รู้จักยาปฏิชีวนะ ของลูกดีพอหรือยัง

สรรพคุณของยาก็คือ สารต้านเชื้อโรค อาการเจ็บป่วย ซึ่งการใช้ยาอาจแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ อาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้ปวด ฯลฯ และหนึ่งในชื่อยาที่พ่อแม่คุ้นหูเป็นที่รู้จัก ก็คือยาปฏิชีวนะ ฉบับนี้ เรามาดูข้อมูลเรื่องการใช้ยาปฏิชีวนะ เพื่อรักษา ดูแลอาการเจ็บป่วยของลูกวัยเบบี๋ถูกวิธีค่ะ

ยาปฏิชีวนะ ระงับโรคอย่างไร

ยาปฏิชีวนะ มาจากคำว่า Antibiotic เป็นสารที่ผลิตตามธรรมชาติ จากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เรียกว่า จุลินทรีย์ประเภทหนึ่ง มีอำนาจยับยั้ง และทำลายชีวิตของจุลินทรีย์อีกประเภทหนึ่ง เป็นลักษณะของการรักษาสมดุลของสิ่งมีชีวิต เช่น ยาปฏิชีวนะชื่อว่าเพนนิซิลลิน ผลิตโดยเชื้อรา ชนิดหนึ่ง แต่มีผลทำลายชีวิตของเชื้อแบคทีเรียอื่นที่อยู่ใกล้เคียง ฯลฯ อีกหนึ่งเหตุผลคือ จุลินทรีย์ที่สามารถทำลายได้โดยการใช้ยาปฏิชีวนะ คือแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัสบางชนิด

ดังนั้น การใช้ยาปฏิชีวนะจึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ รักษาอาการโรคติดเชื้อ เพื่อทำการยับยั้งการเติบโตขยายพันธุ์ของเชื้อ ต้นเหตุ และโรคที่พบได้บ่อยๆ คือไข้หวัดในเด็กเล็ก แต่ก็มีปัจจัย บางประการที่ยาปฏิชีวนะไม่อาจรักษาโรคให้หายขาดหรือรักษานานกว่าปกติ เช่น ภูมิต้านทานต่ำหรือบกพร่อง และรวมไปถึงวิธีใช้ยาที่ไม่เหมาะสม

อันตรายจากการใช้ยาที่เกิดขึ้นได้

การใช้ยาปฏิชีวนะที่ผิดวัตถุประสงค์ ไม่ถูกวิธี หรือใช้โดยไม่จำเป็น ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย ข้อมูลต่อไปนี้ มีเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ พึงระมัดระวัง รู้ถึงผลเสียที่สามารถเกิดขึ้นค่ะ

แพ้ยา

เป็นผลจากการตอบโต้ของภูมิต้านทานในร่างกายต่อยาปฏิชีวนะ มีอาการตั้งแต่ผื่นตามผิวหนัง เป็นไข้ ลมพิษ เป็นต้น จนถึงขั้นเป็นการแพ้อย่างฉับพลัน รุนแรงกับระบบต่างๆ ของร่างกาย จึงควรหยุดการใช้ยาปฏิชีวนะนั้นหรือเปลี่ยนไปใช้ยาอื่นที่มีผลรักษาเหมือนกันแทน

ดื้อยา

หมายถึงการดื้อของเชื้อโรคค่ะ เป็นภาวะที่เชื้อโรคทนทานต่อฤทธิ์ ของยา กรณีที่ใช้ยาติดต่อกันนานๆ ในทางปฏิบัติเราควรจะตั้งข้อสังเกตว่าเชื้อโรคเกิดดื้อยา โดยทั่วไปเชื้อโรคซึ่งดื้อต่อยาปฏิชีวนะตัวใดตัวหนึ่งมักจะพลอยดื้อต่อยาปฏิชีวนะอื่นที่อยู่ในประเภทเดียวกัน

ติดเชื้อแทรกซ้อน

เกิดขึ้นเมื่อจุลินทรีย์ที่มีอยู่ตามปกติในร่างกายถูกกระทบกระเทือนหรือทำลาย เพราะในสภาพปกติ จุลินทรีย์บางชนิดจะมีประโยชน์ ทำหน้าที่คอยปรามจุลินทรีย์ที่ก่อโรค การใช้ยาปฏิชีวนะนอกจากจะทำลายเชื้อต้นเหตุโรคแล้ว อาจทำให้จุลินทรีย์ชนิดนี้ถูกทำลายไปด้วย ทำให้จุลินทรีย์ชนิดที่ทนทานต่อยาที่หลงเหลืออยู่มีโอกาสแบ่งตัวมากขึ้นและก่อให้เกิดการติดเชื้อชนิดใหม่ สังเกตได้จากอาการของโรคที่เปลี่ยนไป เช่น เดิมมีอาการเจ็บคอ แต่เมื่อใช้ยาปฏิชีวนะไประยะหนึ่ง อาการเจ็บคอทุเลาลง แต่มีอาการอื่นแทรกซ้อนขึ้น เป็นต้น เกิดได้ง่ายเมื่อใช้ยาปฏิชีวนะที่มีขอบเขตทำลายเชื้อกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ใช้เป็น เวลานาน


สิ่งสำคัญในการรักษาโรคติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ
ต้องอาศัยความรู้และการปฏิบัติอย่างถูกต้อง ดังต่อไปนี้

+ ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะให้ลูกกินเอง เพราะอาจใช้ยาไม่ถูกกับเชื้อ การปรึกษาคุณหมอเป็นวิธีที่ ดีที่สุดในการใช้ยาปฏิชีวนะกับเด็กเล็ก
+ เมื่อต้องใช้ยา ควรทำตามคำแนะนำของ คุณหมออย่างเคร่งครัด เพราะการกินยามากหรือน้อยเกินไป อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ได้รับยาไม่นานพอที่จะรักษาอาการติดเชื้อให้หายขาด
+ ระวังมัดระวังการนำยาที่มีเก็บไว้มากินเอง เนื่องจากอันตรายที่เกิดจากยาปฏิชีวนะที่หมดอายุ หรือเสื่อมสภาพจากการเก็บรักษา อาจเกิดผลเสียได้พอๆ กับการใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง


+ ไม่นำยาปฏิชีวนะที่ใช้ได้ผลกับคนอื่นมาให้แก่อีกคนหนึ่ง ที่มีอาการคล้ายกัน
+ ควรใช้อุปกรณ์ในการตวงยา เช่น ไซลิงค์ ช้อน หรือถ้วยตวงยาที่มีขีดบอกปริมาณที่ชัดเจน
+ เก็บยาไว้ในที่เย็น ไม่โดนแสงแดด และไม่เก็บยาในที่ชื้น

การใช้ยาในเด็กเล็กเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะมีทั้งผลดีและผลเสีย ต่อสุขภาพของลูก หากไม่แน่ใจกับอาการ ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น ควรอาศัยการวินิจฉัยจากคุณหมอเป็นสิ่งสำคัญ และหากดูแลอาการเจ็บป่วยได้เองที่บ้าน ให้ลูก พักผ่อนเพียงพอ กินอาหารที่ครบ 5 หมู่ ดูแลสุขอนามัย สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมก็น่าจะเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยรักษาอาการในเบื้องต้น ก่อนถึงมือหมอค่ะ




ขอบคุณข้อมูลจาก//www.motherandcare.in.th

Create Date : 19 กันยายน 2552		0 comments
Last Update : 19 กันยายน 2552 10:04:14 น.
Counter : 1371 Pageviews.
Share Tweet