สำหรับเรื่องของสภาพอากาศ โดยทั่วไปอากาศของนิวซีแลนด์จะสบายๆ ค่อนข้างเย็น เกาะเหนือจะมีอากาศอบอุ่นกว่าเกาะใต้ เดือนที่อากาศเย็นที่สุดคือ เดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ฤดูกาลของนิวซีแลนด์แบ่งเป็น 4 ฤดูครับ ฤดูร้อน จะอยู่ระหว่างเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ฤดูใบไม้ร่วง อยู่ระหว่างเดือนมีนาคมจนถึงพฤษภาคม ฤดูหนาว อยู่ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม และ ฤดูใบไม้ผลิ จะอยู่ระหว่างเดือนกันยายนจนถึงพฤศจิกายน โดยเวลาของนิวซีแลนด์เร็วกว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง (ยกเว้น ในช่วงต้นเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนมีนาคม เขาจะหมุนเข็มนาฬิกาให้เร็วขึ้นอีก 1 ชั่วโมง เป็น 6 ชั่วโมง)
ส่วนเรื่องอาหารถ้าเป็นไปได้แนะนำว่าไม่ควรจะนำไป เพราะค่อนข้างเคร่งครัดมาก ๆ โดยเฉพาะพวกของสด ๆ ครับ จริง ๆ แล้วคราวนี้พวกผมก็เอาไปกัน (เพื่อความประหยัด) โดยส่วนใหญ่จะเป็นอาหารกระป๋องและพวกมาม่าซึ่งแพ็คเป็นอย่างดีครับ แต่ตอนผ่านเข้าเมืองก็ควรจะสำแดง (เข้าช่องสีแดง) ไปด้วยนะครับว่านำพวกอาหารเข้ามา แล้วให้เค้าเช็คแล้วกันครับว่าเข้าได้หรือไม่ แต่ถ้าถามตอนนี้นะครับ (ตอนที่กลับมาเขียนเนี่ย) ผมว่าตามซุปเปอร์มาร์เก็ตก็สามารถหาซื้อได้ครับ ราคาไม่แพงอย่างที่คิด มีอาหารเอเซียค่อนข้างเยอะ มีพวกผงที่ใช้ปรุงอาหารครบครันครับ เพราะเอาเข้าจริง ๆ ห้องพักที่อยู่มีครัว เราก็เลยซื้ออาหารมาทำกันเองแทบทุกเย็น โดยเก็บอาหารที่นำไปไว้ทานตอนที่ไม่สะดวกในการปรุงอาหารดีกว่า
มหาวิหารไคร์สเชิร์ช บริเวณ Cathedral Square
เริ่มต้นเดินทาง
การเดินทางทริปนี้เราจะเดินทางไปยังเกาะใต้ของประเทศนิวซีแลนด์...ออกเดินทางจากกรุงเทพฯด้วยสายการบินไทยเที่ยวบินที่ TG989 ไปยังสนามบินนานาชาติเมืองโอ๊คแลนด์ (Auckland) โดยออกจากกรุงเทพฯตอนประมาณ 6 โมงเย็นไปถึงโอ๊คแลนด์ตอนประมาณ 9 โมงครึ่ง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 11 ชั่วโมง หลังจากไปถึงเมืองโอ๊คแลนด์ที่เกาะเหนือ แล้ว เราจะต้องไปต่อเครื่องของสายการบินแอร์นิวซีแลนด์เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองไคร์สเชิร์ช (Christchurch) ที่อยู่ทางเกาะใต้
การเดินทาง 11 ชั่วโมงบนเครื่องบินไม่ค่อยน่าสนุกเท่าไหร่ครับ...ทางที่ดีคือควรจะทำตัวให้สบายที่สุด ดีที่ไฟล์ทนี้ไม่เต็มมากนักประกอบกับพี่ ๆ แอร์ สจ๊วตน่ารัก อุตส่าห์เดินมาบอกว่าที่นั่งด้านหลังว่าง สนใจจะย้ายไปนั่งด้านหลัง (ท้ายเครื่อง) ไหม มีเหรอครับที่จะปฏิเสธ จาก 1 คน 1 ที่ก็เลยกลายเป็น 1 คนต่อ 4 ที่แทนเป็นที่นั่งชั้นประหยัดที่ปรับเอนนอนได้ 180 องศาครับ...ช่างสบายจริง ๆ
หลังจากได้ที่นั่งเรียบร้อย ชีวิตบนเครื่องต่อจากนั้นก็แค่กิน นอน ตื่น เดิน กิน...จนถึงนิวซีแลนด์
