เย็นย่ำใกล้ค่ำ แสงตะวันร่ำลาลมแรงก็อ่อนล้าอำลาเรือนรอยทรายใช่แล้วค่ะเพราะเราเถลไถลอยู่ระหว่างทางเสียนาน เลยมาถึงที่ Sand Dune (แปลเป็นไทยฉบับฉันเองว่า กองทรายยักษ์) แดดก็จวนเจียนจะหมดเต็มทน มองไปทางไหนก็กลายเป็นสีม่วงๆMesquite Sand Dune นี้อยู่กลาง Death Valley เลย เขาว่าแสงที่นี่จะสวยน่าถ่ายรูปมากๆตอนเช้ากับตอนเย็น เลยจะออกตัวเสียตรงนี้ว่ารูปที่เห็นต่อไปเป็นรูปไม่สวยเพราะว่าแดดหมดแล้ว (เศร้าเลย) รูปข้างบนนี้เป็นฝีมือถ่ายของคุณหมี ขอรูปมาอวดเพราะชอบรูปนี้ที่สุด แต่ไม่ชอบรูปที่ตัวเองถ่ายเลย ในหนังสือบอกไว้ว่ามีสองอย่างที่ควรระวังตอนที่เราเดินเล่นอยู่บน Sand Dune ก็คือ ถ้าทำอะไรตกลงบนทราย ทำใจไว้ได้เลยว่าหาไม่เจอแน่นอน ฟังดูเหมือนไม่น่าเชื่อ แต่ฉันเคยเจอมาครั้งหนึ่งแล้วตอนไปเที่ยวถ้ำมรกตที่ทะเลตรัง พี่คนหนึ่งวางฟิลเตอร์โพลาไรซ์ไว้บนหาดทราย หันไปหันมาแว้บเดียวฟิลเตอร์หายไปแล้ว อย่างที่สองคือทรายที่เป็นทรายที่ละเอียดมากๆ ใครที่หวงกล้องหรือมีของรักของหวงที่ไม่อยากให้ทรายเข้าไปฝากอยู่ล่ะก็ควรจะเก็บใส่ถุงพลาสติก คืนนั้นพอกลับถึงที่พักแล้ว ฉันพบว่ากล้องก็เต็มไปด้วยทรายเหมือนกัน ปัดกันเสียแทบแย่ โชคดีที่ไม่นึกเปลี่ยนเลนส์กันบนกองทราย มิฉะนั้นคงจะได้กล้องตัวใหม่แถมเลนส์เป็นแน่แท้ไปดูรูป Sand Dune กันดีกว่านะคะ
ถนนใน Dealth Valley มีวิวแปลกตาดีนะคะ แล้วจะเอาภาพพาโนรามาที่ถ่ายมาให้ชมกันอีกทีค่ะ เอารูปจากกล้อง compact ถ่ายจากในรถมาไว้ตรงนี้รูปหนึ่งก่อน ส่วนอีกรูปนั้น Crop ออกไปบ้าง (จริงๆเยอะเลย) ให้ดูถูกใจคนถ่าย(ก็ฉันเองนั่นล่ะ)เห็น Sand Dune ตอนเย็นๆอย่างนี้ คิดเล่นๆว่าถ้ามีพระจันทร์สักดวงคงสวยขึ้นอีกเยอะเลยจาก Sand Dune เราแวะไปที่ Stovepipe Wells Village เพราะตอนแรกเรากะว่าจะไปนอนค้างที่นั่นแต่เปลี่ยนใจไปนอนที่ Furnace Creek แทน เพราะจะได้ใกล้จุดที่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ที่นั่นมี Grocery ใหญ่เชียว ดีใจจังเห็นบะหมีกระป๋องด้วย เลยได้อาหารเย็นมาเป็นบะหมี่สามกระป๋อง (จะมีใครอีกไหมนะฉลองแต่งงานด้วยการกินบะหมี่กระป๋องเนี่ย) พอกลับไปที่ Furnace Creek โหย ร้านใหญ่กว่าที่ Stovepipe Wells Village อีกค่ะ (แปลว่ามีบะหมีหลายชนิดกว่าไงคะ)
ปิดท้ายด้วยรูป Sand Dune ของ Ansel Adams ค่ะ รูปนี้ถ่ายเมื่อปี 1948 ที่ Dealth Valley National Monument หลังจากที่ Ansel Adams พยายามถ่ายรูป Sand Dune at sun rise นี้มาหลายครั้งกว่าจะถ่ายสำเร็จ (แถมกลายเป็นภาพที่ดังมากๆอีกต่างหาก) เพราะว่าแบกอุปกรณ์ขึ้นเนินทรายทั้งสูงทั้งชันไปไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้น ลองนึกภาพความลำบากดูนะคะ เพราะกล้องของ Ansel Adams น่ะ เป็นกล้อง Medium Format ตัวโตๆ นอกจากนั้นทรายละเอียดยังเป็นอันตรายต่ออุปกรณ์อีกด้วย อุปสรรคอื่นๆก็เป็นเรื่องมุมเพราะ Sand Dune เปลี่ยนไปตลอดเวลาตามลม อาจจะต้องรอเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือนกว่าจะได้เห็น Sand Dune มุมที่อยากจะถ่ายได้อีก ส่วนเรื่องแสง ขออนุญาตยกมาทั้งบรรทัดดังนี้"we should thus visualize the desired shadow values and adjust exposure and development of the negative thereto."หลังจากถ่ายนี้สำเร็จ อีกสิบห้านาทีต่อมาแดดก็ส่องสว่างเกินไป ซึ่งมีผลทำให้ภาพดูราบเรียบไม่มีมิติค่ะ ข้อมูลจาก https://www.hctc.commnet.edu/artmuseum/anseladams/details/sanddunes.html
เจ้าของบล็อกชอบน่ะค่ะ
คิดว่าต้องเป็นสมาชิก imeem นะคะ ถึงจะฟังได้