Journey Journal with NineNoname

<<
เมษายน 2557
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
8 เมษายน 2557
 

เกียวโต ... สาม สี่คน

     หนีลูกไปเที่ยว ... เอ๊ย ... ไปซื้อของมาให้เขาครับ ... 555 ... แว๊ปไปญี่ปุ่นมา 3 วัน 2 คืน เป็นทริปเล็ก ๆ มีกัน 4 คน บินด้วยการบินไทยอีกเช่นเคยไปลงสนามบินคันไซ เมืองโอซาก้า ... เลือกไฟล์ท TG622 ที่ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิตอน 5 ทุ่มกว่า ๆ ไปถึงโอซาก้าแต่เช้าตรู่ ประมาณ 6 โมงครึ่ง เพื่อจะได้เที่ยวได้เลยนั่นเอง  ... ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง เวลาที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง

 

นั่งรถไฟเข้าเมืองกัน     

     เมื่อผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองแล้วก็ออกมาซื้อ Kansai Thru Pass กันก่อน ซื้อได้ที่ชั้น 1 เดินออกมาแล้วเลี้ยวซ้ายตรงแถว ๆ ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยว สนนราคาก็มีแบบ 2 วัน 3,800 เยน 3 วัน 5,000 เยน (ข้อมูล ณ. เดือน เม.ย 57 ราคาเปลี่ยนเป็น 4,000 เยน กับ 5,200 เยน) ข้อดีของบัตรแบบนี้คือ ไม่ต้องใช้ต่อเนื่อง นับ 24 ชั่วโมงหลังจากเริ่มใช้หลังจากนั้นก็เว้นไว้ได้ เริ่มใช้ใหม่ก็เริ่มนับ 24 ชั่วโมงใหม่ ซึ่งทำให้ทริป 3 วัน 2 คืนของผมครั้งนี้ซื้อบัตรแบบ 2 วันพอ

เราไปซื้อของให้คุณลูกชายจริง ๆ นะ

     แผนคร่าว ๆ คือไปหาอะไรกินและชอปปิ้ง หลัก ๆ คือผ้าอ้อมของคุณชาย ... หลายคนอาจมองว่าเว่อร์ไปปะ ... แต่อย่างที่เคยเขียนไว้ว่าของเขาดีกว่าจริง ๆ บางกว่า ซึมซับดีกว่า มีสัญลักษณ์บอก ฯลฯ มีโอกาสเราก็เลยไปหาซื้อให้เขาไว้ใช้ ใคร ๆ ก็ต้องอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนที่เรารักที่สุดจริงไหมครับ เราใช้บัตร kansai thru pass ในวันแรกและวันที่ 3 ที่ต้องเดินทางด้วยรถไฟไป-กลับสนามบิน ดังนั้นแผนการเดินทางเลยออกไปนอกเมืองในวันแรกและวันที่ 3 ส่วนวันที่ 2 นี่เราใช้เวลาเดินอยู่ในเมืองและใช้วิธีหยอดเหรียญเอาเวลาจะขึ้นรถไฟ


     โรงแรมที่พักคราวนี้เป็นโรงแรมเล็ก ๆ อยู่ในย่าน Shinsaibashi ซึ่งเป็นย่านช๊อปปิ้งหลัก นั่งรถไฟสาย Nankai line ไปลงที่สถานี Namba แล้วต่อรถไฟใต้ดินสาย Midosuji (สีแดง) ไปลงสถานี Shinsaibashi เดินอีกนิดก็ถึง ที่โรงแรมให้เช็คอินตอนบ่าย 2 เราเลยฝากของไว้แล้วออกเดินทางต่อ วันนี้เราจะไปเที่ยวเกียวโตกันครับ การเดินทางจะแตกต่างกันตามบัตรรถไฟที่ซื้อมาใช้ เนื่องจากทริปนี้เราใช้ Kansai Thru Pass ผมก็จะพูดถึงเฉพาะการเดินทางด้วยบัตรแบบนี้ ส่วนถ้าใครใช้บัตร JR ก็ต้องเดินทางกันอีกแบบนึง