ตามกำหนดการเราจะไปถึงสนามบินเมืองโอ๊คแลนด์ตอนประมาณ 9 โมงครึ่งครับ แต่กว่าจะได้ลงจากเครื่อง กว่าจะผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง (Immigration) มาได้ก็ 10 โมงกว่าแล้วคงต้องรีบกันหน่อยหละเพราะว่าเครื่องที่เราจะต่อเนี่ยจะออกจากเมืองโอ๊คแลนด์ตอน 11 โมงและไปถึงสนามบินเมืองไคร์สเชิร์ชตอนประมาณเที่ยงยี่สิบนาที การไปต่อเครื่องภายในประเทศก็ไม่ยากครับ ออกจากอาคารระหว่างประเทศก็จะเห็นลูกศรสีฟ้า ขาวเดินตามลูกศรไปเลยครับก็จะเจออาคารภายในประเทศ ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาทีเท่านั้นเอง จริง ๆ เขามีรถรับส่งนะครับแต่รู้สึกว่าจะประมาณ 20 นาทีออกคันนึง ด้วยเวลาที่มีอยู่เดินกันเลยดีกว่าครับไม่อยากเสี่ยงรอรถเดี๋ยวจะตกไฟล์ทเอา
อากาศที่นี่ไม่หนาวอย่างที่คิด น่าจะประมาณ 10 กว่าองศา กำลังสบายแต่แดดนี่สิครับแรงมาก ๆ สำเนียงของคนที่นี่ก็แปลกครับ น่าจะคล้าย ๆ กับที่ออสเตรเลียนะ ฟังค่อนข้างยาก คือ ไม่แน่ใจว่าเค้าต้องการพูดอะไรครับ (จริง ๆ ไม่รู้หูผมบอด หรือ สำเนียงเค้าแปลกนะ) ตัวอย่างเช่น โกทูเคาท์เตอร์นัมเบอร์ทิน ไอ้เราก็อะไรหว่า ทิน ทิน ... กว่าจะรู้เรื่องว่าให้ไปเคาท์เตอร์นัมเบอร์เท็น หรือ ไปที่เคาท์เตอร์หมายเลขสิบ ก็แทบแย่เลยครับ ... แต่ทุกอย่างก็เป็นไปได้ด้วยดีได้เช็คอินตอน 10 โมง 45 นาที ทันเวลาแบบเฉียดฉิว...นี่ถ้าเครื่องลงช้านิดนึงหละก็คงจะตกไฟล์ทแน่ ๆ เลย
สำหรับเครื่องของสายการบินแอร์นิวซีแลนด์ที่ใช้เดินทางเป็นเครื่องที่มี 2 เครื่องยนต์มีที่นั่งประมาณ 130 ที่นั่งแบ่งเป็น 2 ด้าน ซ้าย ขวา ด้านละ 3 ที่นั่ง มีพนักงานบริการบนเครื่องอยู่ 3 คนครับ โดยคราวนี้ผมได้ที่นั่งฝั่งซ้ายทางด้านท้ายเครื่อง ซึ่งจากข้อมูลที่อ่านมาเนี่ยถ้านั่งฝั่งซ้ายเราจะมีโอกาสได้เห็นภูเขาไฟที่ชื่อ ทารานากิ ครับ ซึ่งภูเขาไฟลูกนี้ใช้แสดงเป็นภูเขาไฟฟูจิในเรื่อง The Last Samurai ครับแต่เนื่องจากมีเมฆอยู่ค่อนข้างมาก แถมไม่ได้นั่งติดริมหน้าต่างมองเห็นไม่ชัดนักเลยไม่ได้เก็บภาพมาฝาก
บริเวณ Cathedral Square
เครื่องลงที่สนามบินไคร์สเชิร์ชตอนประมาณเที่ยงครึ่ง อากาศที่นี่เย็นกว่าที่โอ๊คแลนด์ครับ แต่แดดแรงพอ ๆ กันเลย แค่กำลังจะเริ่มทริปเท่านั้นปัญหาที่ไม่น่าจะเกิดก็เกิดครับ เราไม่มีรถขับครับงานนี้ เราจองรถไว้ทางอินเตอร์เน็ตซึ่งเป็นบริษัทรถเช่าของคนในพื้นที่ซึ่งเป็นบริษัทเล็ก ๆ (เนื่องจากบริษัทใหญ่ ๆ ที่เราติดต่อไปเช่น Avis ฯลฯ ไม่มีรถขนาดใหญ่พอสำหรับ 5 คนรวมกระเป๋า...อย่าลืมกระเป๋านะครับ ส่วนใหญ่บริษัทเหล่านี้จะมีรถสำหรับนั่ง 5 คนแต่เค้าจะไม่รวมกระเป๋าครับ ถ้าสัมภาระเยอะเนี่ยแนะนำให้เป็นรถใหญ่ขนาด 6-7 คนไปเลยดีกว่า) พอเราโทรไปจะให้เอารถมารับที่สนามบินเพราะเรามาถึงแล้ว (บริษัทเล็ก ๆ เหล่านี้มักไม่มีสำนักงานในสนามบินครับ) ปรากฏว่าคำตอบที่ได้คือ รถไม่มี เค้าอ้างว่าเราได้ยกเลิกการจองไปแล้ว รถก็เลยเอาไปให้คนอื่น นั่นแหละครับปัญหาที่ไม่คิดว่าจะเกิดก็เกิดขึ้นจนได้
