โรงแรมที่พักคราวนี้เป็นโรงแรมเล็ก ๆ อยู่ในย่าน Shinsaibashi ซึ่งเป็นย่านช๊อปปิ้งหลัก นั่งรถไฟสาย Nankai line ไปลงที่สถานี Namba แล้วต่อรถไฟใต้ดินสาย Midosuji (สีแดง) ไปลงสถานี Shinsaibashi เดินอีกนิดก็ถึง ที่โรงแรมให้เช็คอินตอนบ่าย 2 เราเลยฝากของไว้แล้วออกเดินทางต่อ วันนี้เราจะไปเที่ยวเกียวโตกันครับ การเดินทางจะแตกต่างกันตามบัตรรถไฟที่ซื้อมาใช้ เนื่องจากทริปนี้เราใช้ Kansai Thru Pass ผมก็จะพูดถึงเฉพาะการเดินทางด้วยบัตรแบบนี้ ส่วนถ้าใครใช้บัตร JR ก็ต้องเดินทางกันอีกแบบนึง
มุมหนึ่ง (แบบเบลอ ๆ) ในเกียวโต
เกียวโตเป็นเมืองเก่าที่ยังคงรักษาความเก่าไว้ได้เป็นอย่างดี เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ในตัวเอง แต่เนื่องด้วยความเจริญที่เพิ่มขึ้น รถราเพิ่มขึ้นในขณะที่ผังเมืองเป็นแบบเก่าทำให้การเดินทางกว่าจะไปยังจุดต่าง ๆ ต้องผ่านแยกมากมาย จนนักท่องเที่ยวต่างขนานนามให้เมืองนี้เป็น มหานครร้อยไฟแดง กันเลยทีเดียว ดังนั้นการเดินทางในเมือง ถ้าจะอาศัยเฉพาะรถประจำทางหรือแท็กซี่อย่างเดียว อาจจะใช้เวลาในการเดินทางนาน ทริปนี้เราเลยต้องอาศัยรถไฟฟ้าใต้ดินเข้าช่วยแล้วมานั่งรถเมล์บ้าง เดินบ้าง ก็ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางไปได้เยอะทีเดียว
ทางเข้าใหญ่ของศาลเจ้า Fushimi-inari
จากสถานี Shinsaibashi ไปกรุงเกียวโต เราขึ้นรถไฟใต้ดินสายสีแดงไปลงที่สถานี Yodoyabashi ใช้ทางออก 1-5 เพื่อไปต่อ Keihan Line ขึ้น Limited Express ไปลง Tambabashi แล้วต่อรถไฟ local เพื่อไปลงสถานี Fushimi-inari ... ใช่แล้วครับวัดแรกที่เราจะไปคือศาลเจ้า Fushimi Inari Taisha Shrine เป็นศาลเจ้าที่มีประตูส้ม ๆ ตลอดทางที่เห็นในเรื่องเกอิชานั่นเอง
ในที่สุดก็ได้มา
มาเกียวโตก็หลายครั้งแต่ไม่เคยมาศาลเจ้านี้เลยสักครั้ง คราวนี้เลยตั้งใจแบบสุด ๆ ว่ายังไงก็ต้องมาให้ได้ ศาลเจ้านี้ควรจะมาแต่เช้าและมาเป็นที่แรก เพราะว่าในส่วนของซุ้มประตูโทริอิ (Torii) นั้นใช้เป็นทางเดินขึ้นเขา ไม่มีเวลาเปิดปิดเราเลยสามารถมาถ่ายรูปกันได้แต่เช้า ... แต่ถ้าเช้าเกินไป ไม่มีผู้คน บรรยากาศก็อาจจะหลอน ๆ ไปนิด เกะเวลากันดี ๆ นิดนึง ... 555 ... ศาลเจ้าแห่งนี้มีสัญลักษณ์เป็นสุนัขจิ้งจอก ซึ่งหมายถึงผู้นำสารไปยังเทพเจ้า และหมายถึงเทพเจ้าแห่งธัญพืชในศาสนาชินโตอีกด้วย
ร้านนี้เลยครับอร่อยเด็ด อยู่หัวมุมถนนพอดี
หลังจากไหว้พระทำบุญเสร็จก็ออกมาเติมพลังก่อนออกเดินทางต่อ ร้านที่อยากจะแนะนำก็คือร้านข้าวหน้าปลาไหลที่อยู่หน้าวัดเลยครับ ทางเข้าวัดมี 2 ทางนะครับถ้าเดินออกจากวัดตรงทางเข้าใหญ่ ให้เลี้ยวขวาจะเจอสี่แยก ร้านจะอยู่ทางซ้ายมือตรงหัวมุมถนนพอดี แต่ถ้าออกทางประตูเล็ก (ใกล้สถานีรถไฟ) ร้านก็อยู่ตรงสี่แยกนั้นเลย ... อาศัยตามกลิ่นไปก็ได้นะครับ ... 555 ...ร้านนี้ย่างปลาไหลกันให้เห็น ๆ ทั้งสีสัน หน้าตา รวมทั้งกลิ่นนี่ชวนให้เดินเข้าไปลิ้มลองมาก ๆ ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวัง อร่อยจริง ๆ ขอแนะนำให้เข้าไปลอง ท่าทางจะมีคนไทยไปทานกันเยอะ เพราะพี่แกมีเมนูพร้อมประวัติร้านเป็นภาษาไทยกันเลยทีเดียว
