ดาวน์โหลดโปรแกรม ดูละครย้อนหลัง อ่านเรื่องราวของความรู้รอบตัว วิทยาศาสตร์ ท่องเที่ยว สุขภาพ อาหาร รถยนต์ต่างๆ ไม่ทิ้งเรื่องราวความบันเทิงและเรื่องส่วนตัวอีกด้วย
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
28 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
การเดินทางของก้อนหิน

การเดินทางของก้อนหิน


ภาพจาก //www.sarakadee.com/

นับแต่มนุษย์ยุคหินคนแรกได้นำหินมาดัดแปลงเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ ตั้งแต่นั้นมามนุษย์ก็ไม่เคยหยุดใช้ประโยชน์จากหิน หินถูกเสกสรรปั้นแต่งและแปรรูปนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ในทุก ๆ ช่วงเวลาของชีวิตตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย
ชาวอียิปต์นำหินทรายมาจัดเรียงให้เป็นสิ่งก่อสร้างอันอัศจรรย์ นามว่า "พีระมิด" ชาวกรีกนำหินอ่อนมาแกะสลักและก่อสร้างมหาวิหารเพื่อบูชาเทพเจ้า ส่วนชาวขอมก็นำหินทรายมาตัดและสลักเสลา ประกอบกันเข้าเป็นเทวสถานอันยิ่งใหญ่ นามว่า "นครวัด"
แต่ใครเลยจะรู้ว่า กว่าจะมาเป็นหินให้มนุษย์นำไปใช้สอยนั้น จะต้องผ่านกระบวนการธรรมชาติใดมาบ้าง การเดินทางของหิน ตั้งแต่เริ่มก่อกำเนิดจนกลายมาเป็นหินที่เราเห็นนั้น มีความเป็นมาอย่างไร
นี่คือการย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นการเดินทางอันยาวนานของสิ่งที่เรียกว่า "หิน"

เส้นทางของก้อนหิน
ในปีหนึ่ง ๆ หินจำนวนมหาศาลถูกลำเลียงมายังกรุงเทพมหานคร เพื่อใช้ในงานก่อสร้างทั้งโครงการเล็กและใหญ่ บันดาลความรุ่งเรืองแก่เอกนครหนึ่งเดียวของไทย หินเหล่านั้นมาจากจังหวัดที่อยู่รอบ ๆ จังหวัดชลบุรีป้อนหินเข้าสู่กรุงเทพฯ และปริมณฑลในฝั่งตะวันออก จังหวัดราชบุรีผลิตหินป้อนให้กรุงเทพฯ และปริมณฑลในฝั่งตะวันตก ส่วนจังหวัดสระบุรีก็ป้อนหินเข้าสู่กรุงเทพฯ และปริมณฑลตอนเหนือ
ในเช้าของวันหนึ่ง ผมออกเดินทางสวนกับรถบรรทุกหินไปทางทิศเหนือ เพื่อตามไปดูที่มาของหินที่นำมาใช้ก่อสร้างตึกหรูหราทั่วเมืองกรุง สร้างทางด่วนที่คดโค้งยาวเหยียดเหมือนงูยักษ์ สร้างทางรถไฟที่มุดลงใต้ดินอ้อมไปรอบ ๆ กรุงเทพฯ หินที่นำมาป้อนให้โครงการดังกล่าว ส่วนหนึ่งมาจากเมืองทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ เช่นสระบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายของหินมากที่สุดจังหวัดหนึ่ง เพราะมีทั้งหินอัคนี หินแปร และหินชั้น ครบถ้วนอยู่ในจังหวัดเดียว
ก่อนที่จะพูดถึงหินแต่ละชนิดอย่างละเอียด จะขอแยกแยะหิน ดิน และแร่ ให้เข้าใจกันเสียก่อน เพราะในพื้นที่ที่เราอาศัยอยู่นั้น เราจะพบทั้ง หิน ดิน และแร่ อยู่ปะปนกัน จนทำให้เกิดความสับสนว่าสิ่งใดคือ หิน ดิน หรือแร่
ธาตุและสารประกอบต่าง ๆ ในโลกนี้ที่มีสถานะเป็นของแข็ง และมีส่วนประกอบทางเคมีที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัว เราเรียกว่า "แร่" ส่วน "หิน" นั้นก็แทบจะมีคำจำกัดความเช่นเดียวกัน แต่แตกต่างกันตรงที่หินเป็นวัตถุที่เกิดขึ้นจากการตกผลึก ผสมผสานกันของแร่หลายชนิด ในขณะที่ "ดิน" คือสิ่งที่ผุพังมาจากหิน
ดังนั้นหากเราหยิบวัตถุแข็ง ๆ ขึ้นมาก้อนหนึ่ง มันจะเป็น "ก้อนหิน" ได้ก็ต่อเมื่อมันมีความแข็งมาก ไม่อย่างนั้นเราก็จะเรียกมันว่า "ก้อนดิน" และถ้าเรานำไปตรวจหาส่วนประกอบทางเคมีแล้วพบว่า วัตถุนี้ประกอบด้วยแร่เพียงชนิดเดียว เราก็จะเรียกมันว่า "ก้อนแร่"
หินจึงต่างจากดินตรงความแข็ง และหินต่างจากแร่ตรงความบริสุทธิ์
หินทุกชนิดในโลกแบ่งได้เป็นสามพวก คือ หินอัคนี หินแปร และหินชั้น หินทั้งสามพวกมีที่มาแตกต่างกัน แต่สามารถแปรเปลี่ยนไปมาได้ตลอดเวลา หินอัคนีในวันหนึ่งอาจกลายเป็นหินชั้น หรือหินแปรก็ได้ ส่วนหินชั้นและหินแปรก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นหินอัคนีในวันหนึ่งข้างหน้าได้เช่นกัน