อ้าว...แล้วทีนี้ทำยังงัยหละเนี่ย
ทำอะไรไม่ได้ครับ
ก็ต้องโทรไปหารถเช่าจากบริษัทอื่นต่อไป ที่สนามบินจะมีบอร์ดติดประกาศทั้งชื่อบริษัท รูปแบบรถ และเบอร์โทร พร้อมมีโทรศัพท์ไว้ให้โทรฟรีอีกด้วย ในที่สุดเราก็ได้รถเช่าของบริษัท U-Save โดยเค้าจะส่งรถมารับที่สนามบิน
มาย-คาร์-อิส-เร็ด คนรับสายพยายามบอกเรา
อะไรอีกหละเนี่ย แคน-ยู-สเปล-เร็ด ? ถามกลับไปด้วยใบหน้างงงง
อาร์ อี ดี
เร็ด คนรับสายตอบ
อ๋อ เรด เค้าพยายามบอกว่ารถที่เค้าจะมารับหนะสีแดง โธ่
ประมาณ 5 นาทีจากสนามบินก็ไปถึงบริษัทรถเช่า กว่าจะตกลงกันเสร็จก็ปาเข้าไป 2 โมงกว่า ได้เวลาเริ่มต้นเดินทางกันเสียที เราขับรถเข้าไปในเมืองเพื่อเอาของไปเก็บในโรงแรมที่ได้จองไว้ทางอินเตอร์เน็ทกันก่อนครับ (หวังว่าจะไม่โดนยกเลิกเหมือนรถนะ) โดยโรงแรมที่เราจองชื่อ Alglenn Motel มี 5 ที่นอนเป็นเตียงคู่ 1 เตียง และเตียงเดี่ยวอีก 3 เตียง มีห้องครัวและห้องน้ำในตัวครับ ทั้งหมดก็ 130 เหรียญ เจ้าของเป็นคนเอเชียน่าจะเป็นประมาณฮ่องกงหรือจีน
ใจดีและน่ารักมาก ๆ
พักทานกลางวันกันนิดหน่อย ก็ออกจากโรงแรมเข้าไปเดินเล่นในเมืองกัน เราใช้วิธีเดินกันไปเพราะเจ้าของโรงแรมบอกว่าแค่ 10 นาทีเอง เอารถไปต้องไปหาที่จอดอีก
เอ้า
เดินก็เดิน
แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็เดินกันเกือบ 20 นาทีเลยครับ ไม่ใช่ว่าไกลหรอกนะแต่เพราะเราหลงทาง ... 555 ... หลงกันแต่หัววันเลย
อีกมุมหนึ่งบริเวณ Cathedral Square
จุดศูนย์กลางของเมืองคือ Cathedral Square ซึ่งจัดเป็นสถานที่ห้ามพลาดเลยนะครับ ถ้ามาไคร์สเชิร์ชแล้วไม่ได้มาที่นี่เนี่ย ถือว่าไม่ได้มาเลยนะครับ ที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางของทุกอย่าง ทั้งท่ารถประจำทาง รถแท็กซี่ รถราง ร้านอาหาร ร้านสินค้าปลอดภาษี ฯลฯ โดยตัวโบสถ์ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1864 ในรูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบโกธิกของอังกฤษ ในวิหารประกอบด้วยเสารูปแปดเหลี่ยม 14 ต้นและหน้าต่างประดับกระจกสีสันงดงาม ปกติเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรีครับ แต่ถ้าต้องการถ่ายรูปต้องจ่ายเพิ่มอีก 2 เหรียญและถ้าต้องการขึ้นไปบนหอคอยเพื่อชมวิวของเมืองไคร์สเชิร์ช ก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก 4 เหรียญครับ สำหรับผมเหรอครับ แค่ชมภายในวิหารด้วยตากับเก็บภาพมาด้วยใจก็พอครับ...555
ข้างในโบสถ์เสียเงินถ่ายข้างนอกก็ได้
ฟรี
Chalice กับ โบสถ์บริเวณ Cathedral Square
