เปิดหน้ากล้องถ่ายรูป เพื่อพิสูจน์ บั้งไฟพญานาค มาจากฝั่งลาว
หนึ่งในภาพที่เกิดการจากการเปิดหน้ากล้องนานๆ ที่สมภาพบันทึกจากฝั่งบ้านตาลชุม จ.หนองคาย เผยให้เห็นเส้นสีแดงที่เมื่อมองด้วยตาเปล่าคล้ายบั้งไฟพญานาค
ภาพโดย "สมภพ เจ้าเก่า" ตั้งกล้องถ่ายภาพบั้งไฟพญานาคจากบ้านตาลชุม จ.หนองคาย เมื่อ 30 ต.ค.55 โดยเส้นสายในน้ำนั้นเป็นเรือไฟ และมีการจุดพลุ ส่วนเส้นสีแดงตรงกลางภาพนั้นคือเส้นที่มองด้วยตาเปล่าคล้ายบั้งไฟขึ้นมาจากผิวน้ำ แต่ภาพที่ถ่ายได้จากการเปิดหน้ากล้องนานๆ แสดงให้เห็นว่าจุดเริ่มต้นของเส้นดังกล่าวมาจากฝั่งลาว (ภาพนี้้เกิดจากการนำภาพหลายๆ ภาพมาซ้อนกัน)
เปิดหน้ากล้อง พิสูจน์ บั้งไฟพญานาค มาจากฝั่งลาว
เชื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เชื่อ อาจเป็นสิ่งที่อธิบายความเชื่อในปรากฏการณ์ บั้งไฟพญานาค ริมฝั่งโขง เมื่อสมาชิกห้อง หว้ากอ จากเว็บไซต์พันทิปเดินทางไปพิสูจน์ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 โดยภาพที่บันทึกได้ชี้ชัดว่า บั้งไฟ นั้นขึ้นมาจากบกทางฝั่งลาว ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ จากภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่าเขามีความสงสัยในปรากฏการณ์ บั้งไฟพญานาค มานานถึง 20 ปี ซึ่งในช่วงหลังๆ มีการอ้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ โดยระบุว่ามีปฏิกิริยาทางเคมีที่ทำให้เกิดการก๊าซมีเทนแล้วผสมกับก๊าวฟอสฟีน (phosphine) ที่ติดไฟได้เองเมื่อสัมผัสกับก๊าซออกซิเจนในอากาศ ข้อสรุปดังกล่าวยังได้รับการสนับสนุนจากรายงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเมื่อปี 2546 และมีนักวิชาการอีกหลายคนที่ออกมาให้ความเห็นในทำนองเดียวกันว่า บั้งไฟพญานาคนั้นเกิดจากก๊าซที่สะสมตัวแล้วลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ แล้วเผาไหม้เมื่อสัมผัสออกซิเจน แต่ก็มีนักวิชาการรวมถึงการพิสูจน์อีกมากมายที่โต้แย้งว่า ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะกระแสน้ำในแม่น้ำโขงนั้นไหลเชี่ยว จึงไม่น่าจะมีโอกาสให้เกิดการสะสมตะกอนหมักหมมเป็นก๊าซมีเทน หรือถ้ามีการสะสมจริง ก๊าซที่เผาไหม้ก็น่าจะกระจายตัวใกล้ๆ ผิวน้ำเมื่อฟองอากาศแตกตัว ไม่ใช่ลอยขึ้นสูงอย่างที่เห็นกัน และถ้าก๊าซมีเทนผสมฟอสฟีนถูกเผาไหม้ก็จะให้สีเขียว ไม่ใช่ สีชมพูอมแดงเหมือนบั้งไฟที่เห็นกัน อย่างไรก็ดี การพิสูจน์ว่าเป็นฟองก๊าซที่ผุดขึ้นจากแหล่งน้ำหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ให้เห็นกันแน่ชัดต่อไป แต่ ผศ.