ความแตกต่างระหว่าง คนเขลาและบัณฑิตในการประพฤติพรหมจรรย์
ความแตกต่างระหว่าง แล้วลองดูตัวเราซิว่าเราเป็น..คนเขลาหรือบัณฑิต ลำ ดับการหลุดพ้น เมื่อเห็นไตรลักษณ์
ลำ ดับการหลุดพ้น เมื่อเห็นไตรลักษณ์ ภิกษุทั้งหลาย ! รูปเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง, สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์, สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้น นั่นไม่ใช่ของเรา(เนตำ มม) นั่นไม่ใช่เป็นเรา (เนโสหมสฺมิ) นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา (น เมโส อตฺตา) : เธอทั้งหลายพึงเห็นข้อนั้นด้วยปัญญา โดยชอบ ตรงตามที่เป็นจริงอย่างนี้ ด้วยประการดังนี้. (ในกรณีแห่ง เวทนา สังขาร และวิญญาณ ก็ตรัสอย่าง เดียวกันกับในกรณีแห่งรูป ทุกประการ). ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อบุคคลเห็นข้อนั้นด้วยปัญญาโดยชอบตรงตาม ที่เป็นจริงอย่างนี้, ปุพพันตานุทิฏฐิ1 ทั้งหลาย ย่อมไม่มี; เมื่อปุพพันตานุทิฏฐิไม่มี, อปรันตานุทิฏฐิ2 ทั้งหลาย ย่อมไม่มี; 1 ความเห็นที่ปรารภขันธ์ในเบื้องต้น หรือความเห็นที่เป็นไปในส่วนของอดีต 2 ความเห็นที่ปรารภขันธ์ในเบื้องปลาย หรือความเห็นที่เป็นไปในส่วนของอนาคต เมื่ออปรันตานุทิฏฐิไม่มี, ความยึดมั่นลูบคลำาอย่าง แรงกล้าย่อมไม่มี; เมื่อความยึดมั่นลูบคลำาอย่างแรงกล้าไม่มี, จิตย่อม จางคลายกำาหนัดในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ; ยอ่ มหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่มี ความยึดมั่นถือมั่น. เพราะจิตหลุดพ้นแล้ว จิตจึงดำ รงอยู่; เพราะเป็นจิตที่ดำ รงอยู่ จิตจึงยินดีร่าเริงด้วยดี; เพราะเป็นจิตที่ยินดีร่าเริงด้วยดี จิตจึงไม่หวาดสะดุ้ง; เมื่อไม่หวาดสะดุ้ง ย่อมปรินิพพานเฉพาะตน นั่นเทียว. เธอนั้นย่อมรู้ชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว, กิจที่ควรทำ ได้ทำ สำ เร็จแล้ว, กิจอื่นที่จะต้องทำ เพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก” ดังนี้. ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๗/๙๓. เจริญอานาปานสติ แม้ชั่วกาลเพียงลัดนิ้วมือเรากล่าวว่า อยู่ไม่เหินห่างจากฌาน
ภิกษุ ท. ! ถ้าภิกษุเจริญอานาปานสติ แม้ชั่วกาลเพียงลัดนิ้วมือ ภิกษุนี้เรากล่าวว่า อยู่ไม่เหินห่างจากฌาน ทำตามคำสอนของพระศาสดา ปฏิบัติตามโอวาท ไม่ฉันบิณฑบาตของชาวแว่นแคว้นเปล่า ก็จะป่วยกล่าวไปไยถึงผู้กระทำให้มาก ซึ่งอานาปานสตินั้นเล่า. เอก. อํ. ๒๐/๕๔ - ๕๕/๒๒๔. ภิกษุ ท. ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ภิกษุ ท. ! เมื่ออานาปานสติ อันบุคคลเจริญทำให้มากแล้วอยู่อย่างนี้ ผลอานิสงส์อย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาผล ๒ ประการ เป็นสิ่งที่หวังได้ ; คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือว่าถ้ายังมีอุปาทิเหลืออยู่ ก็จักเป็น อนาคามี. มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๖ - ๓๙๗/๑๓๑๑ -- ๑๓๑๓. รู้แต่ปริญัติ แต่ไม่ปฏิบัติ ...... ปฏิบัติ แต่ไม่รู้ปริญัติ
