|
||||||
เจตภูต ชีวิต ๗ เส้นสาย เจตภูต ชีวิต ๗ เส้นสาย ชีวิตของคนเรานี้ถ้าอธิบายตามไสยเวทย์แล้ว ชีวิตของคนเราประกอบด้วยกันทั้งหมด ๗ เส้นหลัก ดังนี้ "ภูต" ก็คือ สิ่งที่ปรากฏให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ออกมาเป็นรูปธรรม เช่น เวลานี้เศร้า ก็จะมีภูตแห่งความเศร้า ภูตตัวนี้เป็นยักษ์ ก็จะเกิดอาการโมโห โทสะ "เจตภูต" คือ ข้อมูลทั้งหมดก็จะมาแปรเปลี่ยนเป็นเจตภูต หมายความว่า ให้เกิดเป็นรูปเป็นร่าง เป็นลักษณะ เช่น เวลานี้เราโมโห ก็เป็นเจตภูตทางโทสะ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายว่า "เจตภูต (เจดตะพูด) น. สภาพเป็นผู้คิดอ่าน คือ มนัส, ที่เรียกในภาษาสันสกฤตว่า “อาตมัน” เรียกในภาษาบาลีว่า “อัตตา” ก็มี “ชีโว” ก็มี, มีอยู่ในลัทธิว่า “ในโลกนี้ไม่มีอะไรสูญ แม้คนและสัตว์ตายแล้ว ร่างกายเท่านั้นทรุดโทรมไป ส่วนเจตภูตเป็นธรรมชาติไม่สูญ ย่อมถือปฏิสนธิในกำเนิดอื่นสืบไป”, ลัทธินี้ทางพระพุทธศาสนาจัดเป็นสัสตทิฐิ แปลว่า ความเห็นว่าเที่ยง, ตามสามัญที่เข้าใจกัน เจตภูต คือวิญญาณที่สิงอยู่ในตัวคน กล่าวกันว่าออกจากร่างได้ในเวลานอนหลับ." พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร ได้ให้ความหมายว่า "เจตภูต [เจด-ตะ-พูด] น. วิญญาณที่สิงในตัวคน เชื่อกันว่าจะออกจากร่างเร่ร่อนไปในที่ต่างๆ เมื่อคนกำลังหลับ, สภาพที่เป็นผู้คิดอ่าน คือ มนัส, ที่เรียกในภาษาสันสกฤตว่า "อาตมัน", เรียกในภาษามคธว่า "อัตตา" ก็มี "ชีโว" ก็มี, มีอยู่ในลัทธิว่า "ในโลกนี้ไม่มีอะไรสูญ แม้คน" พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร ได้ให้ความหมายว่า "เจต (มค. เจต สก. เจตสฺ) น. สิ่งที่คิด, ใจ." Thai-English: NECTEC's Lexitron-2 Dictionary กล่าวว่า "เจตภูต [N] spirit, See also: soul, ghost, phantom, Example: เขาทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวของเจตภูตและวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในที่ต่างๆ ว่ามีจริงหรือไม่, Thai definition: วิญญาณที่สิงอยู่ในตัวคน กล่าวกันว่าออกจากร่างได้ในเวลานอนหลับ" ทั้ง ๗ เส้นสาย มีดังนี้ ๑. สายสะดือ สายอาหาร สายอุ้มชูหล่อเลี้ยง คือ สายพระแม่ธรณี เป็นสายอุ้มชูหล่อเลี้ยง แต่ถ้าพูดถึงมนุษย์ก็คือบรรพบุรุษสืบต่อกันมา เราปฏิสนธิในครรภ์เราต้องอาศัยการกินอาหารจากแม่ สะดือนี้เป็นสายหลักในการลำเลียงสารอาหารจากแม่มาสู่ลูก หากขาดสะดือแล้ว ลูกในครรภ์จะต้องเสียชีวิต สายสะดือ เชื่อมกับพ่อแม่ และมีกรรมตระกูลเป็นตัวมาเชื่อมสายตัวนี้อยู่ เพราะกินสายตระกูลถึงโตขึ้นมาถึงบัดนี้ได้ ฉะนั้น ไม่มีกรรมของตระกูลได้ยังไง ๒. สายพลังแห่งชีวิต คือ พลังธรรมชาติที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งในร่างกายมนุษย์และทุกสรรพสิ่งในจักรวาล คำว่า พลังชีวิต ในภาษาจีนกลางเรียกว่า "ชี่" (氣)ภาษาจีนแต้จิ๋วจะออกเสียงว่า "ขี่" และคนญี่ปุ่นเรียกว่า "กิ" (Ki) ในภาษาสันสกฤต เรียกว่า "ปราณ" (Prana) ในภาษากรีกเรียกว่า "นูมา" (Pneuma) ในภาษากรีก ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีพลังชีวิตทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ พืช ก้อนหิน แม่น้ำ ดวงดาว ภูเขา ต้นไม้ พลังชีวิตนี้จะมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ในร่างกายของคนเราจะต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอด เช่น หัวใจเต้น มีการสูบฉีดของหัวใจ ปอดหุบและขยายในเวลาเราหายใจ ดังคัมภีร์อี้จิง กล่าวไว้ว่า "สรรพสิ่งในจักรวาลนี้ ไม่มีอะไรหยุดนิ่ง ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรไม่เชื่อมโยงกัน และไม่มีอะไรไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน การเปลี่ยนแปลงของชี่ (氣) ก่อให้เกิดสรรพสิ่งในจักรวาลและปรากฏการณ์ธรรมชาติทั้งหลาย ฤดูกาลต่างๆ ก็เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของชี่" (氣) ฉะนั้น ถ้าเราหยุดหายใจ หรือหัวใจหยุดเต้น ร่างกายของเราก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง และสูญเสียชีวิตเป็นที่สุด คัมภีร์อี้จิง (易經) ของจีนแต่โบราณกล่าวไว้ว่า มนุษย์เราสัมพันธ์กับพลังชีวิตหรือพลังชี่ ๓ ประเภท คือ ๒.๑ พลังชีวิตจากฟ้า (ชี่ฟ้า หรือ ชี่สวรรค์ 氣天) คือพลังธรรมชาติที่อยู่ในท้องฟ้าและจักรวาลทุกตัว รวมถึงพลังจากดวงอาทิตย์ แรงดึงดูดจากดวงจันทร์และดวงดาว พลังที่เกิดจากลม พายุ สายฝน ก้อนเมฆ และอากาศ เป็นพลังแห่งเบื้องต้น เรียกว่า ฮวงคี่ จากนั้นมากับ ฮะกับฮั้ว ถึงจะออกมาเป็นพลังชีวิตที่เราใช้อยู่ ทั้งหมดจะรวมกันเป็น ชี่กง (氣功; Qigong; Chi–gung) ออกมาเป็น (造 [zào] เจ๋า) แปลว่า สร้างสรรค์ ฮวงคี่ (風氣) - ฮะคี่ (合氣) (เป็นพลังเข้าไปสมบท) ของคนต้องรวมทั้งหมดทั้งฟ้าและดิน เราจะสังเกตฟ้าผ่าก็ได้ ฟ้าจะวิ่งลงมา แต่ดินจะวิ่งขึ้นไปรับ ดินจะต้องมีสื่อทำให้ฟ้าผ่าลงมา มีสื่อกัน รับพลังคือ ฮั้ว คือ เอาพลังทั้ง ๒ ตัวมารวมกัน ออกมาเป็นชี่กง (氣功; Qigong; Chi–gung) ถึงจะไปสร้างสรรค์ได้ คำว่า "กง" นี้เป็นการทำงาน ชี่กงจะส่งมาที่เจ๋า สร้างสรรค์ ต่อด้วยเจ๋าห่วย (造化) หมายถึง สร้างสรรค์อยู่ต่อเนื่องตลอดเวลา อันนี้เป็นความรู้ของคนที่ศึกษาภายใน เบื้องใน ฮวงคี่ (風氣) ที่รับพลังแห่งธรรมชาติไม่ได้ แสดงว่า รับฮวงคี่ไม่ได้ ทำไมถึงรับพลังฟ้าดินไม่ได้? ยกตัวอย่าง ถ้าเรามีซิมโทรศัพท์ ถ้าไม่เชื่อมโยงกับเครือข่ายส่งสัญญาณดีแทค (DTAC) เราจะรับสัญญาณของดีแทคได้ไหม? ตอบว่า ก็ไม่ดี แล้วตัวไหนเป็นตัวซิม นั่นก็คือตัวของเราเอง นั่นก็คือ "จิต" จะต้องเกิดความศรัทธา ถ้าไม่มีก็รับไม่ได้ สมมติว่า เวลานี้เราพูดถึงพ่อพรหม ถ้าเราไม่มีจิตศรัทธาพ่อพรหม เราจะนึกออกไหม? ตอบว่าก็นึกไม่ออก พอเรามีจิตของพ่อพรหม เราก็จะนึกภาพออก ถ้ามีความซึ้งเข้าไปขั้นที่ ๑ เราก็จะเห็นใบหน้าพ่อพรหมชัดมากเลย พอขั้นที่ ๒ พ่อกำลังยิ้ม หรือรู้สึกกำลังโมโห จิตเราจะต้องมีความผูกพันธ์ ถ้าเรามีจิตผูกพันธ์กับพ่อเรา เราหลับตาเราก็จะมองเห็นพ่อของเรา ถ้าเราผูกพันธ์พ่อด้วยความมิจฉา ทางที่ไม่ดี เราก็มองเห็นใบหน้าพ่อโมโห โทสะ เกรี้ยวกราด ความไม่ดี แต่ถ้าข้างในเราวางให้เป็นกลาง สัมมา ก็จะเห็นสิ่งที่ดีของพ่อเป็นอย่างไร ถ้าเรารับอารมณ์อย่ารับด้วยความเป็นอคติ ถ้าเรารับอคติก็จะกลายเป็นปรปักษ์ทันที ถ้าเรารับแล้วด้วยความเป็นปกติ ปกติก็เป็นเช่นนี้เอง ก็คือ คนเราย่อมมีทั้งดีและไม่ดี แต่ดีเราก็โอเค สาธุรับ แต่ถ้าไม่ดีเราก็ต้องป้องกันตัว ไม่ใช่ไปเป็นปรปักษ์ สิ่งที่ตรงนั้นเราไม่รู้ก็จะถูกพาลไปเลย ๑. ทางสรีระร่างกายถูกพาล ๒. ทางจิตใจ ความคิดถูกพาล ๓. ทางจิตวิญญาณถูกพาล ๓ ตัว ถูกพาลปั้บ รูปเริ่มเปลี่ยน เพราะว่าจิตข้างในเปลี่ยน พอจิตเปลี่ยนรูปก็จะเปลี่ยน เปลี่ยนข้างใน รูปก็จะส่งผลกลับไปสู่จิต จิตก็เริ่มเปลี่ยน ก็จะหมุน เหมือนกับพลังที่อยู่ตรงกลาง เราลองไปหมุนแกว่งน้ำก็จะเกิดพลัง และจะดูดสิ่งที่ไม่ดีเข้ามา นี่แหละ เป็นแห่งก่อเคราะห์ภัย ทำไมครูบาอาจารย์มองเราออกว่าจะมีเคราะห์ภัยกำลังจะมา เพราะว่าข้างในของเราเริ่มเกิดพายุหมุนแล้ว เริ่มเกิดลมหมุน พลังแห่งหมุนจะไปดูด ถ้าจักรวาลจะพลังก็เพราะว่าการหมุนของหลุมดำ พอหลุมดำหมุนและดูด แม้แต่พระอาทิตย์ก็สามารถเข้าไปได้ ถ้าเราสร้างคุณธรรม พลังแห่งความยืนหยัด เวลาหมุนเราก็จะยาก แต่ถ้าดวงดาวไหนมีพลังน้อย คุณธรรมน้อย ก็จะถูกดูดเข้าไปก่อน นี่แหละอธิบายการเกิดของเคราะห์ได้ ๒.๒ พลังชีวิตจากดิน (ชี่ดิน หรือ ชี่ของโลก 氣地) คือพลังธรรมชาติที่อยู่บนโลก ทั้งบนดินและใต้ดิน รวมถึงก้อนหิน ดิน ทราย แร่ธาตุ สายน้ำ ต้นไม้ และสัตว์ต่างๆ ของโลกใบนี้ ทุกอย่างของโลกใบนี้ แต่ถ้าเป็นโลกใบอื่นก็จะไปรวมกับฟ้า ๒.