ดร.เจษฎา กล่าวว่าบางทีเราอาจจะตั้งสมมติฐานที่ผิดไป แทนที่จะหาข้อพิสูจน์ว่าบั้งไฟพญานาคนั้นเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติหรือไม่ ทำไมเราไม่เปลี่ยนคำถามว่า บั้งไฟนั้นผุดขึ้นจากผิวน้ำหรือไม่ ซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ง่ายกว่าเยอะ และจากประสบการณ์ของคนนับแสนนับล้านคนที่ไปชมบั้งไฟพญานาคนั้นยังไม่มีใครบันทึกหลักฐานออกมาเผยแพร่ชัดๆ ว่าลูกไฟดังกล่าวผุดขึ้นจากผิวน้ำ หรือเราตั้งคำถามผิด? ผศ.ดร.เจษฎาตั้งข้อสงสัย และบอกว่าแทนที่จะถามว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติหรือไม่ เราน่าจะถามว่าลูกไฟขึ้นจากน้ำจริงหรือไม่? เพื่อตอบคำถามนี้ สมภพ ขำสวัสดิ์ หรือ สมภพ เจ้าเก่า จากห้องหว้ากอ ของเว็บไซต์พันทิปจึงได้ชักชวนสมาชิกจากเว็บไซต์ดังไปร่วมพิสูจน์ โดยสมภพบอกทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ว่า เขาตั้งคำถามนี้มาตั้งแต่ปี 2550 ว่าทำไมไม่มีใครถ่ายภาพขณะที่ลูกไฟกำลังขึ้นจากน้ำ ในปี 2551 เขาจึงเดินทางเพื่อไปบันทึกภาพปรากฏการณ์ด้วยตัวเองที่ริมน้ำโขง แต่ไม่ปรากฏบั้งไฟพญานาคขึ้นมาสักลูก แต่ในปี 2555 นี้เขาและสมาชิกทั้งหมด 4 คนได้เดินทางไปพิสูจน์อีกครั้งที่ จ.หนองคาย สมาชิกทั้ง 4 คนมาจากห้องหว้ากอและห้องกล้อง ซึ่งแยกย้ายกันไปบันทึกภาพบั้งไฟพญานาคที่บ้านน้ำเปและบ้านตาลชุม โดยสมภพบอกว่ากล้องนั้นเห็นทุกอย่างเหมือนที่ตาเห็นและจะบันทึกภาพแสงทั้งหมดไว้ จากประสบการณ์ทางสายตาพวกเขาเห็นตรงกันว่าลูกไฟนั้นขึ้นจากน้ำ และเห็นลูกไฟสีชมพูอมส้ม แต่ภาพที่บันทึกด้วยการเปิดหน้ากล้องไว้นานตั้งแต่ 5-30 วินาทีนั้นเผยให้เห็นสิ่งที่ต่างไปจากสายตา เพราะลูกไฟที่เห็นด้วยตาเปล่านั้น เป็นภาพต่อเนื่องเหมือนแสงเลเซอร์ที่มีจุดเริ่มอยู่บนบกของฝั่งลาวที่ห่างจากไทยประมาณ 1 กิโลเมตร สมาชิกพันทิปจากห้องกล้องที่ชื่อ SRJ หรือ ศรม รุ้งดนัย ช่างภาพอิสระซึ่งร่วมเดินทางไปบันทึกภาพบั้งไฟพญานาคบอกทีมข่าววิทยาศาสตร์ว่าสนใจอยากไปร่วมพิสูจน์ว่าลูกไฟนั้นขึ้นจากน้ำจริงหรือไม่ ซึ่งเขาเองไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านวิทยาศาสตร์ แต่มีทักษะในการถ่ายภาพ และจะเป็นประโยชน์ต่อการพิสูจน์ข้อสงสัยดังกล่าวได้ เขาบอกว่าบริเวณที่จัดไว้ให้ชมปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคนั้นมืดมาก และภาพที่เห็นก็เหมือนว่าลูกไฟขึ้นมาจากน้ำจริงๆ แต่ภาพที่ออกกลับไม่ใช่ มันจะเป็นอะไร