 |
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
 |
|
|
ตอบคำถามท้ายเรื่อง
ถาม: ผู้พิพากษาตัดสินจำคุก หรือประหารชีวิตคน จะเป็นบาปหรือไม่ ?
ตอบ: เรื่องนี้พระให้แต่หลัก เรื่องการทำหน้าที่ของผู้พิพากษานี้ พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ ขอเล่านิดหนึ่ง ท่านพูดถึงหลักการปกครอง และการรักษาความเป็นธรรม โยงมาถึงเรื่องของผู้พิพากษา ในหลักธรรมก็เหมือนกับมีตัวอย่างให้แนวทางไว้ แล้วเราก็มาพิจารณาเอาเอง
เรื่องนี้มาในพระสูตรหนึ่ง ซึ่งโคปกโมคคัลลานสูตร เป็นเหตุการณ์หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว วันหนึ่ง เสนาบดีของแคว้นมคธ ชื่อวัสสการพราหมณ์ ท่านทั้งหลายคงเคยได้ยิน วัสสการพราหมณ์นี้สำคัญมาก เขามีผู้ร่วมงานคู่กันอีกคนหนึ่งชื่อว่าสุนียะ สองคนนี้เป็นเสนาบดีที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอชาตศัตรู ตั้งแต่สมัยของพระราชบิดา คือพระเจ้าพิมพิสาร
เสนาบดี กำลังดูแลบ้านเมือง หลังจากพระเจ้าพิมพิสารสวรรคตไปแล้ว และพระพุทธเจ้าก็เสด็จปรินิพพานไปแล้ว วันหนึ่ง ท่านมหาอำมาตย์ หรือเสนาบดี ก็เดินตรวจราชการ และได้มาถึงที่พักของพระอานนท์ ท่านเข้าไปหาพระอานนท์ และเข้าไปสนทนา
ท่านเสนาบดีถามพระอานนท์ตอนหนึ่งว่า เวลานี้ พระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานแล้ว พระพุทธเจ้าได้ตั้งใครไว้ให้เป็นผู้สืบต่อตำแหน่งของพระองค์ในการปกครองคณะสงฆ์ พระอานนท์ตอบว่า ไม่ได้ตั้งไว้
เสนาบดีนี้ เป็นนักปกครอง ได้ทำงานราชการแผ่นดินมาอย่างเชียวชาญมาก กระทั่งว่าสามารถดำเนินการปราบแคว้นวัชชีได้ (มีเรื่องเล่าในสามัคคีเภทคำฉันท์) ท่านวัสสการพราหมณ์เสนาบดีก็บอกว่า มีอย่างที่ไหนล่ะ การปกครองหมู่คณะใหญ่โต ถ้าไม่มีผู้นำ ไม่มีหัวหน้าจะอยู่กันได้อย่างไร
พระอานนท์ก็ ตอบว่า พวกเรามิใช่ไม่มีหัวหน้า แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้แต่งตั้งไว้
อ้าว...แล้วท่านทำอย่างไร พระอานนท์ก็ตอบว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงวางหลักธรรมไว้ให้ว่า ผู้ใดประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ นี้ ภิกษุทั้งหลายก็พึงนับถือผู้นั้น ให้เป็นผู้ใหญ่ เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำ หลักธรรมนั้น ท่านเรียกว่า เถรธรรม ๑๐ ประการ ก็เมื่อมีพระภิกษุที่มีคุณสมบัตินี้ ภิกษุทั้งหลาย คือสงฆ์ ก็ยกย่องท่านผู้นั้นขึ้นไปเป็นหัวหน้า เราจึงมีหัวหน้าด้วยประการฉะนี้ โดยไม่ต้องตั้ง นี่แหละจึงว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ตั้งใคร
ก็เป็นอันว่า พระอานนท์ตอบเสร็จแล้ว บอกว่าไม่ต้องตั้ง แต่มีหัวหน้า คือมีขึ้นโดยหลักการ เมื่อมีหลักการให้ไว้ ก็ว่าไปตามหลักการนั้น มันก็จึงเป็นไปเอง ตามหลักการนั้นแหละ
ทีนี้ ต่อไปนี้ เวลามีภิกษุทำความผิด แล้วจะดำเนินการแก้ไข ก็ต้องตัดสินโทษ เมื่อจะลงโทษนั้น จะทำอย่างไร ในเรื่องนี้ ท่านก็บอกหลักการไว้ คือว่า หลักการมีอยู่ ได้แก่ธรรมวินัย ดังเช่นในพระวินัย ก็มีข้อบัญญัติว่า เมื่อภิกษุทำผิดข้อนี้ๆ ก็มีโทษอย่างนี้ๆ เมื่อภิกษุต้องอาบัตินี้ ให้ดำเนินการ ให้ปฏิบัติอย่างนี้ๆ
