพีทเพื่อให้ช่วยติดตามเรื่องแองจี้ เพราะคิดว่าชายหนุ่มอาจระแคะระคายบ้างว่าใครเป็นพ่อของเด็ก

"คุณพีท ผมขอโทษจริงๆ ที่ลูกสาวผมทำขายหน้า ออกจากงานก็ไม่รู้บอกกล่าวคุณหรือเปล่า" คุณเรืองศักดิ์ว่านำก่อนเข้าเรือง

"ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่แองจี้เป็นไงบ้าง" พีทเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ

"คุณทราบใช่ไหมว่าลูกสาวผมท้อง" คุณเรื่องศักดิ์ว่า

"ครับ" พีทตอบรับเสียงเรียบ

"แล้วพอจะทราบไหมว่าใครเป็นพ่อของเด็ก" คุณเรืองศักดิ์เข้าเรื่องทันที

"แองจี้บอกคุณว่าไงล่ะครับ" พีทวางสีหน้าเรียบเฉย

"มันไม่ยอมปริปากซักคำ ผมถามจนจะกระอักเลือดอยู่แล้ว" คุณเรืองศักดิ์แสดงอารมณ์ขุ่นขึ้นมาทันที

"งั้นผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง" พีทไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

"คุณต้องช่วยผมนะคุณพีท ผมจะลากคอไอ้ชั่วนั่นมาให้ได้ ไม่ว่ามันจะรับผิดชอบหรือไม่ก็ตาม ผมต้องเอาเลือดหัวมันมาล้างเท้าให้หายแค้น" คุณเรืองศักดิ์กล่าวด้วยความโกรธเคืองต่อหน้า เล่นเอาอีกฝ่ายว่างหน้าเฉยต่อไปไม่ได้

"วันนี้คุณกลับไปสงบสติอารมณ์ก่อนเถอะครับ ได้ความคืบหน้ายังไงผมจะติดต่อไป" พีทถอนหายใจหงุดหงิด คิดว่าถ้าไม่ใช่พ่อแองจี้ เขาคงไม่ปล่อยให้พูดพล่ามอยู่อย่างนี้แน่

"ขอบคุณครับคุณพีท เสียดายนะครับ นึกว่าจะได้ดองกัน ลูกสาวผมมันไม่รักดีจริงๆ" คุณเรืองศักดิ์ว่าก่อนจะลากลับ





แองจี้นัดหมายชาร์ลีออกมาพบ เพราะชายหนุ่มเคยออกปากว่าจะให้ความช่วยเหลือ

"ฉันคิดไว้แล้วล่ะว่าต้องมีวันนี้" ชาร์ลีว่าเพราะรู้ว่าแองจี้ไม่มีทางปิดพีทได้ตลอดไป

"แล้วจะช่วยฉันยังไง" แองจี้เอ่ยถาม

"เธอสวมสร้อยนี้ไว้ ต่อไปพ่อจะไม่มีวันรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน" ชาร์ลียื่นสร้อยหินดาวตกครึ่งส่วนให้แองจี้

"ฉันก็คิดว่าจะหลบไปซักพัก จนกว่าจะคลอด" แองจี้ว่า

"เธอจะไปอยู่ที่ไหน"

"ฉันจะติดต่อมาอีกที คงไปไม่ไกลหรอก"

"ไปอยู่กับพวกเราไหม เธอจะได้มีคนดูแล" ชาร์ลีเอ่ยชวน

"ไม่ดีกว่า ฉันไม่อยากให้คุณกับครอบครัวลำบากไปด้วย อาพีทไม่กล้าทำร้ายฉันหรอก" แองจี้ว่าด้วยแววตาขอบคุณอย่างจริงใจ

"ตามใจ รักษาตัวให้ดีล่ะ"

"ขอบคุณนะคะชาร์ลี" แองจี้กุมมือชายหนุ่มไว้ ก่อนจะจากไป





แองจี้ย้ายออกจากบ้านเงียบๆ และมาซื้อบ้านพร้อมอยู่หลังกระทัดรัดในหมู่บ้านจัดสรรใกล้โรงพยาบาลที่จะไปคลอด และใช้เวลาหมดไปกับการเลือกซื้อของแต่งเรือน และของใช้สำหรับเด็กซึ่งทุกอย่างออกโทนสีชมพู เพราะคิดว่าต่อไปตนอาจต้องเลี้ยงลูกตามลำพังที่นี่ และนี่เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวได้ลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทำให้มีเวลาคิดถึงใครบางคนน้อยลง และได้ใช้เวลากับลูกมากขึ้น

แองจี้คุยกับลูกทุกวัน เพราะรู้ว่าเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันนั้นน้อยลงเต็มที หญิงสาวเล่านิทาน เปิดเพลง ทานทุกอย่างที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ และพยายามทำจิตใจให้ผ่องใสเพื่อลูกที่จะเกิดมาในอนาคตอันใกล้นี้

ในขณะที่พีทออกตามหาแองจี้จนทั่วแต่ไร้ร่องรอย และนั่นทำให้เขาแทบบ้าคลั่ง ไม่เป็นอันทำงาน หงุดหงิดหัวเสียอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งไม่มีสมาธิหรือความสนใจให้กับสิ่งใดอีก ชาร์ลีต้องเข้ามาดูแลงานแทนทุกอย่าง ในช่วงที่อีกฝ่ายนอนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต

"พ่อรู้แล้วใช่ไหมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตพ่อไม่ใช่ความแค้น" ชาร์ลีว่าขณะที่ยืนมองร่างหมดสภาพอยู่บนโซฟา

"แกไม่ต้องมาสู่รู้เรื่องของฉัน คงสะใจแกแล้วใช่ไหมที่เห็นฉันในสภาพนี้" พีทว่าด้วยเสียงเลื่อนลอย

"ผมไม่เคยดีใจที่เห็นพ่อเป็นแบบนี้" ชาร์ลีว่าจริงจัง

"งั้นแกก็บอกมาสิว่าแองจี้อยู่ที่ไหน" พีทมองลูกชายนอกไส้ด้วยแววโกรธเคือง

"รู้แล้วพ่อจะได้ตามไปฆ่าลูกในไส้ตัวเองน่ะเหรอ" ชาร์ลีว่าแดกดัน

"นี่แก!"