๓ พลังชีวิตของมนุษย์ (氣人) ฟ้ากับดินมาหล่อหลอมกันจนเกิดเป็นคน สัตว์ และพืช ทีตี่นั้ง 天地人รวมเป็นหนึ่งถึงก่อเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์โลกต่างๆ เป็นสรรพสิ่งต่างๆ พลังชีวิตทั้ง ๓ นี้จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันทำปฏิกิริยากันตลอดเวลา ถ้าชี่สิ่งหนึ่งสมดุลก็จะทำให้พลังชี่อื่นๆ สมดุลตามไปด้วย แต่ถ้าชี่อื่นไม่สมดุลก็จะทำสิ่งอื่นๆ ไม่สมดุลไปด้วยและจะเกิดการปรับตัวนำสิ่งอื่นรอบตัวมาทดแทนให้เกิดความสมดุลระบบใหม่ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ฉะนั้น พลังชีวิตจะต้องสมดุล 天人合一 (tiān rén hé yī, เทียน เหริน เหอ อี : ฟ้าคนเป็นหนึ่งเดียว) เราจะทำให้ตัวของเราเกิดมีพลังชีวิตได้อย่างสมดุลเราจะต้องปฏิบัติตน ๒ ประการคือ ๑) ทางด้านอินทรีย์ ร่างกาย ๑.๑ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ ๑.๒ สูดเอาอากาศที่ดีเข้าสู่ร่างกาย และรู้จักการหายใจที่เหมาะสมกับธรรมชาติ ๒) ความคิด ทางนาม อยู่ตรงกลาง นามและรูปออกมาเป็น ๑ แล้วมาแยกนามและรูป ยกตัวอย่าง ต้นไม้ที่ใหญ่ขึ้นมาแล้ว ใบเสีย รากเสีย แม้แต่เราให้ปุ๋ย ให้อาหารเยอะๆ ต้นไม้ก็ดูดซึมไม่ได้ พอดูดไม่ได้ใบก็จะเหลือง ๓. สายพลังเจริญและเสื่อม คือ การเจริญนี้จะต้องเจริญทั้งรูปและนาม ทางรูปก็คือร่างกายเราเจริญเติบโตจากวัยเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ทางนามก็คือเจริญทางสติปัญญา หากเรามีพลังเจริญอยู่ในตัว ทำอะไรมักประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง ยกตัวอย่าง สายเสื่อม เช่น เด็กยังไม่ทันเกิดก็แท้งลูกแล้ว โตขึ้นมาเอาแต่เข้าโรงพยาบาล อายุยังไม่ถึงขวบก็ตาย อย่างนี้ก็มี ๔. สายจิต คือ สายแห่งความคิด สายแห่งการรับรู้ รู้จักควบคุมจิต จิตใจไม่อ่อนแอ มีพลัง จิตมี ๒ ด้าน ได้แก่ ๔.๑ จิตด้านใน คือ ด้านจิตวิญญาณ ๔.๒ จิตด้านนอก คือ ด้านความคิด หมายความว่า ถ้าอยู่ในการอธิบายแบบเจตภูตนี้จะอยู่ทางด้านนอก สายจิตมันเป็นนามด้านในกับนามด้านนอก ซึ่งไม่ใช่รูป แล้วจิตเป็นตัวสำคัญของเจตภูตนี้ได้ยังไง ? ถ้าเจตภูตไม่มีสายเจตภูตแล้วจะมีจิตได้ยังไง? จิตตัวนี้ ชื่อด้วยว่าดูแลตัวนี้ ทุกตัวมีจิตเป็นลิ้งค์ แต่สายจิตนี้จะเป็นจิตจำเพาะว่าเป็นอย่างนี้ คือ ทางด้านในเป็นทางด้านจิตวิญญาณ จิตข้างนอกคือความคิดความอ่าน ถ้าเจตภูตสายนี้อ่อน แสดงว่า ความคิดของเราไม่มี เป็นความคิดมิจฉาเป็นส่วนมาก ความคิดเฉื่อยชา ความคิดลบ ฯลฯ ก็จะอ่อนแอ ไม่มีแรง