หินอัคนีและคนตีหิน
๑๒๔ กิโลเมตรจากกรุงเทพฯ บนถนนพหลโยธิน : โรงงานแปรรูปหิน ฟาร์อีสต์ มาร์เบิล แอนด์ แกรนิต

ผมเดินทางติดตามรถบรรทุกคันหนึ่งที่ขนหินก้อนมหึมาสามก้อน มาส่งที่โรงงานแปรรูปหินแถว ๆ บ้านหน้าพระลาน โรงงานแห่งนี้นำเข้าหินจากทั่วโลกมาแปรรูป โดยการตัดออกเป็นแผ่นขนาดมาตรฐาน สำหรับทำวัสดุปูพื้นและงานตกแต่งอาคาร หินก้อนใหญ่ทั้งสามก้อนขนมาจากเรือเดินสมุทร แล้วส่งมาแปรรูปที่โรงงาน หลังจากนั้นหินส่วนใหญ่ก็จะถูกส่งขึ้นรถกลับไปยังกรุงเทพฯ
"ตึกหรู ๆ ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ใช้หินแกรนิตปูพื้นทั้งนั้น"
"ถ้าหินแกรนิตสีสวย ๆ ละก็ เป็นหินที่นำเข้ามาจากต่างประเทศค่ะ"
คุณน้ำทิพย์ ทุมทอง พนักงานของบริษัทฟาร์อีสต์ มาร์เบิล แอนด์ แกรนิต ช่วยแนะนำให้ผมรู้จักหินแกรนิตทันทีที่ผมย่างเท้าสู่โรงงาน เธอยังใจดีช่วยอธิบายต่อไปอีกว่า หินแกรนิตสีอะไรมาจากประเทศอะไร
"หากเป็นหินที่มีสีดำสนิทจะมาจากอินเดีย หินสีดำเกล็ดเลื่อมเป็นมุกหรือเกล็ดสีเงินจะมาจากนอร์เวย์ หินสีดำเกล็ดสีทองมาจากอินเดีย หินสีแดงเกล็ดสีดำมาจากแอฟริกาใต้ แต่ถ้าเป็นสีแดงเกล็ดสีเทาจะมาจากอินเดีย สำหรับหินที่มาจากประเทศจีนจะออกสีอ่อน ๆ เช่น สีขาวเกล็ดสีชมพู หรือสีขาวลายเมฆสีดำ ส่วนหินสีหวานกว่านั้น เช่น หินสีชมพูอย่างดอกกุหลาบ มีชื่อว่าโรซาพาลีโน่ มาจากสเปนค่ะ"
ผมอยากรู้ว่าหินสามก้อนนั้นถูกยกไปไว้ที่ไหน เลยย่องไปดูจึงรู้ว่า เวลานี้พวกมันถูกยกลงจากรถ ไปรวมอยู่กับหินแกรนิตต่างสัญชาติก้อนอื่น ๆ นับร้อยก้อนซึ่งกองซ้อนกันสูงอย่างกับภูเขา ผมเดินไปรอบ ๆ พวกมันเหมือนนายพลกำลังเดินตรวจแถวทหาร พยายามดูสีและเนื้อหินอย่างที่คุณน้ำทิพย์สอนวิธีดูเอาไว้ แต่ก็ดูยากเหมือนกันสำหรับมือใหม่
หากก้อนหินเหล่านี้สามารถกล่าวรายงานตัวได้อย่างทหารก็คงจะดี ผมจะได้รู้ว่าก้อนหินแกรนิตทั้งหมดนี้มาจากที่ใดบ้าง
หินก้อนใหญ่หนึ่งก้อนจะตัดออกเป็นแผ่นได้ราว ๓๐-๕๐ แผ่น และจะเหลือเศษเป็นปีกหินทั้งสองข้างที่ไม่สามารถตัดแปรรูปได้ หินที่ตัดเป็นแผ่นแล้วจะถูกนำไปขัดเงา และตัดย่อยเป็นแผ่นเล็ก ๆ ขนาดใกล้เคียงกับแผ่นกระเบื้องปูพื้น พร้อมนำออกจำหน่าย ในเวลาต่อจากนี้หินแกรนิตแผ่นนับหมื่น ๆ แผ่นก็จะรอคอยการเดินทางอีกครั้ง เพื่อไปสู่เจ้าของคนใหม่ต่อไป
ส่วนปีกหินขนาดเขื่องทั้งสองข้าง จะถูกจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่าหินแปรรูป เพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมอีกประเภทหนึ่ง ...ในที่ที่สงบและสงัด เถ้าแก่ร้านแกะสลักป้ายสุสานกำลังรอสั่งซื้อและขนพวกมันไปยังร้านของเขา

