bloggang.com mainmenu search
จากคอลัมภ์ ขนหัวลุก หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับที่ 8054

"กุลธิดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากทางเปลี่ยวหลังวัดมะกอก

ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่าผีมีจริง รอบๆ ตัวเรามีวิญญาณเร่ร่อน หรือสัมภเวสีเต็มไปหมด เหมือนคลื่นไฟฟ้าต่างๆ ที่มีทั้งคลื่นวิทยุและทีวี มีแต่เสียงบ้าง มีทั้งภาพและเสียงบ้าง แต่เราก็ไม่เห็นและไม่ได้ยิน ถ้าเราไม่มีเครื่องรับ

ถึงจะเชื่อเรื่องผีและกลัวผี แต่ก็มั่นใจว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ภูตผีกลัวเกรงเช่นเดียวกัน!

พระพุทธคุณและบารมีของสิ่งที่เราเคารพนับถือไงล่ะคะ ที่จะช่วยคุ้มครองเราได้...ขอเพียงมีสติกำกับใจไว้ตลอด เชื่อว่าเราจะสามารถผ่านสิ่งเลวร้ายต่างๆ มาได้อย่างแน่นอนค่ะ

ดิฉันเคยประสบกับเหตุการณ์ที่น่ากลัวที่สุดเมื่อราว 6-7 ปีก่อนมานี้เอง

ราวกลางเดือนธันวาคมปีนั้น ที่ซอยอารีย์สัมพันธ์ 1 ถนนพหลโยธิน (ซอยราชครู) กรุงเทพฯ เวลาประมาณ 17.00 น. ดิฉันมีธุระเกี่ยวกับการงานที่ก้นซอยโดยใช้รถแท็กซี่ กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่มเห็นจะได้ ฤดูหนาวมืดค่ำเร็วมาก ตอนแรกว่าจะเดินออกไปหารถทางเดิมก็คิดว่าไกลไป มีทางลัดหลังวัดอภัยทายาราม หรือวัดมะกอก ไปออกถนนหน้าวัดได้ ใกล้ๆ กับโรงพยาบาลพระมงกุฎพอดี เพื่อขึ้นรถสาย 14 กลับบ้านที่ประตูน้ำ

นอกจากค่ำเร็วแล้วยังหนาวยะเยือกจับใจอีกต่างหาก...กว่าจะรู้ว่าคิดผิดก็สายไปแล้วค่ะ

มีทางเดินแคบๆ สองข้างทางมีแต่ป่าละเมาะรกครึ้ม ต้นไม้เล็กๆ แต่สูงท่วมหัวยืนทะมึน พอลมพัดทีก็สะบัดใบเสียงซู่ซ่าน่าใจหาย ทำให้รู้สึกเยือกเย็นวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก...ต้องเหลียวซ้ายและขวาเกือบตลอดเวลา

ไม่เห็นใครเดินผ่านไปมาเลย บ้านช่องอยู่ห่างกัน เห็นแต่แสงไฟลิบๆ ดูเปล่าเปลี่ยวน่ากลัวจนไม่น่าเดินผ่านตอนค่ำคืนเด็ดขาด ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ยิ่งเดินก็ยิ่งนึกถึงอันตรายสารพัดชนิดที่อาจจะดักรอเราอยู่!

ไหนจะพวกขี้ยาที่หลบๆ ซ่อนๆ มาเสพยานรกกันอีกล่ะ ตามซอกมุมลับตาคนแบบนี้ได้ข่าวว่ามีชุกชุมเกลื่อนกรุง ไหนจะพวกเด็กจรจัด กับวัยรุ่นที่ดอดมามั่วสุมดมกาวอีกต่างหาก คนพวกนี้เมายาแล้วไม่มีสติยั้งคิดหรอกค่ะ พร้อมที่จะฉกชิงวิ่งราว ทำร้ายเหยื่อจนบาดเจ็บสาหัส หรือข่มขืนแล้วฆ่าปิดปากได้ทุกเมื่อ! ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ยิ่งสร้างภาพให้ตัวเองอกสั่นขวัญแขวนขึ้นไปทุกที...เมื่อไหร่จะเข้าเขตวัดมะกอกเสียทีหนอ...

แหงนมองทางรถไฟฟ้าเหนือหัว พร้อมๆ กับได้ยินเสียงพูดคุยพึมพำดังแว่วมาเข้าหู!

แสงไฟวอมแวมจากซุ้มไม้ด้านขวาทำให้ปากคอแห้งผากไปหมด แข็งใจเดินเรื่อยๆ เหมือนไม่หวั่นหวาดอะไร จนมองเห็นวัยรุ่นชายหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงกันอยู่ มีเทียนไขกับกระป๋อง และถุงพลาสติก...หน้าตาดูเบ๋อๆ ยังไงชอบกล ทำให้นึกได้ว่าเด็กพวกนี้ดมกาวกันจนเกิดอาการ "เหวอ" ขึ้นมาแล้ว

นัยน์ตาขาวๆ หันมาจ้องมองดิฉันเป็นตาเดียวกัน แข็งใจยิ้มให้พลางถามเสียงปกติว่า...ทางนี้ไปวัดมะกอกใช่ไหมจ๊ะ?

ไม่มีเสียงตอบ แต่เด็กหญิงคนหนึ่งพยักหน้าเงียบๆ ดิฉันพึมพำขอบใจแล้วรีบก้าวยาวๆ ผ่านไปโดยเร็ว...รอบๆ กายสลัวรางยังมีแต่ความเปล่าเปลี่ยวน่ากลัว บีบคั้นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

คลองเล็กๆ ดูดำมะเมื่อมทอดยาวไปข้างหน้า มองเห็นแล้วใจหายวูบ แข้งขาอ่อนยวบหมดกำลังจนแทบจะล้มแผละลงไปบนพื้นดินทันที...ที่นั่นคือด้านหลังโรงพยาบาลพระมงกุฎนั่นเอง!

ใครๆ ก็ทราบดีว่าห้องดับจิต หรือห้องเก็บศพน่ะอยู่ด้านหลังโรงพยาบาล

ดิฉันสูดลมหายใจยาว กำลังจะละสายตามามองทางเบื้องหน้า เพราะรู้ว่าใกล้จะถึงท้ายวัดมะกอกแล้ว...แม้จะรู้ข่าวว่าที่นั่นมีศพเด็กชายไม่เน่าไม่เปื่อย แต่ก็ไม่น่ากลัวหรอกค่ะ มีแต่คนไปขอหวยกันเป็นประจำ

ทันใดนั้น ร่างดำๆ ก็โผล่พรวดขึ้นที่ริมคลองด้านหลังโรงพยาบาลโดยไม่นึกไม่ฝัน!

คราวนี้ไม่ใช่ขาอ่อนยวบอย่างเดียว แต่ยังสั่นระริกแทบจะทรงตัวไม่อยู่...หัวใจก็คล้ายจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ ม่านตาพร่าพรายไปหมด อยากจะเบือนหน้าหนีแต่กลับจ้องมองราวถูกสะกด ร่างดำทะมึนดูโดดเด่นยิ่งขึ้น ยืนนิ่ง แน่ใจว่ากำลังจ้องมองมาที่ดิฉันเขม็ง...แข็งใจตั้งสตินึกถึงพระพุทธคุณและพ่อแม่เป็นที่พึ่ง ตั้งจิตแผ่ส่วนกุศลไปให้เขาผู้นั้น...

ภาพที่ปรากฏเด่นชัดค่อยๆ เลือนรางจางหายไป...ดิฉันเดินต่อจนเข้าเขตวัด กลับถึงบ้านโดยปลอดภัย...แต่สาบานว่าจะไม่ยอมเดินผ่านที่นั้นในตอนกลางคืนอีกแล้วค่ะ!



ที่มา //www.khaosod.co.th/
Create Date :06 สิงหาคม 2556 Last Update :6 สิงหาคม 2556 8:05:12 น. Counter : 1352 Pageviews. Comments :0