Review in Nutshell...#2 (Science Fiction Edition)



Silent Running (1972)

ถ้าหนังเรื่อง The Happening ของเอ็ม ไนท์ ชยามาลาน คือหนังที่พยายามให้เรารู้สึกตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในภายในโลก และให้เราหันมามองถึงความผิดปกติในธรรมชาติที่เรากำลังอาศัยอยู่ (ปล. แล้วก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง) Silent Running ก็คือหนังที่อาจจะยัดเยียดสารสาระเหล่านั้น ให้กับเราอย่างตรงไปตรงมา แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ยังคงได้รับความบันเทิงอย่างเต็มเปี่ยม

ฟรีแมน โลเวล (บรูช เดิร์น) คือนักบินอวกาศคนเดียวที่เหลืออยู่ ในการทำหน้าที่รักษาป่าแห่งสุดท้ายที่ลอยเคว้งคว้างอยู่ในห้วงอวกาศ เขามีเพียงหุ่นยนต์ 3 ตัวที่คอยเป็นทั้งเพื่อนทั้งผู้ดูแลที่อยู่ร่วมกับเขา ในขณะหนังได้ถ่ายทอดชีวิตประจำวันของเขา หนังก็ยังได้เล่าย้อนไปถึงความเป็นไปก่อนหน้าว่า เหตุผลว่าทำไมถึงเหลือโลเวลอยู่เพียงแค่ตัวคนเดียว ซึ่งสุดท้ายแล้ว บางทีการเสียสละของมนุษย์ก็อาจจะเป็นทางเดียวเท่านั้น ที่ทำให้ธรรมชาติสามารถดำรงได้อยู่ต่อไป

ถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้สร้างโดยมีแนวคิดของชาวบุปผาชนเป็นแกนหลัก แต่ว่ามันก็สามารถปรับให้เข้ากับเทรนด์ปัจจุบัน (ที่ทุกคนดูเหมือนว่าจะเหลียวหลังกลับมามองโลกใบนี้อีกครั้ง) ได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังประโยชน์จากการที่หนังตัดสินใจพูดถึง สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้อย่างตรงไปตรงมา สำหรับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดอยู่ในขณะนั้น (เช่นสงครามเวียดนาม หรือปัญหาการทำลายพื้นที่สีเชียวของมนุษย์)

สำหรับใครที่อาจจะไม่ได้สนใจถึงปัญหาเหล่านั้นมากนัก แต่กำลังมองหาหนังวิทยาศาตร์ดีๆสักเรื่องหนึ่ง Silent Running ก็คือตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณเรื่องหนึ่ง ทั้งสารสาระ (ที่มีควรค่าแก่การรับฟัง) และการออกแบบสร้างสรรค์โลกในจินตนาการที่เยี่ยมยอด (ผกก.ดักลาส ทรัมลูม คือคนทำเอฟเฟ็คให้ 2001: A Space Odyssey ของแสตนลี่ย์ คูบริก และ Blade Runner ของริดรี่ย์ สก๊อต)

BloodyMonday Rating:




Fahrenheit 451 (1966)

ถ้าบอกว่า นี้เป็นหนังภาษาอังกฤษเรื่องแรก และเรื่องเดียวของผู้กำกับฟรังซัวซ์ ทรุฟโฟห์ หรือจะบอกว่านี้เป็นหนังเรื่องเดียว ที่เจ้าของนวนิยายอย่าง เรย์ แบรดบิวรี่ย์ แสดงความพอใจกับผลลัพท์ที่เห็น ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้ว สำหรับการตัดสินใจดูหนังเรื่องนี้

“ผมไม่ได้พยายามที่จะทำนายอนาคต ผมเพียงแค่อยากจะป้องกันมันเท่านั้น” เรย์ แบรดบิวรี่ย์ ได้เคยพูดถึงสิ่งที่พูดถึงอยู่ในหนังเรื่องนี้เอาไว้ ฟาเรนไฮท์ 451 คือหนังที่พูดถึงการล่มสลายของวัฒนธรรมของการอ่านหนังสือ ซึ่งเหตุการณ์นั้นก็เกิดในอนาคตอันใกล้ (หรืออาจจะเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันแล้วก็เป็นได้) ที่ใครมีหนังสือไว้ในครอบครองหรืออ่านมัน จะถูกจับและหนังสือนั้นก็จะถูกเผาทิ้งทันทีโดยนักดับเพลิง

