Journey Journal with NineNoname

<<
มิถุนายน 2555
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
24 มิถุนายน 2555
 

Tokyooooo…Tokyo (โตเกี๊ยว…โตเกียว)






      ถ้าพูดถึง “ถิ่นกำเนิดของพระอาทิตย์” นึกถึงประเทศอะไรกัน ... ใช่แล้วครับ ดินแดนอาทิตย์อุทัยจะเป็นที่ใดไปไม่ได้นอกจากประเทศญี่ปุ่น คราวนี้จะพาไปเที่ยวเมืองที่ติดอันดับ 18 ของเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกปี 2011… กรุงโตเกียว ... “นครหลวงตะวันออก” ของญี่ปุ่นกันครับ


แสงแรกเหนือกรุงโตเกียว

     โตเกียวเป็นขนม...เอ๊ย...เป็นเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในภูมิภาคคันโต มีอาณาบริเวณมากถึงหนึ่งในสี่ของประเทศ มีประชากรอาศัยอยู่ในเขตเมืองประมาณ 12 ล้านคน การเดินทางจากกรุงเทพฯไปกรุงโตเกียวใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง เราเดินทางกันด้วยสายการบินไทยเที่ยวบินที่ TG640 ออกจากกรุงเทพฯ เวลา 22.10 ไปถึงสนามบินนาริตะที่กรุงโตเกียวประมาณ 06.20 โดยเวลาที่กรุงโตเกียวจะเร็วกว่าเมืองไทย 2 ชั่วโมง อัตราแลกเปลี่ยน ณ. วันที่ไป 100 เยน ประมาณ 41 บาท


บรรยากาศบนรถไฟฟ้าจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมือง

     การเดินทางจากสนามบินนาริตะเข้าเมืองโตเกียวสามารถเดินทางได้หลายแบบ ทั้งแท็กซี่ รถประจำทางและรถไฟ โดยคราวนี้เราเลือกใช้บริการรถไฟของ JR เพื่อไปลงยังสถานีโตเกียว มีให้บริการหลายราคา ถ้าเป็นแบบ JR Rapid ราคา 1,280 เยนใช้เวลาประมาณ 80 นาที แต่ถ้าเป็นแบบ JR Express ราคาประมาณ 2,940 เยนใช้เวลา 60 นาที ราคาแพงกว่าก็จะใช้เวลาในการเดินทางน้อยกว่า…เงินซื้อเวลาได้จริง ๆ


บรรยากาศในห้องนอน

    ออกจากสถานีรถไฟมาต่อแท็กซี่อีกนิดก็ถึงแล้วครับโรงแรมที่พักของเราในคราวนี้...Mandarin Oriental Tokyo ... ลงจากแท็กซี่ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากพนักงาน ทั้งมาเปิดประตูและยกของให้ (ไม่ยอมให้เรายกเองเลย) หลังจากนั้นก็พาเราขึ้นไปเช็คอินที่ชั้น 38 ซึ่งอยู่บนสุดของตึก โดยคราวนี้เราห้องพักของเราอยู่ที่ชั้น 35 ... พนักงานต้อนรับดูแลดีมาก ๆ พาไปแนะนำการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ เอารองเท้าแตะมาวางไว้ให้ใส่ ... บริการทุกระดับประทับใจจริง ๆ ว่าแล้วก็ไปชมความงามและความสะดวกสบายของห้องพักกันดีกว่า




บรรยากาศภายในห้องนอนและห้องน้ำ...พร้อมวิวอันสวยงาม

     ทริปนี้เป็นทริปพักผ่อนแบบช๊อป ๆ ชิม ๆ ครับ ... แปลความได้ว่า ... อย่าคาดหวังว่าจะได้ชมทุกสถานที่ที่น่าสนใจของกรุงโตเกียว ... 555 ... หลังจากเก็บข้าวของและพักผ่อนกันนิดหน่อยเราก็ออกไปช๊อปและชิมกัน ประเดิมที่แรกกันที่ย่าน Omote-Sando สามารถนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาลงสถานี Omote-Sando ได้เลยครับ บริเวณนี้มีร้านค้า Brand name หลายร้านไม่ว่าจะเป็น Pleats Please, COMM des GARCONS ฯลฯ เดินกันจนเหนื่อยก็ได้เวลาหาอะไรทานกันหละครับ สำหรับมื้อแรกที่โตเกียว...เราไปทานเทมปุระชื่อดังกัน...ร้านนี้ชื่อร้าน Miyakawa Tempura…



