ธรรมะพระศาสดา..ความอยาก (ตัณหา) คือ ต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท

ความอยาก (ตัณหา) คือ ต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท

นี่คืออาการของจิตที่เมื่อ เกิดตัณหาจะเดินไปสู่อาการอย่างนี้

ซึ่งมีอยู่ในตัวเราทุกคน...ลองพิจจารณาดู เพราะธรรมะนี้ ไม่มี

สมณพราหมณ์เหล่าอื่นคัดง้างได้..



เพราะอาศัยตัณหา (ความอยาก) จึงมี การแสวงหา
(ปริเยสนา);
เพราะอาศัยการแสวงหา จึงมี การได้ (ลาโภ);
เพราะอาศัยการได้ จึงมี ความปลงใจรัก (วินิจฺฉโย);
เพราะอาศัยความปลงใจรัก จึงมี ความกำหนัดด้วย
ความพอใจ (ฉนฺทราโค);
เพราะอาศัยความกำหนัดด้วยความพอใจ จึงมี
ความสยบมัวเมา (อชฺโฌสานํ);
เพราะอาศัยความสยบมัวเมา จึงมี ความจับอกจับใจ
(ปริคฺคโห);
เพราะอาศัยความจับอกจับใจ จึงมี ความตระหนี่
(มจฺจริยํ);
เพราะอาศัยความตระหนี่ จึงมี การหวงกั้น
(อารกฺโข);

เพราะอาศัยการหวงกั้น จึงมี เรื่องราวอันเกิดจาก
การหวงกั้น (อารกฺขาธิกรณํ); กล่าวคือ การใช้อาวุธไม่มีคม
การใช้อาวุธมีคม การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท
การกล่าวคำหยาบว่า “มึง ! มึง !” การพูดคำส่อเสียด และ
การพูดเท็จ ทั้งหลาย : ธรรมอันเป็นบาปอกุศลเป็นอเนก
ย่อมเกิดขึ้นพร้อม ด้วยอาการอย่างนี้.
มหา. ที. ๑๐/๖๗/๕๘.



Create Date : 30 ตุลาคม 2555
Last Update : 30 ตุลาคม 2555 8:42:30 น.
Counter : 1449 Pageviews.

4 comment
ธรรมะ พระศาสดา..บทสวดที่พระศาสดาใช้สวดเมื่อปลีกวิเวก

บทสวด ปฏิจจสมุปบาท

อิธะ ภิกขะเว อะริยะสาวะโก ปะฏิจจะ-
สะมุปปาทัญเญวะ สาธุกัง โยนิโส
มะนะสิกะโรติ
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ย่อมกระทำ ไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี
ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนนั่ เทียว ดังนี้ว่า
อิมัส๎มิง สะติ อิทัง โหติ
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี
อิมัสสุปปาทา อิทัง อุปปัชชะติ
เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนจีึ้งเกิดขึ้น
อิมัส๎มิง อะสะติ อิทัง นะ โหติ
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี

อิมัส๎สะ นิโรธา อิทัง นิรุชฌะติ
เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนจีึ้งดับไป
ยะทิทัง
ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ
อะวิชชาปัจจะยา สังขารา
เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย
จึงมีสังขารทั้งหลาย
สังขาระปัจจะยา วิญญาณัง
เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง
เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง
เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ

สะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโส
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
ผัสสะปัจจะยา เวทะนา
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เวทะนาปัจจะยา ตัณหา
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
อุปาทานะปัจจะยา ภะโว
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
ภะวะปัจจะยา ชาติ
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
ชาติปัจจะยา ชะรามะระณัง โสกะปะริ-
เทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา สัมภะวันติ

เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะ-
ปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลาย
จึงเกิดขึ้นครบถ้วน
เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ
สะมุทะโย โหติ
ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
อะวิชชายะเต๎ววะ อเสสะวิราคะนิโรธา
สังขาระนิโรโธ
เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือ
แห่งอวิชชานนั้ นนั่ เทียว จึงมีความดับ
แห่งสังขาร
สังขาระนิโรธา วิญญาณะนิโรโธ
เพราะมีความดับแห่งสังขาร
จึงมีความดับแห่งวิญญาณ