ชุดข้าวหน้าปลาไหล
หลังเติมบุญ เติมพลังกันเรียบร้อยก็ออกเดินทางต่อไปยังวัดคิโยมิสึ (Kiyomizu-dera) หรือที่คนไทยส่วนใหญ่เรียกว่า วัดน้ำใส นั่นเอง การเดินทางก็ไม่ยาก กลับมาที่สถานีแล้วนั่งรถไฟต่อไปลงที่ Kiyomizu-gojo ซึ่งอยู่ถัดไปอีก 4 ป้าย สถานีอยู่ค่อนข้างไกลจากวัดพอสมควร ใครใคร่นั่งรถประจำทางหรือรถแท็กซี่ก็สามารถนั่งต่อได้ หรือใครอยากจะเดินชิว ๆ ก็สามารถเดินได้เช่นกัน ใช้เวลาเดินแบบเรื่อย ๆ ประมาณ 30 นาที
วัดน้ำใส เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างมากว่า 1 พันปีตั้งอยู่บนเนินเขาฮิงายามา ตัววิหารใหญ่สร้างด้วยไม้สวยงาม มีระเบียงไม้ยื่นออกไปเหนือหุบเขา โดยมีเสาไม้ขนาดใหญ่นับร้อยต้นรองรับ โดยการสร้างทั้งหมดนี่ไม่มีการใช้ตะปูเข้ามาช่วยเลยสักตัวเดียว ... สุดยอดจริง ๆ ... ในวันที่อากาศดี ๆ เราสามารถเห็นหอคอยเกียวโต และชมความงามของเมืองเกียวโตจากระเบียงได้เลย
นอกจากระเบียงไม้แล้ว อีกจุดหนึ่งที่ห้ามพลาดคือ การไปดื่มน้ำจากสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 สายที่ไหลผ่านวัด ซึ่งนั่นก็คือที่มาของชื่อวัดน้ำใสนี่เอง โดยมีความเชื่อว่าสายที่ 1 ถ้าใครได้ดื่มจะประสบความสำเร็จด้านการศึกษา สายที่ 2 จะสมหวังในความรัก และสายที่ 3 จะมีสุขภาพแข็งแรง ผมเคยได้ยินว่าให้เลือกดื่มเพียงสายเดียว แต่เอาเข้าจริงหลายคนก็รองน้ำจากทั้ง 3 สายลงในกระบวย (ที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยแสง UV) และดื่มทีเดียว ก็เราไม่ได้มาบ่อย ๆ นี่เนอะ ... จะเลือกเพียงอย่างเดียวก็เสียดายอีก 2 อย่าง ... 555 ... เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
หลังจากไหว้พระขอพร พร้อมดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ (ทั้ง 3 สายในครั้งเดียว) เสร็จเราก็จะเดินไปชมตลาดเก่าแถวย่าน Gion กันครับ จริง ๆ หลายคนคงอยากไปชมความงามของวัดทองกัน แต่อย่างที่บอกว่าเมืองร้อยไฟแดงแบบเกียวโต การเดินทางจากด้านขวาของเมือง ไปด้านซ้ายของเมืองต้องใช้เวลาค่อนข้างเยอะ และเราต้องค่อนข้างรีบมาก ๆ เราก็เลยเลือกที่จะไม่ไปและเดินชมเมืองเก่าแบบช้า ๆ เนิบ ๆ ซึมซับบรรยากาศแบบนี้แทน การเดินทางไป Gion ก็มี 2 วิธีคือเดินไปขึ้นรถไฟหรือเดินไปเลย ซึ่งเราเลือกวิธีหลัง เพราะยังไงก็ต้องเดินก็เดินเลยแล้วกันเนอะ
เราเดินลงเขามาตามถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้าทั้ง 2 ข้างทาง ถนนสายนี้เรียกว่า ถนนสายกาน้ำชา แต่เดิมน่าจะเต็มไปด้วยร้านน้ำชาตามชื่อ แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป ... ถนนสายนี้ก็ต้องเปลี่ยนตาม ปัจจุบันเลยเต็มไปด้วยร้านขายขนม ขายของชำร่วย ร้านไอศกรีม ฯลฯ ที่ผุดขึ้นมารอต้อนรับนักท่องเที่ยวแทน หลาย ๆ คนได้เปลี่ยนชื่อถนนสายนี้ใหม่เป็น ถนนสายแม่ปู ... เพราะอะไรเหรอครับ ... เพราะเราไม่สามารถเดินตรง ๆ ลงมาได้ ต้องเดินไปทางซ้ายที ... ขวาที เหมือนปูเดินนั่นเอง ... คนคิดนี่ก็ช่างคิดจริง ๆ นะ ...