มุมหนึ่ง (แบบเบลอ ๆ) ในเกียวโต

     เกียวโตเป็นเมืองเก่าที่ยังคงรักษาความเก่าไว้ได้เป็นอย่างดี เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ในตัวเอง แต่เนื่องด้วยความเจริญที่เพิ่มขึ้น รถราเพิ่มขึ้นในขณะที่ผังเมืองเป็นแบบเก่าทำให้การเดินทางกว่าจะไปยังจุดต่าง ๆ ต้องผ่านแยกมากมาย จนนักท่องเที่ยวต่างขนานนามให้เมืองนี้เป็น “มหานครร้อยไฟแดง” กันเลยทีเดียว ดังนั้นการเดินทางในเมือง ถ้าจะอาศัยเฉพาะรถประจำทางหรือแท็กซี่อย่างเดียว อาจจะใช้เวลาในการเดินทางนาน ทริปนี้เราเลยต้องอาศัยรถไฟฟ้าใต้ดินเข้าช่วยแล้วมานั่งรถเมล์บ้าง เดินบ้าง ก็ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางไปได้เยอะทีเดียว

ทางเข้าใหญ่ของศาลเจ้า Fushimi-inari

     จากสถานี Shinsaibashi ไปกรุงเกียวโต เราขึ้นรถไฟใต้ดินสายสีแดงไปลงที่สถานี Yodoyabashi ใช้ทางออก 1-5 เพื่อไปต่อ Keihan Line ขึ้น Limited Express ไปลง Tambabashi แล้วต่อรถไฟ local เพื่อไปลงสถานี Fushimi-inari ... ใช่แล้วครับวัดแรกที่เราจะไปคือศาลเจ้า Fushimi Inari Taisha Shrine เป็นศาลเจ้าที่มีประตูส้ม ๆ ตลอดทางที่เห็นในเรื่องเกอิชานั่นเอง

   

ในที่สุดก็ได้มา

     มาเกียวโตก็หลายครั้งแต่ไม่เคยมาศาลเจ้านี้เลยสักครั้ง คราวนี้เลยตั้งใจแบบสุด ๆ ว่ายังไงก็ต้องมาให้ได้ ศาลเจ้านี้ควรจะมาแต่เช้าและมาเป็นที่แรก เพราะว่าในส่วนของซุ้มประตูโทริอิ (Torii) นั้นใช้เป็นทางเดินขึ้นเขา ไม่มีเวลาเปิดปิดเราเลยสามารถมาถ่ายรูปกันได้แต่เช้า ... แต่ถ้าเช้าเกินไป ไม่มีผู้คน บรรยากาศก็อาจจะหลอน ๆ ไปนิด เกะเวลากันดี ๆ นิดนึง ... 555 ... ศาลเจ้าแห่งนี้มีสัญลักษณ์เป็นสุนัขจิ้งจอก ซึ่งหมายถึงผู้นำสารไปยังเทพเจ้า และหมายถึงเทพเจ้าแห่งธัญพืชในศาสนาชินโตอีกด้วย


ร้านนี้เลยครับอร่อยเด็ด อยู่หัวมุมถนนพอดี

     หลังจากไหว้พระทำบุญเสร็จก็ออกมาเติมพลังก่อนออกเดินทางต่อ ร้านที่อยากจะแนะนำก็คือร้านข้าวหน้าปลาไหลที่อยู่หน้าวัดเลยครับ ทางเข้าวัดมี 2 ทางนะครับถ้าเดินออกจากวัดตรงทางเข้าใหญ่ ให้เลี้ยวขวาจะเจอสี่แยก ร้านจะอยู่ทางซ้ายมือตรงหัวมุมถนนพอดี แต่ถ้าออกทางประตูเล็ก (ใกล้สถานีรถไฟ) ร้านก็อยู่ตรงสี่แยกนั้นเลย ... อาศัยตามกลิ่นไปก็ได้นะครับ ... 555 ...ร้านนี้ย่างปลาไหลกันให้เห็น ๆ ทั้งสีสัน หน้าตา รวมทั้งกลิ่นนี่ชวนให้เดินเข้าไปลิ้มลองมาก ๆ ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวัง อร่อยจริง ๆ ขอแนะนำให้เข้าไปลอง ท่าทางจะมีคนไทยไปทานกันเยอะ เพราะพี่แกมีเมนูพร้อมประวัติร้านเป็นภาษาไทยกันเลยทีเดียว

 