วิญญาณะนิโรธา นามะรูปะนิโรโธ
เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ
จึงมีความดับแห่งนามรูป
นามะรูปะนิโรธา สะฬายะตะนะนิโรโธ
เพราะมีความดับแห่งนามรูป
จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ
สะฬายะตะนะนิโรธา ผัสสะนิโรโธ
เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ
จึงมีความดับแห่งผัสสะ
ผัสสะนิโรธา เวทะนานิโรโธ
เพราะมีความดับแห่งผัสสะ
จึงมีความดับแห่งเวทนา
เวทะนานิโรธา ตัณหานิโรโธ
เพราะมีความดับแห่งเวทนา
จึงมีความดับแห่งตัณหา

ตัณหานิโรธา อุปาทานะนิโรโธ
เพราะมีความดับแห่งตัณหา
จึงมีความดับแห่งอุปาทาน
อุปาทานะนิโรธา ภะวะนิโรโธ
เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน
จึงมีความดับแห่งภพ
ภะวะนิโรธา ชาตินิโรโธ
เพราะมีความดับแห่งภพ
จึงมีความดับแห่งชาติ
ชาตินิโรธา ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะ-
ทุกขะโทมะนัสสุปายาสา นิรุชฌันติ
เพราะมีความดับแห่งชาตินนั่ แล ชรามรณะ
โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสะ
ทั้งหลายจึงดับสิ้น

นี่คือ บทสวด ที่พระศาสดาใช้ สาธยายธรรม เวลาอยู่ผู้เดียว

พระศาสดายังสวด แล้ว เราจะไม่สวดหรือครับ




Create Date : 29 ตุลาคม 2555
Last Update : 29 ตุลาคม 2555 13:04:19 น.
Counter : 1258 Pageviews.

1 comment
ทำไมมนุษย์(บางกลุ่ม) ถึงกราบไหว้ สัตว์เดรัจฉาน...


ภาพด้านบนเป็นการแสดง ภพภูมิ ทั้งหมด ใครต้องการภพไหนภูมิไหน เชิญได้ครับ

ก็ทำบุญทำบาปกันไป...

  แต่เรื่องที่จะเขียนถึง อยู่ที่ อบายภูมิ 4 ชั้น และกามสุคติภูมิ 7 ชั้น ที่รวมทั้งหมด 11 ชั้น

มีชื่อเรียกว่า กามภูมิ..

มนุษย์อย่างเราๆท่านๆ อยู่ กามภูมิชั้นที่ 5    และสัตว์เดรัจฉาน อยู่กามภูมิชั้นที่ 4

แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ อยู่ ภพถูมิสูงกว่า สัตว์เดรัจฉาน...


สาว ใหญ่ตะลึง ตื่นมาเจอรอยประหลาดคล้ายงูขนาดใหญ่เลื้อยวนรอบรถกระบะ มีเกล็ดครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ซ้อนกันเห็นได้ชัด เชื่อปาฏิหาริย์พญานาค โผล่ให้เห็นเป็นประจำช่วงหลังวันออกพรรษา ชาวบ้านทราบข่าวแห่กราบไหว้ ขอโชคลาภ...

พระศาสดาตรัสว่า พญานาค เป็นสัตว์เดรัจฉาน อยู่ภพภูมิต่ำกว่ามนุษย์ 1 ระดับ

.และไม่สามารถบรรลุธรรมได้...ต่างกับมนุษย์ที่ฟังธรรมและบรรลุธรรมได้

ทำไม? คนเราถึงไปกราบไหว้ ผู้ที่อยู่ภพต่ำกว่า...ซึ่งเป็นชั้น เดรัจฉาน



Create Date : 28 ตุลาคม 2555
Last Update : 28 ตุลาคม 2555 10:02:35 น.
Counter : 1352 Pageviews.

1 comment
พระศรีอาริยเมตไตรย..จะมาตรัสรู้เมื่อไหร่?..พระศาสดาทำนายไว้แล้ว


พระศรีอาริยเมตไตรย ชื่อนี้เราชาวพุทธคงได้ยินกันมานานแล้ว นั่นคือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์ต่อจาก พระสมณโคดม ที่จะมาตรัสรู้..อริยสัจสี่ ในอนาคต...