จิตวิญญาณโดยการแสดงออกจะโทรม รูปร่างก็จะออกมาไม่ให้แล้ว เขาเรียกว่า ราศีจับที่ไม่ดี ยกตัวอย่าง องคุลิมาลมีจิตที่มิจฉามาก ไล่ฆ่าคน ตัดนิ้ว แต่ทรงพลังมากได้ยังไง? อันนี้เป็นคนละเรื่อง แต่นี่เป็นพลังทางมิจฉา แสดงว่าวิญญาณขององคุลิมาลไปทางมิจฉา หน้าตาดุร้าย เวลาคนดูก็จะกลัว แสดงว่าไม่ใช่สายจิตอ่อน แต่เป็นเพราะว่าสายจิตไปในทางมิจฉา ไปทางยักษ์ สายจิตแข็งแรงไปในทางมิจฉา แต่ยกตัวอย่างของน้องเน (ร่างกายไม่แข็งแรง) อ่อนออกมาทางรูป แต่ออกไปลบ แต่องคุลิมาลออกมาทางลบเหมือนกัน แต่เป็นไปในทาง "ไม่อ่อน" ตัวอ่อนทางรูปกับอ่อนทางนาม เราต้องแยกออกจากกัน ยกตัวอย่าง น้องเน ร่างกายอ่อนแอ และความคิดอ่อนแอ ไปทางลบ องคุลิมาล ร่างกายแข็งแรง แต่ทางความคิดอ่อนแอคือใช้ไปในทางที่ไม่ดี (มิจฉา) ไปทางลบ เราต้องแยกเป็นตอนๆ สายรู้อารมณ์ รับอารมณ์ สายรับรู้ธรรมชาติ เชื่อมกับธรรมชาติ ถ้าหากสายนี้เสื่อม พลังที่จะได้รับจากธรรมชาติเราก็จะไม่มี ยกตัวอย่าง เวลานี้เราถูกแสงแดด เราได้รับพลังไหม? เราหายใจต้องเอาพลังเข้าไปในร่างกายไหม? แต่เราไม่สามารถดูดซับพลังได้ ก็เท่ากับว่าแสงแดดนี้ไม่มีประโยชน์ต่อเรา เช่น ทำไมตัวของเราถึงซี๊ดเซียวเพราะเราไม่ได้ดูดซับพลังจากธรรมชาติ ทำไมลมปราณของเราขาด ก่อเกิดความไม่แข็งแกร่ง เพราะเรารับพลังธรรมชาติไม่ดี ถ้าเป็นสายพลังชีวิต เช่น เรากินพลังอาหารชีวิตไหม? ตอบว่าใช่ แต่เป็นอีกส่วนหนึ่ง อันนี้เป็นรูป แต่ทางนามจะต้องรับมาจากจิตด้วย ไม่ใช่รับมาสายเดียว อันนั้นมันเกี่ยวกับอาหาร คือ ธาตุ เราจะต้องกินสารอาหาร คือ แร่ธาตุต่างๆ แต่จิตต้องควบคุมกับธรรมชาติ เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ทำไมเราถึงรับพลังธรรมชาติไม่ได้ เพราะว่ามีจิต มีวิบากกรรมไหม? มีอะไรหรือเปล่าถึงรับไม่ได้ ก็จะมาตรวจตรงนี้ ๕. สายบุญ สายบาป คือ สายแห่งบุญ บาป กรรมดี และกรรมที่ไม่ดี มีทั้งสัมมาและมิจฉา กุศลและมิจฉา หมายความว่า เปรียบเหมือนชีวิตปัจจุบันนี้ของเราก็เหมือนกับเงินทอง ที่มีไว้จับจ่ายซื้อของ มีเงินมากก็สามารถซื้อสิ่งของต่างๆ ได้มาก ได้ตามใจปรารถนา แต่ถ้าเป็นทางด้านจิตวิญญาณ เงินนี้ก็คือบุญนั่นเอง ถ้าเรามีบุญมาก บุญนี้ก็จะช่วยส่งเสริมเอื้ออำนวยให้ชีวิตของเรามีความราบรื่น สายสร้างกุศลด้วยเหตุ เป็นสายที่เปิดรับบุญกับบาปของเรา ลิ้งตัวนี้จะบันทึกบุญบาปของเรา เป็นข้อมูลของเรา ถ้าสายบาปแข็งแรง ก็จะต้องได้รับทุกข์วิบาก ถ้าสายบุญก็จะได้รับสุขวิบาก บาปเราก็จะต้องชดใช้ ก็เหมือนกับว่าเราทำบุญหรือทำบาป