ชุดข้าวหน้าปลาไหล

     หลังเติมบุญ เติมพลังกันเรียบร้อยก็ออกเดินทางต่อไปยังวัดคิโยมิสึ (Kiyomizu-dera) หรือที่คนไทยส่วนใหญ่เรียกว่า วัดน้ำใส นั่นเอง การเดินทางก็ไม่ยาก กลับมาที่สถานีแล้วนั่งรถไฟต่อไปลงที่ Kiyomizu-gojo ซึ่งอยู่ถัดไปอีก 4 ป้าย สถานีอยู่ค่อนข้างไกลจากวัดพอสมควร ใครใคร่นั่งรถประจำทางหรือรถแท็กซี่ก็สามารถนั่งต่อได้ หรือใครอยากจะเดินชิว ๆ ก็สามารถเดินได้เช่นกัน ใช้เวลาเดินแบบเรื่อย ๆ ประมาณ 30 นาที


     วัดน้ำใส เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างมากว่า 1 พันปีตั้งอยู่บนเนินเขาฮิงายามา ตัววิหารใหญ่สร้างด้วยไม้สวยงาม มีระเบียงไม้ยื่นออกไปเหนือหุบเขา โดยมีเสาไม้ขนาดใหญ่นับร้อยต้นรองรับ โดยการสร้างทั้งหมดนี่ไม่มีการใช้ตะปูเข้ามาช่วยเลยสักตัวเดียว ... สุดยอดจริง ๆ ... ในวันที่อากาศดี ๆ เราสามารถเห็นหอคอยเกียวโต และชมความงามของเมืองเกียวโตจากระเบียงได้เลย

     นอกจากระเบียงไม้แล้ว อีกจุดหนึ่งที่ห้ามพลาดคือ การไปดื่มน้ำจากสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 สายที่ไหลผ่านวัด ซึ่งนั่นก็คือที่มาของชื่อวัดน้ำใสนี่เอง โดยมีความเชื่อว่าสายที่ 1 ถ้าใครได้ดื่มจะประสบความสำเร็จด้านการศึกษา สายที่ 2 จะสมหวังในความรัก และสายที่ 3 จะมีสุขภาพแข็งแรง ผมเคยได้ยินว่าให้เลือกดื่มเพียงสายเดียว แต่เอาเข้าจริงหลายคนก็รองน้ำจากทั้ง 3 สายลงในกระบวย (ที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยแสง UV) และดื่มทีเดียว ก็เราไม่ได้มาบ่อย ๆ นี่เนอะ ... จะเลือกเพียงอย่างเดียวก็เสียดายอีก 2 อย่าง ... 555 ... เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

     หลังจากไหว้พระขอพร พร้อมดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ (ทั้ง 3 สายในครั้งเดียว) เสร็จเราก็จะเดินไปชมตลาดเก่าแถวย่าน Gion กันครับ จริง ๆ หลายคนคงอยากไปชมความงามของวัดทองกัน แต่อย่างที่บอกว่าเมืองร้อยไฟแดงแบบเกียวโต การเดินทางจากด้านขวาของเมือง ไปด้านซ้ายของเมืองต้องใช้เวลาค่อนข้างเยอะ และเราต้องค่อนข้างรีบมาก ๆ เราก็เลยเลือกที่จะไม่ไปและเดินชมเมืองเก่าแบบช้า ๆ เนิบ ๆ ซึมซับบรรยากาศแบบนี้แทน การเดินทางไป Gion ก็มี 2 วิธีคือเดินไปขึ้นรถไฟหรือเดินไปเลย ซึ่งเราเลือกวิธีหลัง เพราะยังไงก็ต้องเดินก็เดินเลยแล้วกันเนอะ

    เราเดินลงเขามาตามถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้าทั้ง 2 ข้างทาง ถนนสายนี้เรียกว่า “ถนนสายกาน้ำชา” แต่เดิมน่าจะเต็มไปด้วยร้านน้ำชาตามชื่อ แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป ... ถนนสายนี้ก็ต้องเปลี่ยนตาม ปัจจุบันเลยเต็มไปด้วยร้านขายขนม ขายของชำร่วย ร้านไอศกรีม ฯลฯ ที่ผุดขึ้นมารอต้อนรับนักท่องเที่ยวแทน หลาย ๆ คนได้เปลี่ยนชื่อถนนสายนี้ใหม่เป็น “ถนนสายแม่ปู” ... เพราะอะไรเหรอครับ ... เพราะเราไม่สามารถเดินตรง ๆ ลงมาได้ ต้องเดินไปทางซ้ายที ... ขวาที เหมือนปูเดินนั่นเอง ... คนคิดนี่ก็ช่างคิดจริง ๆ นะ ...