"ผมไม่รู้หรอกว่าแองจี้อยู่ที่ไหน ถ้าเค้าอภัยให้พ่อคงออกมาพบพ่อเองแหละ"

"ถ้าแองจี้ไม่ออกมา ฉันจะฆ่าให้หมดทุกคน!!" พีทข่มขู่ด้วยแววตาลุกวาว ภายใต้ใบหน้ารกไปด้วยหนวดเครา

"แองจี้คงปลาบปลื้มพิลึก ถ้าพ่อทำแบบนั้น" ชาร์ลีว่าประชด

"หยุดซะทีเถอะครับ ยังไม่สายถ้าพ่อคิดจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่น ผมว่าแองจี้พร้อมจะให้อภัยเสมอ เพียงแต่พ่อจะพิสูจน์ความจริงใจให้เห็น"

"ผมไปล่ะ"

"เดี๋ยวก่อน" พีทเอ่ยออกไปในที่สุด

"ถ้าแกพบแองจี้...บอกเค้าว่าฉันยอมทำตามเงื่อนไขทุกอย่าง ขอเพียงให้เค้ากลับมา"

"พ่อพูดจริงเหรอ"

"ทำตามที่ฉันบอก แกไปได้แล้ว"

"ครับผม" ชาร์ลียิ้มกว้างก่อนจะจากไป





"หนูคิดดีแล้วค่ะน้าหมอ จัดการได้เลย" แองจี้ยืนยันหนักแน่น ผ่านทางโทรศัพท์

"ถ้างั้นก็เตรียมตัวให้ดี คงใกล้เต็มทีแล้ว" คุณหมอเอมอรบอกหลานสาว

"ค่ะ" แองจี้รับคำสีหน้าเศร้าก่อนจะวางสาย





"มีอะไรคะ ยิ้มหน้าบานเชียว" เอมี่เอ่ยทักขณะที่เดินอุ้ยอ้ายเข้ามาใกล้ชาร์ลี

"วันนี้ฉันไปพบพ่อพีทมา ดูท่าพ่อจะยอมอ่อนข้อให้แองจี้แล้วล่ะ ว่าจะโทรไปบอกซักหน่อย แองจี้คงดีใจ" ชาร์ลีว่า

"งั้นรีบโทรไปสิคะ อยู่คนเดียวอย่างนั้นคงเหงาน่าดู" เอมี่ว่าด้วยความเห็นใจ

"ครับผม จะโทรไปเดี๋ยวนี้แหละ" ชาร์ลีหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดหาแองจี้ทันที

"ว่าไงชาร์ลี" เสียงจากปลายสายดังขึ้น

"ฉันมีข่าวดีจะบอกเธอน่ะ" ชายหนุ่มว่า

"มีอะไรอ่ะ" แองจี้ถามสงสัย แต่ก่อนจะมีเสียงตอบ กลับมีเสียงโกลาหลดังขึ้นที่ปลายสาย

"เอมี่เป็นยังไงบ้าง" ชาร์ลีรีบเข้าประคองหญิงสาว ขณะที่เริ่มมีน้ำใสๆ ไหลลงมาตามขาแล้วกองอยู่ที่พื้น

"สงสัยเอมี่จะคลอดแล้วแองจี้" ชายหนุ่มวางสายทันที แล้วอุ้มหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนก่อนจะทะยานไปที่โรงพยาบาล

แองจี้รีบคว้ากระเป๋าถือแล้วตามออกไปทันที



"เอมี่เป็นยังไงบ้างชาร์ลี" แองจี้มาถึงโรงพยาบาลขณะที่เอมี่ถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉินแล้ว

"คงไม่เป็นไรหรอก เพราะถึงมือหมอเร็ว" ชาร์ลีว่า

"โอ๊ย!.." แองจี้จับมือชายหนุ่มไว้ ด้วยอาการเจ็บปวด

"เป็นอะไรไปอ่ะแองจี้" ชาร์ลีรีบประคองหญิงสาวไว้

"เจ็บท้อง" แองจี้ว่า

"อดทนหน่อยนะ" ชาร์ลีอุ้มหญิงสาวขึ้น ก่อนจะตรงไปขอความช่วยเหลือจากพยาบาล นำหญิงสาวเข้าไปตรวจเช็คอาการอีกคน


หมอวินิจฉัยว่าเป็นครรภ์คลอดก่อนกำหนดทั้งคู่ และต้องใช้วิธีผ่าตัดหน้าท้องเพื่อความปลอดภัยของแม่และเด็ก ทั้งสองจึงเข้ารับการผ่าตัดในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยการเซ็นต์ยินยอมของชาร์ลีและ...