บรรยากาศในร้านและข้าวหน้าเทมปุระ

     ร้าน Miyakawa Tempura นี้เปิดมานานกว่า 40 ปีแล้วครับ เป็นร้านเล็ก ๆ อยู่หัวมุมถนน (เดินตามถนนมาทางทิศที่ตรงข้ามกับศาลเจ้าเมจิจนสุดถนน) มี 2 แบบให้เลือกคือทานแบบเป็นเซ็ทข้าวหน้าเทมปุระ โดยแบบนี้จะเสริฟ์เทมปุระทุกอย่างมาบนข้าวญี่ปุ่นร้อน ๆ หรือจะทานแบบสั่งเป็นอย่าง ๆ ก็ได้แบบนี้ก็จะขึ้นอยู่กับเราว่าอยากทานอะไรบ้าง ถ้าสั่งแบบนี้ก็นั่งทานหน้าเคาท์เตอร์มอง พ่อครัวทำกันสด ๆ ได้เลยครับ...อร่อยมากกกก

     หลังจากทานกันจนตัวกลมแล้วเราก็ไปไหว้พระที่ศาลเจ้าเมจิ (MeiJi Jingu Shrine) กันดีกว่า...ถ้าไม่รีบร้อน อยากเดินชมร้านค้าต่าง ๆ พอออกจากร้านมาให้เดินไปทางซ้ายจนสุดถนน มองทางขวามือนั่นก็คือศาลเจ้าเมจิหละครับ ... ระหว่างทางก็มีร้านค้ามากมายที่คอยขัดขวางเราไม่ให้ไปไหว้พระได้ทันเวลา...555...กว่าจะเดินถึงวัดกันก็เกือบจะถึงเวลาปิดวัดนั่นแหละครับ

      แต่ถ้าใครไม่อยากเดินก็สามารถนั่งรถไฟฟ้ามาที่สถานี MeijiJingumae หรือสถานี Harajuku ได้เลยครับ ศาลเจ้าเมจิเป็นศาลเจ้าในลัทธิชินโต ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้กับจักรพรรดิ Meiji และจักรพรรดินี Shoken โดยได้มีการอัญเชิญดวงวิญญาณของทั้งสองพระองค์มาประทับ ณ. ศาลเจ้าแห่งนี้ด้วย ศาลเจ้าเมจิแห่งนี้ยังถือได้ว่าเป็นศาลเจ้าประจำกรุงโตเกียวอีกด้วย


บรรยากาศบริเวณทางเดินและหน้าศาลเจ้า

     การเดินทางจากประตูหน้าเข้าไปถึงตัวศาลเจ้าต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ก็เป็นการใช้เวลาที่คุ้มค่า เพราะทางเดินเป็นทางที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ๆ มากมาย ร่มรื่นมาก ๆ ถือเป็นผืนป่าที่อยู่ใจกลางเมืองเลยทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่ามหานครที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและแสงสี มีความทันสมัยและอัตราการเจิรญเติบโตที่สูงแห่งนี้จะสามารถพัฒนาความเจริญไปพร้อม ๆ กับการอนุรักษ์ธรรมชาติได้เป็นอย่างดี...เห็นแล้วก็สงสารตัวเอง ตรงไหนที่ร่มรื่น...พี่ไทยเราตัดทิ้งหมด...เฮ้อ...

