Journey Journal with NineNoname

<<
มีนาคม 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
20 มีนาคม 2557
 

เช้าจรดค่ำ...ย่ำดงผู้ดี (ตอน 1)

     ไม่น่าเชื่อว่าผมจะลืมเอามาลงในบล๊อกนี้ ไปมาตั้งแต่ช่วงสงกรานต์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ... อะไรก็เป็นไปได้เนอะ ยิ่งเวลาผ่านไป ความจำก็เริ่มสั้นสวนทางกับสันหลังที่เริ่มยาว  ... 555 ... เอามาลงย้อนหลังแล้วกัน ช่วงเวลาที่ไปก็ใกล้ ๆ กับช่วงนี้ เผื่อมีใครอยากไป ขอแบ่งเป็น 2 ตอนแล้วกันนะครับ ตอนแรกเป็นที่เที่ยวในลอนดอน ส่วนตอนสองจะตะลอนออกนอกเมือง

      ช่วงที่ผ่านมานี่ไปทั้งพุทธคยา เมืองแห่งบุญ ตามด้วยลาสเวกัส เมืองแห่งบาป คราวนี้เป็นลอนดอน เมืองผู้ดี ... หวังว่าเมืองต่อไปจะไม่ใช่เมืองผู้ร้ายนะครับ ... 555 ... ออกเดินทางด้วยการบินไทยเที่ยวบินที่ TG916 ออกจากกรุงเทพฯ ประมาณเที่ยงครึ่งไปถึงลอนดอนตอนเกือบ 1 ทุ่มใช้เวลาเดินทางประมาณ 12 ชั่วโมง โดยช่วงที่ไปนี่เวลาจะช้ากว่าบ้านเรา 6 ชั่วโมงครับ (ปกติจะ 7 ชั่วโมง)

 

ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ

     จริง ๆ แล้วการบินไทยมีเที่ยวบินให้บริการ 2 เที่ยวบินต่อวัน โดยอีกเที่ยวบินคือ TG910 ซึ่งออกจากบ้านเราประมาณเที่ยงคืนและไปถึงลอนดอนประมาณ 6 โมงเช้า จะเห็นได้ว่าเวลาดีกว่าเพราะไปถึงก็เที่ยวต่อได้เลย แต่ที่ไม่ไปก็เพราะเวลาที่ดีกว่านี่แหละที่ทำให้มีผู้โดยสารมากกว่า ตั๋วแบบผมคงไม่กล้าไปหละครับ ยิ่งเป็นช่วงเทศกาลด้วยแล้วหละก็...เอาแบบไปถึงดึกหน่อยแต่สบายใจ ไม่ต้องมานั่งลุ้นจะดีกว่า ... 555 ... อ้อ ... เรื่องการทำวีซ่าสามารถอ่านได้ ที่นี่ นะครับ


 
     เนื่องจากไปถึงก็ค่อนข้างดึกหละ ... นั่งรถเข้าเมืองไปเช็คอินแล้วก็ออกไปหาอะไรทานก็หมดวันพอดี สำหรับเรื่องที่พักก็มีประสบการณ์มาเล่าให้อ่านกันครับ คราวนี้เพื่อความสะดวกเราเลือกเช่าอพาร์ทเมนท์แบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ มีห้องนั่งเล่นและห้องรับประทานอาหาร หาโดยการยึดถนน Oxford ซึ่งเป็นถนนแห่งการ Shopping เป็นหลัก ตอนแรกที่จองเพราะได้อีกแห่งหนึ่งในเขตโซโห (Soho) ดูดีและราคาไม่แพง แต่พอจองไปก็บอกว่าเต็มและเสนอที่แห่งใหม่มาให้เป็นตัวเลือก (หลอกหรือเปล่าไม่รู้) ซึ่งที่นี่ก็ดีที่สุดในตัวเลือกที่มีก็เลยจอง ... สนนราคานี่มาทราบภายหลังว่าถ้าจองในโซน 2 ซึ่งออกมานอกเมืองหน่อย เขาสามารถอยู่ได้ทั้งเดือนกันเลยทีเดียว (แต่โซน 1 ในเมืองเราอยู่ได้แค่ 5 วัน) ... ก็ต้องลองเลือกดูระหว่างความสะดวกในการเดินทางกับราคาที่ต้องจ่ายแพงกว่าครับ


