Sweet Sixteen ... ครบรอบวันเกิดแล้ว อยากได้อะไร (2002)



ภาพของปัญหาทางสังคม ทางครอบครัว หรือการเมือง มักเป็นประเด็นหลักสำหรับ Ken Loach ผู้กำกับสูงวัยชาวอังกฤษ นำมาเสนอในผลงานการกำกับของเขาอยู่เสมอ ใน Kes (1969) ได้ตีแผ่ปัญหาเรืองนโยบายการศึกษาของอังกฤษ, Land and Freedom (1995) เกี่ยวกับหนุ่มอังกฤษผู้ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์เข้าร่วมต่อสู้กับกองทัพฟาสซิสม์ในช่วงสงครามกลางเมืองในสเปน, Carla’s Song (1996) เกี่ยวกับความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางสงครามกลางเมืองในนิคารากัวของหนุ่มโซเฟอร์รถเมล์ชาวอังกฤษและสาวชาวนิคารากัว และล่าสุด The Wind That Shakes the Barley (2006) ก็เล่าย้อนไปในปี 1920 เกี่ยวกับกองกำลังกู้ชาติไอริชที่ต่อต้านการคุกคามของกองทัพอังกฤษ (หนังเรื่องนี้ทำให้ Ken Loach ได้รับรางวัล ปาล์มทองคำ จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ในปี 2006)

และใน Sweet Sixteen หนังปี 2002 เป็นหนังที่นำเสนอในด้านปัญหาของเยาวชนในสก็อตแลนด์ ที่มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมทั้งเรื่องการศึกษา ความรุนแรงทั้งในและนอกครอบครัว โดยมีประเด็นหลักคือ “ ความอบอุ่นของครอบครัว ” ที่ตัวละครหลักของเรื่องถวิลหาอยู่ทุกลมหายใจ

ที่เมือง Greenock เมืองท่าที่อยู่ไม่ห่างไกลนักจาก Glasgow เมืองหลวงของ Scottland

Liam (Martin Compston ) เด็กหนุ่มวัย 15 ปี และเพื่อนซี้ Pinball (William Ruane) หารายได้เล็กๆน้อยๆจากการเก็บเงินเด็กๆเพื่อแลกกับการส่องกล้องดูดาว และ ตระเวนขายบุหรี่ราคาถูกให้ลูกค้าในร้านอาหารทั่วไปในย่าน แม้จะถูกเจ้าของร้านไล่ตะเพิดอยู่ทุกครั้งที่เข้าไปยุ่มย่ามวุ่นวายในร้าน แต่ก็ยังดูเป็นเรื่องสนุกสนานดีอยู่สำหรับเด็กหนุ่มรุ่นนี้

วันหนึ่ง Liam ถูก Stan (Gary McCormack ) ดีลเลอร์ค้ายาแฟนใหม่ของแม่และตา บังคับให้เขาซ่อนยา (เฮโรอีน) ไว้ในปากเพื่อเอาไปส่งต่อให้ Jean (Michelle Coulter) แม่ที่อยู่ในคุก เพื่อเธอจะได้ส่งต่อให้ผู้หญิงในคุกรายอื่นๆอีก แต่ Liam ไม่ยอมทำตาม จึงถูกตาและ Stan ทำร้ายร่างกายจนน่วมและโดนไล่ออกจากบ้าน Liam จึงออกมาอยู่กับพี่สาว Chantelle (Annmarie Fulton) ที่แม้จะอายุไล่เลี่ยกันแต่ก็มีลูกชายแล้ว 1 คน อายุราว 4 ขวบ ชื่อ Calum (Calum McAlees)

Liam และ Pinball บังเอิญไปรู้ที่ซ่อนยาของ Stan
Liam และ Pinball จึงร่วมกันวางแผนไปขโมยมาและจัดแจงแบ่งขายให้กับเด็กวัยรุ่นละแวกนั้น