บรรยากาศภายในวัด

    ไหว้พระเสร็จเดินออกมาแล้วเดินไปทางซ้ายอีกนิดก็ถึงศูนย์รวมของบรรดาวัยรุ่นทั้งหลายแล้วครับ ... ฮาราจูกุ นั่นเอง ถนนเส้นนี้มีร้านค้ามากมายสำหรับวัยรุ่น มีอุปกรณ์ตกแต่งครบครันทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม ... คำเตือน การเดินบนถนนเส้นนี้นาน ๆ อาจจะทำให้หมดตัวได้ (อ่านเร็ว ๆ และทำเสียงทุ้ม ๆ หน่อยนะครับ...555) เดินกันจนเหนื่อยไปเติมพลังกันดีกว่า ... มื้อเย็นวันนี้เราไปกินชาบูร้อน ๆ กัน ร้านนี้อยู่ที่ตึก Ginza Core เดินลงไป 2 ชั้น...ชื่อร้าน ShabuZen


บรรยากาศบริเวณฮาราจูกุ

      ออกตัวก่อนว่าหลาย ๆ ร้านนี่เขาห้ามถ่ายรูปครับ ... เราเลยไม่มีรูปมาให้ชมกัน ... ใช้บรรยายเอาแล้วกันนะครับ อาหารมีทั้งหมูและเนื้อ โดยแต่ละคนจะมีหม้อเป็นของตัวเอง...ตั้งอยู่ข้างหน้าเลย พนักงานก็จะเอาผักต่าง ๆ มาให้เราต้มเอง ตามด้วยหมูหรือเนื้อที่เราสั่งไป พอเราทานเสร็จ พนักงานก็จะเอาเส้นบะหมี่มาต้มโดยใช้น้ำซุปที่เราต้มเนื้อไปเมื่อกี้มาต้มให้เราทาน ... เส้นบะหมี่สด ๆ กับน้ำซุปร้อน ๆ นี่ ... คล่องคอดีจริง ๆ ครับ ...


เทพบุตรสุดหล่อ...พาหนะสำหรับวันนี้

     วันรุ่งขึ้นเราออกไปอุทยานแห่งชาติฮะโกะเนะ (Hakone National Park) กัน เดินทางออกจากโรงแรมกันตอน 8 โมงครึ่ง ถามว่าเดินทางไปยังงัย...เทพบุตรสุดหล่อคันข้างบนครับเป็นพาหนะสำหรับวันนี้ของเรา ... อุทยานแห่งชาติฮะโกะเนะอยู่ในจังหวัดคะนะงะวะ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโตเกียวใช้เวลาขับรถประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ถนนหนทางไม่ลำบาก...มีขับขึ้นเขาลงห้วยบ้าง ขับสบาย ๆ หลับก็สบาย ๆ...เฮ้ย...หลับได้ไง ... 555 ... ก็เพราะผมไม่ใช่คนขับนะสิครับเลยหลับได้...อิอิ


    สามารถนั่งเรือท่องทะเลสาปได้ด้วยนะครับ

    ฮาโกเนะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยบ่อน้ำพุร้อนที่ตั้งอยู่กลางธรรมชาติอันงดงาม เป็นอีกจุดหนึ่งที่ถ้าอากาศดี ๆ จะสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่เราตั้งใจมากันในวันนี้ ... แต่เสียดายที่วันนี้ถึงจะมีแดดแต่ฟ้าไม่ใสพอที่จะมองเห็นภูเขาไฟฟูจิ ... ช่างขี้อาย (หรือเล่นตัว) จังเลยนะฟูจิซัง ... ไหน ๆ ก็พูดถึงฟูจิซังกันแล้วก็ขอกล่าวถึงเลยแล้วกัน ฟูจิซังหรือภูเขาไฟฟูจิเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นโดยมีความสูงถึง 3,776 เมตร สถานที่ชมความงามของภูเขาไฟฟูจิก็คือ ทะเลสาบทั้ง 5 ที่อยู่รายล้อมภูเขาไฟ และที่อุทยานแห่งชานฮาโกเนะนี่เอง ไหน ๆ เที่ยวนี้ก็ไม่เห็นแล้วขอเอาภาพจากเที่ยวที่แล้วที่ถ่ายที่ทะเลสาบคาวากูจิโกะ (Kawaguchigo) มาฝากแล้วกันนะครับ