มอนทาช (ออส์การ์ เวอรเนอร์ ซึ่งร่วมงานกับทรุฟโฟต์เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ Jules and Jim และก็เป็นครั้งสุดท้ายด้วย) คือหนึ่งในนักดับเพลิง ที่ติดอยู่ในสังคมที่ไร้ซึ่งอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง และจมปลักอยู่กับความเรียบเฉยของชีวิต โดยมีภรรยาของเขาอย่างลินดา (จูลี่ วอลเตอร์) ซึ่งก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกหล่อหลอมให้อยู่ภายใต้ระบบ ที่เสมือนถูกโปรแกรมให้มีลักษณนิสัยคล้ายหุ่นยนต์ ชีวิตของมอนทาชนั้น ได้เผชิญกับความเปลี่ยนแปลง เมื่อเขาได้พบกับหญิงสาวลึกลับ (แสดงโดยจูลี่ วอลเตอร์เช่นกัน) เธอได้แนะนำให้เขาลองหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ก่อนที่จะตัดสินใจเผาทิ้ง ซึ่งท้ายที่สุดมันก็ได้สร้างความรู้สึกต่างๆ ที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต

นี่อาจจะเป็นโปรเจ็คในฝันของทรุฟโฟห์เรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายช่วงหนึ่งในชีวิตของเขาเช่นกัน แม้ว่าหลายๆไอเดียจากหนังสือ จะถูกทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งบรรยากาศที่ถูกสร้างอย่างเย็นชาและห่างเหินในโลกอนาคต และการเลือกตัวมอนทาชที่ผู้เขียนรู้สึกว่าเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง (แถมสิ่งอำนวยความสะดวกหลายๆอย่างในหนัง ก็ถูกนำมาใช้จริงๆในภายหลังอย่างน่าประหลาด) แต่ดูเหมือนว่าการตัดสินใจในถ่ายทอดอารมณ์ของหนังนั้น เล่นกับความเป็นทริลเลอร์ของตัวเองมากเกินไป จนให้ความรู้สึกเหมือนกับเรากำลังนั่งดูซี่รี่ย์เป็นตอนๆใน Alfred Hitchcock’s Present ซึ่งมันก็ทำให้สิ่งที่สำคัญที่สุดของหนังสือเล่มนี้ (นั้นก็คือการตัดสินใจที่จะยืนหยัดต่อสู้กับการเซนเซอร์ ที่อาจจะเกิดขึ้นในสังคมของเรา) สูญเสียพลังไปอย่างน่าเสียดาย

อย่างไรก็ตาม หนังก็ได้ตอนจบที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ดังที่เรย์ แบรดบิวรี่ย์ สรุปให้กับหนังเรื่องนี้เอาไว้ว่า “หนังที่ดี แต่มีตอบจบที่แย่ ก็คือหนังที่แย่ แต่หนังที่ธรรมดาๆ แต่มีตอบจบที่สุดยอด ก็ถือว่าเป็นหนังที่สุดยอด ฟาเรนไฮท์ 451 คือหนังที่มีตอบจบที่สุดยอดสำหรับผม” (หนังกำลังจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ จากบทภาพยนตร์ของแฟรงค์ ดาราบองค์ โดยมีกำหนดฉายในปี 2010)

BloodyMonday Rating:




Logan's Run (1976)

ดูจากพล็อตเรื่องแล้วโลแกน รัน ก็อาจจะเป็นหนังวิทยาศาตร์เกรดบีธรรมดาๆ ที่มีไอเดียเก๋ๆ แต่ไม่สามารถทำออกมาให้เป็นหนัง ที่มีความยาวขนาดสำหรับภาพยนต์ได้อย่างดีพอ แต่เมื่อเวลานั้นได้ผ่านไปกว่า 30 ปี มันก็ทำให้หนังเรื่องนี้ได้กลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่สำคัญชิ้นหนึ่ง ซึ่งถูกสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะความคิดสร้างสรรค์ของคนที่อาศัยอยู่ในยุคนั้นจริงๆ