ถัดจากนั้นไม่กี่วัน Liam ไปเจอบ้านรถคาราวานคันหนึ่ง ที่ตั้งอยู่อย่างสงบริมทะเล เขาเคยใฝ่ฝันว่าถ้าแม่พ้นโทษออกมาแล้ว ก็อยากจะให้ทุกคนคือ เขา แม่ Chantelle และ Calum ได้อยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้า Liam จึงตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะหาเงินมาซื้อรถบ้านหลังนี้ให้ได้ ให้ทันก่อนแม่จะพ้นโทษออกมาในอีก 2 เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับใกล้วันคล้ายวันเกิดครบรอบ 16 ปีของเขาด้วย ตอนนี้เท่าที่คิดออกก็มีอยู่วิธีเดียวเท่านั้นที่จะหาเงินมาให้ได้เป็นกอบเป็นกำในเวลากระชั้นคือ ไป โขมย ยาของ Stan มาอีกและต้องมากกว่าเดิม



เมื่อของมีมาก อยากได้เงินเร็ว ลำพังแค่เด็กแถวบ้านต่อให้ปล่อยของให้ครบทุกคนแล้ว ก็ยังมีเหลืออีกเพียบ เลยต้องเร่งหาวิธีกระจายจ่ายออกให้ได้มากกว่านี้ Liam จึงวางแผน ด้วยการขอซ้อนท้ายติดรถมอเตอร์ไซค์ส่งพิซซ่าซึ่งก็เป็นร้านของเพื่อนเขาเองนั่นแหละออกไปส่งยาตามเขตที่เมื่อก่อนเขาไปไม่ถึง รายได้จากการขายยา Liam ก็นำมาแบ่งให้เจ้าของร้านและเด็กส่งตามสัดส่วน ซึ่งก็ดูจะไม่มีปัญหาอะไร

แต่ปัญหาจริงๆมันอยู่ที่ กลายเป็นว่า Liam ขายยาตัดลูกค้าของดีลเลอร์ใหญ่ Tony (Martin McCardie) Liam กับ Pinball เลยถูกจับไปเค้นเอาความจริงว่าไปรับยามาจากไหน และด้วยความที่ Liam ออกหน้ารับแทนเพื่อนทุกอย่าง เขาจึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นคนส่งยาให้กับแก็งค์ Tony ซึ่งทำให้ Pinball ไม่พอใจพาลเคืองโกรธทั้ง Liam และ Tony

เช้าวันที่ Liam ไปรับแม่ออกจากคุก เขาพาแม่ไปพักที่ คอนโดมีเนียมหรูหราย่านคนรวยริมทะเล และจัดปาร์ตี้เลี้ยงฉลองกันอย่างครื้นเครงในค่ำนั้น และเมื่อถึงเช้าวันใหม่ Liam ก็มารู้ว่า แม่เก็บข้าวของออกไปอยู่กับ Stan แล้ว

Liam โทษ Chantelle ว่าที่แม่หนีไปนั้นเพราะเธอไม่เคยให้อภัยไม่เคยยกโทษให้แม่เลยที่ทิ้งเธอและเขาไว้ให้สถานสงเคราะห์เลี้ยงดูตั้งแต่เด็กๆ ซึ่ง Chantelle ปฏิเสธทุกคำกล่าวหาที่ Liam เอ่ยมา และทั้งสองก็ทะเลาะกันถึงขั้นลงไม้ลงมือ

แล้ว Liam ก็ผลุนผลันออกไปตามแม่ที่บ้านของ Stan เกิดมีปากเสียง Liam ระงับอารมณ์ไม่อยู่ ทำร้ายร่างกาย Stan บาดเจ็บสาหัส แล้วหนีไป



ตำรวจออกตามหาตัวเขาในเช้านั้น ซึ่งเป็นวันที่เขาอายุ ครบ16 ปีบริบูรณ์พอดี

จากเรื่องราวที่เกิดขึ้น และปัญหาที่ลุกลามเกินแก้ในชีวิตของ Liam แท้จริงแล้ว สาเหตุมันก่อมาจากอะไรกันแน่ ทำไมเด็กอายุเพียง 15 16 ปี ต้องมาถูกตำรวจตามล่าในวันที่เขาน่าจะมีความสุขที่สุดอีกวันหนึ่ง แล้วอย่างนี้จะโทษใคร มีใครใส่ใจรับผิดชอบกับชีวิตของเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติได้บ้างไหม