     ที่อังกฤษ ... เอ ... จะว่าไป เอาเป็นแค่ลอนดอนหละกัน ... อะไร ๆ ก็ดูจะเป็นเงินเป็นทองไปหมด อย่างที่บอกว่าเที่ยวบินที่ผมบิน ไปถึงช้าก็ต้องเช็คอินช้าเป็นธรรมดา (เพราะเขาให้เช็คอินตอน 3 โมง) กลายเป็นว่าพวกผมต้องจ่ายค่าเช็คอินช้าด้วยแฮะ (ไม่ได้เข็คเอาท์ช้านะจ๊ะ) ... เจอเข้าไปอีก 35 ปอนด์ ... เพราะแม่บ้านต้องอยู่ดึกเพื่อเปิดห้องให้ (อพาร์ทเมนท์ที่เช่าเป็นแบบเจ้าของให้เช่าผ่านเอเจนซี่อีกทีครับเขาเลยไม่มีคนอยู่ตลอดเวลา) ... ก็จ่ายกันไป ... แบบงง ๆ ...


 
     ว่ากันต่อเรื่องรถ ถ้าใครจะเช่ารถแล้วขับ ๆ จอด ๆ อยู่ในลอนดอน ผมอยากจะแนะนำว่าอย่าดีกว่าครับ เพราะค่าน้ำมันเอย (ลิตรละประมาณปอนด์ครึ่ง) ที่จอดรถเอย (ทั้งหายากและแพง) รวมทั้งกฎจราจรและอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง ถ้าขับผิดกฎขึ้นมานี่ค่าปรับไม่น้อยเลยนะครับ ถ้าอยู่แต่ในลอนดอน รถไฟใต้ดิน (Underground) หรือที่คนลอนดอนเรียกเป็นชื่อเล่นว่าทูป (Tube) น่าจะเป็นอะไรที่สะดวกและถูกที่สุด ซื้อบัตร Oyster ไว้ช่วยประหยัดได้ เพราะเจ้าบัตรนี้จะคำนวณหาค่าใช้จ่ายที่ถูกที่สุดสำหรับเรา (แต่จะว่าไปสำหรับเงิน 10 ปอนด์นี่ ... ก็หายไปกับทูปอย่างรวดเร็วเหมือนกันนะ) ส่วนเส้นทางก็ไม่ยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจ หาข้อมูลการเดินทางในลอนดอนได้ ที่นี่ ครับ

     อะไรนี่ ... ย้อนกลับไปอ่าน 3 ย่อหน้าข้างบน ... เกือบจะเป็นการบ่นอย่างเดียวเลย ...555... ถือว่าเป็นการเล่าให้ฟังเรื่องค่าใช้จ่ายแล้วกันนะครับ ... จะได้เผื่อใจไว้ล่วงหน้า ... เอาเป็นว่าเพื่อความเจริญหู เจริญตา และ เจริญใจ... เราไปดูที่เที่ยวกันดีกว่า สถานที่เที่ยวในลอนดอนมีมากมายหลายที่ เราไปดูที่หลัก ๆ ที่เรียกว่า “ต้องไป” กันเลยดีกว่า ที่นี่ไม่ไปไม่ได้แน่ ๆ เป็นสัญลักษณ์ของลอนดอนมานานมาก นั่นคือ หอนาฬิกาประจำพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ หรือ ที่เรารู้จักกันดีว่า “บิ๊กเบน”     (Big Ben) สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ.1834 โดยมีนายชาลส์ แบร์รี่เป็นผู้ออกแบบ หอนาฬิกามีความสูงถึง 96.3 เมตร โดยตัวนาฬิกาอยู่สูงจากพื้น 55 เมตร ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบวิกตอเรียโกธิค

    หลายคนคงเข้าใจว่า “บิ๊กเบน” เป็นชื่อของนาฬิกา แต่จริง ๆ แล้ว “บิ๊กเบน” หาเป็นชื่อของนาฬิกาไม่ (สำนวนโบราณ จริงๆ) ชื่อ “บิ๊กเบน” นี่เป็นชื่อเล่นของระฆังใบที่ใหญ่ที่สุดที่แขวนอยู่บนช่องลมเหนือหน้าปัดนาฬิกา ในช่องลมนี้จะมีระฆังทั้งหมด 5 ใบโดย 4 ใบจะถูกตีเป็นทำนองทุก ๆ 15 นาที ส่วนเจ้า “บิ๊กเบน” ที่มีน้ำหนักถึง 13,760 กิโลกรัมนี้ จะถูกตีเมื่อครบชั่วโมงตามตัวเลขที่เข็มสั้นชี้นั่นเอง ใกล้ๆ กับหอนาฬิกาบิ๊กเบนก็คืออาคารรัฐสภาและโบสถ์เวสมินสเตอร์แอบบีย์ (Westminster Abbey Church) ที่ล่าสุดได้ถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีแต่งงานของเจ้าชายวิลเลี่ยม และ เคท มิดเดิลตัน สามารถเดินไปชมความงามและความยิ่งใหญ่กันได้ สำหรับรถไฟใต้ดินถ้าจะมาที่นี่ก็นั่งมาลงที่สถานี Westminster แล้วเดินเที่ยวได้เลย

มุมนี้ได้มาเนื่องจากรถไฟหยุดวิ่ง

     พูดถึงรถไฟใต้ดิน ... เริ่มบ่นอีกหละ ... ปกติก็จะให้ความสะดวกรวดเร็วดี แต่ถ้าโชคดีแบบผม … ก็อาจเจอการประท้วงหยุดวิ่งได้เช่นกัน โดยวันที่ผมไปดู “บิ๊กเบน” เกิดการประท้วงของพนักงานในสาย Circle line (สายสีเหลือง) และสาย District line (สายสีเขียว) ที่จะมาลงสถานี Westminster (แบบว่ากำลังจะต่อรถไฟพอดี ... โชคดีจริง ๆ) ทำให้ต้องเปลี่ยนสถานีและวางแผนการเดินทางกันใหม่ วันนั้นเลยต้องเปลี่ยนไปใช้สาย Central line (สายสีแดง) ไปลงสถานี Bank แล้วเดินย้อนมา ซึ่งถ้าไม่รีบก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายได้เป็นอย่างดีครับ ระยะทางใช้ได้ อากาศก็เย็น ๆ สบาย ๆ สามารถเดินไปถ่ายรูปไปได้ แต่กลับมาถึงบ้านอาจจะลืมไปเลยว่าเคยมี “ขา” อยู่...555

    อีกหนึ่งที่ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนั่นก็คือ “ลอนดอนอาย” (London Eye) ตั้งอยู่ระหว่างสะพานเวสต์มินสเตอร์ และ สะพาน   ฮันเกอร์ฟอร์ด จาก “บิ๊กเบน” แค่เดินข้ามสะพานเวสต์มินสเตอร์มาก็ถึง ปัจจุบัน “ลอนดอนอาย” เป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในยุโรปโดยมีความสูง 135 เมตร (เดิมเป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในโลก แต่ปัจจุบันตำแหน่งนี้เป็นของ Singapore Flyer ในประเทศสิงค์โปร์ ที่มีความสูง 165 เมตร) แต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนที่นี่ถึงประมาณ 3 ล้านคนกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวที่มากรุงลอนดอนต้องมา ไม่อย่างนั้นอาจเรียกได้ว่ามาไม่ถึงลอนดอน ส่วนสนนราคาในการขึ้นเจ้าชิงช้าสวรรค์นี้ก็อยู่ที่คนละ 18.90 ปอนด์สำหรับ 1 รอบ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง (จองผ่าน เว็บ จะได้ที่ราคา 17.01 ปอนด์)