จะเกิดที่ไหน ไม่รู้ หน้าที่ของผมคือต้องถ่าย (บั้งไฟ) ให้ติด ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะถ่ายไม่ติดก็ได้ ก็ต้องหาวิธีถ่ายให้ได้ ศรมกล่าว และอธิบายด้วยกว่า เขาถนัดถ่ายภาพเยอะๆ แล้วนำมารวมเป็นชุดเดียวกลายเป็นภาพวิดีโอ ซึ่งจะให้รายละเอียดที่มากกว่าการบันทึกวิดีโอโดยตรง และในการถ่ายครั้งนี้เขาได้ปรับเปลี่ยนตำแหน่ง 4 ครั้งจนได้จุดที่พอใจ และตั้งกล้องถ่ายตรงจุดนั้นตลอดทั้งคืน การพิสูจน์ครั้งนี้ให้หลักฐานว่าลูกไฟนั้นมีจุดกำเนิดจากบนฝั่งลาว แต่ ผศ.ดร.เจษฎาซึ่งไม่ได้เดินทางไปร่วมพิสูจน์ในครั้งนี้ด้วยกล่าวว่า ในปีหน้าเขาจะเดินทางไปพิสูจน์อีกครั้ง และจะเชิญ นพ.มนัส กนกศิลป์ ผู้เชื่อว่าบั้งไฟพญานาคเป็นฝีเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติและแยกแยะได้ว่าลูกไฟใดเกิดจากฝีมือมนุษย์ และลูกไฟใดเกิดจากธรรมชาติ ไปร่วมพิสูจน์ด้วย อย่างไรก็ดี ผศ.ดร.เจษฏาเน้นย้ำว่าการออกมาเผยข้อมูลในครั้งนี้เป็นคนละส่วนกับการพิสูจน์ว่า พญานาคมีจริงหรือไม่ และไม่ได้ต้องการก้าวล่วงไปถึงความเชื่อดังกล่าว เพียงแต่จะแก้ความเข้าใจวิทยาศาสตร์ในทางที่ผิด เพราะคำอธิบายว่าบั้งไฟพญานาคเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งลูกศิษย์ของเขาหลายคนก็มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเช่นนั้น พร้อมตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เดิมทีบั้งไฟพญานาคนั้นชื่อว่า บั้งไฟผี แต่ถูกเปลี่ยนชื่อไปเมื่อปี 2529 และทำให้คำอธิบายของกำเนิดบั้งไฟเริ่มผิดเพี้ยนไป พร้อมกันนี้ ผศ.ดร.เจษฎายังเสนอให้ใช้เทคนิคการตั้งกล้องถ่ายภาพและเปิดหน้ากล้องนานๆ เพื่อบันทึกหลักฐานการเกิดบั้งไฟพญานาค ซึ่งมีคำกล่าวอ้างว่านอกจากลำน้ำโขงแล้ว ยังมีผู้พบบั้งไฟตามหนองน้ำ คูคลองต่างๆ โดยอาจจะตั้งกล้องและเปิดหน้ากล้องนานแล้วรอบันทึกภาพทั้งคืน เพื่อเก็บหลักฐานพิสูจน์ว่าบั้งไฟพญานาคนั้นเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติจริง
คลิปจากการถ่ายภาพแล้วนำมาซ้อนกันหลายๆ ภาพ โดย SRJ ซึ่งเผยให้เห็นลูกไฟที่พุ่งมาจากฝั่งลาว แม้ว่าขณะมองด้วยตาเปล่าเขาจะเห็นคล้ายลูกไฟขึ้นมาจากผิวน้ำ คลิปนี้บันทึกจากบ้านน้ำเป จ.หนองคาย เมื่อ 30 ต.ค.55
ที่มา:รายละเอียดเพิ่มเติม //www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000136860
Create Date : 09 พฤศจิกายน 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2555 5:56:25 น. |
Counter : 2285 Pageviews. |
|
|
|