ทั้งๆที่ Liam เป็นเด็กหนุ่มที่คิดดี ที่ไม่ยอมส่งยาต่อให้แม่ในคุกเพราะหากแม่ถูกค้นตัว แม่ก็จะได้รับโทษอย่างหนัก และตื่นเต้นมากเมื่อเห็นบ้านรถคาราวาน พร้อมกับวาดภาพคนในครอบครัวอยู่พร้อมหน้า อีกทั้ง Liam ยังยอมรับข้อเสนอที่ทำให้เขาลำบากใจจาก Tony เพื่อแลกกับคอนโดมีเนียมหรูหราก็เพื่อหวังให้แม่ได้พ้นจากสภาพแวดล้อมเลวๆที่เกิดจาก Stan หลังแม่พ้นโทษออกมา

ความรักและความอบอุ่นของครอบครัว เป็นสิ่งที่ Liam แสวงหาและพยายามไขว่คว้าไว้เสมอเมื่อเห็นช่องทาง

แต่แค่ความคิดและสำนึกที่ดีในเรื่องครอบครัว มันก็ไม่สามารถการันตีได้ว่า คุณจะเป็นคนดีมีคุณภาพในสังคมอันย่ำแย่เสมอไป หากความใฝ่ดีนั้น ไม่ได้ถูกขัดเกลาให้ใช้เหตุและผล เพื่อแยกแยะ”การกระทำ” อันที่อาจชี้เป็นหรือตายให้กับอนาคตคุณได้ การเรียนรู้ การได้รับการอบรมและการได้รับการศึกษาจึงมีส่วนช่วยกรองความคิดและกลั่นออกมาให้เป็นรูปธรรมในการแสดงออกที่ดี ซึ่งการเรียนของ Liam ถูกบอกผ่านการสนทนาของ Stan และแม่ ว่า เขาไม่ได้ไปโรงเรียนมาแล้ว 9 เดือน !

กระนั้น หนังก็ยังเสียดสีสังคม ด้วยการให้ Liam เป็นเด็กฉลาด มีไหวพริบ มีหัวทางด้านการบริหารและจัดการเรื่องธุรกิจ หากแต่ทั้งหมดกลับตกไปอยู่ภายใต้วงการค้ายาเสพติด แทนที่จะเป็นการนำสมองมาใช้ในเรื่องดีดี

ด้วยความที่ Paul Laverty คนเขียนบทคู่บุญขาประจำของ Ken Loach เข้าอกเข้าใจในการทำงานของผู้กำกับที่มักเน้นและย้ำถึงความสมจริงเพื่อความหนักแน่นของเรื่องราว เขาจึงไม่ละเลยที่จะใส่รายละเอียดอันลุ่มลึกทางอารมณ์ให้กับตัวละครหลัก อันที่จะไปสอดคล้องกับปัญหาในวงกว้างที่ตัวละครเผชิญอยู่ อย่างเช่น

ฉากที่ Liam และ Chantelle นั่งคุยกันเรื่องบ้านและเรื่องแม่ คำพูดของ Liam บางประโยคเกิดไปสะกิดใจและดูเหมือนตำหนิพี่สาวกลายๆ เธอจึงโกรธเดินหนีเข้าห้องปิดประตูร้องไห้ แม้ Liam จะตามมายืนพูดขอโทษเธอหลายต่อหลายครั้งที่หน้าห้อง เธอก็ยังขึงขังไม่ยอมพูดอะไร

Liam :: ชานเทล ชั้นขอโทษ ขอโทษจริงๆนะ เปิดประตูเหอะ
เงียบ………
Liam :: เปิดประตูเถอะ…..นะ …..เดี๋ยวชั้นให้กอด... นะ

เงียบไปครู่ แล้ว Chantelle ก็เปิดประตูออกมาและโอบกอดรอบคอน้องชายไว้แน่น

สิ่งที่เรามองเห็นผ่านฉากนี้ คือ ผลลัพท์ที่เกิดจากปัญหาของเด็กวัยรุ่นที่มีเพศสัมพันธ์จนเลยเถิด นั่นคือความโดดเดี่ยวของ Chantelle ที่ยืนหยัดเลี้ยงลูกเพียงลำพังโดยไม่มีพ่อของลูกมาคอยแบ่งเบาเลย และในเวลาที่จิตใจอ่อนแอเช่นนี้ การได้สวมกอดน้องชาย ก็ทำให้รู้สึกได้ว่าในชีวิตนี้อย่างน้อยก็มีอยู่หนึ่งคนที่พร้อมจะยืนเคียงข้างเธอ