นี้คือโลกในปีค.ศ.2274 หลังจากที่โลกมนุษย์ของเราได้ถูกทำลายอย่างย่อยยับ ก็ยังมีชุมชนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ได้สร้างโดมรอบเมืองขึ้น เพื่อป้องกันคนที่รอดอยู่ภายนอกเข้ามา ในขณะที่ก็ป้องกันไม่ให้คนข้างในออกไป ถึงแม้ว่าคนในชุมชนจะมีความสงบสุข และถูกบริหารกันได้อย่างมีระเบียบวินัย แต่อายุขัยของคนในชุมชนนั้น ถูกกำหนดให้มีสูงสุดได้เพียงแค่ 30 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นแล้ว เขาหรือเธอจะต้องผ่านกระบวนการ "ต่อสํญญา" เพื่อที่จะได้เกิดใหม่เป็นทารก สำหรับ โลแกน 5 (ไมเคิล ยอร์ก) นั้น หลังจากที่เขากำลังจะมีอายุครบ 30 เขาก็ได้ตัดสินใจที่จะหนีออกจากเมืองแห่งนี้ เพื่อเผชิญหน้ากับความว่างปล่าวภายนอกโดมแห่งนั้น

อย่างที่ได้เห็นจากเนื้อเรื่องย่อแล้วโลแกน รัน มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับหนังไซ-ไฟเรื่องอื่นๆอย่าง THX1138, Westworld หรือล่าสุด The Island ซึ่งสาระหลักของหนังเหล่านี้คือ การที่ตัวเอกต้องจำยอมอาศัยอยู่ในโลกแห่งอุดมคติ (Utopia) (หรือเป็นจะเป็น Dystopia ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน) แต่ก็เพราะสิ่งเล็กๆที่เรียกว่าความอยากรู้อยากเห็น หรือความไม่รู้จักพอในความต้องการของเรานั้นเอง ที่สะสมเกิดเป็นพลัง ทำให้ี่อยากจะออกไปไขว่คว้าตามหาสิ่งที่ขาดหายไป ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้เจอสายรุ้งที่ปลายทางอย่างที่คาดไว้ก็ตาม

ถึงกระนั้นแล้วโลแกน รัน ก็ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนังไซ-ไฟชั้นคลาสสิคได้แต่อย่างไร เพราะด้วยการที่ผู้สร้าง ให้ความสนใจกับเอฟเฟ็คและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ มากกว่าเรื่องที่กำลังเล่า (ซึ่งเอฟเฟ็คในณ.เวลานั้น ก็ดูล้าสมัยไปอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าเทียบกับปัจจุบัน) หรือแม้กระทั่งตัวพระเอกที่เล่นโดย ไมเคิล ยอร์ค ก็อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด ในการแสดงให้ผู้ชมเห็นถึงความมุ่งมั่น และสภาพจิตใจที่เหมาะสมกับหนังประเภทนี้ แต่ถ้าใครมีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้ ก็จะไม่รู้สึกเสียดายเวลาอย่างแน่นอน (Logan's Run เวอร์ชั่นล่าสุด จะมีกำหนดลงโรงฉายในปีค.ศ. 2010)

BloodyMonday Rating:




 

Create Date : 20 มิถุนายน 2551
3 comments
Last Update : 22 มิถุนายน 2551 16:22:21 น.
Counter : 1033 Pageviews.

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

เข้ามาดูหนังแผ่นอ๊ะ!!

 

โดย: เริงฤดีนะ 21 มิถุนายน 2551 14:23:30 น.  

 

อยากดูเรื่อง Fahrenheit 451 มากที่สุดเลยครับเพราะผู้กำกับเป็นสุดยอดแห่งพวกนิวเวฟฝรั่งเศสเลย ขอบคุณครับสำหรับรีวิวให้อ่านกัน แถมยังเป็นหนังเก่า ๆเสียด้วย

 

โดย: Johann sebastian Bach 22 มิถุนายน 2551 9:45:28 น.  

 

ผิดไปแล้วครับบบบบบบบบ
เดี๋ยววันจันทร์จัส่งไปให้น่ะครับ ขอโทษน้า

 

โดย: หนึ่ง IP: 125.24.115.117 22 มิถุนายน 2551 10:52:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


BloodyMonday
Location :
Imaginationland, Valley of Bliss China

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






-= M & M in Nutshell =-


Gentlemen Broncos (2009)


You could have brain tumor by watching this contaminated turd. Nothing in Gentlemen Broncos pays off, it’s incoherent mess, and chock-full of incredibly annoying characters. You will not only loath this movie, but it also makes you want to punch someone who responsible for this abomination in the face.

BloodyMonday Rating:



Fantastic Mr. Fox (2009)


Imagine if Akira got Live-Action treatment by... say Alfonso Cuarón, you know how awesome it might be? That’s what happened to "Fantastic Mr. Fox". Wes Anderson's auteur perfectly captured the quirkiness and blissful tone of the material. Its stop-motion technique might be a little crude and... somewhat unsophisticated, but that's the charm of it. You’ll feel like pop-up book unveiled before your eyes. This is an exceptional animation of the year.

BloodyMonday Rating:



Planet 51 (2009)


ถ้าถามว่าสนุกไหม? ก็โอเค ทุกอย่างถอดแบบมาจาก Shrek มุขที่อ้างอิงวัฒนธรรมป็อป ตัวละครสมทบที่น่าสนใจกว่าตัวเอก กราฟฟิคที่สอบผ่านฉลุย (ถ้าไม่ไปวัดกับพิกซาร์) แต่ถ้าถามว่าต้องดูไหม? ..... เอาเป็นว่าเวลาชั่วโมงครึ่ง ทำอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้ได้เยอะแยะ

BloodyMonday Rating:



It's Complicated (2009)


รู้สึกสนุกกับการได้เห็นป้าเมอรีล เข้าโหมดแอ๊บเด็ก (อีกแล้ว) ในขณะเดียวกัน อเล็กซ์ บอลด์วิน และ จอห์น ครากินสกี้ ก็ขโมยซีนได้ตลอด แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนังยาว 2 ชั่วโมงมีเรื่องให้เล่าแค่ 15 นาที... It's Complicated อาจเหมือนคนกินไวอากร้าแล้วเข้านอน คึกตลอดคืนแต่มันจะมีประโยชน์อะไร?

BloodyMonday Rating:



Up in the Air (2009)


Up in the Air is a blockbuster movie for people who think blockbuster movies are dumb, as it chock full of brilliantly written dialogue, and acting showcase for three talented actors (especially star-making turn by Anna Kendrick). But in the end, there's little to love, not so much story to chew on (plus disappointing third act), and no real connection to the meaning of human interaction as it intended to be.

BloodyMonday Rating:



I Love You, Beth Cooper (2009)


Cliché-ridden plot about a bunch of annoying characters get together in one idiotic circumstance, "I Love You, Beth Cooper" is shameless exploitation & biggest insult to 80s teen flicks. It's like memorizing magic trick from internet, hoping to perform like David Copperfield. Neither sense of wonder nor magic flare happens here. Only good thing is, it makes me wanna cleanse my soul with genuine 80s teen movie night marathon.

BloodyMonday Rating:



Everybody's Fine (2009)


Meh. The movie serious lack of originality & characters development. Only Robert De Niro comes out fine in this schmaltzy, "Lifetime" movie-of-the-week plot.

BloodyMonday Rating:



Paper Heart (2009)


Twee delight... That's only two words I can think of right now.

BloodyMonday Rating:



Adam (2009)


A perfect companion to Mary & Max (one of the best animation of 2009), Adam is star-crossed love story (pun intended) between Adam, Asperger's Syndrome bearer, and Beth, free spirit woman. The picture wouldn’t be this intimate without stunning performance by Hugh Dancy. On the other hand, the lack of depth on why Beth would love someone like Adam, preventing me from wholeheartedly embraces her choice in the end (which is nice & perfect but requires a leap of faith). Otherwise, this is touching romantic film, which putting its feet firmly on the ground, making the world full of hope and seems nicer place to live.

BloodyMonday Rating:



The Invention of Lying (2009)


Expected to be like “Click” or “Yes Man”, where high-concept plot turned into endless gags, with moral lesson (forcefully) shoving down your throat. But "The Invention of Lying" is thinking man’s film. The whole concept is not seeing how first lying man exploits the ability. But it's about him finding the way not to lie, in order to find genuine happiness. Great stuff.

BloodyMonday Rating:



Give ‘Em Hell Malone (2009)


This is one damn frustrating experience. It’s like watching an infant trying to stand up and walk. They would take a few steps then fall their asses. In fact, kiddie film like “Bugsy Malone” has done better job paying a tribute to film noir than this borefest.

BloodyMonday Rating:



Zombieland (2009)


ถ้าอังกฤษมีหนังซอมบี้ฮาแตกอย่าง Shaun of the Dead แล้ว ทำไมอเมริกาจะมีบ้างไม่ได้... Zombieland คือการผสมผสานระหว่างบรรดาหนังซอมบี้เก่าๆ เข้ากับทัศนคติของคนสร้างที่อาจดูหนังแนวนี้มากเกินความจำเป็น จนสามารถสร้างหนังซอมบี้ที่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองเป็น และเล่นสนุกไปกับกฏพื้นฐานของซอมบี้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกความดีให้สี่นักแสดงนำ โดยเฉพาะ วู้ดดี้ ฮาเรลสัน (เขาเกิดมาเพื่อบทนี้) ที่ช่วยกันสร้างมนต์เสน่ห์ ให้กับการเดินทางในโลกไร้มนุษย์ได้อย่างเต็มที่

ถึงแม้พลังงานที่ขับเคลื่อนจะมาหมดเอาดื้อๆในองค์สุดท้าย เมื่อฉากใหญ่ในสวนสนุกถูกทำขึ้นเพื่อแสดงฉากการฆ่าซอมบี้เด็ดๆ (ซึ่งไม่ใช่จุดเด่นสำหรับเรื่องนี้เลย) แต่โดยรวมแล้วมันก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัว ที่บรรดาแฟนซอมบี้จะมาพลาดหนังเรื่องนี้... อ้อ แล้วหนังยังมีดารารับเชิญสุดเซอร์ไพรซ์ ที่สร้างเสียงฮาที่สุดในเรื่องได้จากประโยคสุดท้ายอีกด้วย

BloodyMonday Rating:



Frequently Asked Questions About Time Travel (2009)


เมื่อเพื่อนสามคนก๊งเบียร์กันในผับแล้วเจอสาวฮ็อต (แอนนา ฟาริส) ที่อ้างว่ามาจากอนาคตจนเกิดรอยแยกของเวลา ทำให้ทั้งสามต้องท่องไปทั้งโลกในอนาคตและอดีตจนวุ่นวาย...

หนังมีไอเดียกิ๊บเก๋ ทำออกมาได้สนุกสนานสไตล์ซิตคอมอังกฤษ โดยเฉพาะการนำกฏเหล็กต่างๆจากหนังที่เกี่ยวกับการท่องเวลา (ดูเหมือนว่า Back to the Future จะเป็นแรงบรรดาลใจหลัก) มาปู้ยี้ปู้ยำอย่างเมามัน ถึงแม้ว่าตลอดเวลาการรับชมจะให้ความรู้สึก เหมือนตัวเองกำลังดูซีรี่ย์ทางโทรทัศน์ แต่มันก็คือตอนที่ฮาที่สุดของซีซั่น แถมเอฟเฟ็คที่ใช้ก็มีคุณภาพจนคาดไม่ถึง

BloodyMonday Rating:



Looking for Eric (2009)


มีความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มองโลกในแง่ดีเกินบรรยากาศโดยรวม จริงอยู่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงเอยด้วยดีในตอนสุดท้ายนั้น สามารถสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับคนดู แต่จากสถานการณ์ในเรื่องและบริบทที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันยากที่จะทำใจเชื่อในสิ่งที่เห็น โดยเฉพาะพล็อตรองเกี่ยวกับปืน ซึ่งถ้าถูกตัดออกไปและหนังยังดำเนินเรื่องอย่างที่เป็นอยู่ Looking for Eric ก็น่าจะเป็นหนังฟีลกู้ดที่อบอุ่นที่สุดเรื่องหนึ่งของปีเลยทีเดียว

BloodyMonday Rating:


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2551
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
20 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add BloodyMonday's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.