ภูเขาไฟฟูจิจากหน้าต่างห้องนอน...ที่ทะเลสาปคาวากูจิโกะ

     ส่วนจุดแรกที่เราจะไปสำหรับวันนี้คือ หุบเขาโอวาคุดานิ เราจะไปทานไข่ดำกัน ... ที่จอดรถกว้างขวางสะดวกสบาย มีร้านขายไข่ดำพร้อมของที่ระลึกตั้งรอเราตั้งแต่ที่จอดรถกันเลยทีเดียว ... หลาย  ๆ คนอาจจะติดอยู่ที่นี่โดยที่ไม่ได้ขึ้นไปดูวิธีทำไข่ดำที่ด้านบนกันเลยก็มี ... เพราะถ้าจะดูบ่อไข่ดำจะต้องเดินขึ้นเขาตามทางเดินไปอีกหน่อย (เกือบครึ่งกิโลได้) เราก็จะพบกับจุดกำเนิดของไข่ดำกัน


ไข่ดำใส่ถุงพร้อมเสริฟ์

      ไข่ดำคืออะไร ... ไข่ดำก็คือไข่ที่มีสีดำ ... พูดอีกก็ถูกอีกแต่จะพูดทำไม ... 555 ... ไข่ดำจริง ๆ แล้วเป็นไข่ไก่ญี่ปุ่นที่มีเปลือกสีขาว ๆ แต่เนื่องจากถูกเอาไปต้มในบ่อน้ำพุร้อนที่มีแร่กำมะถัน พอนำขึ้นมาก็เลยกลายเป็นสีดำ เนื่องจากการทำปฏิกริยากับกำมะถันที่อยู่ในบ่อน้ำพุ โดยคนญี่ปุ่นเชื่อว่า ถ้ารับประทานไข่ดำ 1 ฟองจะทำให้อายุยืนขึ้นอีก 7 ปี ... สนใจจะรับกี่ลูกดีครับงานนี้ ... อ้อ ... กลิ่นแถวนี้ขอเตือนไว้ก่อนนะครับว่ากลิ่นแปลก ๆ และแรงใช้ได้ทีเดียว


บรรยากาศบริเวณน้ำพุร้อนที่ใช้ทำไข่ให้ดำ...

     หลังจากไปดูกรรมวิธีการผลิตไข่ดำกันแล้วเราก็ขับรถลงไปดูวิวทะเลสาบกัน ทะเลสาบแห่งนี้คือทะเลสาบอาชิ เป็นทะเลสาบที่ก่อตัวจากลาวาของภูเขาไฟฟูจิและเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในการชมภูเขาไฟฟูจิกันเลยทีเดียว ... แต่เสียดายที่วันนี้อากาศไม่เป็นใจเราเลยไม่ได้เห็นภูเขาไฟฟูจิกัน ... ทะเลสาบแห่งนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวในการเดินทางมาล่องเรือแฟนตาซีโจรสลัดและชมความงามของทะเลสาบกัน แต่คราวนี้เราไม่ได้ล่องเรือกันครับ ไม่ใช่เพราะอากาศไม่ดีแต่เพราะเราจะไปช๊อปกันต่อ ... 555 ...เอาบรรยากาศรวม ๆ มาให้ชมแทนหละกัน ...


บรรยากาศบริเวณท่าเรือ

     หลังจากชื่นชมและดื่มด่ำกับบรรยากาศเย็น ๆ ของทะเลสาบอาชิกันแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อไปยังสถานที่ที่สาว ๆ หลาย ๆ คนคงชื่นชอบ Gotemba Outlets นั่นเอง … ที่นี่มีร้านค้ามากมายแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ โดยมีสะพานข้ามแม่น้ำเป็นตัวกั้นกลาง รู้สึกว่าจากสะพานนี้ถ้าอากาศ  ดี ๆ ก็สามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิได้เช่นกัน ผู้คนเยอะแยะมากมาย ไม่น่าเชื่อว่าคนไม่ค่อยชอบซื้อของแบบผมจะสามารถอยู่ที่นี่ได้เกือบ 4 ชั่วโมง ... นี่ถ้าไม่มีนัดทานข้าวเย็นนี้คงจะอยู่กันไปอีกนาน ... 555