สายบุญบาปก็จะเก็บข้อมูลลงชิปตัวนี้ เป็นสายบันทึกบาปบุญ ก็จะส่งผลปัจจุบันและอนาคต กรรม คือ การกระทำ พฤติกรรมของเราที่แสดงออกทางกาย วาจา และใจของเรา ทั้งทางดีและไม่ดี สิ่งเหล่านี้จะสะสมไว้ เรียกว่ากรรม สิ่งที่ดีเป็นกุศลกรรมจะหนุนนำให้ชีวิตมีความเจริญ และสิ่งที่ไม่ดีเป็นอกุศลกรรมก็จะหนุนนำให้เราไปในทางเลว ตกต่ำ ๖. สายปัญญา โยนิโสมนสิการ วินิจฉัย พิจารณาต่างๆ การไตร่ตรอง ปัญญา คือ สิ่งที่ว่ามีความเข้าใจ มีความรู้ซึ้งประจักษ์ในธรรม ปัญญา จะเกิดได้ตามที่พระพุทธองค์บอก คาถาที่ทำให้เกิดปัญญา คือ สุ.จิ.ปุ.ลิ (ฟัง คิด ถาม เขียน) ปัญญาสามารถยิ่งขึ้นไปได้ จากที่ว่ามาเรียนรู้ประจักษ์ ต้องกระทำ ต้องฝึกฝน ทำให้เกิดความรู้ซึ้งประจักษ์ขึ้นเรื่อยๆ ความรู้กับปัญญาแตกต่างกัน แตกต่างกันดังนี้ คือ ความรู้ คือ อธิบายได้แต่เบื้องต้นแต่เจาะลึกไม่ได้ อธิบายแต่ภาพที่เห็นได้ทั้งนั้น แต่ภาพที่ซ่อนลึกลงไปไม่รู้ว่าจะอธิบายได้ยังไง เช่น บางคนบอกว่า ไปดูอารมณ์ของคนเรา แต่ไม่รู้ว่าอารมณ์เกิดขึ้นได้ยังไง และจะดับยังไง นี่แหละ เพราะเขาไม่รู้ จึงเป็นแค่ความรู้ ปัญญา คือ ต้องรู้จักที่มา ที่อยู่ และที่จะเป็นไป คนเราถ้าเป็นแต่เพียงมีความรู้ จะเรียกว่าเขาภูมิสูงไม่ได้ เราต้องดูที่พฤติกรรม โยนิโสมนสิการ (proper attention; systematic attention having thorough method in one's) คือ การคิดพิจารณาตั้งแต่ต้นเหตุไปถึงผล ผลไปถึงเหตุ ให้ครบวงจรตามภาวะจริงแท้แห่งธรรม โยนิโสมนสิการ เป็นกระบวนการคิดพิจารณา วิเคราะห์ วินิจฉัย สรุปผล ตัวโยนิโสมนสิการ หมายความว่า การวิเคราะห์ว่า เป็นเหตุและผล ผลไปถึงเหตุ เป็นวงกลมไม่มีที่สิ้นสุด และไม่ตัวต้นและไม่มีตัวปลาย วิเคราะห์ คือ นำข้อมูลมาจำแนก แยกแยะ วิจารณ์ คือ นำข้อมูลที่วินิจฉัยมาเปรียบเทียบ เทียบเคียง วิเคราะห์ความแตกต่างกันว่า ดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิดประการใด วินิจฉัย คือ นำข้อมูลที่วิจัยนั้นมาทำความเข้าใจอย่างปราณีตให้ถ่องแท้และประจักษ์ พิจารณา คือ เราต้องการสิ่งไหน ไม่เอาสิ่งไหน ได้แค่ไหน จะเอายังไง จะทำอย่างไรดี มหาพิจารณา คือ จะหาข้อมูล ธรรมะ ปรัชญา วิชาการ อื่นๆ มาสนับสนุนหรือบั่นทอน พิจารณาอย่างรอบคอบ คือ เอาสิ่งที่เราพิจารณานั้นมาทบทวนให้ละเอียดถี่ถ้วน จะส่งผลถึงปัจจุบัน และอนาคตจะเป็นอย่างไร ตรงนี้ควรทำ แค่ไหน อย่างไร วินิจฉัย คือ สรุป ตัดสินใจอย่างรอบคอบ ๗. สายคุณธรรม คือ ถ้าสายพุทธ เข้าสู่ธรรมะ ถ้าเป็นสายจีนศาสนาเต๋าก็เข้าสู่เต๋า ถ้าสายพราหมณ์ก็เข้าสู่พรหมัน