รู้แต่ปริญัติ แต่ไม่ปฏิบัติ ปฏิบัติ แต่ไม่รู้ปริญัติ ใช้ได้กับพุทธบริษัททุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา การรู้แต่วิธีและข้อปฏิบัติอย่างแตกฉาน แต่ไม่ลงมือปฏิบัติหรือปฏิบัติเพียงแต่น้อย ก็ไม่อาจจะบรรลุ ถึงจุดหมายปลายทาง เปรียบเหมือน ท่องตำราซ่อมรถยนต์ได้หมดทั้งเล่ม แต่ไม่เคยลงมือซ่อมเลยแม้แต่ ครั้งเดียว ก็ไม่สามารถซ่อมรถได้ ... ***ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติอันบุคคลเจริญ อานาปาณสติเป็นอย่างไร มีอุปสรรค ปัญหาอย่างไรในระหว่างการปฏิบัติ...และนี่คือ รู้แต่ปริญัติ แต่ไม่ปฏิบัติ ผู้ที่จะปฏิบัติ แต่ยังไม่ทราบปริญัติ ก็เหมือนเหล่าฤาษี โยคีเมื่อครั้งก่อนพุทธกาล พวกนี้จะพากันเข้าป่าเพื่อแสวงหาการดับทุกข์ แต่ยังไม่มีวิธีที่จะใช้ดับทุกข์ ต่างก็ไปหาวิธีปฏิบัติกันเอาเอง ลองผิดลองถูก แต่ก็ไม่มีผู้ใดได้พบวิธีที่ถูก ต่างก็ได้ฤทธิ์คุณวิเศษ ต่างๆกันไป ยกเว้นวิธีดับทุกข์ที่ไม่มีผู้ใดได้ค้นพบ เหมือนกับพระศาสดาเมื่อครั้งยังไม่ได้ตรัสรู้ ก็ใช้วิธีลองผิดลองถูกมาตลอดเวลา 6 ปี จึงได้พบวิธีดับทุกข์ ได้ค้นพบ อริยสัจสี่ ธรรมะอันวิเศษ จึงได้มาถ่ายทอดบอกสอนเหล่าสาวก เพื่อให้ได้ทราบวิธีปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ ดังนั้นสาวกทุกคนจึงไม่ต้องคิดหาวิธีดับทุกข์อีกแล้ว เพราะพระศาสดาได้ค้นหาไว้ให้แล้ว และพิสูจน์ให้เห็นแล้ว่า นี่คือวิธีดับทุกข์ที่ให้ผลจริงตลอดกาล ดังนั้นอย่าลงมือ ปฏิบัติ แต่ไม่รู้ปริญัติ รู้ปริญัติแต่พอควร แล้วลงมือปฏิบัติให้มาก ก็จะยังประโยชน์เฉพาะตน แต่ถ้ารู้ปริญัติให้มาก แล้วปฏิบัติให้มาก ก็จะยังประโยชน์เฉพาะตนและผู้อื่น สิ่งวิเศษสุดของตัวเลข ๑ - ๘ ในการปฏิบัติธรรม ตอนจบ
เลข ๕ ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร ภิกษุ ท. ! คนทั่วไป กล่าวกันว่า “รูป” เพราะอาศัยความหมาย ภิกษุ ท. ! คนทั่วไป กล่าวกันว่า “เวทนา” เพราะอาศัยความหมาย ภิกษุ ท. ! คนทั่วไป กล่าวกันว่า “สัญญา” เพราะอาศัยความหมาย ภิกษุ ท. ! คนทั่วไป กล่าวกันว่า “สังขารทั้งหลาย” เพราะอาศัยความ เลข ๖ อายตนะ ๖ อายตนะภายใน ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะภายนอก ๖ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อารมณ์ [๒๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คืออายตนะ เลข ๗ โพชฌงค์ ๗ [๓๒๗] โพชฌงค์ ๗ อย่าง ๓. วิริยสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือความเพียร] เลข ๘ มรรค ๘ ภิกษุ ท. ! ความเห็นชอบ เป็นอย่างไร ? ภิกษุ ท. ! ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ความรู้ใน หนทางเป็นเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ อันใด, นี้เราเรียกว่า ความเห็นชอบ. ภิกษุ ท. ! ความเห็นชอบ เป็นอย่างไร ? ภิกษุ ท. ! ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ความรู้ใน หนทางเป็นเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ อันใด, นี้เราเรียกว่า ความเห็นชอบ. ภิกษุ ท. ! วาจาชอบ เป็นอย่างไร ? ภิกษุ ท. ! การเว้นจากการพูด เท็จ การเว้นจากการพูดยุให้แตกกัน การเว้นจากการพูดหยาบ การเว้นจากการ พูดเพ้อเจ้อ, นี้เราเรียกว่า วาจาชอบ
ภิกษุ ท. ! การงานชอบ เป็นอย่างไร ? ภิกษุ ท. ! การเว้นจากการ ฆ่าสัตว์ การเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ การเว้นจากการ ประพฤติผิดในกามทั้งหลาย, นี้เราเรียกว่า การงานชอบ. ภิกษุ ท. ! อาชีวะชอบ เป็นอย่างไร ? ภิกษุ ท. ! อริยสาวกในกรณีนี้ ละการหาเลี้ยงชีพที่ผิดเสีย สำเร็จความเป็นอยู่ด้วยการหาเลี้ยงชีพที่ชอบ, นี้ เราเรียกว่า อาชีวะชอบ ภิกษุ ท. ! ความเพียรชอบ เป็นอย่างไร ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณี นี้ ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อความไม่บังเกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรมทั้งหลายอันลามก ที่ยังไม่ได้บังเกิด ; ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อการละเสียซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลายอันลามก ที่บังเกิดขึ้นแล้ว ; ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อการบังเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย ที่ยังไม่ได้บังเกิด ; ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อความยั่งยืน ความไม่เลอะเลือน ความ งอกงามยิ่งขึ้น ความไพบูลย์ ความเจริญ ความเต็มรอบ แห่งกุศลธรรมทั้งหลาย ที่บังเกิดขึ้นแล้ว. ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า ความเพียรชอบ ภิกษุ ท. ! ความระลึกชอบ เป็นอย่างไร ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นกายในกายอยู่, มีความเพียรเครื่องเผาบาปมีความ รู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ; เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่, มีความเพียรเครื่องเผา บาป มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออก เสียได้ ; เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่, มีความเพียรเครื่องเผาบาป มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ; เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่, มีความเพียรเครื่องเผา บาป มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออก เสียได้. ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า ความระลึกชอบ.
ภิกษุ ท. ! ความตั้งใจมั่นชอบ เป็นอย่างไร ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุ ในกรณีนี้ สงัดแล้วจากกามทั้งหลาย สงัดแล้วจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึง ฌานที่หนึ่ง อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่. เพราะ วิตกวิจารรำงับลง, เธอเข้าถึงฌานที่สอง อันเป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่ สมาธิ แล้วแลอยู่. เพราะปีติจางหายไป, เธอเป็นผู้เพ่งเฉยอยู่ได้ มีสติ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม และได้เสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมเข้าถึงฌานที่สาม อัน เป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย กล่าวสรรเสริญผู้ได้บรรลุ ว่า “เป็นผู้เฉยอยู่ได้ มีสติ มีความอยู่เป็นปกติสุข” แล้วแลอยู่ เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ และ เพราะความดับหายแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน เธอย่อมเข้าถึงฌานที่สี่ อันไม่ทุกข์และไม่สุข มีแต่สติอันบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่. ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า สัมมาสมาธิ. ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า อริยสัจคือหนทางเป็นเครื่องให้ถึงความดับ ไม่เหลือแห่งทุกข์. - มหา. ที. ๑๐/๓๔๐-๓๕๐/๒๙๔-๒๙๙. และนี่แหละ ตัวเลข 1-8 ในการปฏิบัติธรรม ขึ้นอยู่กับผู้ที่มีธุลีในดวงตาน้อย จะหยิบฉวยธรรมะเลขไหน ไปปฏิบัติ |
รู้ธรรม
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?] ภิกษุทั้งหลาย จักไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ จักไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติ ไว้แล้ว, จักสมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้วอย่างเคร่งครัด Group Blog All Blog
Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |