ที่อังกฤษ ... เอ ... จะว่าไป เอาเป็นแค่ลอนดอนหละกัน ... อะไร ๆ ก็ดูจะเป็นเงินเป็นทองไปหมด อย่างที่บอกว่าเที่ยวบินที่ผมบิน ไปถึงช้าก็ต้องเช็คอินช้าเป็นธรรมดา (เพราะเขาให้เช็คอินตอน 3 โมง) กลายเป็นว่าพวกผมต้องจ่ายค่าเช็คอินช้าด้วยแฮะ (ไม่ได้เข็คเอาท์ช้านะจ๊ะ) ... เจอเข้าไปอีก 35 ปอนด์ ... เพราะแม่บ้านต้องอยู่ดึกเพื่อเปิดห้องให้ (อพาร์ทเมนท์ที่เช่าเป็นแบบเจ้าของให้เช่าผ่านเอเจนซี่อีกทีครับเขาเลยไม่มีคนอยู่ตลอดเวลา) ... ก็จ่ายกันไป ... แบบงง ๆ ...
ว่ากันต่อเรื่องรถ ถ้าใครจะเช่ารถแล้วขับ ๆ จอด ๆ อยู่ในลอนดอน ผมอยากจะแนะนำว่าอย่าดีกว่าครับ เพราะค่าน้ำมันเอย (ลิตรละประมาณปอนด์ครึ่ง) ที่จอดรถเอย (ทั้งหายากและแพง) รวมทั้งกฎจราจรและอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง ถ้าขับผิดกฎขึ้นมานี่ค่าปรับไม่น้อยเลยนะครับ ถ้าอยู่แต่ในลอนดอน รถไฟใต้ดิน (Underground) หรือที่คนลอนดอนเรียกเป็นชื่อเล่นว่าทูป (Tube) น่าจะเป็นอะไรที่สะดวกและถูกที่สุด ซื้อบัตร Oyster ไว้ช่วยประหยัดได้ เพราะเจ้าบัตรนี้จะคำนวณหาค่าใช้จ่ายที่ถูกที่สุดสำหรับเรา (แต่จะว่าไปสำหรับเงิน 10 ปอนด์นี่ ... ก็หายไปกับทูปอย่างรวดเร็วเหมือนกันนะ) ส่วนเส้นทางก็ไม่ยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจ หาข้อมูลการเดินทางในลอนดอนได้ ที่นี่ ครับ
อะไรนี่ ... ย้อนกลับไปอ่าน 3 ย่อหน้าข้างบน ... เกือบจะเป็นการบ่นอย่างเดียวเลย ...555... ถือว่าเป็นการเล่าให้ฟังเรื่องค่าใช้จ่ายแล้วกันนะครับ ... จะได้เผื่อใจไว้ล่วงหน้า ... เอาเป็นว่าเพื่อความเจริญหู เจริญตา และ เจริญใจ... เราไปดูที่เที่ยวกันดีกว่า สถานที่เที่ยวในลอนดอนมีมากมายหลายที่ เราไปดูที่หลัก ๆ ที่เรียกว่า ต้องไป กันเลยดีกว่า ที่นี่ไม่ไปไม่ได้แน่ ๆ เป็นสัญลักษณ์ของลอนดอนมานานมาก นั่นคือ หอนาฬิกาประจำพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ หรือ ที่เรารู้จักกันดีว่า บิ๊กเบน (Big Ben) สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ.1834 โดยมีนายชาลส์ แบร์รี่เป็นผู้ออกแบบ หอนาฬิกามีความสูงถึง 96.3 เมตร โดยตัวนาฬิกาอยู่สูงจากพื้น 55 เมตร ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบวิกตอเรียโกธิค
หลายคนคงเข้าใจว่า บิ๊กเบน เป็นชื่อของนาฬิกา แต่จริง ๆ แล้ว บิ๊กเบน หาเป็นชื่อของนาฬิกาไม่ (สำนวนโบราณ จริงๆ) ชื่อ บิ๊กเบน นี่เป็นชื่อเล่นของระฆังใบที่ใหญ่ที่สุดที่แขวนอยู่บนช่องลมเหนือหน้าปัดนาฬิกา ในช่องลมนี้จะมีระฆังทั้งหมด 5 ใบโดย 4 ใบจะถูกตีเป็นทำนองทุก ๆ 15 นาที ส่วนเจ้า บิ๊กเบน ที่มีน้ำหนักถึง 13,760 กิโลกรัมนี้ จะถูกตีเมื่อครบชั่วโมงตามตัวเลขที่เข็มสั้นชี้นั่นเอง ใกล้ๆ กับหอนาฬิกาบิ๊กเบนก็คืออาคารรัฐสภาและโบสถ์เวสมินสเตอร์แอบบีย์ (Westminster Abbey Church) ที่ล่าสุดได้ถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีแต่งงานของเจ้าชายวิลเลี่ยม และ เคท มิดเดิลตัน สามารถเดินไปชมความงามและความยิ่งใหญ่กันได้ สำหรับรถไฟใต้ดินถ้าจะมาที่นี่ก็นั่งมาลงที่สถานี Westminster แล้วเดินเที่ยวได้เลย
มุมนี้ได้มาเนื่องจากรถไฟหยุดวิ่ง
พูดถึงรถไฟใต้ดิน ... เริ่มบ่นอีกหละ ... ปกติก็จะให้ความสะดวกรวดเร็วดี แต่ถ้าโชคดีแบบผม
ก็อาจเจอการประท้วงหยุดวิ่งได้เช่นกัน โดยวันที่ผมไปดู บิ๊กเบน เกิดการประท้วงของพนักงานในสาย Circle line (สายสีเหลือง) และสาย District line (สายสีเขียว) ที่จะมาลงสถานี Westminster (แบบว่ากำลังจะต่อรถไฟพอดี ... โชคดีจริง ๆ) ทำให้ต้องเปลี่ยนสถานีและวางแผนการเดินทางกันใหม่ วันนั้นเลยต้องเปลี่ยนไปใช้สาย Central line (สายสีแดง) ไปลงสถานี Bank แล้วเดินย้อนมา ซึ่งถ้าไม่รีบก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายได้เป็นอย่างดีครับ ระยะทางใช้ได้ อากาศก็เย็น ๆ สบาย ๆ สามารถเดินไปถ่ายรูปไปได้ แต่กลับมาถึงบ้านอาจจะลืมไปเลยว่าเคยมี ขา อยู่...555
อีกหนึ่งที่ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนั่นก็คือ ลอนดอนอาย (London Eye) ตั้งอยู่ระหว่างสะพานเวสต์มินสเตอร์ และ สะพาน ฮันเกอร์ฟอร์ด จาก บิ๊กเบน แค่เดินข้ามสะพานเวสต์มินสเตอร์มาก็ถึง ปัจจุบัน ลอนดอนอาย เป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในยุโรปโดยมีความสูง 135 เมตร (เดิมเป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในโลก แต่ปัจจุบันตำแหน่งนี้เป็นของ Singapore Flyer ในประเทศสิงค์โปร์ ที่มีความสูง 165 เมตร) แต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนที่นี่ถึงประมาณ 3 ล้านคนกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวที่มากรุงลอนดอนต้องมา ไม่อย่างนั้นอาจเรียกได้ว่ามาไม่ถึงลอนดอน ส่วนสนนราคาในการขึ้นเจ้าชิงช้าสวรรค์นี้ก็อยู่ที่คนละ 18.90 ปอนด์สำหรับ 1 รอบ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง (จองผ่าน เว็บ จะได้ที่ราคา 17.01 ปอนด์)
พระราชวังบักกิงแฮม (Buckingham Palace) เป็นพระราชวังที่เป็นที่ประทับอย่างเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษ นอกจากนี้ยังใช้ในการเลี้ยงรับรองของรัฐและเป็นอีกหนึ่งจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศที่เดินทางมาชมความงาม ไฮไลท์ที่สำคัญของที่นี่ก็คือ การเปลี่ยนเวรของเหล่าทหารรักษาพระองค์นั่นเอง ปกติจะมีการเปลี่ยนเวรในเวลาประมาณ 11 โมงครึ่งของทุกวัน (ควรไปถึงสัก 10 โมงกว่า ๆ กำลังดี ... เพราะผู้คนเยอะมาก) เนื่องจากเป็นคนดวงดี ... วันที่ผมไปจึงไม่มีการเปลี่ยนเวร ... วันนั้นจะมีการถ่ายภาพยนตร์อะไรสักอย่างแทน ... ช่างเป็นคนโชคดีจริง ๆ ... เก็บบรรยากาศด้านหน้ากับผู้คนเยอะแยะมากมายมาให้ชมแทนแล้วกันครับ การเดินทาทางมาที่นี่สามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Green Park หรือสถานี Piccadilly Circus ก็ได้ ส่วนผมเลือกลงที่สถานี Green Park แล้วเดินตัดสวนเข้ามา
ทหารรักษาพระองค์
บริเวณหน้าพระราชวังบักกิงแฮม
บรรยากาศบริเวณ Piccadilly Circus
Piccadilly Circus เป็นวงเวียนที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1819 เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างถนนรีเจนท์กับถนนที่เป็นแหล่ง ช้อปปิ้งหลักของย่านนี้ เป็นจุดนัดพบและเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวมักมาเยี่ยมชม เพราะที่นี่มีป้ายไฟโฆษณาขนาดใหญ่คล้าย ๆ กับที่ Times Square ใน New York หรือที่ Shibuya ใน Tokyo มีน้ำพุและรูปปั้น Eros ให้มาถ่ายภาพเป็นที่ระลึก สามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Piccadilly Circus ได้เลย และจากแถว ๆ วงเวียนนี่สามารถนั่งรถประจำทางสาย 15 ต่อมาที่นี่ได้ครับ Tower Bridge เป็นอีกหนึ่งสะพานที่ไม่ควรพลาด เป็นอีกหนึ่งสะพานที่ใคร ๆ ก็ต้องไป (Tower Bridge นะครับ ... อย่าจำเป็น London Bridge เพราะจะเจอสะพานเหมือนกัน ... แต่ไม่ใช่แบบนี้)
Tower Bridge ไม่ใช่ London Bridge นะครับ
สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นระหว่างปีค.ศ. 1886-1894 ใช้เวลาในการสร้าง 8 ปี ออกแบบสไตล์วิกตอเรียนโกธิค จุดเด่นของสะพานนี้ก็คือในส่วนกลางของสะพานสามารถยกเปิดปิดได้เพื่อให้เรือที่มีขนาดใหญ่ผ่านเข้าออก ถือเป็นสะพานแบบเปิดปิดได้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยภายในหอสูงยังใช้เป็นที่จัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับประเทศอังกฤษอีกด้วย เดินลงสะพานมาก็จะพบกับ Tower of London สถานที่แห่งนี้เคยเป็นทั้งที่ประทับของกษัตริย์ ห้องขังนักโทษ ลานประหาร โรงกษาปณ์ แม้กระทั้ง สวนสัตว์ ปัจจุบันใช้เป็นที่เก็บสมบัติของควีนองค์ปัจจุบัน
บรรยากาศหน้าห้าง Harrods
สถานที่ท่องเที่ยวก็ผ่านไปแล้วลองมาดูสถานที่ที่สาว ๆ ต้องชอบกันบ้าง ... ใช่แล้วครับแหล่งช้อปปิ้งนั่นเอง ห้างหลัก ๆ ก็คือ ห้าง Harrods ห้างนี้ตั้งขึ้นโดย ชาร์ลส์ เฮนรี่ แฮร์รอด เมื่อปี ค.ศ. 1834 โดยเริ่มจากร้านขายส่งเล็ก ๆ และขยายกิจการมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นห้างที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในสหราชอาณาจักรกันเลยทีเดียว ปัจจุบันตั้งอยู่บนถนนบรอมพ์ตัน (Brompton Road) ตรงข้ามกับ Hyde Park อันดับสองรองมาก็คือห้าง ศรีวิจิตร ... หลายคนทำหน้า งง ทำไมชื่อไทยขนาดนี้ ... 555 ... จริง ๆ แล้วห้างนี้ชื่อห้าง Selfridge แต่อาจจะออกเสียงยาก เหล่าคนไทยที่นี่เลยตั้งชื่อไทยให้ซะเลย ... ห้างนี้ใหญ่เป็นอันดับสอง ตั้งอยู่บนถนนออกซ์ฟอร์ด (Oxford Street)
บรรยากาศหน้าห้าง Selfridge
ส่วนร้านอาหารมีคนบอกว่าบรรดาข้าวหน้าเป็ด บะหมี่เป็ดหลาย ๆ ร้านในย่านโซโหนี่ใช้ได้เลย แต่ร้านที่คนไทยเรานิยม เรียกได้ว่าไปลอนดอนแล้วไม่ไปทานไม่ได้นั่นก็คือร้าน Four Seasons นั่นเอง ... จึงไม่ต้องแปลกใจที่เดินเข้าร้านแล้วนึกว่าเข้าร้านอาหารไทย เพราะมีคนไทยอยู่แทบทุกโต๊ะ ... พูดไทยกันจนพนักงานเสริฟ์สามารถพูดไทยกันได้แล้ว ... ปัจจุบันในลอนดอนเองก็มี 2 สาขานะครับ สาขาแรกคือที่แถว Bayswater (ลงรถไฟใต้ดินที่สถานี Bayswater ได้เลย) ส่วนอีกสาขาเปิดใหม่อยู่ในย่านโซโห (Soho) ทริปนี้เราพาไปทานกันที่สาขา Bayswater ครับ
บรรยากาศหน้าร้าน...มาตอนร้านเพิ่งเปิดเลยไม่ต้องเข้าคิว
มีคนเล่าว่าทางร้านต้องใช้เป็ดที่มาจากในอังกฤษหรือไม่ก็ไอร์แลนด์และสก็อตแลนด์เท่านั้น ทำไมเหรอครับ เพราะเป็ดพวกนี้จะว่ายน้ำอยู่ในทะเลสาบที่เป็นน้ำแร่ กินใบเมเบิ้ล ปลาแซลมอน รวมถึงหอยในทะเลสาปเป็นอาหารทุกวัน โดยเป็ดต้องมีน้ำหนักประมาณ 1.7 กิโลกรัมแต่ไม่เกิน 2 กิโลกรัมเท่านั้น (เกินกว่านั้นถือว่าแก่...เอ๊ย...มีอายุเยอะไป) หลังจากนั้นก็มาผ่านขั้นตอนการปรุง การอบเพื่อให้มีความกรอบนอก นุ่มใน และพร้อมเสริฟ์ให้ลูกค้าต่อไป ... น้ำลายไหลกันหรือยังครับ ... ถ้ายังไม่ไหล เอารูปมายั่วต่อหละกัน ... อิอิ
... เอาให้หิวกันไปข้าง ...
แต่ถึงจะเป็นร้านต้นตำหรับก็มีบางคนบอกว่าบางวันก็อร่อย ... บางวันก็ไม่อร่อย ... แต่วันที่ผมไปเรียกได้ว่าอาหารอร่อยทุกอย่าง ... ถือว่าโชคดีไป ... แต่เป็ดอันขึ้นชื่อลือชานั้นโดยความเห็นส่วนตัว ผมว่าน้ำราดเขาอร่อยนะ แต่ตัวเป็ดย่างนี่บางร้านในบ้านเราอาจจะอร่อยกว่า เพราะเป็ดฝรั่ง ... เนื้อหนาแถมด้วยชั้นไขมันใต้หนังอีกว่าครึ่งเซนต์ ทานไม่กี่ชิ้นก็เลี่ยนจนต้องเอาหนังออกกันเลยทีเดียวผมว่าถ้าเป็นเป็ดบ้านเราเอามาราดด้วยน้ำของร้านนี้ อาจจะถูกปากคนไทยมากกว่า ... ตอนแรกจบกันแค่นี้ก่อน ตอนต่อไปเราไปเที่ยวนอกเมืองกัน การเดินทางหมื่นลี้เริ่มต้นด้วยก้าวแรกเสมอ ขอให้สนุกและมีความสุขกับการเดินทางครับ ...