"พ่อกลับไปอาบน้ำโกนหนวดเคราก่อนดีไหมครับ แองจี้เห็นพ่อสภาพนี้คงตกใจ" ชาร์ลีว่าล้อ

"ฉันดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ" พีทเริ่มเสียความมั่นใจ

"สงสัยจะไม่ได้ส่องกระจกมาหลายวันล่ะสิท่า" ชาร์ลีกลั้นหัวเราะ

"งั้นเดี๋ยวฉันมา" พีทว่าแล้วจากไปทันที


คุณพ่อป้ายแดงทั้งสองรอคอยด้วยความกระวนกระวายใจ อยู่ข้างนอกกว่าสามชั่วโมง ก่อนพยาบาลจะออกมาแจ้งให้ทั้งสองทราบว่าเอมี่ได้ลูกแฝดเป็นชายทั้งคู่ ส่วนแองจี้ได้ลูกสาว และให้คุณพ่อทั้งสองตามไปดูลูกได้ที่ห้องเด็กอ่อน เพราะทารกทั้งสามยังต้องอยู่ในตู้อบเนื่องจากมีอาการตัวเหลืองและปอดยังไม่แข็งแรงเท่าที่ควร

ชาร์ลีและพีทตามไปเกาะตู้ดูร่างน้อยๆ ของลูกด้วยความปลาบปลื้มใจในผลงานของตน พีทน้ำตาซึมเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นลูกน้อยและคิดได้ว่าต่อให้ลูกเป็นชาย ตนก็คงไม่สามารถทำลายได้ลงคอ อย่างที่ได้เคยลั่นวาจาไว้ เพราะเด็กที่เห็นช่างดูงดงามเกินงานศิลปะใดๆ ที่เขาเคยพานพบมา และคิดว่าชีวิตต่อจากนี้ คงจะมีความสุขอย่างแท้จริงเสียที




ชาร์ลีนั่งเฝ้าเอมี่อยู่ในห้องพักจนหญิงสาวรู้สึกตัวตื่นขึ้นในที่สุด

"เป็นไงบ้างที่รัก เจ็บมากไหม" ชาร์ลีกุมมือเอมี่ขึ้นมาจูบ

"พอทนค่ะ ลูกเป็นไงบ้างคะ" เอมี่ถาม

"ปลอดภัยทั้งคู่" ชาร์ลีว่า

"แล้วอีกคน.."

"เป็นผู้ชายทั้งคู่...เฮ้อ..ลุ้นจนตัวโก่ง" ชาร์ลียิ้มกว้าง

"แล้วแองจี้เป็นไงบ้าง"

"ปลอดภัยดีเหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูก แองจี้ได้ลูกสาว คงสมใจพ่อพีท" ชาร์ลีว่าแล้วยิ้มขำ

"พ่อกันกับแม่เต้ยมาหรือยัง"

"กำลังจัดของน่ะ เดี๋ยวคงมาถึง"

"นอนพักก่อนนะที่รัก อย่าเพิ่งพูดมาก เดี๋ยวจะเจ็บแผล" ชาร์ลีโน้มลงจูบหน้าผากเอมี่ กุมมือไว้ก่อนหญิงสาวจะหลับตาลงอีกครั้งด้วยความอ่อนเพลีย




พีทกุมมือแองจี้ขึ้นแนบแก้ม จ้องมองใบหน้าขาวซีดไม่วางตา รู้สึกเจ็บปวดที่ตนเองเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด แล้วยังผลักไสให้หญิงสาวไปเผชิญความยากลำบากเพียงลำพัง ตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์อันยาวนานซึ่งควรเป็นช่วงเวลาที่ได้รับการเอาใจใส่

แองจี้ลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้า หญิงสาวพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุม พลางน้ำตาร่วงเพราะไม่คิดอยากจะเจอหน้าคนใจร้ายอีกแล้ว

"แองจี้..เราได้ลูกผู้หญิงนะ ดีใจไหม" พีทไม่ยอมปล่อยมือหญิงสาว

"อาพีทแค่จะตามมาดูใช่ไหมว่าลูกเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย" แองจี้ว่าเสียงเบาหันมองไปทางอื่น

"ฉัน..ขอโทษ" พีทว่า

"มันสายไปแล้วค่ะ" แองจี้สะอื้นหนักจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว

"เราเริ่มต้นกันใหม่นะ ต่อไปไม่ว่าเธอจะมีลูกผู้หญิงหรือผู้ชาย ฉันจะไม่ทำกับเธอแบบนี้อีก เราจะแต่งงานกัน เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป" พีทขยับหญิงสาวขึ้นมากอดแนบอก

"ทำไมอาพีทไม่พูดแบบนี้ตั้งแต่แรก ทำไมต้องรอจนถึงวันนี้" แองจี้คร่ำครวญ

"ให้โอกาสฉันนะแองจี้ ชีวิตฉันขาดเธอไม่ได้" พีทลูบหลังปลอบประโลม

"แองจี้จะให้โอกาสอาพีทก็ได้ค่ะ" หญิงสาวเอ่ยขึ้นในที่สุด

"จริงนะ" พีทว่าด้วยความดีใจ

"แต่มีข้อแลกเปลี่ยน ถ้าอาพีทไม่ยอมเราก็จบกัน" แองจี้ว่าเสียงจริงจัง

"ว่ามา.." พีทขยับออกสบตาหญิงสาว

"อาพีทต้องสัญญาว่าจะเลิกแก้แค้น และลืมความแค้นทั้งหมดที่มีต่อครอบครัวชาร์ลีกับเอมี่ เพราะความแค้นของอาพีททำให้เราต้องเป็นแบบนี้"

"ตกลง.."