ถ้าไม่มีพื้นฐานแห่งปัญญา เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา คุณจะอยู่ได้ไหม? คุณจะต้องมีคุณธรรม แล้วสายนี้ไม่สับสนกับบุญ บาปเหรอ กรรมดีกรรมชั่ว ซึ่งสายเหล่านี้ก็จะทำกรรมมาแล้ว แต่สายที่ ๗ นี้ไม่เกี่ยว แต่สายที่ ๗ เป็นสายคุณธรรมดำรงอยู่ เราจะไปปฏิบัติธรรมตามคุณธรรมไหม? อย่างเช่น เราไหว้พ่อพรหม ไหว้เจ้าแม่กวนอิม ไหว้พระพุทธเจ้า ไหว้พระคริสต์ พระอัลเลาะห์ เพื่อเชื่อมโยงกับสายที่ ๗ ถ้าเป็นสายที่ ๕ เป็นสายบุญ บาป ซึ่งบุคคลได้ปฏิบัติมาแล้ว ส่วนสายที่ ๗ นี้จะสูงกว่าว่าเราจะปฏิบัติจะไปทางไหน ถ้าเราสายที่ ๗ อ่อน ก็จะถูกมารโจมตี บางคนพลังตนเองไม่มี ก็ต้องอาศัยสายที่ ๗ แต่ดันไม่อาศัยสายที่ ๗ ก็จบ แม้แค่นั่งก็เหมือนตาหลับ นอนไปแล้ว อธิบายสูงขึ้นอีกขั้นหนึ่งคือ ระดับปรมัตถ์ เราจะต้องมีภูมิปัญญาตัวหนึ่งที่เข้าถึงปรมัตถ์ ยกตัวอย่าง พระอรหันต์ จะต้องมีสายที่ ๗ และสายที่๗ นี้ของพระอรหันต์จะต้องแข็งแรงมาก แต่ถ้าไม่แข็งแรงก็จะไปสูงสุดไม่ได้ ถ้าพูดไปแล้ว สายที่ ๗ จะเป็นสายลิ้ง (靈 จีนกลาง : หลิน líng : spirit, soul; spiritual world) ลิ้งตัวนี้จะควบคุมทุกตัว เป็นตัวที่สำคัญที่จะทำให้เราขึ้นภูมิได้ เป็นสายที่สื่อกับสิ่งแวดล้อม รับรู้ธรรมชาติ ชีวิตทั้งหมดมี ๗ เส้น หากเส้นใดเส้นหนึ่งมีปัญหาหรืออ่อนแรงก็จะส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ ตัวเจตสิก ก็คือ ตัวที่มาปรุงแต่งจิต หรือพูดง่ายๆ คือ ตัวข้อมูลที่จะบันทึก ตัวเจตสิกนี้ในธรรมก็จะมาให้เราพร้อม เพียงแต่ว่าตัวไหนจะโผล่หรือไม่โผล่ พอตัวเจตสิกตัวนี้บันทึก เราถามว่าบันทึกเฉพาะปัจจุบันหรือจะเอาข้อมูลบันทึกของเก่ามาด้วย? ก็จะบันทึกข้อมูลของเก่าด้วย ในธรรมก็จะเอาข้อมูลของเก่ามาให้ ฉะนั้น ตัวเจตสิกเป็นตัวบงการที่ว่าปัจจุบันนี้เราจะไปทางไหน แล้วถ้าตัวเจตภูตนี้ล่ะ? เจตภูตนี้มันอ่อน เป็นข้างนอก เจตภูตทั้ง ๗ ข้อนี้เป็นรูปไปแล้ว
สาธุ
โดย: อุ้มสี วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา:6:36:37 น.
ขอบคุณค่ะ
โดย: ราวรรณ์ IP: 49.230.200.232 วันที่: 16 กรกฎาคม 2565 เวลา:20:03:32 น.
|
พรหมสิทธิ์
Rss Feed ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์ เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต ศึกษาเรียนรู้ธรรมะโดยธรรม นำมาปฏิบัติ และเผยแผ่ธรรมะนั้น ให้คนรู้จักบริหารกรรม แก้กรรม พัฒนากรรม ให้เกิดสันติสุข
Group Blog
All Blog | |||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |