It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
มธุรดา yuri บทที่ ๗/๑

บทที่ ๗/๑

รัญชน์นั่งอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อซึ่งเป็นที่ศรัทธาของคนที่นั่งอยู่ในศาลาแห่งนั้นตัวของรัญชน์รู้สึกว่าตอนนี้ทุกรูขุมขนลุกชันขึ้นมาโดยไม่ต้องปรึกษาใคร

“กลัวมากหรือโยม”ภิกษุที่นั่งอยู่บนแท่นไม้ยกสูงกว่าพื้นราวๆ ห้าสิบเซนติเมตร เอ่ยถามรัญชน์

“ค่ะหลวงพ่อ เกิดมาเพิ่งจะเคยได้ยินอะไรแบบนี้”

รัญชน์ยังคงรู้สึกเหมือนมีใครสักคนจ้องมองเธออยู่ เหลียวกลับไปมองก็ไม่เห็นอะไรจึงยิ่งทำให้เธอหวาดกลัวความมืดรอบด้านเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ

“โชคดีที่โยมเป็นคนปากหนัก ไม่ตอบรับเสียงเรียกนั้นไม่อย่านั้นคงไม่ได้มานั่งตรงนี้หรอก”

“ทำไมคะหลวงพ่อ ถ้ารันขานตอบเขา รันจะเป็นอะไรหรือคะ”

“โยมเคยได้ยินไหม เรื่องที่มีเสียงเรียกแล้วเอ่ยตอบรับบางครั้งอาจเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น เขาเหล่านั้นต้องการที่จะเอาชีวิตของเราเพื่อไปเป็นตัวตายตัวแทนของเขา”

หลวงพ่ออธิบายคร่าวๆ เพื่อให้รัญชน์เข้าใจ

“จริงหรือคะหลวงพ่อ ตายแล้วรันไม่อยากคิดเลยว่าถ้ารันตอบเขา ตอนนี้รันจะเป็นไง คิดแล้วขนลุกบรื้อๆ” รัญชน์ส่ายหน้าไปมา ตามความรู้สึกกลัวที่เกิดขึ้นในใจของเธอ พร้อมๆกับลูบแขนของตนไปพลาง

“อุทิศส่วนกุศลให้เขาสิโยม”

“รันไม่เคยทำบุญ จะมีกุศลอุทิศให้เขาหรือคะ”

“แค่ทำจิตให้มั่น อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เขาน่าจะได้นะโยม อาตมาไม่เชื่อว่าคนเราไม่เคยทำความดีอะไรเลยคนอย่างโยมน่าจะมีความดี มีบุญเก่าสั่งสมมาบ้าง ไม่มากก็น้อย”

“ค่ะหลวงพ่อ”

รัญชน์ทำตามที่หลวงพ่อบอกกับเธอพยายามตั้งจิตอธิษฐานถึงเจ้ากรรมนายเวรเก่าของเธอและเดินลงไปด้านล่างกรวดน้ำให้กับสิ่งเหล่านั้น

ระหว่างที่เดินลงไปรัญชน์ยังได้ยินเสียงเรียกชื่อของเธออยู่เป็นระยะๆ เมื่อเธอรินน้ำในขันลงบนพื้นดิน

เสียงเรียกโหยหวนกลับเปลี่ยนเป็นเสียงที่ฟังแล้วไพเราะเสนาะโสต

“รัญชน์ขอบใจเจ้ายิ่งนัก”

เสียงๆ หนึ่งบอกกับรัญชน์อย่างนั้น รัญชน์ยิ้มรับ

เธอแปลกใจที่ครั้งนี้เธอกลับไม่รู้สึกกลัวเสียงนั้นอีกต่อไปแต่กลับรู้สึกอิ่มเอมที่ได้ยินคำพูดนั้นจากที่ใดที่หนึ่งในป่าแห่งนี้

“เรียบร้อยดีไหมลูก”

“ค่ะแม่ เรียบร้อยทุกอย่าง”

“ดีแล้วลูก เราจะได้เดินทางอย่างสบายใจไม่มีอะไรยึดติดกันอีก”

“อะไรยึดติดคะแม่”

“ไม่มีอะไรหรอกลูก แม่แค่พูดไปอย่างนั้นเองจะนอนต่อไหม”

“คงนอนไม่หลับแล้วค่ะแม่ ตาค้างจนนอนไม่ลง”

“นั่งข้างๆ แม่ไหม”

“ค่ะแม่”รัญชน์คลานเข่าไปนั่งอยู่ข้างๆ แม่ของเธอ นั่งนิ่งๆ เงียบๆคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา

“พี่รัน เค้าไปด้วยคนสิ” อยู่ๆเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นในหัวของรัญชน์

“เฮ้ย...” รัญชน์ร้องลั่นศาลา

เธอไม่คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเธออีกเธออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรไปหมดแล้วนี้แล้วนี่อะไรทำไมถึงมีใครมาเรียกเธออีก หรือว่าคืนนี้ผีทั้งป่า ทั้งเขาจะมาหลอกหลอนเธอคนเดียว ถือเป็นการรับน้องใหม่หรือไรกัน

“เป็นอะไรลูก”

“ใครไม่รู้ค่ะแม่มาขอไปอยู่กับรัน”

“ใครกัน” แม่มองรัญชน์ด้วยสายตาแห่งความสงสัย

“เด็กซนๆ แถวๆ นี้แหละโยม ชอบมีเพื่อนเล่นอยากมีน้องไหมละโยม อาตมาจะได้ยกให้”

ในที่สุดหลวงพ่อเป็นคนเฉลยให้กับสองแม่ลูกได้รับรู้

“เด็กแบบไหนคะหลวงพ่อ รัญชน์ยังไม่ได้แต่งงานจะมีเด็กไปอยู่กับรันได้ยังไงคะหลวงพ่อ หรือว่ารันจะท้องไม่มีพ่อ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นโยมเด็กที่ว่านี่เป็นเด็กแบบที่ไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องใช้รถ ไม่ต้องเดิน ลอยไปลอยมาได้”

“หา...หลวงพ่อคะ นั่นไม่เรียกเด็กแล้วค่ะรันเรียกว่าผะ...”

รัญชน์หยุดคำพูดของตนไว้เพียงเท่านั้นเธอไม่อยากพูดอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็น ด้วยเกรงว่าเธอจะโดนกลั่นแกล้งอะไรอีกแค่นี้ก็ขนลุกทั่วทั้งตัว ถ้าโดนอีกรอบสงสัยผมร่วงทั้งหัวหรือไม่ก็ผมขาวหมดหัวเป็นแน่

“พี่รัน ไม่ชอบหนูจริงๆ เหรอ”

เสียงนั้นดังมาอีกครั้งครั้งนี้เดาว่าหลวงพ่อกับแม่ของเธอคงได้ยินด้วยเช่นกัน

“เฮ้ย...” รัญชน์ตกใจ ทั้งๆที่นั่งอยู่ในศาลา เสียงนั้นยังดังฟังชัด ราวกับว่ามานั่งอยู่ข้างๆ เธอแล้วพูด

“พอได้แล้ว นิลไปแกล้งพี่เขาทำไมกัน” หลวงพ่อดุเสียงๆ นั้น

“หลวงพ่อก็ บอกหลายทีแล้วว่าชื่อนิลยา ไม่ใช่นิลเฉยๆทำไมไม่รู้จักจำสักทีนะ เรียกนิลๆ อยู่ได้ ตัวเค้าออกจาขาวผ่องเห็นไหมไม่ได้ดำเป็นถ่านสักหน่อย เชอะ...”

จากที่มีเสียงเพียงอย่างเดียว ณ วินาทีนี้ร่างเล็กๆในชุดกางเกงยีนส์มีรูปอุลตร้าแมนติดอยู่ตรงกระเป๋าหลังสวมเสื้อยืดลายมิคกี้เม้าส์ตรงหน้าอกและสวมรองเท้าผ้าใบลายโดเรม่อนก็ออกมาปรากฏให้เห็น

“เฮ้ย...” รัญชน์สะดุ้งสุดตัวเข้าไปกอดแม่ของเธอที่นั่งอยู่ติดๆ กันและจ้องมองเด็กน้องในชุดที่ไม่เข้ากันเลยสักนิดคนนั้น

ไม่สิต้องเรียกว่าตนนั้นมากกว่า

แถมทรงผมนั่นอีกเล่า ทำไมถึงต้องเกล้าขึ้นไปมัดอยู่บนนั้นก็ไม่รู้จะถักเปียหรือมัดรวบๆ ธรรมดาไม่ได้หรืออย่างไร

“อย่ามาว่าหนูแต่งตัวไม่มีเทสนะพี่รันคนเขาเอามาให้แบบนี้ ต้องใส่แบบนี้ ชุดนี้ใหม่สุดๆ แล้วนะพี่ สองเดือนก่อนเองสวยปะ”

คนพูดรีบวิ่งตึงๆ มาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าของรัญชน์ ราวกับจะอวดชุดที่ตนใส่

“สะ...สวย..จ้า...”รัญชน์แทบพูดไม่ออก

“แต่นิลยาว่า ต้องมีอะไรขาดไปสักอย่างแน่ๆ เลย”

แล้วคนที่บอกว่าตัวเองขาดอะไรไป ยกมือขึ้นกอดอก ไม่นานนักจึงร้องออกมา

“ใช่แล้ว…”

เสียงนั้นทำเอารัญชน์สะดุ้งโหยงจากที่กลัวอยู่แล้วกลัวเพิ่มขึ้นไปอีก แต่เมื่อเห็นสิ่งๆ หนึ่งในมือน้อยๆ ของนิลยาเธอก็โล่งอก

“หมวกสวยปะ เซเลอร์มูนเชียวน้า”

จากที่กลัวๆ อยู่ รัญชน์ถึงกับสะกดอารมณ์ขันของตัวเองไม่อยู่

“ขำไรพี่รัญชน์ หมวกเซเลอร์มูน น่าขำตรงไหน น่ารักดีออก”

“ปะ..เปล่าจ้า”

รัญชน์รีบปฏิเสธทันทีเมื่อเห็นว่าเจ้าของหมวกเริ่มเกิดอาการไม่พอใจ

“เปล่าได้ไง ไหนดูสิ”เจ้าตัวนิ่งไปขณะหนึ่ง ก็ร้องออกมา

“ว่าเค้าอีกแล้วใช่ไหม ใช่ซี้...เค้ามันเด็กบ้านป่าบ้านดอยไหนเลยจะสู้เด็กในเมืองหลวงอย่างพวกพี่ได้ล่ะ มีให้ใส่ก็บุญแล้ว”

ว่าจบเดินตึงๆ ไปนั่งแปะอยู่ตรงหน้าหลวงพ่อ

“หา ผีไม่กลัวพระ มีด้วยเหรอ” รัญชน์ร้องลั่นเมื่อเห็นภาพนั้น

“ไม่ใช่ผี จะกลัวพระไปทำไมกัน”

“ไม่ใช่ผี แล้วทำไมหายตัวได้” รัญชน์แย้ง

“เออ...น่า รู้มากไปไม่เกิดประโยชน์รู้เท่าที่เห็นนี้พอ เปลืองที่เก็บในสมองเปล่าๆ”

“อ้าว...” คนรับฟังหน้าเหรอหรางุนงงกับสิ่งที่ได้ยิน

ตกลงการที่จะรู้ว่าผีไม่กลัวพระเนี่ยมันต้องใช้เนื้อที่ของสมองในการจัดเก็บข้อมูลกี่กิ๊กกะไบท์กันนะ

“ไม่ต้องไปต่อปากต่อคำกับน้องหรอกลูกนิลยาเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

“แม่รู้จักเด็กคนนี้ด้วยหรือคะ”

“รู้จักตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่ที่นี่แล้วล่ะ”

“โห.... เฮี้ยนจริงๆ”

“ไม่ได้เฮี้ยน แค่ไม่มีเพื่อนเล่นเท่านั้นเอง”

“อ้าว...แล้วเห็นพี่กับแม่เป็นเพื่อนเล่นหรือไง”

เด็กน้อยทำหน้างอ ก้มลงกราบหลวงพ่อ

“มาถึงยังไม่ได้สวัสดีทักทายหลวงพ่อเลยค่ะ ลืม”

“ไม่เป็นไรโยม คราวหลังค่อยคิดได้ตอนจะกลับก็ได้นะอาตมาไม่ว่าอะไรหรอก”

“แหม่...ๆๆๆ หลวงพ่อ เค้าไม่ได้ขี้ลืมขนาดนั้นสักหน่อยทำใจน้อยไปได้ ผมก็ไม่มี ไม่น่าใจน้อยได้เล๊ย”

“เดี๋ยวเถอะ ลามปามใหญ่แล้วนะนิลยา หลวงพ่อท่านเป็นศิษย์ตถาคตนะไม่ใช่เพื่อนเล่นของเรา”บุษบงกตแม่ของรัญชน์เป็นคนปรามเด็กน้อย

“มันจริงนี่นาน้าบุษ หนูเปล่าโกหกนะโกหกครั้งเดียวตกนรกร้อยชาติ หนูไม่ทำแบบนั้นร็อก”คนพูดท่าทางจริงจัง จนคนฟังเริ่มระอาใจ

“พอๆ ตกลงจะไปเที่ยวโมระกับพี่รันหรือเปล่าล่ะถ้าไปก็เตรียมตัวได้” บุษบงกตตัดความ หากต่อความยาวสาวความยืดกับนิลยาต่อไป คงไม่จบ ไม่สิ้น

“ไปๆๆ เดี๋ยวมานะจ๊ะ หนูขอไปเก็บเสื้อผ้าก่อน”

ว่าจบร่างนั้นก็หายวับไปกับตา

“แม่คะ แม่จะเอาเค้าไปด้วยจริงๆ รึ”

รัญชน์ถามด้วยความกลัวผสมความแปลกใจ

“เอาไปเถอะ เผื่อช่วยเหลืออะไรเราได้บ้าง”

“แล้วแม่ถามรันสักคำไหม ว่าอยากเอาไปด้วยหรือเปล่า”

“เอาเป็นว่า แม่อยากให้น้องไปด้วยก็แล้วกัน จบไหม”

“จะ...จบค่ะแม่”รัญชน์จำใจจำยอมทำตามที่แม่บอก ทั้งๆ ที่เธอเริ่มกลัวจนขึ้นสมอง

เมื่อฟ้าสาง รัญชน์เก็บเสื้อผ้าของเธอใส่กระเป๋ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในกองเสื้อผ้าใช้แล้วของเธอ

“อะไร”รัญชน์ถามตัวเองกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

ก้อนหินทรงมาคีสีดำสนิทที่อยู่ในนั้น ทำให้รัญชน์แปลกใจเมื่อไม่ใช่ของเธอ เธอจึงหยิบมันออกมาวางไว้บนเตียง เธอเดินไปที่รถ รอแม่ของเธอตามมาสมทบเธอเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง บนหน้าคอนโซลรถปรากฏหินก้อนนั้นวางอยู่

“เฮ้ย...มาได้ไง ใครเอามาวางไว้วะ” รัญชน์บ่นกับสิ่งที่เธอเห็นอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ทันทำอะไรแม่ของเธอก็เดินมาถึงรถ

“เอาไปเถอะรัญชน์ วางไว้ตรงเบาะด้านหลังนั่นแหละ”

“ของแม่หรือคะ” รัญชน์มองสิ่งที่อยู่ในมือของเธอ

“เปล่า...ไม่ใช่ของแม่”

“อ้าว ไม่ใช่ของแม่ก็ของวัดสิคะเราเอาของวัดออกไปไม่บาปเหรอแม่ ข้อหาขโมยเชียวนะ”

“ไม่บาปหรอก พกติดกระเป๋าเสื้อเอาไว้ก็ได้”

“เครื่องรางหรือคะ”

“คล้ายๆ”

เมื่อแม่ยืนยันเช่นนั้น รัญชน์จึงทำตาม วางหินมาคีสีดำเอาไว้ที่เบาะหลังรถถึงจะไม่เข้าใจ แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะตั้งคำถาม หากไม่ออกจากป่าในตอนนี้กว่าจะถึงกรุงเทพฯ คงดึกดื่น





Create Date : 23 พฤษภาคม 2556
Last Update : 23 พฤษภาคม 2556 19:02:30 น. 0 comments
Counter : 371 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.