อนาคตนั้นมีเวลานานขนาดไหน คงมีชาวพุทธอยากรู้ บ้างก็คิดค้นว่า หลังจากพุทธศาสนาของ

พระสมณโคดมมีอายุถึง ห้าพันปี ก็จะถึงยุค พระศรีอาริยเมตไตรย...ก็เชื่อๆตามๆกันไป

   ....ลองมาอ่านพระสูตรนี้ดูครับ เพราะพระศาสดาของเราได้ทำนาย อายุของพระศาสนาเอาไว้แล้ว...อยู่ที่ว่า เราจะเชื่อสาวกทำนาย หรือพระศาสดาทำนาย....

[๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหากษัตริย์ไม่พระ
ราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่         หลาย เมื่อความขัดสนถึง
ความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย      เมื่ออทินนาทานถึงความแพร่หลาย ศัสตรา
ก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึงความแพร่หลาย ปาณาติบาตก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อ
ปาณาติบาตถึงความแพร่   หลาย มุสาวาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความแพร่หลาย
แม้อายุ   ของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจาก อายุบ้าง
เสื่อมถอยจากวรรณบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลง เหลือ ๔๐,๐๐๐ ปี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี  บุรุษคนหนึ่งขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป
เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว จึงแสดง     แก่พระราชาผู้กษัตริย์ ซึ่งได้มูรธาภิเษกพร้อมด้วย
กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า             บุรุษผู้นี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อเขาพากันกราบทูลอย่าง  นี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้กะบุรุษนั้นว่า พ่อบุรุษ ได้ยินว่า เธอขโมย
เอาทรัพย์ของ    คนอื่นไปจริงหรือ บุรุษนั้นได้กราบทูล คำเท็จทั้งรู้อยู่ว่า ไม่จริงเลยพระพุทธเจ้าข้า ฯ
      [๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหากษัตริย์ไม่
พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อความขัดสน
ถึงความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย   เมื่ออทินนาทานถึงความแพร่หลาย
ศัสตราก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึงความแพร่หลาย ปาณาติบาตก็ได้ถึงความแพร่หลาย
เมื่อปาณาติบาตถึงความแพร่  หลาย มุสาวาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความ
แพร่หลาย แม้อายุ   ของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อม

 ถอยจาก   อายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี ก็มี  อายุ
๒๐,๐๐๐ ปี ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี บุรุษคนหนึ่งขโมย  เอาทรัพย์ของ
คนอื่นไป บุรุษอีกคนหนึ่งจึงกราบทูลแก่พระราชาผู้กษัตริย์ซึ่งได้      มูรธาภิเษกเป็นการส่อเสียดว่า
พระพุทธเจ้าข้า บุรุษชื่อนี้ ขโมยเอาทรัพย์ ของคนอื่นไป ฯ
      [๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหากษัตริย์ไม่
พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อความขัดสน
ถึงความแพร่หลาย ปิสุณาวาจาก็ได้ถึงความแพร่หลาย      เมื่อปิสุณาวาจาถึงความแพร่หลาย
แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้ วรรณก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง
เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง  บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๑๐,๐๐๐ ปี ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐,๐๐๐ ปี สัตว์บางพวกมีวรรณะดี สัตว์บางพวก
มีวรรณะไม่ดี ในสัตว์ทั้งสองพวกนั้น สัตว์พวกที่มีวรรณะไม่ดี     ก็เพ่งเล็งสัตว์พวกที่มีวรรณดี
ถึงความประพฤติล่วงในภรรยาของคนอื่น ฯ
      [๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหา กษัตริย์ไม่
พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่ หลาย เมื่อความขัดสน
ถึงความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย      เมื่ออทินนาทานถึงความแพร่หลาย
กาเมสุมิจฉาจารก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อ กาเมสุมิจฉาจารถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์
เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้ วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจาก
วรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๑๐,๐๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๕,๐๐๐ ปี ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๕,๐๐๐ ปี ธรรม ๒ ประการคือ  ผรุสวาจาและ
สัมผัปปลาปะก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๒ ประการถึงความ   แพร่หลาย แม้อายุของสัตว์
เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจาก
วรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ   ๕,๐๐๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒,๕๐๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒,๐๐๐ ปี ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๒,๕๐๐ ปี อภิชฌาและพยาบาท    ก็ได้ถึงความ
แพร่หลาย เมื่ออภิชฌาและพยาบาทถึงความแพร่หลาย แม้อายุของ   สัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย

แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุ       บ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของ
มนุษย์ที่มีอายุ ๒,๕๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลง    เหลือ ๑,๐๐๐ ปี ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี มิจฉาทิฐิก็ได้ถึงความ    แพร่หลาย
 เมื่อมิจฉาทิฐิถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย     แม้วรรณะก็เสื่อมถอย
เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะ  บ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี
ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๕๐๐ ปี ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๕๐๐ ปี ธรรม ๓ ประการคือ   อธรรมราคะ
วิสมโลภ  มิจฉาธรรม  ก็ได้ถึงแก่ความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๓ ประการถึงความแพร่หลาย
แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็ เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง
 เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตร   ของมนุษย์ที่มีอายุ ๕๐๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒๕๐ ปี บางพวกมี
อายุ ๒๐๐ ปี ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๒๕๐ ปี ธรรมเหล่านี้คือ ความ ไม่ปฏิบัติชอบ
ในมารดา ความไม่ปฏิบัติชอบในบิดา ความไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ   ความไม่ปฏิบัติชอบใน
พราหมณ์ ความไม่อ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล ก็ได้ ถึงความแพร่หลาย ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหากษัตริย์ไม่ พระราชทาน
ทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงแก่ความแพร่หลาย เมื่อความขัดสนถึงความ
แพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อ      อทินนาทานถึงความแพร่หลาย ศัสตราก็ได้
ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึงความ แพร่หลาย ปาณาติบาตถึงความแพร่หลาย เมื่อ
ปาณาติบาตถึงความแพร่หลาย        มุสาวาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความแพร่หลาย
 ปิสุณาวาจาก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อปิสุณาวาจาถึงความแพร่หลาย กาเมสุมิจฉาจารก็ได้
ถึงความ              แพร่หลาย เมื่อกาเมสุมิจฉาจารถึงความแพร่หลาย ธรรม ๒ ประการคือ ผรุสวาจา
และสัมผัปปลาปะก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๒ ประการถึงความแพร่หลาย   อภิชฌาและ
พยาบาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออภิชฌาและพยาบาทถึงความ        แพร่หลาย มิจฉาทิฐิก็ได้ถึง
ความแพร่หลาย เมื่อมิจฉาทิฐิถึงความแพร่หลาย   ธรรม ๓ ประการคือ อธรรมราคะ วิสมโลภ
มิจฉาธรรม ก็ได้ถึงความแพร่หลาย      เมื่อธรรม ๓ ประการถึงความแพร่หลาย ธรรมเหล่านี้
คือ ความไม่ปฏิบัติชอบใน มารดา ความไม่ปฏิบัติชอบในบิดา ความไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ

ความไม่ปฏิบัติ   ชอบในพราหมณ์ ความไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ก็ได้ถึงความแพร่หลาย
เมื่อธรรมเหล่านี้ถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้  วรรณะก็เสื่อมถอย
เมื่อสัตว์เหล่านั้นเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะ   บ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๒๕๐ ปี
ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๑๐๐ ปี ฯ
      [๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักมีสมัยที่มนุษย์เหล่านี้มีบุตรอายุ ๑๐ ปี ใน     เมื่อมนุษย์มีอายุ
๑๐ ปี เด็กหญิงมีอายุ ๕ ปี จักสมควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ
๑๐ ปี รสเหล่านี้คือเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง        น้ำอ้อย และเกลือ จักอันตรธานไปสิ้น
ดูกรภิกษุทั้งหลายในเมื่อมนุษย์ มีอายุ      ๑๐ ปี หญ้ากับแก้  จักเป็นอาหารอย่างดี ดูกรภิกษุ
ทั้งหลายเปรียบเหมือนข้าวสุก     ข้าวสาลีระคนกับเนื้อสัตว์ จักเป็นอาหารอย่างดี ในบัดนี้
ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย     ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี หญ้ากับแก้ก็จักเป็นอาหารอย่างดี ฉันนั้น
เหมือนกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี กุศลกรรมบถ ๑๐ จักอันตรธานไป
หมดสิ้น อกุศลกรรมบถ ๑๐ จักรุ่งเรืองเหลือเกิน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ   ๑๐ ปี
แม้แต่ชื่อว่ากุศลก็จักไม่มี และคนทำกุศลจักมีแต่ไหน ดูกรภิกษุทั้งหลาย   ในเมื่อมนุษย์มี
อายุ ๑๐ ปี คนทั้งหลายจักไม่ปฏิบัติชอบในมารดา จักไม่ปฏิบัติชอบในบิดา จักไม่ปฏิบัติชอบใน
สมณะ จักไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ จักไม่      ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล เขา
เหล่านั้นก็จักได้รับการบูชา และ    ได้รับการสรรเสริญ เหมือนคนปฏิบัติชอบในมารดา ปฏิบัติชอบ
ในบิดา ปฏิบัติ   ชอบในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ใน
ตระกูล ในบัดนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เขาจักไม่มีจิตคิดเคารพยำเกรงว่า
นี่แม่ นี่น้า นี่พ่อ นี่อา นี่ป้า นี่ภรรยาของอาจารย์ หรือว่านี่ภรรยา    ของท่านที่เคารพทั้งหลาย
 สัตว์โลกจักถึงความสมสู่ปะปนกันหมด เปรียบเหมือน แพะ ไก่ สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ  ๑๐ ปี สัตว์เหล่านั้นต่างก็จักเกิดความอาฆาต ความ
พยาบาท ความคิดร้าย ความ คิดจะฆ่าอย่างแรงกล้าในกันและกัน มารดากับบุตรก็ดี บุตรกับ
มารดาก็ดี บิดากับ   บุตรก็ดี บุตรกับบิดาก็ดี พี่ชายกับน้องหญิงก็ดี น้องหญิงกับพี่ชายก็ดี จักเกิด
ความ     อาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่ากันอย่างแรงกล้า นายพรานเนื้อเห็นเนื้อ

เข้าเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่า อย่างแรงกล้าฉันใด ฉันนั้น
เหมือนกัน ฯ
      [๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี จักมีสัตถันตรกัปสิ้น ๗ วัน
มนุษย์เหล่านั้นจักกลับได้ความสำคัญกันเองว่าเป็นเนื้อ ศัสตราทั้ง   หลายอันคมจักปรากฏมีในมือของ
พวกเขา พวกเขาจะฆ่ากันเองด้วยศัสตราอันคม    นั้นโดยสำคัญว่า นี้เนื้อ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้น บางพวกมี           ความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราอย่าฆ่าใครๆ และใครๆ ก็อย่า
ฆ่าเรา อย่ากระนั้น  เลย เราควรเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ หรือซอกเขา
มีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ เขาพากันเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้   ระหว่าง
เกาะหรือซอกเขา มีรากไม้และผลไม้ ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ตลอด    ๗ วัน เมื่อล่วง ๗ วันไป
เขาพากันออกจากป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ  ซอกเขา แล้วต่างสวมกอดกันและกัน
จักขับร้องดีใจอย่างเหลือเกินในที่ประชุม ว่า สัตว์ผู้เจริญ เราพบเห็นกันแล้ว ท่านยังมีชีวิตอยู่
หรือๆ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น สัตว์เหล่านั้น จักมีความคิดอย่างนี้ว่า เรา ถึงความ
สิ้นญาติอย่างใหญ่เห็นปานนี้ เหตุเพราะสมาทานธรรมที่เป็นอกุศล อย่ากระนั้นเลยเราควร
ทำกุศล ควรทำกุศลอะไร เราควรงดเว้นปาณาติบาต ควรสมาทาน กุศลธรรมนี้แล้ว
ประพฤติ เขาจักงดเว้นจากปาณาติบาต จักสมาทานกุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะเหตุที่
สมาทานกุศลธรรม เขาจักเจริญด้วยอายุบ้าง  จักเจริญด้วยวรรณะบ้าง เมื่อเขาเจริญด้วยอายุบ้าง
เจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ทั้งหลายที่มีอายุ ๑๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐ ปี ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นสัตว์เหล่านั้นจักมีความคิดอย่างนี้ว่า เรา เจริญด้วยอายุบ้าง
เจริญด้วยวรรณะบ้าง เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรม อย่า กระนั้นเลย เราควรทำกุศลยิ่งๆ
 ขึ้นไป ควรทำกุศลอะไร เราควรงดเว้นจาก   อทินนาทาน ควรงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร
ควรงดเว้นจากปิสุณาวาจา ควรงดเว้น  จากผรุสวาจา ควรงดเว้นจากสัมผัปปลาปะ ควรละอภิชฌา
ควรละพยาบาท ควรละมิจฉาทิฐิ ควรละธรรม ๓ ประการ คืออธรรมราคะ วิสมโลภ มิจฉาธรรม
อย่ากระนั้นเลยเราควรปฏิบัติชอบในมารดา ควรปฏิบัติชอบในบิดา ควรปฏิบัติชอบในสมณะ
ควรปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ควรประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ใน    ตระกูล ควรสมาทาน
กุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เขาเหล่านั้นจักปฏิบัติชอบในมารดาปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติชอบ
ในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติ   อ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล จักสมาทาน
กุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะ   เหตุที่สมาทานกุศลธรรมเหล่านั้น เขาเหล่านั้นจักเจริญด้วย

อายุบ้าง จักเจริญด้วย  วรรณะบ้าง เมื่อเขาเหล่านั้นเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง
บุตรของคน ผู้มีอายุ ๒๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐ ปี จักมีอายุเจริญ
ขึ้นถึง ๘๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๘๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๑๖๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ
๑๖๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๓๒๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๓๒๐ ปี  จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๖๔๐ ปี
บุตรของคนผู้มีอายุ ๖๔๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒,๐๐๐ ปี
จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔,๐๐๐ ปี บุตร ของคนผู้มีอายุ ๔,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๘,๐๐๐ ปี
บุตรของคนมีอายุ ๘,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี
จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญ ขึ้นถึง ๘๐,๐๐๐ ปี ฯ
      [๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เด็กหญิงมี  อายุ ๕๐๐ ปี
จึงจักสมควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักเกิดมีอาพาธ
๓ อย่าง คือ ความอยากกิน ๑ ความไม่อยากกิน ๑    ความแก่ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อ
มนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้จัก       มั่งคั่งและรุ่งเรือง มีบ้านนิคมและราชธานีพอชั่วไก่
บินตก ดูกรภิกษุทั้งหลาย      ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้ประหนึ่งว่าอเวจีนรก
จักยัดเยียดไป    ด้วยผู้คนทั้งหลาย เปรียบเหมือนป่าไม้อ้อ หรือป่าสาลพฤกษ์ฉะนั้น ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เมืองพาราณสีนี้ จัก เป็นราชธานี
มีนามว่า เกตุมดี เป็นเมืองที่มั่งคั่งและรุ่งเรืองมีพลเมืองมาก มีผู้คน   คับคั่ง และมีอาหาร
สมบูรณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี    ในชมพูทวีปนี้จักมีเมือง
๘๔,๐๐๐ เมือง มีเกตุมดีราชธานีเป็นประมุข ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักมีพระเจ้าจักรพรรดิ์ทรงพระนาม
ว่า พระเจ้าสังขะ ทรงอุบัติขึ้น ณ เกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม
เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต    ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคง
สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือจักรแก้ว ๑  ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ แก้วมณี ๑ นางแก้ว ๑
 คฤหบดีแก้ว ๑ ปริณายกแก้วเป็น  ที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ
มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์              สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดย
ธรรมมิต้องใช้อาชญา มิต้อง ใช้ศัสตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรง พระนามว่า
เมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อม
ด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี  ฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่น
ยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้       เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม
เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้ เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา
และจรณะ ไปดีแล้ว รู้แจ้ง โลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา
และมนุษย์   ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์
พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้   แจ้งชัดด้วยพระปัญญา
อันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้
รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก      มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วย
ปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์
ให้รู้ตามอยู่ พระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามใน
เบื้องต้น งามในท่ามกลาง งาม    ในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้ง
พยัญชนะ บริสุทธิ์  บริบูรณ์สิ้นเชิง บริบูรณ์สิ้นเชิง พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น
จักทรงบริหาร    ภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ฉะนั้น ฯ


อาจจะยาวซักนิด แต่ก็เป็นประโยชน์สำหรับชาวพุทธครับ

และจะได้ทราบว่า อายุของพระศาสนาไม่ใช่ ห้าพันปี แต่ให้ทราบว่าถ้ามนุษย์

มีอายุไขแค่ 10 ปีก็ให้ทราบว่า  นั่นคือกำลังเดินทางไปสู่ตามที่พระศาสดา

ทำนายไว้..และวันนี้มนุษย์อยู่ในอายุไข 100 ปี...

  ***เมื่อเราเกิดมาแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บังเกิดแล้ว ธรรมและวินัย

ก็กระจายไปทั่วโลกแล้ว...ทำไมไม่ปฏิบัติธรรม..ทำไมต้องรอยุคของ

พระศรีอาริยเมตไตรย   เพราะถ้าถึงวันนั้น ท่าอาจจะไม่ได้เกิดเป็น..คน...ก็ได้



Create Date : 27 ตุลาคม 2555
Last Update : 27 ตุลาคม 2555 10:07:44 น.
Counter : 1257 Pageviews.

2 comment
พุทธวจน ธรรมะจากพระโอษฐ์.. ก่อนแผ่เมตตาอุทิศบุญ...ต้องละนิวรณ์ห้า เพื่อใหจิตมีกำลัง


ก่อนที่จะแผ่เมตตาหลังจากการทำบุญ - ทำทาน -รักษาศีล และนั่งสมาธิ

บุคคลนั้นต้องทำจิตให้ปราศจาก นิวรณ์ห้า (เครื่องที่ทำให้จิตอ่อนกำลัง)

หากจิตยังมีนิวรณ์ห้า เหมือนน้ำที่ไหลจากยอดเขาลงสู่เบื้องล่าง แต่น้ำนั้น

มีถึง 5 ช่องทางที่แยกออกมา ความแรงของน้ำจึงลดน้อยลง...

แต่ถ้าจิตปราศจากนิวรณ์ห้า เหมือนน้ำที่ไหลลงมาสายเดียว จึงมีความรุนแรง

**ฉันใดก็ฉันนั้นครับ.....อ่านพระสูตรนี้ครับ

ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุที่ไม่ละนิวรณ์อันเป็น

เครื่องกางกั้นจิต ๕ อย่างเหล่านี้แล้ว จักรู้ซึ่งประโยชน์ตน

หรือประโยชน์ผู้อื่น หรือประโยชน์ทั้งสองฝ่าย หรือจัก

กระทำ ให้แจ้งซึ่งญาณทัสสนะอันวิเศษอันควรแก่ความ

เป็นอริยะ ยิ่งกว่าธรรมดาแห่งมนุษย์ ด้วยปัญญาอัน

ทุพพลภาพ ไร้กำ ลัง ดังนี้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนแม่น้ำที่ไหลลง

จากภูเขา ไหลไปสู่ที่ไกล มีกระแสเชี่ยว พัดพาสิ่งต่างๆ

ไปได้ มีบุรุษมาเปิดช่องทั้งหลายที่เขาขุดขึ้น ด้วยเครื่องไถ

ทั้งสองฝั่งแม่น้ำนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ กระแสกลางแม่น้ำนั้น

ก็ซัดส่าย ไหลผิดทาง ไม่ไหลไปสู่ที่ไกล ไม่มีกระแสเชี่ยว

ไม่พัดสิ่งต่างๆ ไปได้, นี้ฉันใด;

ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน : ภิกษุที่

ไม่ละนิวรณ์อันเป็นเครื่องกางกั้นจิต ๕ อย่างเหล่านี้แล้ว

จักรู้ซึ่งประโยชน์ตน หรือประโยชน์ผู้อื่น หรือประโยชน์ทั้ง

สองฝ่าย หรือจักกระทำให้แจ้งซึ่งญาณทัสสนะอันวิเศษ อันควร

แก่ความเป็นอริยะ ยิ่งกว่าธรรมดาแห่งมนุษย์ ด้วยปัญญา

อันทุพพลภาพไร้กำลัง ดังนี้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.




Create Date : 26 ตุลาคม 2555
Last Update : 26 ตุลาคม 2555 12:14:31 น.
Counter : 3015 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

รู้ธรรม
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]



ภิกษุทั้งหลาย จักไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ จักไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติ
ไว้แล้ว, จักสมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้วอย่างเคร่งครัด
All Blog