Group Blog
 
All blogs
 

Twilight Stars6 ตอนที่ 15

แสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้าส่องลงมาต้องร่างหนุ่มสาวที่กำลังหลับใหล เต้ยขยับตัวเล็กน้อย รู้สึกสบายกับความนุ่มนิ่มและกลิ่นละมุนที่คุ้นเคย พอลืมตาขึ้น และทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เต้ยเหลือบตาไปรอบๆ พลางขยับตัวออก ก็เห็นใบหน้ากันที่กำลังหลับสงบนิ่งศีรษะพิงกับต้นไม้ที่อยู่ด้านหลัง ดวงตาคมโตปิดสนิท ใบหน้าหล่อเข้มชวนมอง เต้ยเผลอจ้องมองจนเพลินละเรื่อยลงมาถึงคอที่ซุกซบอยู่เมื่อคืนนี้ คอเสื้อเชิ้ตที่ผ่าลึกลงมาเพราะกระดุมเม็ดแรกหลุดออกเผยให้เห็นแผ่นอกสีเข้มตัดกับเสื้อสีขาว เต้ยรีบหันหน้าไปทางอื่นพลางดุตัวเองในใจ 'คิดอะไรบ้าๆ เนี้ยเรา' แล้วหน้าก็ร้อนเรื่อขึ้นมาทันที เต้ยขยับตัวค่อยๆ ลุกออกจากตักกันเพราะไม่อยากทำให้เค้าตื่น พอยืนขึ้นได้

"เต้ยจะไปไหนอะ" คำถามกันทำให้เต้ยสะดุ้งเล็กน้อย

"กันตื่นแล้วเหรอ เออ..คือ..เต้ยกลัวกันจะเมื่อยนะ เต้ยไม่ง่วงแล้ว" เต้ยตอบพลางหลบตา

"กันไม่เมื่อยหรอก" กันยิ้มให้พลางลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นออกจากกางเกง

"ไปกันเถอะเต้ย เราต้องหาทางออกจากที่นี่" กันหันมาสบตาเต้ยแล้วยื่นมือให้ เต้ยเอื้อมมือไปจับมือกันไว้แล้วรู้สึกอุ่นใจ

"ไปทางไหนดีล่ะกัน" เต้ยมองไปรอบๆ ซึ่งมีเพียงต้นไม้สูง ไม่มีทางใดบ่งบอกว่าเป็นทางเดิน

"ทางนี้ไงเต้ย" กันใช้อีกมือหนึ่งเกาะกุมเอวเต้ยไว้แล้วพุ่งทะยานไปในอากาศจนโผล่พ้นต้นไม้สูง ขึ้นสู่ระดับที่สามารถมองเห็นภูมิทัศน์ด้านล่างได้ชัดเจน จึงเข้าสู่การลอยตัวเพื่อสำรวจ ว่ามีบ้านเรือนหรือผู้คนอยู่หรือไม่

"กันบินได้จริงๆ เหรอนี่" เต้ยหันไปมองหน้ากันด้วยความรู้สึกตื่นเต้นปนประหลาดใจ

"กันทำได้ยังไง แสดงว่าคืนนั้นเต้ยไม่ได้ฝันไปใช่ไหม" เต้ยยังถามถึงสิ่งที่ค้างคาใจต่อ

"ไว้กันจะบอกนะ ตอนนี้เต้ยช่วยกันดูก่อนดีกว่าว่ามีคนหรือมีบ้านอยู่ตรงไหนหรือเปล่า" กันว่าแล้วยิ้มให้สายตางงๆ ของเต้ย

ทั้งคู่เงียบไปขณะที่กำลังใช้สมาธิในการมองหาสิ่งต่างๆ เบื้องล่าง หลังจากบินมาไกลพอสมควร

"นั่นไงกัน มีบ้านคนอยู่ตรงโน่น" เต้ยรีบชี้ไปทางซ้ายมือด้วยท่าทางตื่นเต้น

"จริงด้วย ไปดูกันดีกว่า" กันเบี่ยงทิศทางไปยังจุดหมาย แล้วค่อยๆ บินต่ำลงจนมาถึงหน้าบ้านทรงไทยหลังใหญ่

บ้านหลังนี้ถึงจะดูเก่า ต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นรกรุงรังเพราะขาดการดูแลรักษา แต่ก็คงความงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบโบราณไว้ได้อย่างดีเยี่ยม เรือนไม้ที่เห็นตรงหน้าเป็นแบบยกสูงมีใต้ถุน ประกอบไปด้วยตัวบ้านที่มีหลังคาหน้าจั่วสูงสองหลังปลูกขนานกัน และเชื่อมกันด้วยระเบียงกว้างตรงกลาง

ทั้งสองคนเดินขึ้นบันไดไปสู่ระเบียงที่เชื่อมตัวบ้านทั้งสองฝั่งไว้ ภายในเงียบสงัด บรรยากาศดูวังเวงแม้จะเป็นในยามเช้าเช่นนี้ เต้ยรีบคว้ามือกันไว้ กันสัมผัสได้ถึงความกลัวจากมือเต้ย เค้าจึงบีบกระชับมือนั้นไว้เบาๆ

"มีใครอยู่ไหมครับ" กันร้องถามออกไป ทุกอย่างเงียบปราศจากการเคลื่อนไหว

"มีใครอยู่ไหมคะ" ถึงจะกลัวแต่เต้ยก็ยังช่วยเรียก

ไม่มีเสียงตอบอีกเช่นเคย ทั้งคู่มองหน้ากัน แล้วหันไปมองที่ประตูห้องฝั่งซ้าย กันจูงมือเต้ยเดินไปที่ประตู แล้วค่อยๆ ผลักออก แอ๊ดดด เสียงประตูดังสยบทุกอย่างในความเงียบ พอประตูเปิดกว้างออกทั้งคู่ก็ตะลึงกับภาพที่เห็น

"กรี๊ดดด" เต้ยรีบหันหลังเอาหน้าซบไหล่กัน ขณะที่กันโอบเต้ยไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง

"ไม่ต้องกลัวนะเต้ย" กันมองภาพโครงกระดูกที่นอนอยู่บนเตียงโครงนั้นโดยปราศจากความกลัว พลางปิดประตูแล้วพาเต้ยเดินออกมา

"กันจะไปดูอีกฝั่งนึง เต้ยรออยู่ตรงนี้ก็ได้ถ้ากลัว" กันมองหน้าเต้ยซึ่งตอนนี้เริ่มซีด มือไม้เย็นไปหมด

"ไม่เอาอะ เต้ยไปด้วย" เต้ยระล่ำระลักบอก คราวนี้เต้ยเปลี่ยนจากจับมือมาเป็นเกาะแขนกันไว้แน่น ทั้งคู่เดินไปดูที่ห้องที่อยู่ฝั่งขวา ภาพที่เห็นก็ไม่ต่างจากห้องที่อยู่ฝั่งซ้าย หลังจากสำราจไปรอบตัวบ้านแล้วสรุปได้ว่าไม่มีใครอื่นนอกจากโครงกระดูกสองโครง

"เราคงต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน เพราะเท่าที่เห็นไม่มีผู้คนหรือบ้านเรือนอื่นอีกแล้ว" กันพูดขึ้น