Gion เป็นย่านบันเทิงยามราตรีของเกียวโต ซึ่งแน่นอนว่าแถบนี้ต้องมีเกอิชา (Geisha) และหน้าที่ของเกอิชาจริง ๆ ก็มีไว้เพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่แขก ไม่ว่าจะร้องเพลง เต้นรำ เล่นดนตรี ฯลฯ ซึ่งต้องถือว่าเธอเหล่านี้เป็นผู้มีความสามารถรอบด้านจริง ๆ แต่การเห็นเกอิชาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ที่เห็นเดินตามถนนส่วนใหญ่จะเป็นไมโกะ (Maiko) หรือเกอิชาฝึกหัดเสียมากกว่า เดินเล่น กินขนม ชมวิวไปเรื่อย ๆ แล้วก็กลับโอซาก้าช่วงค่ำ ๆ
วันรุ่งขึ้นก็ช๊อป ชิม ชิว กันหลายย่านทั้ง Umeda, Yodobayashi, Shinsaibashi, Namba ฯลฯ การเดินทางก็ใช้รถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ใช้วิธีหยอดเหรียญแทน ซึ่งรวม ๆ ค่าเดินทางทั้งวันประหยัดกว่าการเอาบัตร Kansai Thru Pass มาใช้ เป็นวันที่ประหยัดค่าเดินทางแต่ไม่ค่อยประหยัดค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ เพราะแต่ละย่านที่ไปนี่เป็นแหล่งละลายเงินเยนได้ดีจริง ๆ
มุมมหาชนที่วัดทอง
วันสุดท้ายตอนแรกวางแผนคร่าว ๆ ว่าจะไปเที่ยวนารา โกเบ แต่เอาเข้าจริงก็กลับไปเก็บวัดทองแทน ... พูดถึงวัดทองหลายคนอาจจะยังนึกไม่ออก แต่ถ้าพูดถึงปราสาทที่ท่านโชกุนในเรื่องอิกคิวซังอยู่ ผมเชื่อว่าทุกคนต้องร้อง อ๋อ ขึ้นมาทันที ... วัดทองหรือวัด Kinkaku-ji เป็นวัดที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดวัดหนึ่งในญี่ปุ่น เขาว่าถ้ามาเกียวโตแล้วไม่ได้มาวัดนี้นี่ก็เหมือนมาไม่ถึง วันนี้เราเลยต้องมาเก็บให้ได้ไม่งั้นเหมือนมีอะไรติดอยู่ในใจ ... ว่าไปนั่น ... แต่ละชั้นของปราสาททองคำหลังนี้สร้างและตกแต่งแตกต่างกัน โดยชั้นบนเป็นที่อยู่ของโชกุน ชั้นที่สองเป็นแบบบ้านซามูไร เป็นที่พักซามูไรที่อารักขาโชกุน และชั้นล่างสร้างตามแบบวัดพุทธนิกายเซน โดยมีสระน้ำล้อมรอบ
การเดินทางก็คล้าย ๆ กับที่ไปวัดน้ำใสวันแรก เพียงแต่หลังจากขึ้น Keihan Line ให้ไปลงสถานี Sanjo แล้วต่อสาย Tozai Line ไปลงสถานี Nishioji Oike แล้วต่อรถประจำทางสาย 205 ไปลง Kinkakuji อีกที เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 09.00 17.00 น. ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 400 เยน เด็ก 300 เยน เที่ยวชมจนหนำใจก็กลับมาเก็บร้านค้าแถวที่พักอีกสักหน่อย ก่อนกลับไปแพ็คของเพื่อเตรียมเดินทางกลับกรุงเทพฯ ... จบการเดินทางทริปสั้น ๆ แต่มันส์หยดกันเพียงเท่านี้ ... การเดินทางหมื่นลี้เริ่มต้นด้วยก้าวแรกเสมอ ... ขอให้มีความสุขและสนุกกับการเดินทางครับ ...
เป็นคุณพ่อคุณแม่ที่ช่างสรรหาของดีดี
ผ้าอ้อมคุณภาพดีจริงๆ เลยนะคะ
และขอบคุณที่นำภาพงามๆ มาฝาก
ชอบศาลเจ้าฯ จังเลยค่ะ