๙๖ กิโลเมตรจากกรุงเทพฯ บนถนนสุวรรณศร : "ร้านเตียฮะเฮง" ร้านแกะสลักป้ายสุสาน

"ตั้งแต่เริ่มอาชีพนี้มา การแกะหินแกรนิตเป็นงานที่ หินž ที่สุด"
เฮียเง้ง อมรปรีชาวัฒนา เจ้าของร้านยืนยันคำกล่าวนี้ด้วยประสบการณ์ในอาชีพคนตีหินมากว่า ๓๐ ปี
เฮียเง้งเล่าว่า สมัยที่แกเริ่มเป็นช่างแกะสลักหินใหม่ ๆ ป้ายฮวงซุ้ยไม่ได้ทำจากหินแกรนิตอย่างในปัจจุบัน แต่ทำด้วยหินทรายจากปากช่อง เพิ่ง ๒๐ กว่าปีมานี้เอง มีนายตำรวจจากจังหวัดตาก ได้ชักชวนให้ทดลองเปลี่ยนจากหินทรายมาเป็นหินแกรนิตที่มาจากจังหวัดของเขา หลังจากนั้นป้ายฮวงซุ้ยหินแกรนิต ก็ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง นายตำรวจคนนั้นจึงลาออกมาเป็นพ่อค้าหินแกรนิตอย่างเต็มตัว
"คนไทยชอบหินทรายและหินอ่อน แต่คนจีนชอบหินแกรนิต"
ความนิยมของลูกค้าที่ร้านนี้แตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมและงานที่จะนำไปใช้ หินแกรนิตจะใช้ในงานที่ต้องตากแดดตากฝน เช่น ทำป้ายฮวงซุ้ย ส่วนหินทรายนิยมใช้แกะสลักทำลูกนิมิต ใบเสมา และพระพุทธรูป สำหรับหินอ่อนนิยมใช้ทำป้ายศิลาฤกษ์ และป้ายชาตะ-มรณะ ติดหน้าช่องบรรจุอัฐิที่วัด
สมาชิกคนอื่น ๆ ในร้านที่ผมได้คุยด้วย คือ ศักดิ์ศรี ช่างแกะสลักหินอายุ ๓๐ ปี มาจากจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นช่างมือใหม่เพิ่งเริ่มต้นทำงานในยุคที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยร่างภาษาจีนบนแผ่นหินก่อนการแกะสลัก ส่วนพี่สมาน ช่างแกะสลักหินอายุ ๕๒ ปีเท่ากับเฮียเง้ง มาจากจังหวัดมหาสารคาม ยึดอาชีพคนตีหินมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น ตลอดเวลา ๓๐ ปีที่ยึดอาชีพนี้ เขาเริ่มทำงานที่สระบุรีเป็นที่แรก แล้วย้ายไปยังชลบุรี ราชบุรี ก่อนจะย้อนกลับมาที่สระบุรีอีกครั้ง เฮียเง้ง เจ้าของร้าน อายุ ๕๒ ปี เข้าสู่วงการแกะสลักหินมาตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ไต่เต้าจนเป็นเจ้าของร้านเมื่ออายุ ๒๒ ปี ปัจจุบันเขาดำเนินกิจการมาแล้ว ๓๐ ปี และยึดอาชีพนี้จนส่งลูกเรียนจบมหาวิทยาลัยไปแล้วสองคน
เมื่อถามว่า ระหว่างหินแกรนิตไทยกับหินแกรนิตนอก หินอะไรแข็งที่สุด คนตีหินทั้งสามฟันธงอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า หินแกรนิตไทยแข็งกว่าหินนอก และหินแข็งที่สุดที่เคยตีมา ได้แก่ หินแกรนิตที่มาจากจังหวัดเลย ซึ่งมีสีขาวอมชมพู ปัจจุบันหินชนิดนี้ไม่มีการผลิตแล้ว
และเมื่อถามว่างานแกะสลักหินที่ "หมู" ที่สุดคืออะไร คนตีหินทั้งสามก็ฟันธงอีกเช่นกันว่า เป็นการแกะหินทรายทำลูกนิมิต