"ทำไมล่ะกัน ไหนว่าเราจะกลับบ้าน" เต้ยตกใจและไม่เข้าใจในคำพูดของกัน

"การจะออกจากที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเราไม่มีที่อยู่ถาวร เราอาจจะต้องตายก่อนได้มีโอกาสออกไป" คำพูดของกันดูเคร่งเครียดและจริงจังจนเต้ยสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ทั้งคู่ช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดบ้าน กันนำโครงกระดูกของคนทั้งสองไปฝังไว้รวมกัน เพราะดูแล้วทั้งคู่น่าจะเป็นสามีภรรยากัน และคงจะอยู่ที่นี่ด้วยกันจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขาและเต้ยกราบหลุมฝั่งศพนั้นเพื่อขอขมาและขอใช้บ้านหลังนี้เป็นที่อยู่อาศัย

เสร็จแล้วกันพาเต้ยไปอาบน้ำที่ธารน้ำตกซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก และนำเสื้อผ้าที่พอจะหาได้จากในห้องทั้งสองออกมาซักไล่กลิ่นอับและฝุ่นสกปรก ขณะที่เต้ยนั่งซักผ้าอยู่ กันก็จัดการตัดไม้ไผ่ลำต้นสูงยาวที่อยู่บริเวณนั้น เพื่อต่อเป็นท่อน้ำไปยังบ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่ กันทำงานอย่างรวดเร็วด้วยพละกำลังมหาศาลประกอบกับความเร็วในการเหาะเหินเดินอากาศที่เค้ามีอยู่ ทั้งคู่จึงทำงานเสร็จพร้อมกัน และกลับบ้านพร้อมปลาสองตัวกับใบปออีกหนึ่งกำใหญ่สำหรับอาหารกลางวัน และมื้อเย็น

หลังอาหารมื้อเย็น ราตรีก็มาเยือนอีกครั้ง ทั้งคู่รู้สึกผ่อนคลายจากงานบ้านที่ทำมาทั้งวัน บ้านเรือนดูสะอาดน่าอยู่ ต้นไม้ถูกจัดตกแต่งใหม่ไม่รกรุงรังอีกต่อไป กันถือหมอนออกมานอกระเบียงโล่งกลางบ้าน ขณะที่เต้ยถือกระเกียงที่มีแสงไฟริบหรี่ไว้ในมือ ทั้งคู่ตั้งใจว่าจะออกมานอนดูดาวที่นอกชานนี้ในคืนนี้

"เอ้านี่ เต้ยหมอน" กันวางหมอนลงตรงหน้าเต้ย แล้ววางอีกใบไว้ข้างๆ ทั้งคู่นอนลงมองท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับเต็มไปหมด กันเริ่มเล่าความเป็นมาของเขตต้องห้าม และความสามารถพิเศษที่ตัวเค้าและพี่น้องคนอื่นๆ มีให้เต้ยฟัง ยกเว้นเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับชาติที่แล้วของเต้ย

เต้ยรู้สึกสะเทือนใจอยู่เหมือนกันกับความจริงที่ว่าอาจไม่มีโอกาสได้กลับออกไปอีก แต่ก็ยังรู้สึกดีใจที่มีกันอยู่ด้วย หาไม่เต้ยคงต้องตายอยู่กลางป่าไปแล้ว แล้วเต้ยก็เกิดคำถามขึ้นในใจ

"แล้วกันตามเต้ยเข้ามาทำไม ทั้งที่กันก็รู้ว่าจะไม่มีโอกาสได้ออกไปอีก" เต้ยสบตากันรอคอยคำตอบ

"กัน nothing to lose ถ้าไม่มีเต้ยกันก็..." กันหยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้นแต่สายตาที่มองเต้ยนั้นแทนคำตอบที่ว่างไว้ได้เป็นอย่างดี

"ทำไมต้องพูดภาษาอังกฤษด้วย" เต้ยเขินหลบตาแล้วเปลี่ยนเรื่อง

"ก็กันอยากเป็นมะกันกะเค้ามั่งน่ะสิ" กันพูดแล้วหัวเราะ







 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 1 สิงหาคม 2553 11:47:53 น.
Counter : 320 Pageviews.  

Twilight Stars6 ตอนที่ 14

เต้ยเดินต่อไปซักพักก็เริ่มรู้สึกว่าพายุสงบลงแล้ว ท้องฟ้ามืดสนิทประดับไปด้วยดวงดาวใสสว่างมากมาย ไร้เมฆหมอกราวกับเป็นฟ้าคนละผืนกับที่ประสบมาเมื่อสักครู่ หากไม่ใช่เวลาเช่นนี้หญิงสาวคงรับรู้ถึงความงามของหมู่ดาวได้อย่างเต็มที่

เดินจนรู้สึกหมดแรง เต้ยทรุดตัวลงนั่งตรงโคนต้นไม้ ความมืดและความกลัวเข้าครอบงำจิตใจ ขณะที่นั่งขดตัวกอดเข่าไว้พลางซบหน้าลงร้องไห้ ไม่คิดว่างานเลี้ยงบาร์บีคิวอันแสนสนุกจะจบลงเช่นนี้

เสียงสัตว์ป่าหวีดร้องดังฝ่าความเย็นยะเยือกยามค่ำคืน ฟังโหยหวนวังเวง ยิ่งทำให้ใจสั่น น้ำตาพลางไหลออกมาไม่ขาดสาย 'กัน ช่วยด้วย เต้ยกลัว' คือสิ่งที่ผุดขึ้นในใจหญิงสาวขณะนี้ มันดังสะท้อนอยู่ข้างในซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทันใดนั้น!! เต้ยได้ยินเสียงขู่คล้ายเสียงงู พอเงยหน้าขึ้น ก็ไม่สามารถคุมสติอีกต่อไป เพราะงูตัวนั้นหย่อนตัวลงมาจากกิ่งไม้ แผ่แม่เบี้ยแลบลิ้นอยู่ใกล้แค่คืบ

"กรี๊ดดดดด กัน ช่วยด้วย!" เต้ยตะโกนจนสุดเสียงพลางหลับตาปี๋เพราะคิดว่าคงไม่รอดแน่แล้ว พลันได้ยินเสียง "พลุบ" คล้ายสัตว์ขนาดใหญ่ กระโดดลงมาตรงหน้าอีก หญิงสาวยิ่งสติแตกกรีดร้องไม่หยุด ปัดป่ายมือเป็นพัลวันเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสบางอย่างมาถูกต้องเนื้อตัว

"เต้ย เต้ย ปลอดภัยแล้ว" กันเขย่าเรียกสติ เต้ยลืมตาขึ้นมองผ่านม่านน้ำตาเห็นภาพคนที่อยู่ตรงหน้าเลือนลางในความมืด

"กันๆ กันจริงๆ ใช่ไหม" เต้ยโผเข้ากอดกันไว้แน่น พลางร้องไห้อย่างหนัก เพื่อระบายความกลัวและความอัดอั้นในช่วงเวลาที่ต้องฟันฝ่าอันตรายมาเพียงลำพัง ทั้งความรู้สึกดีใจเพราะไม่คาดว่าจะได้พบคนที่หัวใจเพรียกหาให้มาปกป้องในยามนี้

"กันอยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัวนะ" กันกอดเต้ยแนบแน่นเช่นกัน เค้ารู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก เพราะหากไม่เจอเต้ยเค้าก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร การรอคอยกว่าร้อยปีนั้นนับว่าทรมานสำหรับเค้าแล้ว การจะไม่ได้พบเต้ยอีกตลอดกาลคงเป็นสิ่งที่เกินจะทานทน

"เราอยู่ที่ไหนอ่ะกัน พาเต้ยกลับบ้านได้ไหม เต้ยกลัว" หญิงสาวมองฝ่าความมืดรอบๆ ตัว ขณะที่ยังอยู่ในอ้อมแขนอบอุ่น

"กันก็ไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน เราจะหาทางกลับบ้านด้วยกันนะ แต่คงไม่ใช่คืนนี้" กันไม่อาจจะบอกเต้ยได้ว่าเขาก็ไม่รู้ว่าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร

"กันล้อเล่นใช่ไหม เราจะอยู่ในป่านี่ได้ยังไง" เต้ยขยับตัวออกมองสบสายตาที่มีเพียงแววปลอบโยน ทว่าจริงจัง

"กันอยู่ด้วย เต้ยไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น มีเรื่องอีกมากมายที่เต้ยยังไม่รู้ ไว้กันจะเล่าให้ฟัง" กันขยับออกเช็ดน้ำตาออกให้ ก่อนจะกอดรั้งร่างนั้นไว้อีกครั้งอย่างอ่อนโยนและปลุกปลอบ





"พี่โตโน่ เราอยู่ที่ไหนกันคะนี่" เอ้กเอ่ยถาม มองไปรอบๆ ขณะที่ทั้งคู่นั่งอยู่ตรงข้ามกันหน้ากองไฟ

"พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน" โตโน่มองสบตาเอ้กแล้วตอบไปตามตรง

"แล้วคนอื่นๆ เขาหายไปไหนกันหมดคะ" เอ้กถามพลางห่อตัวเข้าเพราะความหนาวเย็นของอากาศ

"เอ้กอย่าเพิ่งถามพี่ตอนนี้เลย อีกหน่อยเอ้กก็จะเข้าใจเองแหละ" โตโน่ไม่รู้จะอธิบายยังไง มันไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าใจกันได้ง่ายๆ เขาพูดพลางลุกตรงไปหาเอ้ก ถอดเสื้อแจคเก็ทออกแล้วคลุมไหล่ให้

"ขอบคุณค่ะ" เอ้กรู้สึกดีขึ้นทันทีจากไออุ่นของเสื้อตัวนั้น

"เอ้กนอนเถอะ ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เราจะหาทางกลับบ้านกัน" โตโน่ยิ้มให้กำลังใจ ทั้งที่ตัวเค้าก็มืดแปดด้าน ไม่รู้จะหาทางออกจากที่นี่ได้อย่างไร

ด้วยความอ่อนเพลียเอ้กนอนลงไปบนกองใบไม้สดที่โตโน่นำมาปูเป็นที่นอนให้ พลางใช้มือหนุนแทนหมอน คลุมทับด้วยเสื้อแจคเก็ทแทนผ้าห่ม ครั้นพอยิ่งดึกอุณหภูมิก็ยิ่งลดลงเรื่อยๆ ร่างของคนที่นอนอยู่เริ่มขยับขดตัวไปมา โตโน่มองอาการนั้นด้วยความสงสารในชะตากรรมของเอ้กที่ต้องหลงเข้ามาในนี้

เขาขยับตัวลุกขึ้นเดินไปหาคนที่กำลังหลับอยู่ ลังเลอยู่ซักครู่ ก่อนจะนอนลงแล้วขยับศีรษะเอ้กขึ้นหนุนบนแขน หญิงสาวเบียดตัวเข้าหาร่างอบอุ่นทันทีด้วยสัญชาตญาณ ความใกล้ชิดทำให้โตโน่รู้สึกแปลกๆ เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน เขาก้มลงจ้องมองใบหน้าของคนที่อยู่ในอ้อมแขนขณะที่กำลังหลับ แล้วใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมที่บดบังเปลือกตาที่ปิดสนิท โตโน่ยิ้มกับตัวเองพลางคิดไปว่าทำไมเค้าไม่เคยสังเกตว่าเอ้กสวยน่ารักขนาดนี้มาก่อน ถ้าหากว่าเขาหาทางออกไม่เจอและต้องอยู่กับเอ้กไปตลอด ชีวิตต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ความคิดของเค้าล่องลอยไปไกลแสนไกลจนเจ้าตัวหลับไปในที่สุด




ในอีกมิติของดินแดนเดียวกัน กันนั่งพิงต้นไม้ชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง ขณะที่มีเต้ยนอนหลับหนุนขาข้างที่เยียดยาว เค้ากำลังใช้ความคิดว่าจะออกจากที่นี่ได้อย่างไร โดยพยายามจะส่งกระแสจิตติดต่อกับริท เซน และ โตโน่ แต่ก็เหมือนการเชื่อมต่อจะถูกตัดขาด ขณะที่กำลังคิดเพลินๆ จู่ๆ เต้ยก็ลุกขึ้นทั้งที่ตายังหลับอยู่

"เต้ยจะไปไหน" กันมองตามแล้วถาม

"เต้ยหนาวอ่ะ" หญิงสาวพูดงัวเงีย

กันยิ้มขำท่าทางเหมือนเด็กเล็กๆ ของเต้ย แล้วจับมือหญิงสาวไว้ค่อยๆ ดึงลงมานั่งบนตักข้างที่หนุนอยู่เมื่อครู่ กอดร่างเล็กนั้นไว้แนบอก เต้ยซุกหน้าลงกับซอกคอกันบ่นพึมพำว่าอุ่นแล้วหลับไป




"ทำยังไงดีครับลุงบอย ผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้ว ยังติดต่อสองคนนั้นไม่ได้เลย" ริทพูดด้วยท่าทางร้อนรน

"ถ้าประตูมิติปิดแล้วการเชื่อมต่อจะถูกตัดขาด" ลุงบอยก็อยู่ในอาการเครียดไม่แพ้กัน

"ถ้าอย่างงั้น..." ริทมองหน้าเซนรู้สึกหมดหวัง

"โชคชะตากำหนดไว้แล้วล่ะ เราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น" ลุงบอยพูดพลางมองออกไปที่แนวพงหญ้านอกบ้าน

"แล้วพวกที่อยู่ในห้องรับแขกล่ะครับ จะทำยังไงดี" เซนถาม

"จัดการล้างความจำในวันนี้ แล้วป้อนข้อมูลว่าสี่คนนั้นกลับต่างจังหวัดซะ แล้วให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับหอพักไป" ลุงบอยสั่ง

"ครับลุง" เซนรับคำ





 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 1 ธันวาคม 2553 9:27:41 น.
Counter : 449 Pageviews.  

