'ณัฐ' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเนินผีสิง
สมัยเด็กผมอยู่แถววงศ์สว่างใกล้ๆ อู่รถเมล์ศิริมิตร บ้านช่องยังไม่หนาตานัก แต่ก็มีมากขึ้นทุกทีเพราะความเจริญมาถึงอย่างรวดเร็ว
เขาลือกันว่าแถวนั้นเป็นป่าช้าเก่าครับ!
เท็จจริงยังไงไม่รู้ แต่เด็กๆ อย่างพวกเราก็กลัวกันทุกคน โธ่! เด็กที่ไหนไม่กลัวผีล่ะ ขอถามหน่อยเถอะ ขนาดผู้ใหญ่หลายๆ คนยังกลัวนี่นา คนแก่เฒ่าก็ยังไม่วายกลัวผี ผมเคยได้ยินยายหุ่นขายห่อหมกที่หน้าอู่แกพูดกับลูกหลานบ่อยๆ ว่า
'ถ้าข้าตายละก็อย่าทิ้งข้าไว้ที่วัดคนเดียวนะ ข้ากลัวผีว่ะ!'ขนาดคิดว่าตัวเองตายไปแล้ว กลายเป็นผีไปแล้ว แกยังไม่วายกลัวผี...พวกหนุ่มๆ ปากคะนองบางคนก็หัวเราะขบขัน บางคนยังพูดจาล้อเลียนแกเล่นอย่างสนุกปาก
'ยายไม่คิดมั่งเหรอ ว่าผีมันเห็นยายมันก็กลัวตัวสั่นเหมือนกันนะยาย'
ยายหุ่นด่าโขมงโฉงเฉง พวกเด็กๆ หัวเราะชอบใจ แต่ตกเย็นหรือโพล้เพล้หน่อยก็รีบแยกย้ายกันกลับบ้านแล้วละครับ
ทางเข้าหมู่บ้านก็ขรุขระพอๆ กับทางเข้าอู่รถเมล์ แถมยังเปล่าเปลี่ยวกว่าด้วยซ้ำเพราะไม่ได้ติดถนนใหญ่ แสงไฟฟ้าอย่าไปฝันให้ยาก สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ใหญ่ๆ กับพวกไม้ล้มลุก ป่าละเมาะกับพงหญ้ารกครึ้ม...จะมีอะไรซุกซ่อนจ้องมองเราอยู่ก็ไม่รู้
มีเนินโล่งๆ ใต้ต้นมะขามเฒ่า เพราะเนินเจ้ากรรมนี่เองที่ทำให้ชาวบ้านลือกันเป็นตุเป็นตะว่าเป็นหลุมศพ เป็นป่าช้าเก่า...ยืนยันว่าผีดุบรรลัยจริงๆ เอ้า!คนที่เดินผ่านเนินมรณะนั่นตอนกลางคืน หรือแม้แต่ตอนเย็นๆ ที่แดดผีตากผ้าอ้อมเหลืองอร่ามก่อนจะจางหาย เคยเห็นภาพชวนขนหัวลุกมาเล่าตรงกับทุกคนเลยครับ
นั่นคือ หันไปมองที่เนินนั้นโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับมีอะไรดลใจ หรือดึงดูดสายตา...เห็นชายคนหนึ่งนั่งยองๆ สูบยาแดงวาบๆ ท่อนบนไม่สวมเสื้อเห็นชัดว่าผอมกงโก้ ส่วนท่อนล่างจะเป็นกางเกงขาก๊วยหรือโสร่งก็เห็นไม่ชัด แต่จะนั่งหันข้างให้...ดูโดดเด่นตัดกับทิวไม้ทิศตะวันตกที่ฟ้าแดงฉาน เพราะดวงอาทิตย์เพิ่งจะลับไปหยกๆ
...และแล้วใบหน้าที่เป็นรูปเงาดำๆ ก็ค่อยๆ หันมามองอย่างเชื่องช้า แสยะยิ้มเห็นฟันขาวแต่ตาแดงจ้าปานแสงไฟ เสียงหัวเราะแหบโหยดังแว่วมากระทบหูบัดดล
วิ่งครับวิ่ง! วิ่งกันไม่คิดชีวิต วิ่งล้มลุกคลุกคลาน วิ่งชนิดกระเซอะกระเซิง จนแทบจะขาดใจไปตามๆ กัน!วันหนึ่งผมก็เจอเข้ากับตัวเองอย่างจังๆ
วันนั้นผมไปที่อู่รถกับเพื่อนสองคน คือไอ้ห้อยหลานยายหุ่น กับไอ้เอิ๊กลูกป้าอบ แกขายข้าวโพดต้มกับถั่วลิสงต้มที่นั่นเหมือนกัน ป้าอบใจดีให้ข้าวโพดกับถั่วต้มผมกินบ่อยๆ ยายหุ่นก็ให้ไอ้ห้อยเอาห่อหมกไปให้พวกคนขับกับช่างเครื่องแกล้มเหล้าเช่นกัน
หน้าหนาวค่ำเร็ว เราเจอะเพื่อนรุ่นเดียวอยู่แถวนั้นอีกสองคน เลยเล่นหยอดหลุมเอาหนังยางกัน...ผมกินหนังยางจนแทบล้นข้อมือ หันไปเห็นแดดผีตากผ้าอ้อมเหลืองอร่ามอยู่ในม่านฝุ่นสีแดงก็ใจหาย
'กลับบ้านเถอะโว้ย เดี๋ยวโดนผีหลอก!' ผมร้องแล้วออกวิ่งแจ้น เพื่อนทั้งคู่วิ่งตึ๊กๆ ตามมาด้วย ส่วนเพื่อนอีกสองคนมันอยู่คนละทางกับเรา...มารู้ตัวอีกทีก็กำลังหยุดหอบแฮกๆ ตรงเนินอาถรรพณ์นั่นพอดิบพอดี!
หันขวับไปมองฟ้าสีแดงเข้มจนเกือบดำ แต่ก็เห็นผู้ชายนั่งกอดเข่า ผมยาวปลิวกระเซิงตามแรงลมกำลังสูบยาแดงวาบๆ เข้าทันใด
'เฮ้ย...' ใครคนหนึ่งหลุดปากออกมา ขณะที่อากาศเย็นยะเยือกจนขนลุกซ่า ผมอยากจะหันหน้ากลับ อยากจะออกวิ่งต่อไปให้ถึงบ้านเร็วที่สุด แต่แข้งขาแข็งทื่อจนขยับไม่ได้เลย นอกจากอ้าปากค้าง ตาลืมโพลงเหมือนโดนสะกดจิต
ไอ้เอิ๊กกับไอ้ห้อยก็คงไม่แตกต่างกัน!ใบหน้าที่แทบจะกลืนหายไปกับความมืดค่อยๆ หันมาอย่างเชื่องช้า แต่แน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด! ผมอยากจะร้องไห้ คิดว่าหัวใจกำลังจะหยุดเต้น...จู่ๆ ร่างนั้นก็ลุกพรวดพราดขึ้นยืนตระหง่านทันใด...
เสียงใครร้องจ้าดังแสบแก้วหู พร้อมๆ กับที่เรากระโจนอ้าวไม่คิดชีวิตเสียงหัวเราะดังไล่หลังมา เราวิ่งลมออกหูรวดเดียวถึงบ้าน...ถึงจะไม่มีอะไรยืนยันว่าที่นั่นเป็นหลุมศพ หรือป่าช้าเก่ามาก่อน แต่ภาพนั้นยังติดตามาถึงทุกวันนี้เลยครับ! ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด
ขอบคุณค่ะ
โดย: เอ็ดดี้ (กุมารทอง2012 ) 4 มิถุนายน 2555 16:57:05 น.
โดย: กุมารทอง2012 4 มิถุนายน 2555 16:58:44 น.
โดย: กุมารทอง2012 4 มิถุนายน 2555 17:02:57 น.