การเดินทางของคนตีหินแม้ว่าจะโลดโผนและโชกโชนมากว่า ๓๐ ปีก็ตาม แต่นั่นคงเทียบไม่ได้กับหินที่เขาตี โดยเฉพาะหินแกรนิตซึ่งจัดอยู่ในพวกหินอัคนีที่พวกเขาลงความเห็นว่าเป็นหินที่แข็งที่สุด
เหตุที่หินอัคนีแข็งที่สุด น่าจะมาจากการที่มันเดินทางโดยตรง จากการเป็นหินร้อนเหลวภายใต้เปลือกโลกหรือแมกมา แล้วเย็นตัวและแข็งตัวกลายเป็นหิน การแข็งตัวของหินอัคนีมีได้ในสองลักษณะคือ แข็งตัวภายในเปลือกโลกและแข็งตัวภายนอกเปลือกโลก
หินที่แข็งตัวภายนอกเปลือกโลกเรียกว่า "หินอัคนีพุหรือหินภูเขาไฟ" และหินที่แข็งตัวภายในเปลือกโลกเรียกว่า "หินอัคนีแทรกซอนหรือหินอัคนีระดับลึก"
หินอัคนีพุหรือหินภูเขาไฟ เกิดขึ้นเมื่อหินร้อนเหลวถูกดันออกมานอกเปลือกโลก ซึ่งอาจจะออกมาตามรอยแตก หรือระเบิดออกมาเป็นภูเขาไฟกลายเป็นลาวา ลาวาจะเย็นตัวอย่างรวดเร็ว และแข็งตัวเป็นหินซึ่งมีผลึกขนาดเล็กถึงเล็กมาก ส่วนใหญ่จะมองไม่เห็นรูปของผลึกด้วยตาเปล่า ลาวาที่ถูกขับมาจากส่วนลึกของเปลือกโลก จะประกอบด้วยแร่ที่มีธาตุเหล็ก และแมกนีเซียมสูง เมื่อแข็งตัวก็จะได้หินภูเขาไฟสีดำ ลาวาที่ถูกขับออกมาจากเปลือกโลกในระดับความลึกไม่มากนัก จะกลายเป็นหินภูเขาไฟสีอ่อน
หินภูเขาไฟที่สำคัญและน่าสนใจคือ หินไรโอไลต์ แอนดีไซต์ และหินบะซอลท์ ซึ่งมีสีอ่อน ปานกลาง และเข้มตามลำดับ
ในกรณีที่หินร้อนเหลวถูกขับดันออกมาสู่ผิวโลกอย่างรวดเร็ว จนก่อให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง หินร้อนเหลวจะถูกขับพุ่งขึ้นไปบนอากาศแล้วตกลงมาสู่ผิวโลก การแข็งตัวจะมีตั้งแต่บนอากาศ หรือเมื่อทันทีที่ตกลงมาถึงพื้น กระบวนการเช่นนี้จะทำให้ได้หินทัฟฟ์ (tuff) ซึ่งจะเรียกชื่อตามลักษณะของหินที่ประกอบขึ้นมา เช่น หินทัฟฟ์ไรโอไลต์ (rhyolitic tuff) หรือหินทัฟฟ์แอนดีไซด์ (andesitic tuff) เป็นต้น
การระเบิดในบางครั้งที่นำเอาหิน หรือเศษหินที่แข็งตัวแล้วภายในเปลือกโลก หรืออยู่ในปล่องภูเขาไฟขึ้นมาด้วย จะทำให้ได้หินสองขนาดคือ ก้อนที่ใหญ่กว่ามาจากหินเก่าในปล่องภูเขาไฟ และเม็ดขนาดเล็กกว่า เกิดจากการแข็งตัวหลังการระเบิด ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ได้หินที่เรียกว่า หินกรวดมนภูเขาไฟ (volcanic agglomerate) หรือหินกรวดเหลี่ยมภูเขาไฟ (volcanic breccia) ทั้งนี้ขึ้นกับรูปร่างของก้อนหินที่ฝังอยู่ภายใน