เมื่อมีภิกษุทำความผิด สงฆ์ก็ประชุมกัน แล้วก็ยกเอาหลักการตามพระธรรมวินัยนี้ขึ้นมา หลักการนั้นว่าอย่างไร สงฆ์นั้นก็เพียงแต่ว่า เหมือนมาเป็นกระบอกเสียงให้แก่ตัวธรรมวินัย แล้วภิกษุนั้นก็ถูกตัดสิน โดยหลักธรรมวินัย ภิกษุทั้งหลายที่มาประชุมนั้น ไม่ใช่เป็นผู้ตัดสินเพียงแต่ยกเอาหลักขึ้นมาแสดงตามที่ท่านบัญญัติไว้ หลักการหรือตัวธรรมวินัยนั่นเองเป็นผู้ตัดสิน
นี่ก็คือ ที่แท้นั้น ผู้พิพากษาไม่ได้ไปตัดสินใคร ถ้าปฏิบัติถูกนะ ถ้าใจเป็นกลางจริงๆ ก็ไม่มีตัวตนแล้ว คืออยู่กับปัญญาที่รู้ความจริง ที่เป็นธรรมะ ที่เป็นหลักการ ที่เป็นกฎกติกานั้น เจตนาก็มุ่งจะรักษาความเป็นธรรม ก็เอาตัวหลักการ ที่วางไว้นั้น ยกขึ้นมาบอกให้รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ๆ แล้วก็ว่าไปตามนั้น ก็คือ ผู้พิพากษาไม่ได้มีตัวตนของตนเอง เพราะไม่มีเจตนาของตัวเอง แต่เจตนานั้นอยู่ที่ธรรม เจตนานั้นคือธรรม ฉะนั้น ธรรมะก็ตัดสิน เรียกว่า "ธรรมตัดสิน"
ในที่นั้น พระอานนท์ก็บอกว่า ภิกษุทั้งหลายไม่ได้ลงโทษเขา ภิกษุทั้งหลายไม่ได้ตัดสินเขา แต่ธรรมวินัยตัดสิน ธรรมวินัยเป็นผู้ลงโทษ ถ้าใช้ภาษาปัจจุบัน ก็ถือว่าพระภิกษุทั้งหลายในที่ประชุมนั้น เป็นเหมือนกระบอกเสียงให้แก่ธรรมเท่านั้นเอง นี่จะเข้ากันได้ไหม เป็นเรื่องที่พระอานนท์เล่าไว้ ว่าไปตามที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดง และบัญญัติไว้ในหลักธรรมวินัย
ถาม: สมมติว่าถ้าเป็นการตัดสินผิดพลาดไปล่ะ
ตอบ: นี่แหละ อย่างที่บอกในตอนต้น มีสองขั้นตอน ดังที่ว่า เราทำหน้าที่โดยไม่มีตัวตนของเรา ก็คือ เมื่อเราทำโดยเจตนาที่บริสุทธิ์ มันก็จะมีแต่ตัวหลักการ ตัวธรรมวินัย ตัวบท กฎหมาย ตัวบัญญัติเท่านั้น ส่วนเรานี้ ก็ทำหน้าที่ไป เราเป็นเพียงทางผ่านไป หรือเป็นสื่อให้เท่านั้นเอง คือถ้าทำได้ตามนี้ การบรรลุผลสำเร็จของผู้พิพากษา ก็คืออยู่ในภาวะที่ว่ามานี้
แต่ทำอย่างไรเราจะบรรลุภาวะนี้ได้ ก็อยู่ที่ว่า ปัญญาและเจตนาต้องสมบูรณ์ อย่างที่ว่าเมื่อกี้ คือ ปัญญาก็รู้ความจริงชัดเจน หลักการปฏิบัติการ ข้อมูลอะไรต่างๆ เหตุการณ์ คดีอย่างไร ชัดหมด แล้วก็เจตนาก็มุ่งเพื่อธรรมจริงๆ ถึงตอนนี้ก็ไม่มีตัวตนแล้ว
แต่ทีนี้ ความสมบูรณ์ของปัญญา และเจตนาเป็นตัวกำหนดท่านจึงว่า นี่แหละต้องพยายาม ต้องเตือนตนด้วยสติว่าปัญญาของเราเข้าใจถึงความจริงชัดเจนไหม ให้มั่นใจที่สุด และเจตนาต้องมั่นใจที่สุดว่า เราทำนี้ด้วยเจตนาบริสุทธิ์จริงๆ ตั้งใจดีจริงๆ
ถ้าเรามั่นใจในสองอย่างนี้แล้ว ในที่สุด ได้เท่าไร ก็เท่านั้น และเมื่อตัดสินไปแล้ว ถ้าผิดพลาด ก็รู้ว่าผิดพลาด ท่านก็มีธรรมะให้อีกว่าให้ไม่ประมาทในการศึกษาต่อไป หมายความว่า หลังจากนี้ไปเราไม่ปล่อยนะ ไม่ใช่ว่าเราจะหลงตัวเอง มัวเพลิดเพลินอยู่ แต่เราจะศึกษาฝึกฝนอีก ถ้ามีข้อผิดพลาดอะไรที่ทำให้ยังไม่สมบูรณ์ เราก็มาศึกษาปรับปรุง แก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ในคราวต่อไป ก็มีแต่จะดียิ่งขึ้น ไม่ต้องไปเสียใจย้อนหลัง
Create Date : 04 พฤศจิกายน 2564 |
Last Update : 30 มกราคม 2566 14:07:20 น. |
|
0 comments
|
Counter : 346 Pageviews. |
 |
|
|
|
|
 |
|
|
|