     เดินทางกันมาทั้งวัน ... หิวหรือยังครับ ... มาต่อกันที่มื้อเย็นสำหรับวันนี้กันเลยดีกว่า ... มื้อเย็นวันนี้เป็นอีกมื้อที่สนุกสนานกันมาก ร้านนี้ชื่อร้าน Inakaya เป็นร้านอาหารปิ้ง ๆ ย่าง ๆ เท่าที่ดูในเว็บเห็นว่ามีหลายสาขา แต่ที่เราไปทานกันจะอยู่แถว ๆ Ginza บรรยากาศภายในร้านจะมีเคาท์เตอร์เป็นรูปตัวยูให้เรานั่ง โดยพื้นที่ภายในจะวางอาหารสด ๆ ไว้ให้เราเลือก ถัดมาจะมีพนักงาน 2 คนทำการปิ้ง ๆ ย่าง ๆ ของที่เราเลือกและเสริฟ์ให้เราด้วยไม้พายอันยาว ... อาหารอร่อยมาก ปิ้งกันสด ๆ เลย


     ร้านนี้เป็นร้านที่คึกคักมากเพราะพนักงานยิ้มแย้มแจ่มใสและจะพูดตลอดเวลา   ... 555 ...ไม่ได้พูดกันเองนะครับ เขาจะพูดทวนสิ่งที่เราสั่งและสิ่งที่เขาทำ เช่น ถ้าเราสั่ง “โค้ก” ... พนักงานที่รับ     ออร์เดอร์ก็จะพูดว่าลูกค้าสั่ง “โค้ก” ... พนักงานคนอื่น ๆ ก็จะทวนว่าลูกค้าสั่ง “โค้ก” … พอพนักงานคนนั้นหยิบ “โค้ก” มาเสริฟ์ให้เราด้วยไม้พาย ก็จะพูดว่าเสริฟ์ “โค้ก” ให้ลูกค้าแล้ว พนักงานคนอื่น ๆ ก็จะพูดตาม ... คึกคักดีไหมครับ


บรรยากาศสนุกสนานมาก ๆ

     อีกวันกว่า ๆ ที่เหลือของเรา เวลาส่วนใหญ่ก็จะใช้ไปกับ “การช๊อป” และ “การกิน” อีกหนึ่งร้านที่มีโอกาสได้ไปทาน และอยากจะแนะนำก็คือร้าน Mariage Freres จริง ๆ แล้วเป็นร้านขายใบชาของประเทศฝรั่งเศส โดยเมืองไทยก็จะมีโรงแรมสุโขทัยที่นำเข้ามาเป็นแห่งแรก ต่อมาก็มีอีกแห่งคือที่โรงแรมแมนดารินโอเรียนเต็ลกรุงเทพฯ ร้านนี้เท่าที่เห็นแบ่งเป็น 3 ชั้น โดยชั้นแรกจะเป็นส่วนที่ขาย   ใบชา (แค่เดินเข้ามาก็หอมมาก ๆ แล้ว) ในขณะที่ชั้นสองและชั้นสามจะมีโต๊ะไว้ให้บริการสำหรับลูกค้าที่นั่งทานชาและอาหาร โดยอาหารของที่นี่จะนำใบชามาปรุงและใช้เป็นส่วนผสมด้วย ... ชาหอมมาก ๆ ... นั่งทานอาหารไป จิบชาไป ... มีความสุขสุด ๆ ครับ


บรรยากาศหน้าร้าน

     ไหน ๆ ก็มาถึงเรื่องอาหารแล้วแถมอีกสักร้านเลยแล้วกัน ... เป็นร้านของเชฟ Joel Robuchon พ่อครัวชาวฝรั่งเศส ผู้ที่ได้รับดาวมิชลิน (Michelin Stars) มากที่สุดนั่นคือ 26 ดาวจากร้านอาหารของเขาทั้ง 23 ร้านใน 11 เมืองทั่วโลก ที่โตเกียวมีร้านของเขา 2 ร้านคือ Chateau Restaurant ซึ่งได้ดาว 3 ดาวและถ้าจะไปทานต้องจองล่วงหน้าถึง 3วัน ส่วนอีกร้านหนึ่งที่มีโอกาสไปทานมาในครั้งนี้คือ ร้าน L’Atelier de Joel Robuchon เป็นร้านระดับ 2 ดาว ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ของตึก Mori Tower ที่อยู่ในย่าน Roppongi นั่นเอง