"ยังไม่หมดค่ะ"

"อาพีทต้องยกธุรกิจในส่วนที่ชาร์ลีดูแลอยู่ให้เขาทั้งหมด เพราะชาร์ลีช่วยแองจี้ไว้ ในเวลาที่อาพีทไม่เคยเหลียวแล"

"นั่นมันครึ่งนึงของกิจการทั้งหมดเชียวนะ ... ก็ได้"

"ต่อไปถ้าแองจี้จะมีลูกผู้ชายอีก ห้ามอาพีททำร้ายลูกแองจี้"

"นั่นก็ลูกฉันเหมือนกันนะ ... โอเคอยู่แล้ว"

"ข้อสุดท้าย... ห้ามอาพีทไปยุ่งกับเด็กของป้ามารยาอีกแม้แต่คนเดียว"

"ขอเว้นข้อนี้ไว้ซักข้อได้ไหม" พีทแกล้งแหย่

"งั้นอาพีทก็ไม่ต้องมายุ่งกับแองจี้อีก แองจี้จะอยู่กับลูกสองคน"

"ฉันล้อเล่นน่า ... เธอนี่ขี้หึงชะมัด" พีทว่าล้อแล้วกอดหญิงสาวแนบแน่นด้วยความรักอีกครั้ง

"โอ๊ย!!" แองจี้ร้องอุทาน

"เป็นอะไรอ่ะ" ...

"แองจี้เจ็บแผล"...























 

Create Date : 13 มกราคม 2554    
Last Update : 20 มกราคม 2554 0:04:43 น.
Counter : 370 Pageviews.  

Twilight Stars6 ตอนที่ 76

"เรานัดตรวจกันพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ" คุณหมอดูบันทึกแล้วเอ่ยถาม

"ค่ะ แองจี้ถึงต้องมาพบน้าหมอวันนี้ไงคะ" หญิงสาวพิงพนักมองสบสายตาอีกฝ่าย บอกความหมายเป็นนัยถึงเรื่องที่ได้เจรจากันค้างไว้

หลังจากนั้นราวครึ่งชั่วโมง แองจี้เดินออกมาจากห้องตรวจแล้วจากไปด้วยอารมณ์ดี บ่งบอกว่าการมาครั้งนี้ไม่เสียเที่ยวเลยทีเดียว...





แองจี้กลับเข้ามาในออฟฟิตไม่เห็นพีท จึงหลบเข้าไปนอนในห้องพักผ่อนเพราะเริ่มรู้สึกเพลียและหน้ามืด หญิงสาวรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งเมื่อโซฟาที่นอนอยู่ยุบยวบลงไปจากน้ำหนักของคนตรงหน้า

"พักนี้ดูเธอป่วยบ่อยๆ นะ" พีททักถามพลางเอามือแตะที่หน้าผาก

"แองจี้ไปหาหมอแล้วค่ะ หมอบอกว่าเป็นโรคโลหิตจางอ่อนๆ ให้ยามาทานแล้วค่ะ" แองจี้กุมมืออีกฝ่ายไว้

"ขึ้นไปนอนข้างบนดีกว่าไหม" พีทว่าด้วยน้ำเสียงห่วงใย

แองจี้มองชายตรงหน้านิ่ง พลางนึกว่าด้วยแววตาน้ำเสียงและสัมผัสอบอุ่นนี่กระมังที่ทำให้เธอตัดใจไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะร้ายกาจขนาดไหน

"แองจี้อยากอยู่เป็นเพื่อนอาพีทค่ะ แต่ขอไม่ทำงานนะคะ" หญิงสาวยิ้มสบตา

"ตามใจ วันนี้อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม" ชายหนุ่มโน้มลงใกล้ไล้ปลายนิ้วไปบนแก้มนุ่ม

"สตรอเบอร์รี่ลูกโตๆ ค่ะ ขอพริกเกลือด้วยนะคะ" แองจี้สั่งเสียงใส

"ครับ คุณผู้หญิง" พีทโน้มลงหอมแก้มก่อนลุกผละไป








สตรอเบอร์รี่ลูกโตสีแดงสดในภาชนะสวยหรูจากแผนกอาหารถูกส่งขึ้นมาที่ออฟฟิตในเวลาไม่ถึง 10 นาที ขณะที่พีทกำลังสั่งงานเมย์ พีทส่งสัญญาณให้นำมาวางบนโต๊ะทำงาน ก่อนเปิดออกดูขนาดผลและความสดด้วยความพึ่งพอใจ

"น่าทานจังเลยนะคะ" เมย์ออกปากชม

"นั่นน่ะสิ" พีทยิ้มอารมณ์ดีนึกอยากจะลองขึ้นมาบ้าง ทั้งที่ไม่เคยนิยมผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวพวกนี้มาก่อน

"วันนี้ผมไม่รับแขกนะคุณเมย์ โทรศัพท์ด้วย" ชายหนุ่มยื่นเอกสารคืนให้ ก่อนที่เลขาจะรับคำแล้วออกจากห้องไปอย่างรู้หน้าที่



"มาแล้วที่รัก จะทานเลยไหม" พีทวางจานสตรอเบอร์รี่ลงบนโต๊ะหน้าโซฟายาวที่แองจี้กำลังนอนอยู่

"อืม..น่าอร่อย" แองจี้หยิบผลไม้ขึ้นมาเด็ดขั้วเขียวสดออก

"แล้วพริกเกลือล่ะค่ะ" หญิงสาวเอ่ยถาม

"สงสัยฉันจะลืมสั่ง" พีทนึกขึ้นมาได้

"ไม่เป็นไรค่ะ ทานยังงี้ก็อร่อย" แองจี้ว่ากำลังจะหยิบผลไม้ใส่ปาก

"ฉันนึกอยากลองขึ้นมาบ้างแล้วสิ ขอแบ่งครึ่งนึงได้ไหม" พีทเอ่ยขอ

"เอาสิคะ แองจี้ทานไม่หมดหรอก" หญิงสาวมองไปที่ผลไม้จานโต

"ขอแบ่งลูกนี้ต่างหาก.." พีทขยับมือที่จับผลสตรอเบอร์รี่ของอีกฝ่ายออก ขณะที่แองจี้กำลังจะขบเนื้อผลไม้ ชายหนุ่มโน้มริมฝีปากลงมาใกล้เพื่อยึดผลแดงสดอีกครึ่งลูกที่เหลือ รสหอมหวานของสตรอเบอร์รี่และสัมผัสนุ่มนวลจากเรียวปากอุ่นละมุนแนบชิด สร้างความหวั่นไหวยั่วยวนได้เป็นอย่างดี

