มาเคมบริดจ์นี่มีสิ่งหนึ่งที่สาว ๆ มักจะชอบ นั่นก็คือการนั่งเรือพายชมมหาวิทยาลัย ... เขาบอกว่าหนุ่ม ๆ นักศึกษาที่มาพายนี่หล่อล่ำกันทั้งนั้น ... 555 ... แจ่มไม่แจ่มดูพ่อหนุ่มข้างหลังผมหละกันครับ เมืองต่อไปชื่อเมือง Guildford เป็นเมืองเล็ก ๆ น่ารักแถมห่างจากลอนดอนไม่มากนัก ส่วนตัวผมชอบเมืองนี้มากกกก ... ลอนดอนไม่ต้องพูดถึงวุ่นวายสุด ๆ เมืองอ๊อกฟอร์ดนี่ก็น้อง ๆ ลอนดอน ส่วนเคมบริดจ์ก็เป็นอะไรที่สงบเกินไป ออกแนวขาด ๆ เกิน ๆ แต่เมืองนี้นี่เป็นเมืองที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กและไม่ไกลจากลอนดอนจนเกินไป (ขับรถประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น) กำลังน่ารักแต่พองาม
ถ่ายพาหนะคู่ใจกับคนคู่กายในเมือง Guildford
เลยจาก Guildford ไปอีกประมาณ 109 ไมล์ก็จะเจอกับเมืองน่ารักอีกเมืองนั่นคือเมืองบาธ (Bath) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในหุบเขา โดยมีแม่น้ำเอวอนไหลผ่าน ชื่อเมืองถ้าเติมคำว่า room เข้าไปหน่อยก็จะเป็น Bathroom หรือห้องน้ำนั่นเอง ที่เติมไปนี่ไม่ใช่จะล้อเลียนอะไรหรอกครับ แต่บังเอิญว่าจุดเด่นของเมืองนี้ก็คือ โรงอาบน้ำโรมัน (Roman Bath) ซึ่งเป็นโรงอาบน้ำแร่ และชื่อเมืองเองก็น่าจะตั้งมาจากจุดเด่นนี้นั่นเอง เมืองบาธได้รับฐานะเป็นเมืองมรดกโลกในปี ค.ศ. 1987 เป็นเมืองที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ถึงปีละหลายล้านคนเลยทีเดียว
สถาปัตยกรรมในเมือง Bath
ที่เมืองนี้มีสถาปัตยกรรมและสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจหลัก ๆ อยู่ 4 อย่างนั่นก็คือ Roman Bath ห้องอาบน้ำโบราณของชาวโรมัน Bath Abbey มหาวิหารแห่งสุดท้ายในยุคกลางของอังกฤษ สร้างในปี ค.ศ. 1499 เสร็จเอาปี ค.ศ.1611 เป็นโบสถ์ที่ใช้ในพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์พระองค์แรกที่ครองอาณาจักรอังกฤษทั้งหมดนั่นคือ กษัตริย์เอ็ดการ์ (Edgar) เมื่อปี ค.ศ. 973 Pulteney Bridge เป็นตึกที่ตั้งอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำเอวอน ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสะพาน The Ponte Vecchio ที่เมือง Florence ในอิตาลี (เคยเอามาให้ชมตอนที่ไปเมือง Florence กันแล้วนะครับ) ใต้สะพานจะมีฝายทดน้ำรูปเกือกม้าอยู่ และ The Circle" ตึกสร้างล้อมรอบกันเป็นวงกลม โดยตรงกลางคือสนามหญ้าขนาดใหญ่ ผลงานการออกแบบของ John Wood หน้าบ้านแต่ละหลังจะมีลวดลาย สัญลักษณ์ที่แตกต่างกันถึง 528 แบบ รวมทั้ง Royal Crescent ตึกรูปครึ่งวงกลมที่ออกแบบโดยลูกชายนาย John Wood และสร้างอยู่ติดกันนั่นเอง
Pulteney Bridge
The Circle"
เมืองสุดท้ายก่อนถึงจุดหมายปลายทางของเรานั่นคือ เมืองบริสตอล (Bristol) เมืองนี้ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำ Avon ในอดีตเคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญและใหญ่เป็นอันดับสองของอังกฤษ เป็นศูนย์กลางการค้าทาสและการค้าขายกับอเมริกาและอัฟริกา เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตตะวันตกของอังกฤษ จุดเด่นของเมืองนี้คือสะพาน The Clifton Suspension Bridge เป็นสะพานที่ใช้ข้ามแม่น้ำ Avon จะข้ามไป-กลับแต่ละครั้งนี่ต้องเสียเงินค่าผ่านสะพานครั้งละ 50 เพนนีด้วยนะครับ ... เครื่องที่นี่เขียนไว้เลยว่าไม่มีเงินทอน ... ไอ้เราก็ไม่รู้ว่าเสียค่าผ่านทางเลยไม่มีเศษ ไปกลับโดยเข้าไป 3 ปอนด์
สบายใจไป ... เห็นจากเว็บไซด์นึกว่าใหญ่โต ... เอาเข้าจริง ... พูดได้คำเดียวว่าผิดหวังครับ เป็นสะพานที่ไม่ใหญ่นัก เป็นถนน 2 เลนไป 1 เลนกลับ 1 เลน รวมทางคนเดินอีกนิดหน่อยเท่านั้น ...
บรรยากาศเมือง Bristol จากบนสะพานThe Clifton
เมืองสุดท้ายที่เป็นจุดหมายปลายทางของเรานั่นก็คือเมืองคาร์ดีฟฟ์ (Cardiff) เมืองหลวงของแค้วนเวลส์ (Wales) เป็นเมืองหลวงที่มีอายุน้อยที่สุดในยุโรป นั่นคือ ก่อตั้งเป็นเมืองเมื่อปี ค.ศ.1905 และสถาปนาเป็นเมืองหลวงเมื่อปี ค.ศ.1955 ... เมืองคาร์ดีฟฟ์เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดของเวลส์ เป็นศูนย์กลางการค้าและเป็นที่ตั้งของหน่วยงานสำคัญ ๆ หลายแห่ง ... เวลส์เป็นดินแดนแห่งปราสาท และคาร์ดิฟฟ์ก็เป็นสถานที่ที่มีปราสาท และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมายจึงไม่ต้องแปลกใจที่แต่ละปีเมืองนี้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้หลายล้านคน ... ว่าแต่คุ้นกับชื่อแคว้นนี้ไหมครับ ... แล้วถ้าพูดถึง เจ้าหญิงไดอาน่า หละครับ ... ใช่แล้วครับ Princess of Wales นั่นเอง
บรรยากาศบริเวณท่าเรือของเมืองคาร์ดีฟฟ์
จบการเดินทาง 10 วันกับ 7 เมืองในอังกฤษกันแค่นี้แล้วกันนะครับ
ถ้ามีโอกาสได้ไปไหนอีก จะเก็บมาเล่าให้อ่านกันใหม่ ... ขอบคุณข้อมูลประกอบเพิ่มเติมจาก Wikipedia และ Google ด้วยครับ ... การเดินทางหมื่นลี้เริ่มต้นด้วยก้าวแรกเสมอ ... ขอให้มีความสุขและสนุกในการเดินทางครับ
ตอนนี้ยังไม่มีโอกาสไป ต้องมาเกาะบลอกนี้เที่ยวไปก่อน ^^