ด้านหน้าร้าน L’Atelier de Joel Robuchon

บริเวณครัวเปิดด้านใน...มีเคาท์เตอร์นั่งด้านหน้า

     อย่างที่เห็นในรูปร้านนี้ตกแต่งโดยเน้นสีแดงและสีดำเป็นหลัก ที่นั่งเป็นแบบนั่งรอบครัวเปิด … เอาให้เห็นกันเลยว่าทำอะไรกันบ้าง อาหารของร้านเป็นอาหารฝรั่งเศสสไตล์ฟิวชั่น บางคนบอกว่าเป็นการผสมผสานวัฒนธรรมอาหารจากญี่ปุ่น (Sushi Bar) สเปน (Tapas) และ ฝรั่งเศสได้อย่างลงตัว เมนูของร้านมี 2 แบบคือแบบ Set และแบบ a la carte เนื่องจากมื้อกลางวันที่จัดหนักมาจากร้าน Mariage Freres มื้อนี้เลยไม่สามารถจะรับประทานแบบ Set ได้ สั่งเป็นแบบ a la carte แล้วกัน รสชาดอาหารเมื่อรวมกับบรรยากาศแล้วเยี่ยมมาก ๆ มาชมภาพกันเลยดีกว่าครับว่าน่าทานขนาดไหน


บรรยากาศภายในร้านและอาหาร...สวยงามน่าทานไหมครับ

     เรายังมีเวลาอีกนิดหน่อยก่อนกลับ อีกหนึ่งที่ที่จะไม่ไปไม่ได้เมื่อมาถึงโตเกียวก็คือ วัดเซ็นโซจิ หรือที่เรารู้จักกันว่า วัดอาซากุสะ (Asakusa Kannon) นั่นเอง วัดนี้เป็นวัดพุทธที่น่าจะเก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคคันโต ตำนานของวัดที่เล่าต่อ ๆ กันมาคือมีชายหาปลา 2 คนพี่น้องมาทอดแหในแม่น้ำสุมิดะ แต่กลับได้รูปปั้นพระโพธิสัตว์ หรือ เทวรูปคันนง (Kannon) ขึ้นมาแทน จึงได้อัญเชิญขึ้นมาและสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นในปี ค.ศ.628 เพื่อใช้ประดิษฐาน บรรดาโชกุนและซามูไรนิยมมาสักการะที่วัดแห่งนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากสิ่งที่ขอพรไปนั้นมักจะสำเร็จดังที่ขอ ...




บริเวณทางเดินและภายในวัดอาซากุสะ

     โตเกียวไม่ได้มีไส้แค่นี้นะครับ ... ยังมีอีกหลายไส้ ... เอ๊ย ... ยังมีอีกหลาย ๆ สถานที่ให้เราได้ไปชมกัน ไม่ว่าจะเป็นชมสะพานนิจูบาชิที่พระราชวังอิมพีเรียล สังสรรค์ยามราตรีที่ย่านชินจูกุ ช๊อบสินค้าแบรนด์เนมที่ย่านกินซ่า ชมแฟชั่นทันสมัยที่ย่านชิบูย่า ชมวิวทิวทัศน์ที่โตเกียวทาวเวอร์ และอื่น ๆ อีกมากมายครับเสียดายที่คราวนี้เก็บมาไม่หมด ... คงจะต้องไปเก็บกันใหม่ถ้ามีโอกาส ... 555 ... ลาไปด้วยภาพวิวตอนกลางคืนจากห้องพักแล้วกัน การเดินทางหมื่นลี้เริ่มต้นด้วยก้าวแรกเสมอ ... ขอให้มีความสุขและสนุกกันการเดินทางนะครับ ...





Create Date : 24 มิถุนายน 2555
Last Update : 7 มีนาคม 2560 9:47:43 น. 1 comments
Counter : 4568 Pageviews.  
 
 
 
 
ภาพสวยงามมากๆเลยค่ะ ถ่ายฟูจิซังมาได้ใสกิ๊งเลย
 
 

โดย: khimyo วันที่: 2 กันยายน 2555 เวลา:20:50:46 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

iamnoname
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]





[Add iamnoname's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com