"อืม..ฉันเพิ่งรู้นะว่ามันอร่อยจริงๆ" พีทถอนริมฝีปากออกเคี้ยวผลไม้รสช่ำ

"เล่นอะไรก็ไม่รู้" แองจี้ยิ้มเขิน

"ถ้ายังไม่รู้ ต้องลองจนกว่าเธอจะรู้" พีทนอนคว่ำลงแนบข้างบนโซฟากว้างใช้ศอกยันตัวไว้ หยิบสตรอเบอร์รี่ผลใหม่มาเด็ดขั้วออก แล้วแบ่งทานกับหญิงสาวด้วยวิธีสุดยั่วยวนผลแล้วผลเล่าพร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเย้าแหย่กัน จนเกือบหมดจาน

"ไม่ทานแล้วเหรอคะ" แองจี้ถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายโน้มใบหน้าลงมาใกล้โดยปราศจากผลไม้

"ถึงเวลาอาหารหลักแล้วที่รัก" ...







"ลูกออกไปตั้งนานแล้ว กันว่าเอมี่จะพบชาร์ลีไหม" เต้ยนั่งกุมมือสามีมองออกไปหน้าบ้านด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ

"ไม่ต้องห่วงนะที่รัก ความรักจะนำทางให้ลูกเราได้พบกัน" กันโอบไหล่ภรรยาว่าด้วยความมั่นใจ และนั่นทำให้เต้ยรู้สึกดีขึ้น

"เหมือนเราสองคนใช่ไหม" เต้ยยิ้มสบตาสามี

"ถูกต้องแล้วครับผม" กันยิ้มตอบแล้วจุ๊บริมฝีปากอีกฝ่ายเบาๆ

"เต้ยไปทำอาหารรอลูกดีกว่า กลับมาจะได้ทานพร้อมหน้ากัน" กันเสนอแนะเพื่อให้ภรรยาหยุดฟุ้งซ่านกระวนกระวายใจกับการรอคอย

"งั้นไปช่วยกันค่ะ" เต้ยลุกขึ้นดึงมือขณะที่อีกฝ่ายแกล้งขืนตัวไว้ ก่อนจะลุกตามแรงฉุด ทำเอาเต้ยเกือบหงายหลัง กันรีบรวบกอดไว้ทันทีพลางหัวเราะขำท่าตกใจของภรรยา

"กันอ่ะ เล่นเป็นเด็กๆ ไปได้" เต้ยตีอกคนตรงหน้าแล้วมองค้อน

"โอ๋..แค่ล้อเล่นหน่อยเดียว" กันหัวเราะแล้วโอบกอดเต้ยไว้แนบแน่นอีกครั้งก่อนจะจูงมือกันเข้าไปในครัว



"กัน เราชวนลูกย้ายเข้ามาอยู่กับเราที่นี่ดีไหม" เต้ยถามขณะลงมือเตรียมอาหารในครัว

"ไม่ต้องไปชวนหรอก กันว่ามันย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านเรานานแล้วล่ะ" กันเหน็บจากประสบการณ์แล้วอดหัวเราะไม่ได้

"กันอ่ะ ไปว่าลูก" เต้ยปาผักกาดหอมที่กำลังเด็ดอยู่ใส่สามีแล้วยิ้มขำ

"หรือไม่จริง" กันถามกระเซ้าแล้วโยนผักคืนให้

"ในที่สุดคำอธิษฐานเต้ยก็เป็นจริง" เต้ยยิ้มแล้วถอนหายใจโล่งอก

"ใช่ ได้พบลูกแถมหลานเหมือนที่กันว่าไว้ไม่มีผิด" ...

"ดีไหมล่ะคะ" ...

"ดีสิครับผม ทุกอย่างลงตัว"...

แล้วเสียงหัวเราะหยอกเย้ากันก็ดังขึ้นในครัวเป็นระยะๆ ตลอดเวลาการเตรียมอาหารในมื้อนั้น




เอมี่จูงมือชายหนุ่มเดินเข้าไปในครัวขณะที่ได้ยินเสียงพ่อแม่หยอกล้อกันดังแว่วออกมา

"พ่อค่ะแม่ค่ะดูสิว่าใครมา" หนุ่มสาวยืนกุมมือกันอยู่ตรงประตูห้องครัว

"ชาร์ลี ลูกหายไปไหนมาตั้งนาน" เต้ยเข้าสวมกอดลูกชายน้ำตาซึม

"ขอโทษนะครับแม่" ชายหนุ่มกอดมารดาแนบแน่น ก่อนจะขยับออกแล้วหันไปหาพ่อซึ่งยืนอยู่ข้างๆ

"ขอโทษนะครับพ่อ ผมแอบเคืองพ่ออยู่ตั้งนาน" ชายหนุ่มสารภาพด้วยรอยยิ้มก่อนจะเข้าโอบกอด

"พ่อดีใจนะ ที่ได้ลูกกลับคืนมาเสียที" กันกอดตอบลูกชาย ตบหลังสองสามที แล้วขยับออก

"อยู่ด้วยกันที่นี่นะลูก แม่ไม่อยากให้ลูกไปไหนอีกแล้ว" เต้ยกุมมือลูกไว้

"เต้ยจะชวนทำไม กันว่าต่อให้ไล่ ลูกก็คงไม่ไปแล้วล่ะ" กันยิ้มล้อลูกชายอย่างรู้ทัน

"พ่อนี่รู้ใจผมจริงๆ เลย" ชาร์ลีหันไปยิ้มกว้างกับพ่อ

"ลูกไปล้างหน้าล้างตากันก่อนนะจ๊ะ อาหารเกือบเสร็จแล้ว" เต้ยบอกลูกๆ ทั้งสอง

"ผมมีอะไรมาฝากแม่ด้วย" ชาร์ลีล้วงดอกหญ้าสีชมพู ซึ่งมัดรวมกันเป็นช่อเล็กๆ ออกจากกระเป๋าแจคเก็ทแล้วยื่นให้แม่ ก่อนจะโน้มลงหอมแก้มเต้ยแล้วจูงมือเอมี่ออกจากห้องครัวไป

เต้ยยิ้มมองดอกหญ้าสีชมพูในมือ ขณะที่ภาพความทรงจำเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้นผุดขึ้นมาในใจทันที กันมองดอกหญ้าในมือเต้ยแล้วยิ้มกว้างกอดภรรยาไว้จากด้านหลัง

"เต้ยจำที่เจ้าคุณปู่ที่เราเคยไปดูด้วยกันได้ไหม" กันเอ่ยถาม

"จำได้สิ ที่นั่นมีดอกหญ้าสีชมพูแบบนี้ขึ้นเต็มไปหมด ล้อมรอบไปด้วยภูเขา" เต้ยระลึกเห็นภาพความทรงจำซึ่งยังกระจ่างชัดในใจตลอดเวลา

"แล้วจำได้ไหมว่ากันเคยบอกเต้ยว่ายังไง" กันกระซิบถามที่ปลายหู เต้ยเอียงหน้าขึ้นยิ้มสบตา

"กันสัญญาว่าเราจะไปปลูกบ้านอยู่ด้วยกันที่นั่น"

"คงอีกไม่นานแล้วล่ะ กันจะทำตามสัญญาของเรา" กันโน้มลงหอมแก้มภรรยาสุดที่รัก

"ว่าแต่..เต้ยแยกออกหรือยังว่า อันไหนชะอม อันไหนกระถิน" กันว่าล้อแล้วหัวเราะ

"บ้า..ยังจำได้อีกเหรอ" ...

"กันจำได้ทุกอย่างแหละ"...

"งั้นวันนี้เต้ยทำสลัดยอดกระถินนะ กันชอบไม่ใช่เหรอ"...

"ให้เอมี่กินแทนละกัน"...





ชาร์ลีดึงเอมี่เข้ามากอดแล้วโน้มลงจูบหญิงสาวทันทีหลังจากที่ทั้งคู่ได้อยู่กันตามลำพังภายในห้องนอน จุมพิตดูดดื่มนั้นเต็มไปด้วยความเร่าร้อนและโหยหา จนเอมี่ต้องตีอกคนตรงหน้าเบาๆ เพื่อทัดทาน และนั่นทำให้ชายหนุ่มเคลื่อนไหวริมฝีปากอ่อนโยนนุ่มนวลขึ้นแล้วค่อยๆ ขยับออกในที่สุด

"ขอโทษนะเอมี่ ฉันคงคิดถึงเธอมากไปหน่อย" ชายหนุ่มยิ้มสบตาคลายอ้อมแขนออก

"พูดแบบนี้ ค่อยน่าให้อภัยค่ะ" หญิงสาวยิ้มตอบแล้วขยับเข้าซบอก

"เธอกับลูกเป็นยังไงบ้าง" ชาร์ลีกอดกระชับแล้วลูบไล้เส้นผมเรียบลื่น

"ก็คิดถึงคุณทุกวัน...ฉันนั่งอาบแดดทุกเช้า...ยิ่งอาบก็ยิ่งหนาว" เอมี่ระบายความในใจให้อีกฝ่ายได้รับรู้

"ฉันคิดถึงเธอตลอดเวลา คงเป็นช่วงที่ทรมานที่สุดในชีวิตฉันแล้วล่ะ" ชาร์ลีบอกความรู้สึกซึ่งไม่แตกต่างจากอีกฝ่าย

"สัญญาได้ไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณจะไม่ทิ้งฉันกับลูกแบบนี้อีก" เอมี่ขยับออกสบตาขอคำมั่น

"ฉันสัญญา" ชาร์ลีประคองใบหน้าหญิงสาว ประทับจูบลงแผ่วเบา

"ไปล้างหน้าก่อนนะ พ่อกับแม่คงคอยเราแล้วล่ะ" ชายหนุ่มเอ่ยชวน ก่อนจะลงไปร่วมโต๊ะอาหารพร้อมหน้ากันด้วยหัวใจอบอุ่นเต็มไปด้วยความสุข




"แล้วลูกไปฝากท้องที่ไหนล่ะ" กันถามขณะนั่งรับประทานอาหารด้วยกัน

"ที่คลินิกใกล้ที่ทำงานค่ะพ่อ" เอมี่ว่า

"หมอนัดอีกทีเมื่อไหร่" ชาร์ลี่ถามพลางตักแกงเลียงให้เอมี่

"พรุ่งนี้ค่ะ นัดกับแองจี้ไว้ ไปตรวจพร้อมกัน" เอมี่หลุดปากบอกออกไป

"แองจี้ก็ท้องด้วยเหรอ" ชาร์ลีถามประหลาดใจ เอมี่ยิ้มเจื่อนพยักหน้าแทนคำตอบ

"แองจี้ให้ช่วยปิดเรื่องนี้เป็นความลับค่ะ คุณห้ามไปบอก.. พ่อคุณนะคะ" เอมี่ว่า

"ทำไมล่ะ พ่อน่าจะดีใจไม่ใช่เหรอที่จะได้มีลูกของตัวเองซะที"

"ใครอ่ะลูก" เต้ยถามด้วยความสงสัยว่าหญิงที่พูดถึงนั้นเป็นใคร

"แองจี้เป็นแฟนพ่อพีทครับแม่" ชาร์ลีอธิบาย

"แองจี้เคยบอกฉันว่า พ่อคุณจะให้เอาลูกออก ถ้าเด็กเป็นผู้ชาย" เอมี่เล่าสิ่งที่รับรู้มา

"ตายจริง! นี่พีทจะบ้าไปถึงไหนเนี่ย" เต้ยอุทาน

"นั่นน่ะสิ เขาจะรู้ไหมว่ากำลังจะทำลายความรักที่มี ด้วยความแค้นบ้าบอที่ควรจะสิ้นสุดลงตั้งนานแล้ว" กันว่าแล้วส่ายหน้า

"น่าสงสารแองจี้นะคะ ไม่รู้จะปิดได้อีกนานแค่ไหน" เอมี่ว่า

"เราคงต้องช่วยกันปกป้องให้ถึงที่สุด ฉันไม่อยากให้พ่อทำบาปอีกแล้ว" ชาร์ลีถอนหายใจ

"ดีแล้วล่ะลูก" เต้ยว่าแล้วยิ้มให้ลูกชายด้วยความปลาบปลื้ม

"ลูกเก็บหินดาวตกไว้ที่ไหน" กันมองหน้าลูกชายเมื่อนึกขึ้นมาได้

"หินดาวตกอะไรครับพ่อ" ชาร์ลีถามสงสัย

"สร้อยหินดาวตกที่ติดไปกับแหวนที่ลูกให้เอมี่ไง"

"รู้สึกจะอยู่ที่บ้านบนเขาครับ"

"หินนั่นจะทำให้จับกระแสจิตของคนที่สวมใส่ไม่ได้ ลูกน่าจะเอามาให้เอมี่พกไว้ เผื่อพีทนึกจะทำอะไรบ้าๆ ขึ้นมาอีก" กันอธิบาย

"งั้นเดี๋ยวผมไปเอามาเลย" ชาร์ลีรับคำ และเพิ่งรู้ถึงคุณสมบัติของหินสวยงามชิ้นนั้น




"เป็นหินที่สวยแปลกตาจังเลยค่ะ" เอมี่มองจี้หินดาวตกประกายสีน้ำเงินซึ่งร้อยติดกับสร้อยหนังสีดำอย่างชื่นชม

"ถ้ารู้ว่าเธอชอบ ฉันคงให้เธอนานแล้วล่ะ" ชาร์ลีนั่งพิงพนักอยู่บนที่นอน มองหญิงสาวตรงหน้า

"ขอบคุณค่ะ" เอมี่หอมแก้มชายหนุ่ม ก่อนจะขยับตัวลงนั่งอิงไหล่

"พรุ่งนี้ก็จะรู้แล้วว่าลูกเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แน่ใจนะว่าคุณไม่เสียดายพลังที่มีอยู่" เอมี่หันมองสบตา

"พลังพิเศษไม่ได้ทำให้ชีวิตฉันสมบูรณ์ เธอกับลูกต่างหากล่ะ ดูอย่างพ่อกันกับพ่อพีทสิ เธอว่าใครมีความสุขกว่ากัน" ชาร์ลีโอบไหล่หญิงสาวเข้ามาแนบชิด

"ถ้าไม่มีลูกชายสิน่าเป็นห่วง เพราะฉันจะหนุ่มตลอดกาล ส่วนเธอก็...คงแก่เป็นยาย" ชายหนุ่มแกล้งกระเซ้าแล้วยิ้มขำ

"คุณเห็นเป็นเรื่องตลกใช่ไหม" เอมี่ทำหน้าย่น

"ล้อเล่นน่า ไม่ต้องห่วงนะที่รัก ฉันจะทำให้เธอมีลูกชายให้ได้ ไม่ว่าเราจะต้องมีลูกกันซักกี่โหล" ชาร์ลีว่าแล้วกลั้นหัวเราะ

"นี่!" เอมี่ฟาดต้นขาชายหนุ่ม

"ก็จริงนี่นา.."

"ฉันไม่พูดด้วยแล้ว" เอมี่ขยับลงนอนหันหลังให้อีกฝ่ายทันที

"งั้นฉันคุยกับลูกก็ได้" ชาร์ลีรั้งร่างหญิงสาวให้นอนหงาย ค้ำศอกข้างหนึ่งคร่อมลำตัวเอมี่ไว้ไม่ให้ขยับ

"ว่าไงลูกพ่อ" ชายหนุ่มซุกไซ้ไปที่บริเวณหน้าท้อง

"นี่ทำอะไรอ่ะ" เอมี่ขยับขลุกขลักจักจี้ พยายามดันศีรษะชายหนุ่มออก

"พ่อลูกเขาจะคุยกัน เธอจะนอนก็นอนไปสิ" ชาร์ลีเงยหน้าขึ้นว่าหน้าตาเฉย ก่อนจะก้มลงไปคุยกับลูกต่อ

"บอกแม่นะลูก ถ้ายังไม่หายโกรธ พ่อจะคุยกับหนูทั้งคืนเลย"