บริเวณด้านนอกของโบสถ์จะมีสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2000 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในฉลองสหัสวรรษใหม่พร้อมกับการครบรอบ 150 ปีในการก่อตั้งเมืองไคร์สเชิร์ช และเมืองแคนเธอร์เบอร์รี่ (Canterbury) นั่นก็คือ กรวยสีเงินที่มีชื่อว่า Chalice ซึ่งหมายถึงถ้วยเงินหรือทองที่ใช้ใส่ไวน์ในพิธีทางศาสนาคริสต์ เป็นสัญลักษณ์ใหม่ที่ผมว่าสวยและสามารถผสมกันได้อย่างกลมกลืนกับจัตุรัสแห่งนี้จริง ๆ ครับ แต่ก็มีบางคนที่เห็นว่าดูขัด ๆ กับความขลังของตัวโบสถ์ อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ความชอบของแต่ละคนหละครับ
รถรางกับคนขับสุดเท่ห์
รถราง (Tram) ก็น่าจะถือได้ว่าเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งสำหรับเมืองนี้ครับ โดยรถรางมีประวัติเกี่ยวข้องกับเมืองมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 โดยใช้เป็นพาหนะในการเดินทางจนกระทั่งปี 1950 จึงถูกยกเลิกไป หลังจากนั้นอีกกว่าครึ่งทศวรรษจึงได้มีรถรางกลับมาวิ่งและเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองมาจนถึงทุกวันนี้ (หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
www.tram.co.nz ) ค่าใช้จ่ายจะเป็นตั๋วเหมาจ่าย 2 วันราคา 12.50 เหรียญใช้กี่ครั้งก็ได้ในช่วงเวลาที่กำหนดครับ ถ้าสนใจจะชมเมืองไคร์สเชิร์ชให้ครบทุกจุด ผมว่ารถรางก็เป็นพาหนะที่ช่วยทุ่นระยะเวลาและแรงในการเดินทางได้เป็นอย่างดีทีเดียว
บรรยากาศสบาย ๆ ใน Victoria Square
กว่าพวกผมจะเดินมาถึงร้านค้าต่าง ๆ โดยเฉพาะร้านแผงลอยที่จัตุรัสก็เริ่มเก็บของกันแล้วหละครับ ถ่ายรูปจุดสำคัญ ๆ กันซักพัก ก็เดินต่อไปยังจตุรัสวิกตอเรีย (Victoria Square) ซึ่งเป็นสวนขนาดเล็ก ๆ โดยด้านหน้าเป็นที่ตั้งอนุเสาวรีย์ควีนวิกตอเรียของอังกฤษ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อสวนแห่งนี้ ภายในจะมีอนุเสาวรีย์ของกัปตันเจมส์คุก ผู้ค้นพบเกาะนี้และมีแม่น้ำเอวอนไหลผ่านสวน เราจะเห็นว่ามีเรือค้ำถ่อ (Punt) ไว้ให้บริการแก่ผู้ที่สนใจนั่งเรือโดยสารแบบอังกฤษชมบรรยากาศของแม่น้ำเอวอนด้วยครับ
บรรยากาศยามเย็นใน Botanic Garden
หลังจากนั้นเราออกเดินทางต่อไปยัง Botanic Garden ซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของเมืองเลยครับเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ทีเดียวจะบอกว่าเป็นปอดของเมืองนี้ก็น่าจะได้ แต่จริง ๆ แล้วผมว่า แทบทุกที่สามารถเป็นปอดของเมืองได้ทั้งหมดครับเพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้เต็มไปหมด อากาศดี (อยากให้กรุงเทพฯ เป็นแบบนี้บ้างจัง) เดินเล่นกันจนเพลิน (รวมหลงทางด้วย) กว่าจะกลับถึงที่พักก็เกือบ 2 ทุ่มแล้ว
ไคร์สเชิร์ชเป็นเมืองที่มีเสน่ห์จริง ๆ ครับ
การเดินทางหมื่นลี้ เริ่มต้นด้วยก้าวแรกเสมอ
ขอให้สนุกกับการเดินทางนะครับ