สำหรับ Liam การได้โอบกอดพี่สาว เป็นการช่วยย้ำเตือนใจเขาว่าตอนนี้ เรามีกันอยู่แค่สองคนเท่านั้น (สาม กับหลานชาย) เพราะฉะนั้น เราควรที่จะทำดีพูดดีต่อกัน รักษากันและกันไว้ให้ได้นานตลอดไป

และฉากที่ว่านี้ ได้กลายเป็นภาพความประทับใจไม่รู้ลืมของผู้เขียนคนนี้ไปแล้วด้วย

ในโลกของ Liam การคิดดี ใฝ่ดี ได้ผลักดันให้เขาทำอะไรหลายอย่างที่เกินกำลังและต้องเสี่ยงกับผลตอบแทนที่เจ็บปวดอยู่เสมอ แม้จะต้องเอาทั้งใจและร่างกายเข้าแลกก็ไม่สะทกสะท้าน แต่…กว่าจะรู้ตัวว่ามีผลร้ายใหญ่หลวงตามมา ก็กลับเกินกำลังที่จะแบกรับไว้ได้สำหรับคนวัยเช่นเขา

หนังเลือกที่จะจบ ไว้ตรงที่ Liam เหม่อมองออกไปยังท้องทะเลที่กว้างยาว และผืนฟ้าที่หาขอบเขตไม่ได้ ที่เหมือนกับชีวิตเขา ก็ยังสรุปไม่ได้และไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงต่อไป

หนังจบ แต่เรื่องราวของชีวิตยังไม่จบลงง่าย และยังต้องดำเนินต่อไปอีกยาว จนกว่าจะหมดอายุไข



Sweet Sixteen ได้รับรางวัล Best British Independent Film จากเวที British Independent Film Awards 2002

Martin Compston หรือน้องเลียม ได้รับรางวัลชนะเลิศ Most Promising Newcomer ในเวทีเดียวกัน รวมทั้ง Best Actor in a Feature Film ของเวที BAFTA Awards, Scotland 2002

Paul Laverty คนเขียนบท ได้รับรางวัล Best Screenplay จาก Cannes Film Festival 2002

Ken Loach ผู้กำกับ ได้รับรางวัล FIPRESCI Prize จาก European Film Awards 2002 และถูกเสนอชื่อเข้าชิง Golden Palm จาก Cannes Film Festival 2002
( …..และอีกเยอะ)


**
หนังของ ผู้กำกับ Ken Loach เรื่อง Carla’s Song (1996) เคยฉายในเทศกาลภาพยนตร์อังกฤษที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในกรุงเทพฯ ปี 1997 โดยมี Trainspotting (1996) เข้าร่วมฉายด้วย ( เรียกว่าเป็นหนังพระเอกของงานน่าจะถูกต้องกว่า )

และ Sweet Sixteen (2002) เคยฉายในเทศกาลภาพยนตร์อังกฤษในกรุงเทพฯ ในปี 2003 โดยเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก ไม่แพ้เรื่อง Bend it Like Beckham (2002) ที่ฉายในงานเดียวกัน



Format :: Dvd




Create Date : 21 กันยายน 2549
Last Update : 23 กันยายน 2549 2:07:07 น. 15 comments
Counter : 1905 Pageviews.

 
น่าดูมั่ก ๆ เพิ่งดู The Wind That Shakes the Barley ไป ชอบ ๆ ๆ

ไปหาดูมั่งดีก่า

อ้อ ๆ แม่นาง เราลงคิวปลาหมึกไว้ให้แล้วนะ เนื่องจากแม่นางขาดการติดต่อ เราจึงนำไปเสนอขายคนอื่น (3 วันจาก นารีเป็นอื่นนะ) หวังว่าคงไม่งอนนะจ๊ะที่รัก


โดย: unwell วันที่: 21 กันยายน 2549 เวลา:18:15:22 น.  

 
Oh god!

I cannot wrote this much and still interesting like yours (mine will be a mess!).

Anyway, it's good to know you're back, and I really hope to see this movie soon haha+


โดย: BloodyMonday วันที่: 21 กันยายน 2549 เวลา:21:01:15 น.  

 
เคยมีคนพูดว่าหนังเจ๋งมากๆ ครับ เรื่องนี้ พอมาอ่าน ก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมต้องไปหาดูซะแล้ว





ปล. มาชวนไปฟังเพลงเศร้าๆ ที่ชายหนุ่มร้องกันบ้างครับผม


โดย: เข็มขัดสั้น วันที่: 21 กันยายน 2549 เวลา:23:20:50 น.  

 
หนังลุงเคย ดูยากอ่ะ ดูแล้วหดหู่ด้วยครับ

enjoy your day


โดย: Holden Caulfield วันที่: 21 กันยายน 2549 เวลา:23:23:27 น.  

 


แม่นาง unwell * โอเชตามนั้นจ่ะ

BloodyMonday * ก้อ ก่อนหน้านี้ติดธุระนิโหน่ยอ่ะค่ะ ตอนนี้ทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอยแร้ววววว เจอกันได้ที่นี่ที่เดิมจ้า

คุณ เข็มขัดสั้น * มีโอกาสก็ลองหาดูนะคะ

คุณ Holden Caulfield * หนังลุงเคนแกจะดราม่าอ่ะค่ะ ส่วนจะบวกกับการเมืองหรือความรัก ก้อแตกต่างกันไป




โดย: renton_renton วันที่: 22 กันยายน 2549 เวลา:7:11:31 น.  

 
แล้วจะไปหาดูได้ที่ไหนหรอครับ


โดย: stawahna (stawahna ) วันที่: 22 กันยายน 2549 เวลา:13:40:28 น.  

 


โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 22 กันยายน 2549 เวลา:15:09:38 น.  

 
จะไม่พลาดแน่นอน ถ้าหาดูได้นะครับผม


โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 22 กันยายน 2549 เวลา:18:36:40 น.  

 


เอ่อ............หาดูได้ที่ไหนอ่ะหรอ.....อืม
" ร้านพี่คนนั้น " อ่ะค่ะ มีชัวร์

หรือยังไง อีแมวมาก้อได้ค่ะ......จาได้บอกรายละเอียดได้เต็มที่ 5 5 5+



โดย: renton_renton วันที่: 22 กันยายน 2549 เวลา:20:50:34 น.  

 
เคยได้ยินชื่อเหมือนกัน

แต่ขอดูThe Wind That Shakes the Barley ก่อนล่ะกันนะ



โดย: keyzer วันที่: 22 กันยายน 2549 เวลา:23:05:15 น.  

 
น่าสนใจ+สะเทือนใจ
ไว้หาหนังลุง Ken Loach มาดูมั่ง
..
ว่าแต่ร้านเฟมจะมีไหมหว่า



โดย: Thebrightestsunisthepurestgun วันที่: 24 กันยายน 2549 เวลา:14:16:23 น.  

 


คุณ keyzer * ได้ ๆ ๆ ด้ายอยู่แว้ว

คุณ Thebrightedtsunisthepurestgun * ร้านเฟม มะแน่ใจนะคะ เพราะเราไม่ถนัดเลยอ่ะฝั่งนั้น



โดย: renton_renton วันที่: 24 กันยายน 2549 เวลา:17:40:00 น.  

 
อืม ชอบหนังเรื่องนี้มากเหมือนกันค่ะ
ดีใจมีคนเขียนถึง :)


โดย: DropAtearInMyWineGlass วันที่: 2 ตุลาคม 2549 เวลา:1:15:00 น.  

 
น่าดูมากครับ


โดย: คนขับช้า วันที่: 14 สิงหาคม 2553 เวลา:3:21:41 น.  

 
มีให้ยืมไหม?