"นี่พอได้แล้ว มันจักจี้นะ" เอมี่ว่าไปพลางหัวเราะคิกคัก

"แม่เค้าว่าไงนะลูก" ชายหนุ่มยังแกล้งหยอกเย้าต่อ

"บอกพ่อนะลูก ว่าแม่ไม่โกรธแล้ว" หญิงสาวจำต้องเอ่ยออกไปในที่สุด เพราะทนจักจี้ไม่ไหว

"งั้นหลับซะนะคนดี พ่อไม่กวนแล้ว" ชาร์ลีลากไล้ใบหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงเรียวปากบางสวย

"กวนแม่ต่อดีกว่า" ชายหนุ่มว่าชิดริมฝีปาก แล้วแนบจุมพิตลงอ่อนโยนปลุกไฟรักขึ้นอย่างแผ่วเบา และบรรเลงพลิ้วไหวนุ่มนวลจนทุกอย่างดับมอดลง ด้วยความสุขที่มอบให้กันในราตรีอันอบอุ่น...






"นี่เธอ..." แองจี้มองหน้าชาร์ลีและเอมี่ เมื่อเห็นทั้งสองที่คลินิก

"ฉันตั้งใจจะมาขอบคุณเธอ ที่ทำให้ฉันกับเอมี่เข้าใจกัน" ชาร์ลีว่า

"คุณคิดจะอยู่กับเอมี่ทั้งที่..." แองจี้ว่าค้างไว้แค่นั้น

"มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันน่ะ หวังว่าเธอจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อฉันนะ"

"ฉันไม่บอกก็ได้ แต่คุณก็ห้ามพูดเรื่องของฉันด้วย เข้าใจไหม" แองจี้ย้ำเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน

"แล้วเธอคิดว่าจะปิดได้อีกนานแค่ไหน ซักวันพ่อก็ต้องรู้" ชาร์ลีถามสงสัย

"ไม่รู้สิ ฉันก็ได้แต่หวังว่าอาพีทจะเปลี่ยนใจ..ฉันอาจจะโชคดีได้ลูกสาวก็ได้" แองจี้พูดปลอบใจตัวเอง

"ขอให้เธอโชคดีก็แล้วกัน แต่ถ้าไม่ เธอยังมีพวกเราอยู่นะ ฉันยินดีจะปกป้องเธอและลูก รับรองว่าพ่อไม่มีทางหาเธอพบ"

"คุณไม่ได้หลอกฉันนะ ขอบคุณนะคะชาร์ลี เอมี่" แองจี้กุมมือทั้งสองไว้ด้วยสีหน้าดีขึ้น เพราะนี่จะเป็นอีกหนึ่งทางหนีทีไล่จากที่เธอคิดไว้แล้วหลายทาง

"เธอจะเข้าไปตรวจพร้อมกันไหม" เอมี่ถามเมื่อได้ยินเสียงขานชื่อเข้าตรวจ

"ไม่ล่ะ เธอเข้าไปกับชาร์ลีเถอะ" แองจี้ว่า ก่อนจะไปลงชื่อแล้วนั่งคอย




"ยินดีด้วยนะคะ คุณได้ลูกแฝด" คุณหมอเอ่ยหลังจากใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์ตรวจ หนุ่มสาวมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น ไม่คิดว่าจะได้โชคสองชั้นขนาดนี้

"เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงค่ะ" เอมี่รีบถาม

"คนนี้เป็นผู้ชาย ...ส่วนอีกคนยังเห็นไม่ชัดเจน เดี๋ยวค่อยตรวจอีกทีตอน 6 เดือนนะคะ" คุณหมอว่าพลางชี้ให้ดูจากหน้าจอมอนิเตอร์

ทั้งสองต่างตื่นเต้น ที่ได้เห็นสิ่งมีชีวิตน้อยๆ เป็นครั้งแรก คุณหมอแนะนำวิธีดูแลสุขภาพเพิ่มเติม และนัดตรวจอีกครั้งหนึ่งเดือนข้างหน้า ก่อนที่ทั้งสองจะออกจากห้องตรวจ

แองจี้เข้ามาทักถามชาร์ลีและเอมี่ก่อนจะแสดงความยินดี แล้วเข้าห้องตรวจเพื่อพบคุณหมอเช่นกัน

"เด็กแข็งแรงดีนะ" คุณหมอใช้เครื่องตรวจฟังเสียงหัวใจ

"แล้วลูกเอมี่ล่ะค่ะ"

"คนนึงเป็นผู้ชาย ส่วนอีกคน..."




"เตรียมพลังหดได้แล้วค่ะที่รัก" เอมี่ว่าล้อด้วยอารมณ์ดี

"รู้สึกเธอจะยินดีมากเลยนะ ที่ฉันจะสูญเสียพลัง" ชาร์ลีว่ากระเซ้าขณะที่ทั้งสองออกมานอกคลินิก

"ก็แน่ล่ะสิคะ ใครจะอยากเป็นยายแก่อยู่คนเดียว"

"งั้นไปฉลองที่ไหนกันดี"

"อืม..ตอนนี้อยากจะทานไอศครีมมากๆ เลยค่ะ" เอมี่ว่า

"งั้นต้องเบิ้ลสองถ้วยเลยนะ เพราะลูกสองคน"

"ได้เลยค่ะ"




















 

Create Date : 12 มกราคม 2554    
Last Update : 19 มกราคม 2554 9:09:12 น.
Counter : 295 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  

Kim-Ha
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จิ้นกระจาย ^^


Smileymissmynovel@gmail.com






Friends' blogs
[Add Kim-Ha's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.