Twilight Stars6 ตอนที่ 13

อาหารเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อนๆ ที่ตามมาสมทบก็คือ เก่ง ไอซ์ เกต และ เกรซ ทุกคนทำความรู้จักกันและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ลุงบอยมาร่วมวงด้วยซักครู่ก็ขอตัวไปธุระข้างนอก ปล่อยให้เด็กๆ เฮฮากันต่อไป หลังจากที่อิ่มหนำสำราญกับบาร์บีคิวแล้วทุกคนก็มานั่งล้อมวงกัน

"ยังไม่มืดเลย หาอะไรเล่นกันดีกว่า" กันชวนเพื่อนๆ

"เล่นอะไรดีล่ะ" ริทถาม

"เกมไล่ล่าหาเชลยดีไหมพี่" ไอซ์เสนอความคิด

"เล่นยังไงว่ะไอซ์" เก่งสงสัย

"ก็เราจะแบ่งเป็นสองทีม แยกเป็นผู้หญิงกับผู้ชาย ให้หัวหน้าทีมเป่ายิ้งชุบ ใครชนะได้เป็นฝ่ายหา เชลยที่ถูกจับได้ต้องทำตามคำสั่งหนึ่งอย่าง" ไอซ์อธิบาย

"แล้วถ้าจับไม่ได้ล่ะ ไม่ต้องหากันถึงเช้าเหรอไอซ์" เซนถาม

"ถ้าหาไม่เจอภายในหนึ่งชั่วโมงถือว่าเกมสิ้นสุด ผู้หาก็ต้องถูกทำโทษให้ทำตามคำสั่งของอีกฝ่าย ตามจำนวนคนที่จับไม่ได้ คล้ายๆ ซ่อนหาอะพี่แต่เราจะหากันเป็นทีม ไม่ได้หาคนเดียว"

ทุกคนแสดงท่าทีสนใจเกมของไอซ์ มีเพียงโตโน่เท่านั้นที่ยังกังวลอยู่นิดหน่อยจึงพูดขึ้นว่า

"บริเวณที่จะเล่น พี่ขอให้เป็นนอกตัวบ้าน แต่ห้ามทุกคนเข้าไปในเขตต้นหญ้าโน่น" โตโน่ชี้ให้ทุกคนดูแนวต้นหญ้าที่สูงท่วมศีรษะขึ้นไปเป็นแนวยาว ไกลออกไปประมาณ 100 เมตร

"ทำไมล่ะพี่โตโน่" เกรซถามขึ้นด้วยความสงสัย

"เอ่อ...มันรกน่ะ พี่กลัวพวกเราจะเป็นอันตราย" โตโน่ว่า ทั้งที่ทั้งสี่หนุ่มรู้ดีว่ามันเป็นเขตหวงห้าม แต่ก็คิดว่าเพื่อนๆ คงไม่มีใครกล้าบุกเข้าไปหลังจากการเตือน อีกทั้งบริเวณนั้นก็ไกลออกไปจากตัวบ้านค่อนข้างมาก

"งั้นตกลงตามนี้นะครับ ให้พี่เอ้กกับพี่โตโน่เป่ายิ้งชุบละกันว่าใครจะเป็นฝ่ายหาก่อน" ไอซ์ว่า

ผลปรากฏว่าเอ้กชนะ ดังนั้นฝ่ายชายซึ่งประกอบด้วย โตโน่ กัน ริท เซน เก่ง ไอซ์ จะต้องเป็นฝ่ายซ่อน ส่วนฝ่ายหญิงซึ่งมี เต้ย มายด์ เปรมมี่ เกต เกรซ เอ้ก มีน ต้องเป็นฝ่ายหา ว่าแล้วฝ่ายหญิงก็ปิดตานับ 1 ถึง 20 ก่อนจะออกไปไล่ล่าหาเชลยหนุ่มกัน

หลังจากที่แยกย้ายกันออกตามหาหนุ่มๆ เปรมมี่นึกในใจอย่างตั้งมั่นว่า ยังไงต้องหากันให้เจอก่อนเพื่อนๆ ให้ได้ เพราะว่าถ้าสามารถสั่งให้เชลยทำตามใจได้หนึ่งอย่างละก็...เปรมมี่จะสั่งให้กันทำอะไรดีน๊า...

เวลาผ่านไป 20 นาที เก่ง ไอซ์ ถูกจับก่อน โดยเกต และ เกรซ ทั้งสี่คนจึงมารวมกันที่ลานสนามหลังบ้าน เพื่อพักดื่มน้ำ ทันใดนั้นเองท้องฟ้าเกิดแปรปรวนจนทุกคนตกใจ เมฆสีดำทมึนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วข้าปกคลุมบริเวณนั้นจากที่เคยสว่างก็มืดมิดราวกับเป็นกลางคืนในทันที ลมพายุรุนแรงโหมกระหน่ำจนทั้งสี่คนต้องวิ่งเข้าบ้านเพื่อหลบภัย

กัน โตโน่ เซน ริท ส่งกระแสจิตโต้ตอบกันพัลวัน

'หาทุกคนให้เจอ แล้วไปรวมตัวกันที่บ้าน' โตโน่บอกน้องๆ

เซนและริทพามีนและมายด์มาถึงบ้านก็พบว่า เก่ง ไอซ์ เกต เกรซ อยู่ในบ้านแล้ว

"ไม่ต้องตกใจนะครับ เดี๋ยวทุกอย่างก็จะเป็นปกติ" เซนบอกเพื่อนๆ พลางส่งกระแสจิตบอกโตโน่และกัน ว่ายังเหลือ เปรมมี่ เอ้ก และ เต้ย ที่หายไป

'ดูแลพวกที่อยู่ที่บ้านไว้ให้ดี ส่วนที่เหลือพี่กับกันจะหาต่อเอง' โตโน่ตอบ

'จับกระแสจิตเต้ยไม่ได้เลย ทำไงดีพี่โตโน่' กันเริ่มกระวนกระวายใจ

'พี่เจอเอ้กแล้ว กันบินวนหาไปเรื่อยๆ ก่อน เต้ยคงไปไม่ได้ไกล'


"กรี๊ด" เอ้กร้องด้วยความกลัว ทั้งเสียงฟ้าร้องกระหึ่ม พายุรุนแรงที่พัดร่างแทบปลิว แถมมีนกฮูกอีกสองตัวบินฉวัดเฉวียนไปมา ทำให้เอ้กต้องวิ่งหนีไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง

"เอ้กอย่า! อย่าเข้าไปทางนั้น" โตโน่พุ่งทะยานลงต่ำเพื่อคว้าตัวเอ้กไว้ แต่ไม่ทันเสียแล้ว โตโน่จับได้เพียงปลายนิ้ว ก่อนที่ทั้งคู่จะพุ่งหายเข้าไปในแนวต้นหญ้าสูงลิบลิ่ว


เต้ยก็ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน เพราะโดนนกฮูกสองตัวบินต้อนเข้าไปในแนวต้นหญ้าต้องห้ามโดยลำพัง ท่ามกลางลมพายุที่รุนแรงที่สุดที่เต้ยเคยสัมผัสมา ไม่คิดว่ามันจะน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้ เต้ยเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ น้ำตาพลางไหลด้วยความกลัวจับจิต

หลังจากนั้นนกฮูกทั้งสองตัวซึ่งส่งเสียงร้องประหลาด "จี้ จี้ มะกัน มะกัน" ก็บินหายไปในความมืดและมรสุมที่รุนแรง



"กัน!" เปรมมี่ซึ่งอยู่ในอาการหวาดกลัวอุทานด้วยความดีใจขณะที่รู้สึกถึงมือของใครคนหนึ่งจับที่หัวไหล่ทางด้านหลัง

"อ้าว อ๋อมมาทำไมเนี้ย" สีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นทันที เมื่อเปรมมี่หันไปมองว่าเป็นใคร

"คุณพีทให้เอาจดหมายมาให้คุณหนู" หนุ่มหน้าคมรูปร่างสูงโปร่งในชุดดำยื่นจดหมายให้

"เค้ายังนึกว่ามีฉันอยู่ในโลกนี้ด้วยเหรอ" เปรมมี่พูดเสียงประชดปนน้อยใจพลางกระชากจดหมายฉบับนั้นจากมือชายหนุ่ม

"คุณหนูอยู่ที่นี่สบายดีไหมครับ" แววตาห่วงใยปรากฎบนใบหน้านิ่งนั้นเพียงแว๊บเดียวก็หายไป

"ก็ดูเอาเองสิ ฉันควรจะสบายไหมล่ะ" หญิงสาวยังคงประชดต่อ

"คุณหนูเข้าบ้านไปเถอะครับ อยู่ที่นี่จะอันตราย" ชายหนุ่มพูดตัดบทพลางชี้ทางให้เปรมมี่ กลับถึงตัวบ้านอย่างปลอดภัย



'เปรมมี่กลับมาแล้วพี่โตโน่ กัน' ริทส่งกระแสจิตบอก

'ยังหาเต้ยไม่เจอเลย สงสัยจะเข้าไปในเขตต้องห้าม' กันว่า

'พี่อยู่กับเอ้กในเขตต้องห้าม เค้าหลุดเข้ามาพี่ห้ามไม่ทันเลยเข้ามาด้วยกัน'

ทั้งสี่หนุ่มต่างรู้สึกเครียดขึ้นมาทันที เพราะคนที่เข้าไปในเขตหวงห้ามนั้น ไม่เคยมีใครรอดชีวิตออกมาอีก นอกซะจากว่า...อะไรคือเงื่อนไขของการกลับออกมา พวกเขาก็ไม่รู้ คนที่จะตอบคำถามนี้ได้มีเพียงลุงบอยเท่านั้น

'กันจะเข้าไป' กันบอกพี่น้องในที่สุด

'คิดให้ดีนะกัน ถึงเราจะมีชีวิตอมตะแต่แกจะอยู่ในนั้นไปตลอดได้เหรอ' ริทว่า

'กันอยากเสี่ยง เพราะถ้าไม่มีเต้ย...' กันหยุดคำตอบไว้เพียงแค่นั้น

'ไปเถอะ ถ้าพบเต้ยแล้วบอกพวกเราด้วยนะ' เซนว่าเพราะเข้าใจความรู้สึกของกันในตอนนี้ คงไม่มีอะไรมาหยุดเค้าได้

กันพุ่งเข้าไปในแนวเขตต้องห้ามอย่างไม่ลังเล เพราะเค้าแน่ใจว่าเต้ยจะต้องอยู่ในนั้น


"รีบตามลุงบอยเหอะ เรื่องชักจะไปกันใหญ่แล้ว" ริทว่า

"อืม" เซนส่งกระแสจิตเรียกลุงบอยทันที

"เดี๋ยวริทจะจัดการพวกที่อยู่ในห้องรับแขกเอง" ว่าแล้วริทก็เดินไปที่ห้องรับแขก

"ว่าไงทุกคน" เพื่อนๆ หันมามองหน้าริท เค้าเริ่มดีดนิ้วทันที ทุกคนอยู่ในอาการค้างจากมนต์หยุดเวลาของริท


ลุงบอยมาถึงบ้านทันทีด้วยสีหน้ากังวล เพราะรู้ว่าเหตุการณ์พายุสายฟ้ารุนแรงครั้งนี้ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่เป็นการเตือนจากศัตรูคู่พยาบาทเก่า ที่ยังชำระหนี้แค้นกันไม่เสร็จสิ้น

"ทั้งสี่คนนั้นจะออกมาได้ไหมครับลุงบอย" เซนถาม

"ลุงก็ไม่แน่ใจ เท่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครออกมาได้ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน...ลุงก็หวังว่าพวกเค้าจะสามารถหาทางออกมาได้"

"ยังไงครับ" ริทถามเพราะงงกับคำตอบที่เหมือนยังไม่ได้ตอบของลุงบอย

"แนวหญ้านั้นน่ะมันเป็นเหมือนประตูมิติ ถ้าผ่านเข้าไปแล้วเวลาในเขตนั้นหนึ่งวันจะเท่ากับเวลาข้างนอกนี้หนึ่งชั่วโมง สภาพแวดล้อมภายในนั้นจะเหมือนโลกอีกโลกหนึ่งที่คนสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่จะไม่สามารถพบทางออกจากดินแดนแห่งนั้น ก็เหมือนถูกขังไปจนตายนั่นแหละ นอกซะจากว่าความรักอันบริสุทธิ์ของคนสองคนจะเกิดขึ้น และจะต้อง...ในคืนวันเพ็ญซึ่งจะมีเพียงคืนเดียวเท่านั้นในรอบ 30 ชั่วโมง เข้าใจหรือยัง"

"ต้องทำอะไรในคืนวันเพ็ญล่ะลุงบอย" ริทสงสัยเพราะลุงบอยพูดละไว้ในฐานที่ไม่เข้าใจ

"ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะยังไม่เคยเข้าไป" ลุงบอยตอบอย่างชัดเจนที่สุดในคราวนี้

"แล้วสี่คนนั่นจะหากันพบไหมครับ" เซนถาม

"ถ้าภายในหนึ่งชั่วโมงนี้หากันไม่พบ ก็จะไม่มีวันได้พบกันอีก เพราะมิติในนั้นจะเริ่มทับซ้อนกัน แม้จะเดินอยู่ในที่เดียวกันก็จะมองไม่เห็นกัน" ลุงบอยว่า

"แสดงว่าถ้ากันหาเต้ยไม่เจอในหนึ่งชั่วโมง...." ริทพูดค้างไว้

"ใช่ พวกเค้าก็จะไม่มีวันได้อยู่ร่วมกันอีกไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน" ริทและเซนถึงกับอึ้งในคำตอบของลุงเลยทีเดียว โอกาสที่จะได้พบเพื่อนๆ ทั้งสี่ ก็ดูเลือนลางออกไปทุกขณะ















 

Create Date : 29 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2553 19:22:54 น.
Counter : 290 Pageviews.  

Twilight Stars6 ตอนที่ 12

เต้ย มายด์ และเปรมมี่มาถึงก่อนเวลาเพื่อมาช่วยเตรียมอาหาร เต้ยกับมายด์ช่วยกันล้างผัก ขณะที่เปรมมี่ช่วยหั่นผัก และกันคอยยืนบอกว่าหั่นยังไง

"มายด์มาช่วยริทจัดเครื่องดื่มหน่อยสิ" ริทเรียกมายด์ขณะที่อุ้มกล่องบรรจุเครื่องดื่มหลากชนิดเต็มสองมือ

"แต่มายด์ล้างผักอยู่อะ"

"ผักแค่นั้นปล่อยให้กันกับเต้ยล้างไปเถอะ"

"อืม..ก็ได้" มายด์ว่าแล้ววางมือจากการล้างผักแล้วเดินตามริทไปที่สนามหลังบ้าน ทิ้งเพียงเต้ย เปรมมี่และกันไว้ในครัว

"งั้นกันช่วยเต้ยล้างผักนะ" ว่าแล้วกันเดินไปหาเต้ยทันที ทิ้งในเปรมมี่เหลียวตาม

"แล้วกันไม่สอนเปรมมี่หั่นผักแล้วเหรอ" เปรมมี่ทำเสียงออดอ้อน

"เปรมมี่หั่นไปแบบนั้นแหละสวยแล้ว เปรมมี่หั่นเก่งนะ" กันโยนลูกหยอดจนเปรมมี่เขิน หั่นไปยิ้มไป

"เต้ยต้องล้างแบบนี้ถึงจะสะอาด" กันพูดพลางคลี่ผักออกทีละใบล้างให้ดูเป็นตัวอย่าง หารู้ไม่ว่าคนข้างๆ อารมณ์เริ่มขุ่นตั้งแต่ลูกหยอดเมื่อกี้แล้ว

"ใช่สิ เต้ยล้างไม่เก่งนี่" เต้ยพูดประชดเบาๆ

"ดีสิ กันจะได้สอนเต้ยล้างไง" กันพูดเบาพอกันหันไปยิ้มขณะที่มือข้างที่อยู่ติดกันเอื้อมไปสัมผัสและเกาะกุมมือเต้ยไว้ในอ่างล้างผัก ภายใต้ผักหลายชนิดที่ปกปิดมือของคนทั้งสองไว้ แต่ไม่สามารถปกปิดความรู้สึกหวั่นไหวได้เลยแม้แต่น้อย เต้ยหน้าเรื่อขึ้นพยายามจะชักมือกลับ แต่กันกลับกระชับไว้อย่างอ่อนโยน หัวใจของคนทั้งคู่เริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ

ติ้งต่อง ติ้งต่อง เสียงกริ่งประตูดังขึ้น

"เดี๋ยวกันไปดูก่อนนะว่าใครมา" กันจำใจปล่อยมือเต้ย ทิ้งไว้เพียงใบหน้าร้อนผ่าวกับหัวใจที่เต้นเร็วผิดจังหวะของคนที่ก้มหน้าก้มตาล้างผักต่อไป

เปรมมี่สังเกตเห็นปฏิกิริยาของคนทั้งสองเมื่อครู่พลางคิดในใจว่า 'ถ้าเพียงแต่เรามีโอกาสได้ล้างผัก เราก็จะ....'



กันวิ่งออกมาหน้าบ้านก็เห็นโตโน่กับเซนที่แปลงร่างแล้ววิ่งออกมาพร้อมกัน

"พี่โตโน่กับเซนสำรวจความปลอดภัยเรียบร้อยแล้วเหรอ" กันมองหน้าโตโน่ แล้วมองต่ำลงไปที่เซน

"เสร็จพอดี นั่นเอ้กกับมีนมาแล้ว" โตโน่พูดพลางวิ่งไปทีประตูโดยมีกันกับเซนตามไป

"สวัสดีค่ะพี่โตโน่ เอ้กทำสตอเบอร์รี่ชีสเค้กมาค่ะ" พูดพลางอวดชีสเค้กถาดโตในมือให้โตโน่ดู

"น่ากินจังเลยน้องเอ้ก เข้ามาก่อนครับ" โตโน่ว่าแล้วก็แนะนำให้กันรู้จักทั้งสองสาว

"มีชิวาว่าด้วยเหรอคะ" มีนร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น ก้มลงไปใกล้เจ้าสุนัขตัวน้อยที่พื้น ซึ่งกำลังเดินถอยหลังจากการรุกคืบของมีนไปสองสามก้าว แต่ก็ถูกมีนคว้าตัวไว้ได้ก่อน

"ไหนมาทักทายกันหน่อยซิ" มีนสอดมือเข้าตรงขาหน้าทั้งสองข้าง จับเจ้าชิวาว่าเข้ามาใกล้จนจมูกชนกันแล้วส่ายหน้าไปมาเบาๆ ขณะที่กันและโตโน่ตะลึงกับการแสดงออกของมีน แล้วหันหลังไปกั้นหัวเราะกันทั้งคู่ เพราะรู้ดีว่าเจ้าชิวาว่าตัวนั้นมันจะรู้สึกยังไง

"เนี้ยถ้าเป็นเจ้ามินนี่ที่บ้านมีนนะ มันคงเลียปากมีนไปแล้ว" หญิงสาวพูดเพราะว่าเจ้าตัวตรงหน้านี้ไม่ทำ เจ้าชิวาว่าหน้าแดงเรื่อจนแทบเป็นสีเลือด แต่เสียดายที่ไม่มีใครมองเห็น กันกับโตโน่ถึงกับกั้นหัวเราะไม่อยู่อีกต่อไป

"มีอะไรน่าขำเหรอคะ" เอ้กเห็นทั้งสองคนหัวเราะจนเนื้อตัวสั่น

"เปล่า เปล่า ไม่มีอะไรครับ" โตโน่ว่า ทั้งสองคนควบคุมสติได้แล้วก็หันหน้ากลับมา

"เจ้าตัวเล็กนี่ชื่ออะไรคะ" มีนยังไม่ยอมปล่อยเจ้าชิวาว่าตัวน้อย

"ชื่อ..." โตโน่และกันหันมองหน้ากัน

"ซ้อเจ็ด" / "เห็ดสด" ทั้งสองคนตอบพร้อมกันแต่คนละชื่อ

"พี่เรียกกันคนละชื่อเหรอคะ" มีนว่าพลางหันมองหน้าเอ้กงงๆ

"เจ้าตัวนี้มันฉลาดครับ ใครเรียกชื่ออะไรมันจำได้หมด" โตโน่ว่า

"งั้นมีนตั้งชื่อให้ใหม่ดีกว่า ชื่อซ้อเจ็ด กับ เห็ดสด ไม่เห็นเพราะเลย"

"อืม...ไหนดูซิเป็นเด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชายเอ่ย จะได้ตั้งชื่อถูก" มีนพยายามจะจับเจ้าสุนัขน้อยหงายท้อง เท่านั้นแหละเจ้าชิวาว่าก็หมดความอดทนใช้เรียวแรงที่มีอยู่ทั้งหมด กระโจนออกจากอ้อมแขนของมีน แล้ววิ่งหายเข้าบ้านไปทันที

กันและโตโน่หัวเราะกร๊ากกกกพร้อมกัน เล่นเอาสองสาวยืนงงไปตามๆ กัน

"กันขอเข้าไปดูในครัวต่อนะครับ ตามสบายนะครับเอ้ก มีน" กันยิ้มขำๆ แล้วเดินผละไป



พอกลับมาถึงครัว รอยยิ้มของกันก็จางลงทันที กับภาพที่เค้าเห็นคือ เต้ยไปยืนหั่นผัก ตาทั้งสองข้างของเต้ยแดงก่ำ น้ำตาอาบสองข้างแก้ม พอเค้าหันไปทางอ่างล้างผัก เค้าเห็นเปรมมี่กำลังยืนล้างอย่างสบายอารมณ์พลางฮำเพลงไปด้วย เค้ารีบเดินเข้าไปหาเต้ย หัวใจเจ็บปวดขึ้นมาทันทีที่เห็นใบหน้าของคนที่กำลังยืนหั่นผักอยู่

"เต้ยเป็นอะไรอะ" กันใช้มือข้างหนึ่งจับไหล่เต้ยไว้

"เต้ย...เต้ย" เต้ยรีบยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา แล้วกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตา

"มีเรื่องอะไรกันเหรอ" กันถามพลางหันไปมองเปรมมี่ ขณะที่อีกฝ่ายสบตาแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"เต้ยซอยหอมแดงแล้วมันเข้าตาน่ะ" เต้ยว่า กันหันไปมองเต้ยแล้วก้มลงไปมองเขียง มันเป็นหอมแดงจริงๆ ด้วย กันนึกขำตัวเองที่ระแวงมากเกินไป เค้าเห็นเต้ยยิ่งเช็ดน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมา

"หยุดเช็ดได้แล้วเต้ย เช็ดแขนเสื้อกันดีกว่า" กันยื่นแขนให้เต้ย

เต้ยมองแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา พลางเอาสองมือจับแขนกันไว้ แล้วเช็ดหน้าลงบนแขนเสื้อนั้นไปมา

"ขอบคุณค่ะกัน" เต้ยเงยหน้าขึ้น ผมด้านหน้ายุ่งไปหมด กันใช้มือเสยผมให้เต้ย ทั้งคู่มองสบตากันแล้วหัวเราะ ขณะที่เปรมมี่จับตามองพฤติกรรมของทั้งสองโดยตลอด พลางคิดว่า 'ถ้าเพียงแต่เรามีโอกาสได้ซอยหอมแดงนั่น เราก็จะ...'









 

Create Date : 29 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 30 กันยายน 2553 15:11:13 น.
Counter : 384 Pageviews.  

Twilight Stars6 ตอนที่ 11

"เย็นวันเสาร์ ลุงบอยจะจัดบาร์บีคิวที่บ้าน" โตโน่เปรยขึ้นขณะที่ทั้งสี่หนุ่มอยู่รวมกันในห้องรับแขก

"จริงดิพี่โตโน่" งั้นกันขอชวนเพื่อนมาด้วยนะ

"ก็ลุงเค้าอยากให้พวกเราชวนเพื่อนๆ มาอยู่แล้วล่ะจะได้รู้จักเอ้กกับมีน"

"ใครอะ พี่โตโน่" ริทถาม

"ลูกสาวของเพื่อนลุงบอย เค้ามาเรียนที่นี่ เมื่อวานพี่กับเซนเพิ่งไปรับมา"

"จริงอะ สวยไหมว่ะเซน" ริทหันไปถามเซน

"ก็น่ารักดี" เซนตอบยิ้มๆ

"แล้วหญิงเดือนล่ะริท ถอดใจแล้วเหรอ" กันแกล้งแซวริท

"ใครว่าล่ะ ของอย่างงี้ก็ต้องมีเผื่อเลือกเผื่อพลาดบ้างสิ" ริทว่าแล้วคว้าตำราจีบหญิงขึ้นมาเปิด

"เผื่อพลาดน่ะเชื่อว่ะ แต่แต่เผื่อเลือกเนี้ย หึ หึ" เสียงโตโน่มีแววเยาะหยัน

"พี่โตโน่พูดงี้จำไว้เลย ถ้ามีปัญหาเรื่องสาวๆ ไม่ต้องมาปรึกษาริทนะ"

"จะชวนใครมากี่คน ก็บอกมาละกันจะได้เตรียมอาหารถูก" โตโน่ตัดบทแล้วส่ายหน้าขณะที่มองริททำหน้ากรุ่มกริ่มสายตาจับจ้องที่หนังสือ

________________________________________


คืนนี้เต้ยเตือนตัวเองเป็นอย่างดีว่าจะไม่ลืมสวมสร้อยไว้แนบกาย เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่ามันจะช่วยให้เลิกฝันร้ายได้จริงๆ หลังจากอาบน้ำหวีผมเสร็จ ก่อนจะนอนเต้ยหันไปมองเสื้อที่แขวนไว้ นึกละอายขึ้นมาเล็กน้อยที่ยังไม่ได้คืนให้เจ้าของ ในส่วนลึกแล้วเต้ยก็อยากจะเก็บเอาไว้ เพราะมันเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เต้ยรู้สึกอบอุ่นใจ ลังเลอยู่ซักครู่เต้ยจึงหยิบมาสวมไว้กับตัว พลางคิดไปว่าเจ้าของเสื้อคงไม่รับรู้อะไร ก่อนจะเดินไปปิดไฟ แล้วล้มตัวลงนอนอย่างอบอุ่นใจ

ค่ำคืนอันสงบผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าจนกระทั่งเที่ยงคืน ประตูระเบียงเปิดออก ลมจากภายนอกพัดม่านปลิวขึ้นลงแผ่วเบาไปตามกระแส แสงนวลสุกสว่างของพระจันทร์ในคืนนี้สาดผ่านม่านเข้ามาในห้อง จนเห็นร่างของคนที่กำลังหลับได้ชัดเจน ส่วนร่างของคนที่นั่งอยู่ปลายเตียงนั้นเล่าก็สงบนิ่งปราศจากการเคลื่อนไหว ใบหน้าของเค้ายิ้มพรายอย่างมีความสุข เขามองออกไปนอกระเบียง พลันนึกว่าถ้าเค้าได้ออกไปท่องชมราตรีกับคนที่อยู่ตรงหน้านี้ เค้าจะมีความสุขเพียงใด ว่าแล้วก็...

กันช้อนร่างของเต้ยไว้แล้วพุ่งทะยานไปในอากาศอย่างแผ่วเบา แรงลมที่ปะทะทำให้ร่างในอ้อมแขนเริ่มรู้สึกตัว พอลืมตาขึ้นก็ต้องตกใจที่เห็นใบหน้าของคนที่โอบอุ้มอยู่ และตกใจยิ่งขึ้นเมื่อมองลงไปยังพื้นเบื้องล่างจึงตระหนักว่าตนเองอยู่สูงเพียงใด ด้วยความเสียวสยองจากความสูงทำให้เต้ยต้องโอบรอบคอกันไว้แน่น

"นี่เราอยู่ที่ไหนอะ เต้ยฝันไปใช่ไหม" เต้ยมองหน้ากันงุนงง

"ใช่ เต้ยฝันไป" กันมองสบตาคนที่อยู่ใกล้แค่คืบยิ้มให้ทั้งใบหน้าและแววตา

"กันทำยังงี้ได้ยังไง กันบินได้"

"ในความฝัน เราจะทำอะไรก็ได้ไม่ใช่เหรอ" ว่าแล้วกันก็ปล่อยร่างเต้ย แต่ยังจับมือไว้ทั้งสองข้างกางออกเหมือนปีกนก แล้วบินในท่านอน เต้ยหลับตาปี๋

"เต้ยมองไปข้างล่างสิ มันสวยมากเลยนะ ไม่ต้องกลัวหรอก กันไม่มีวันปล่อยให้เต้ยตกลงไปแน่" กันพูดที่ข้างหู ทำให้เต้ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น ทั้งคู่เหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ

"มันสวยมากจริงๆ ด้วย" เต้ยหันเอียงหน้ามาสบตากัน เริ่มรู้สึกสนุกและยิ้มออกมาได้

"ความรู้สึกของคนที่บินได้เป็นอย่างนี้นี่เอง" เต้ยหัวเราะ

"เต้ยเหนื่อยหรือยัง" กันถามหลังจากที่บินมาไกลพอสมควร

"จะกลับแล้วเหรอ เต้ยยังสนุกอยู่เลย" เต้ยยิ้มให้กัน แววตาซุกซนเหมือนเด็กๆ

"กันจะพาเต้ยไปที่ที่สวยที่สุดในคืนนี้"

กันว่าแล้วพาเต้ยบินต่ำลง จนเห็นขอบฟ้าที่มีดาวพร่างพรายจรดกับต้นไม้หนาทึบสีทมึน แล้วทั้งคู่ก็มายืนอยู่บนกิ่งไม้ขนาดมหึมา มองออกไปเห็นทะเลสาบที่นิ่งสนิท จรดขอบฟ้า สะท้อนให้เห็นดวงจันทร์กลมโต และดวงดาวนับล้านได้อย่างชัดเจน

"สวยจังเลยกัน" เต้ยว่าแล้วกระชับเสื้อแจคเก็ทเข้าหาตัว ด้วยความเย็นยะเยือกในยามค่ำคืน สายตาดื่มด่ำกับความงามที่อยู่ตรงหน้า

"เต้ยจำที่นี่ได้ไหม" กันพูดพลางโอบกอดเต้ยจากด้านหลังเพื่อเพิ่มความอบอุ่น

"จำไม่ได้ แต่นับจากนี้ไปคงไม่มีวันลืม" เต้ยทอดสายตามองภาพที่อยู่ตรงหน้า ราวกับพยายามจะเก็บรายละเอียดทั้งหมดไว้ในความทรงจำ

"กันก็คงจะลืมไม่ลงเหมือนกัน" กันกระซิบที่ข้างหูพลางกระชับอ้อมแขนเข้า

เต้ยรู้สึกถึงความสุขสงบและปลอดภัยในอ้อมแขนอบอุ่น หลับตาแล้วซุกตัวลงอิงแอบไหล่ของคนที่อยู่ข้างหลัง พลางอยากให้เวลาหยุดลงตรงนี้ ถ้ามันเป็นความฝัน เต้ยก็ไม่อยากจะคิดถึงสิ่งอื่นใด นอกจากความสุขที่ได้รับในห้วงเวลานี้ มันเป็นฝันที่เต้ยไม่อยากตื่นเลยทีเดียว




"เต้ย เต้ย" ก๊อก ก๊อก ก๊อก "ตื่นหรือยัง เปิดประตูให้มายด์หน่อยซิ"

เต้ยรีบลุกพรวดพราด มองออกไปนอกระเบียงที่ปิดสนิท แสงสว่างบอกเวลาสายกว่าปกติ 'หลับเพลินขนาดนี้เลยเหรอเรา'

"เดี๋ยวจ่ะมายด์" เต้ยจะวิ่งไปที่ประตู ก็เห็นเสื้อแจคเก็ทที่สวมอยู่จึงรีบถอดออกแล้ววางไว้ในตู้เสื้อผ้าก่อนไปเปิด

"นี่เต้ยเพิ่งตื่นเหรอ" มายด์ประหลาดใจที่ยังเห็นเต้ยในชุดนอน

"เอ่อ คือเมื่อคืนเต้ยนอนดึกไปหน่อย ขอโทษนะ มายด์รอเต้ยสิบนาทีนะ" ว่าแล้วเต้ยก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัว เสร็จทันเวลาพอดี



"มายด์ครับ มายด์" ริทร้องเรียกโบกไม้โบกมือมาแต่ไกลขณะที่เห็นสองสาวเดินมาตามทางเดิมที่มุ่งสู่อาคารเรียน

"มีอะไรริท ไม่เห็นต้องร้องเรียกยังงั้นเลย" มายด์ทำหน้างอ

"คือริทกับกันจะมาชวนมายด์กับเต้ยไปบาร์บีคิวที่บ้านพรุ่งนี้" ริทว่า

"เต้ยกับมายด์ไปด้วยกันนะ ชวนเพื่อนๆ ไปด้วยก็ได้นะครับผม" กันยิ้มส่งสายตาให้เต้ย เต้ยหน้าเรื่อขึ้นทันทีแล้วรีบหลบตา

"น่าสนุกนะเต้ย ชวนพี่เก่ง ไอซ์ เกรซ เกต ไปด้วยกันหมดเลยดีไหม" มายด์หันไปถาม

"จ่ะ ถ้าไปกันหมดก็คงสนุก" เต้ยพูดแล้วเลี่ยงไม่มองหน้ากัน

"งั้นตกลงตามนี้นะ แล้ววันนี้จะไปทานข้าวกันก่อนไหม" ริทถาม

"ไม่ล่ะ สายแล้วไปเรียนเลยดีกว่า" มายด์มองดูนาฬิกาแล้วตอบ

"เดี๋ยวริทเดินไปเป็นเพื่อนมายด์นะ เต้ยให้กันไปเป็นเพื่อนนะครับ" ว่าแล้วริทกับมายด์ก็เดินฉีกไปอีกทาง เพราะอาคารเรียนไปทางเดียวกัน

"มายด์ เจอกันสองครั้งแล้วขอจับมือหน่อยได้ไหม"

"ทะลึ่งไม่เลิกนะริท..."

"555 พูดเล่นน่า.."



"กันไม่ต้องไปส่งเต้ยหรอก เต้ยเดินไปเองได้" เต้ยก้มหน้าแล้วรีบเดิน

"เต้ยเป็นไรอะ ทำไมวันนี้ท่าทางแปลกๆ" กันถามยิ้มๆ

"เมื่อคืนนอนหลับหรือเปล่า ฝันอะไรอีกไหม" กันถามต่อพลางแตะแขนเต้ยให้หยุดเดิน

"ไม่ได้ฝันอะไรนี่ หลับสนิทตลอดคืน จนตื่นสายนี่ไง" เต้ยรีบตอบแต่ยังหลบตา

"ไม่เหมือนกันนะ เมื่อคืนกันฝันดีจนไม่อยากตื่นเลยล่ะ" กันจ้องหน้าเต้ย จนเต้ยต้องเงยหน้าขึ้นสบตา

"ฝันว่าอะไรอะ" เต้ยถามในที่สุด

"ฝันว่ากันเบอ..."


"กัน เต้ย รอเปรมมี่ด้วย" เสียงเปรมมี่ดังขึ้นขัดคำตอบที่กำลังจะหลุดจากปากกัน เต้ยเสียดายนิดๆ ที่ถูดขัดจังหวะ เพราะไม่แน่ใจว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นเรื่องจริงหรือความฝันกันแน่ ถ้าเกิดความฝันเหมือนกันล่ะ อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น

"จริงสิ ชวนเปรมมี่ไปบาร์บีคิวด้วยดีไหม" กันถามเต้ยขณะที่ทั้งคู่ยืนรอเปรมมี่อยู่

ถึงแม้เปรมมี่จะเคยร้ายกาจกับเต้ยเพียงใดในอดีต แต่กันก็เกลียดผู้หญิงคนนี้ไม่ลง เพราะเค้าอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้หล่อนทำลงไปเช่นนั้น มันคงเป็นโชคชะตาที่ทำให้เวียนมาพบกันอีกจนได้

"กันก็ชวนเค้าสิ เปรมมี่คงดีใจที่จะได้พบเพื่อนใหม่ๆ" กันยิ้มสบตาเต้ย เต้ยยังคงเป็นหญิงที่มีน้ำใจเสมอ และนี่แหละคือสิ่งที่เค้ารักและภาคภูมิใจในตัวเต้ยไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือปัจจุบัน









 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 30 กันยายน 2553 15:10:33 น.
Counter : 334 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  

Kim-Ha
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จิ้นกระจาย ^^


Smileymissmynovel@gmail.com






Friends' blogs
[Add Kim-Ha's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.