โดย: คนขับช้า IP: 110.49.193.151 วันที่: 20 ตุลาคม 2553 เวลา:5:35:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

renton-renton
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Photobucket.Just wait until night then switch the light off
DeUsynlige (2008) Erik Poppe : : หนึ่งเป็นผู้ทำลาย หนึ่งเป็นฝ่ายสูญเสีย เวลาผ่านต่างฝ่ายต่างเริ่มชีวิตใหม่แต่ที่สุดแล้วโชคชะตาก็นำพาให้ทั้งสองต้องมาเผชิญหน้ากัน ~ ถึงพล็อตจะสามัญแบบนี้แต่หนังวางสถานการณ์ที่แสดงและเหตุการณ์ที่ซ่อนอยู่ได้หมาะกันดีมาก การถ่ายโอนตัวละครจุดศูนย์กลางของเรื่องจากคนหนึ่งไปคนหนึ่งก็ไหลลื่น เรื่องราวที่บรรจุความกดดันต่อสู้กับตัวเองของตัวละครก็เข้มข้น และ "โอกาส" เป็นสิ่งที่หนังขอให้เราเห็นเป็นสำคัญเพราะที่สุดแล้วเราจะเห็นว่าฝ่ายที่เคยสูญเสียกลับด้านมาเป็นผู้ทำลายบ้าง ทั้งหมดเป็นความละเอียดในอารมณ์ของผกก.ที่ทำออกมาได้น่าชื่นชมจริงๆ
Adventureland (2009) Greg Mottola : : เด็กหนุ่มพรหมจรรย์และเด็กสาวเมียเก็บนายช่างของสวนสนุกเกิดลังเลในความรู้สึกที่มีให้แก่กัน ครั้นจะจูนกันติดกลับมีเรื่องให้เข้าใจผิดกันซะงั้น ~ ปั๊ปปี้เลิฟสนุกๆ ประสาวัยรุ่นวัยเรียน ฉากหลังเป็นยุค 80 ที่มีกัญชาเป็นสื่อกลางสร้างความสัมพันธ์ เพลงดิสโก้ ฟังก์ พั้งค์ จากยุคนั้นก็อัดกันขนกันมาเพียบ เพลิน และมองว่า คริสเตน สจ๊วต นั้นดูทื่อมะลื่อไงไม่รู้
Mutum (2007) Sandra Kogut : : เด็กชายคนหนึ่งแถบบ้านนาของบราซิล ต้องเผชิญกับความดุดันของพ่อ สนิทกับอาแต่เหมือนเขาจะมาจีบแม่ ถูกเพื่อนวัยเดียวกันเหน็บแนมและที่สำคัญคือสูญเสียเพื่อนรักที่สุดในชีวิต ~ อะไรจะแกร่งเกินนี้ไม่มีอีกแล้ว เจ้าหนูไม่ได้อยู่ในร่างของคนมองโลกในแง่ดี หากแต่ให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยความเข้าใจและมองถึงสิ่งที่ตนต้องทำ ... ชอบเรื่องที่แทรกอยู่เล็กๆ อย่างความผิดปกติทางสายตา (สายตาสั้น) เมื่อมันเกิดขึ้นกับคนในชนบทซึ่งไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร จะเห็นความแตกต่างก็ต่อเมื่อได้ลองสวมแว่นตาเท่านั้น
Dalkomhan insaeng (2005) Ji-woon Kim : : มือขวาของเจ้าพ่อฝีมือสุดเนี้ยบทำการใดไม่เคยล้มเหลว ตีรันฟันแทงเตะต่อยขอให้บอก แต่จะมาตายเอาก็เพราะริอาจมีใจให้ “เด็ก” ของเจ้าพ่อ ~ หนังแก็งส์เตอร์ของพี่ๆ เกาหลีเขาต้องบอกว่าออกแบบท่าทางกันมาดี ดูแล้วเพลิน นึกถึง Transpotter ที่ เจสัน สเตแธม ในชุดสูทหรูระยับแต่ยกแข้งขาถีบยันได้ดีเอาเรื่อง ทรยศหักหลังยังเป็นชนวนหลักที่สร้างสีสันให้กับหนังแนวนี้ สนุกดีแม้จะชวนสับสนนิดหน่อยว่าใครอยู่ฝ่ายไหนลูกน้องใคร (ก็หน้าตาเขาคล้ายกันน่ะ)
Noise (2007) Matthew Saville : : หนังมีส่วนผสมของความเป็นหนังเขย่าขวัญอยู่เพียงส่วนหนึ่งทั้งๆ ที่มีเหตุสะเทือนขวัญรุนแรง แต่... อ่านต่อ ที่นี่
Group Blog
 
<<
กันยายน 2549
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
21 กันยายน 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add renton-renton's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.