    พระราชวังบักกิงแฮม (Buckingham Palace) เป็นพระราชวังที่เป็นที่ประทับอย่างเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษ นอกจากนี้ยังใช้ในการเลี้ยงรับรองของรัฐและเป็นอีกหนึ่งจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศที่เดินทางมาชมความงาม ไฮไลท์ที่สำคัญของที่นี่ก็คือ การเปลี่ยนเวรของเหล่าทหารรักษาพระองค์นั่นเอง ปกติจะมีการเปลี่ยนเวรในเวลาประมาณ 11 โมงครึ่งของทุกวัน (ควรไปถึงสัก 10 โมงกว่า ๆ กำลังดี ... เพราะผู้คนเยอะมาก) เนื่องจากเป็นคนดวงดี ... วันที่ผมไปจึงไม่มีการเปลี่ยนเวร ... วันนั้นจะมีการถ่ายภาพยนตร์อะไรสักอย่างแทน ... ช่างเป็นคนโชคดีจริง ๆ ... เก็บบรรยากาศด้านหน้ากับผู้คนเยอะแยะมากมายมาให้ชมแทนแล้วกันครับ การเดินทาทางมาที่นี่สามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Green Park หรือสถานี Piccadilly Circus ก็ได้ ส่วนผมเลือกลงที่สถานี Green Park แล้วเดินตัดสวนเข้ามา

ทหารรักษาพระองค์

บริเวณหน้าพระราชวังบักกิงแฮม

บรรยากาศบริเวณ “Piccadilly Circus”

     “Piccadilly Circus” เป็นวงเวียนที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1819 เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างถนนรีเจนท์กับถนนที่เป็นแหล่ง        ช้อปปิ้งหลักของย่านนี้ เป็นจุดนัดพบและเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวมักมาเยี่ยมชม เพราะที่นี่มีป้ายไฟโฆษณาขนาดใหญ่คล้าย ๆ กับที่ Times Square ใน New York หรือที่ Shibuya ใน Tokyo มีน้ำพุและรูปปั้น Eros ให้มาถ่ายภาพเป็นที่ระลึก สามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Piccadilly Circus ได้เลย และจากแถว ๆ วงเวียนนี่สามารถนั่งรถประจำทางสาย 15 ต่อมาที่นี่ได้ครับ “Tower Bridge” เป็นอีกหนึ่งสะพานที่ไม่ควรพลาด เป็นอีกหนึ่งสะพานที่ใคร ๆ ก็ต้องไป (Tower Bridge นะครับ ... อย่าจำเป็น London Bridge เพราะจะเจอสะพานเหมือนกัน ... แต่ไม่ใช่แบบนี้)

 

Tower Bridge ไม่ใช่ London Bridge นะครับ

     สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นระหว่างปีค.ศ. 1886-1894 ใช้เวลาในการสร้าง 8 ปี ออกแบบสไตล์วิกตอเรียนโกธิค จุดเด่นของสะพานนี้ก็คือในส่วนกลางของสะพานสามารถยกเปิดปิดได้เพื่อให้เรือที่มีขนาดใหญ่ผ่านเข้าออก ถือเป็นสะพานแบบเปิดปิดได้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยภายในหอสูงยังใช้เป็นที่จัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับประเทศอังกฤษอีกด้วย เดินลงสะพานมาก็จะพบกับ “Tower of London” สถานที่แห่งนี้เคยเป็นทั้งที่ประทับของกษัตริย์ ห้องขังนักโทษ ลานประหาร โรงกษาปณ์ แม้กระทั้ง   สวนสัตว์ ปัจจุบันใช้เป็นที่เก็บสมบัติของควีนองค์ปัจจุบัน

บรรยากาศหน้าห้าง Harrods 

     สถานที่ท่องเที่ยวก็ผ่านไปแล้วลองมาดูสถานที่ที่สาว ๆ ต้องชอบกันบ้าง ... ใช่แล้วครับแหล่งช้อปปิ้งนั่นเอง ห้างหลัก ๆ ก็คือ ห้าง “Harrods” ห้างนี้ตั้งขึ้นโดย ชาร์ลส์ เฮนรี่ แฮร์รอด เมื่อปี ค.ศ. 1834 โดยเริ่มจากร้านขายส่งเล็ก ๆ และขยายกิจการมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นห้างที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในสหราชอาณาจักรกันเลยทีเดียว ปัจจุบันตั้งอยู่บนถนนบรอมพ์ตัน (Brompton Road) ตรงข้ามกับ Hyde Park อันดับสองรองมาก็คือห้าง “ศรีวิจิตร” ... หลายคนทำหน้า “งง” ทำไมชื่อไทยขนาดนี้ ... 555 ... จริง ๆ แล้วห้างนี้ชื่อห้าง “Selfridge” แต่อาจจะออกเสียงยาก เหล่าคนไทยที่นี่เลยตั้งชื่อไทยให้ซะเลย ... ห้างนี้ใหญ่เป็นอันดับสอง ตั้งอยู่บนถนนออกซ์ฟอร์ด (Oxford Street)

บรรยากาศหน้าห้าง Selfridge

     ส่วนร้านอาหารมีคนบอกว่าบรรดาข้าวหน้าเป็ด บะหมี่เป็ดหลาย ๆ ร้านในย่านโซโหนี่ใช้ได้เลย แต่ร้านที่คนไทยเรานิยม เรียกได้ว่าไปลอนดอนแล้วไม่ไปทานไม่ได้นั่นก็คือร้าน “Four Seasons” นั่นเอง ... จึงไม่ต้องแปลกใจที่เดินเข้าร้านแล้วนึกว่าเข้าร้านอาหารไทย เพราะมีคนไทยอยู่แทบทุกโต๊ะ ... พูดไทยกันจนพนักงานเสริฟ์สามารถพูดไทยกันได้แล้ว ... ปัจจุบันในลอนดอนเองก็มี 2 สาขานะครับ สาขาแรกคือที่แถว Bayswater (ลงรถไฟใต้ดินที่สถานี Bayswater ได้เลย) ส่วนอีกสาขาเปิดใหม่อยู่ในย่านโซโห (Soho) ทริปนี้เราพาไปทานกันที่สาขา Bayswater ครับ


บรรยากาศหน้าร้าน...มาตอนร้านเพิ่งเปิดเลยไม่ต้องเข้าคิว

     มีคนเล่าว่าทางร้านต้องใช้เป็ดที่มาจากในอังกฤษหรือไม่ก็ไอร์แลนด์และสก็อตแลนด์เท่านั้น ทำไมเหรอครับ เพราะเป็ดพวกนี้จะว่ายน้ำอยู่ในทะเลสาบที่เป็นน้ำแร่ กินใบเมเบิ้ล ปลาแซลมอน รวมถึงหอยในทะเลสาปเป็นอาหารทุกวัน โดยเป็ดต้องมีน้ำหนักประมาณ 1.7 กิโลกรัมแต่ไม่เกิน 2 กิโลกรัมเท่านั้น (เกินกว่านั้นถือว่าแก่...เอ๊ย...มีอายุเยอะไป) หลังจากนั้นก็มาผ่านขั้นตอนการปรุง การอบเพื่อให้มีความกรอบนอก นุ่มใน และพร้อมเสริฟ์ให้ลูกค้าต่อไป ... น้ำลายไหลกันหรือยังครับ ... ถ้ายังไม่ไหล เอารูปมายั่วต่อหละกัน ... อิอิ


... เอาให้หิวกันไปข้าง ...

     แต่ถึงจะเป็นร้านต้นตำหรับก็มีบางคนบอกว่าบางวันก็อร่อย ... บางวันก็ไม่อร่อย ... แต่วันที่ผมไปเรียกได้ว่าอาหารอร่อยทุกอย่าง ... ถือว่าโชคดีไป ... แต่เป็ดอันขึ้นชื่อลือชานั้นโดยความเห็นส่วนตัว ผมว่าน้ำราดเขาอร่อยนะ แต่ตัวเป็ดย่างนี่บางร้านในบ้านเราอาจจะอร่อยกว่า เพราะเป็ดฝรั่ง ... เนื้อหนาแถมด้วยชั้นไขมันใต้หนังอีกว่าครึ่งเซนต์ ทานไม่กี่ชิ้นก็เลี่ยนจนต้องเอาหนังออกกันเลยทีเดียวผมว่าถ้าเป็นเป็ดบ้านเราเอามาราดด้วยน้ำของร้านนี้ อาจจะถูกปากคนไทยมากกว่า ... ตอนแรกจบกันแค่นี้ก่อน ตอนต่อไปเราไปเที่ยวนอกเมืองกัน การเดินทางหมื่นลี้เริ่มต้นด้วยก้าวแรกเสมอ ขอให้สนุกและมีความสุขกับการเดินทางครับ ... 




Create Date : 20 มีนาคม 2557
Last Update : 20 มีนาคม 2557 16:26:57 น. 0 comments
Counter : 1216 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

iamnoname
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]





[Add iamnoname's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com