หินอัคนีแทรกซอนหรือหินอัคนีระดับลึก เกิดขึ้นเมื่อหินร้อนเหลวที่อยู่ภายในเปลือกโลก มีอุณหภูมิลดลงเนื่องจากถูกดันขึ้นมาใกล้ผิวโลก และความร้อนที่อยู่ภายในถูกระบายให้แก่ชั้นหินที่อยู่รอบ ๆ ที่เย็นกว่า การลดลงของอุณหภูมิจะมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป และแร่ที่ละลายอยู่ในหินร้อนเหลวก็จะเริ่มตกผลึก แร่ที่ตกผลึกในอุณหภูมิสูง ๆ มักจะเป็นแร่ที่มีปริมาณของธาตุเหล็ก แมกนีเซียม และแคลเซียมสูง และมีสีเข้ม ส่วนแร่ที่ตกผลึกในอุณหภูมิที่ต่ำกว่าจะมีธาตุอะลูมิเนียมและโซเดียมสูง และมีสีอ่อน การตกผลึกอย่างช้า ๆ ทำให้ได้ผลึกใหญ่ แต่ในบางกรณีหินร้อนเหลวจะแข็งตัวในสภาพการเย็นตัวช้า ๆ ในช่วงแรก และเย็นตัวเร็วกว่าในช่วงหลัง ลักษณะเช่นนี้จะทำให้เกิดหินอัคนีเนื้อดอก คือจะมีผลึกขนาดใหญ่และผลึกขนาดเล็กปะปนกัน
หินอัคนีระดับลึกที่น่าสนใจก็คือ หินแกรนิต หินไดโอไรต์ และหินแกบโบร ซึ่งเป็นหินที่มีสีอ่อน ปานกลาง และเข้มตามลำดับ
หินอัคนีทั้งสามก้อนที่ผมได้ติดตามมาจนครบเส้นทางของมัน เป็นเพียง "หินอัคนีข้ามถิ่น" ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ บางคนอาจสงสัยว่า แล้ว "หินอัคนีท้องถิ่น" ไปอยู่เสียที่ไหน หินอัคนีท้องถิ่นของไทยที่นำมาใช้ในงานแกะสลักหินส่วนใหญ่ จะเป็นหินแกรนิตที่มาจากจังหวัดตาก และหินอัคนีเจ้าถิ่นที่เป็นหินของสระบุรีแท้ ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นหินไรโอไลต์ ถูกนำไปใช้เป็นหินรองรางรถไฟและรถไฟฟ้าใต้ดิน อายุของหินอัคนีในเขตสระบุรี จะเกิดขึ้นในช่วงมหายุคพาลีโอโซอิกต่อเนื่องกับมีโซโซอิก คือประมาณ ๒๖๐-๒๓๐ ล้านปีที่ผ่านมา

อ่านต่อภาคจบคลิกที่นี่


Create Date : 28 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2552 13:57:36 น. 1 comments
Counter : 2343 Pageviews.

 
บล็อกคุณนี้ สุดยอดเลยนะ free4u.bloggang.com : ทุกอย่างฟรีสำหรับคุณ เพื่อความรู้ สาระ และบันเทิง รูปภาพถ่ายเอง เกมวิทยาศาสตร์เพื่อครู และนักเรียน แนะนำโปรแกรม ฟังเพลงลูกทุ่ง ดูคลิป วีดีโอ เรื่องเร้นลับ และอีกมากมาย ชอบมาก ต้องมาอ่านต่อ


โดย: ชายเอ ทุ่งรังสิต วันที่: 12 ธันวาคม 2552 เวลา:20:13:57 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

scimovie
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]




แหล่งรวบรวมความรู้ โปรแกรม เพลง หนัง เกมส์ วิทยาศาสตร์ ดูละคร เรื่องย่อ ภาพยนตร์ การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายขอกำลังใจให้มีแรงอัพเดทตลอดๆ ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกันครับ
Friends' blogs
[Add scimovie's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.