     Gion เป็นย่านบันเทิงยามราตรีของเกียวโต ซึ่งแน่นอนว่าแถบนี้ต้องมีเกอิชา (Geisha) และหน้าที่ของเกอิชาจริง ๆ ก็มีไว้เพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่แขก ไม่ว่าจะร้องเพลง เต้นรำ เล่นดนตรี ฯลฯ ซึ่งต้องถือว่าเธอเหล่านี้เป็นผู้มีความสามารถรอบด้านจริง ๆ แต่การเห็นเกอิชาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ที่เห็นเดินตามถนนส่วนใหญ่จะเป็นไมโกะ (Maiko) หรือเกอิชาฝึกหัดเสียมากกว่า เดินเล่น กินขนม ชมวิวไปเรื่อย ๆ แล้วก็กลับโอซาก้าช่วงค่ำ ๆ

     วันรุ่งขึ้นก็ช๊อป ชิม ชิว กันหลายย่านทั้ง Umeda, Yodobayashi, Shinsaibashi, Namba ฯลฯ การเดินทางก็ใช้รถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ใช้วิธีหยอดเหรียญแทน ซึ่งรวม ๆ ค่าเดินทางทั้งวันประหยัดกว่าการเอาบัตร Kansai Thru Pass มาใช้ เป็นวันที่ประหยัดค่าเดินทางแต่ไม่ค่อยประหยัดค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ เพราะแต่ละย่านที่ไปนี่เป็นแหล่งละลายเงินเยนได้ดีจริง ๆ

มุมมหาชนที่วัดทอง

     วันสุดท้ายตอนแรกวางแผนคร่าว ๆ ว่าจะไปเที่ยวนารา โกเบ แต่เอาเข้าจริงก็กลับไปเก็บวัดทองแทน ... พูดถึงวัดทองหลายคนอาจจะยังนึกไม่ออก แต่ถ้าพูดถึงปราสาทที่ท่านโชกุนในเรื่องอิกคิวซังอยู่ ผมเชื่อว่าทุกคนต้องร้อง อ๋อ ขึ้นมาทันที ... วัดทองหรือวัด Kinkaku-ji เป็นวัดที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดวัดหนึ่งในญี่ปุ่น เขาว่าถ้ามาเกียวโตแล้วไม่ได้มาวัดนี้นี่ก็เหมือนมาไม่ถึง วันนี้เราเลยต้องมาเก็บให้ได้ไม่งั้นเหมือนมีอะไรติดอยู่ในใจ ... ว่าไปนั่น ... แต่ละชั้นของปราสาททองคำหลังนี้สร้างและตกแต่งแตกต่างกัน โดยชั้นบนเป็นที่อยู่ของโชกุน ชั้นที่สองเป็นแบบบ้านซามูไร เป็นที่พักซามูไรที่อารักขาโชกุน และชั้นล่างสร้างตามแบบวัดพุทธนิกายเซน โดยมีสระน้ำล้อมรอบ

     การเดินทางก็คล้าย ๆ กับที่ไปวัดน้ำใสวันแรก เพียงแต่หลังจากขึ้น Keihan Line ให้ไปลงสถานี Sanjo แล้วต่อสาย Tozai Line ไปลงสถานี Nishioji Oike แล้วต่อรถประจำทางสาย 205 ไปลง Kinkakuji อีกที เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 09.00 – 17.00 น. ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 400 เยน เด็ก 300 เยน เที่ยวชมจนหนำใจก็กลับมาเก็บร้านค้าแถวที่พักอีกสักหน่อย ก่อนกลับไปแพ็คของเพื่อเตรียมเดินทางกลับกรุงเทพฯ ... จบการเดินทางทริปสั้น ๆ แต่มันส์หยดกันเพียงเท่านี้ ... การเดินทางหมื่นลี้เริ่มต้นด้วยก้าวแรกเสมอ ... ขอให้มีความสุขและสนุกกับการเดินทางครับ  ...

 




Create Date : 08 เมษายน 2557
Last Update : 15 ตุลาคม 2557 17:13:48 น. 1 comments
Counter : 1653 Pageviews.  
 
 
 
 

Like ให้เป็นคนที่ 4
เป็นคุณพ่อคุณแม่ที่ช่างสรรหาของดีดี
ผ้าอ้อมคุณภาพดีจริงๆ เลยนะคะ
และขอบคุณที่นำภาพงามๆ มาฝาก
ชอบศาลเจ้าฯ จังเลยค่ะ

 
 

โดย: อุ้มสี วันที่: 8 เมษายน 2557 เวลา:14:24:30 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

iamnoname
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]





[Add iamnoname's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com