Review in a Nutshell...#1



Romance & Cigarettes (2005)

โอเค ผู้เขียนพอจะเห็นแล้วว่า ผกก.อย่าง John Turturro มีความเก็บกดมากแค่ไหนในชีวิต ด้วยบทภาพยนตร์ที่สุดโต่ง ทั้งในเรื่องไดอาล็อคเรื่องเพศสัมพันธ์แบบเห็นภาพชัดเจน (แล้วคิดดูว่ามันกระอักกระอ่วนแค่ไหน เมื่อใน commentary track เค้าได้เอาลูกชายวัย 18 ปี มานั่งบรรยายด้วย!) และฉากร้องเพลง (ใช่ มันเป็นหนังเพลง) ที่ไม่ได้น่าจดจำเลยสักนิด (อาจจะมีเพชรในตมอยู่ นั้นก็คือฉากของ Christopher Walken นั้นเอง) ยิ่งแย่ไปกว่านั้น ผกก.ยังตัดสินใจหยุดทำหนังมิวสิเคิลสุดระห่ำของเขา แล้วเปลี่ยนเป็นหนังฮอลมาร์คกลิ่นตุๆในช่วง 30 นาทีสุดท้าย ใครก็ได้ ช่วยคนดูให้พ้นจากความน่าเบื่อที

BloodyMonday Rating:
1.5/4 (มันจะได้เพิ่มอีกครึ่งดาว ถ้าผกก.ไม่ทรยศคนดู โดยการเปลี่ยนจากหนังเพลงเป็นหนังน้ำเน่า)



Dazed and Confused (1993)

นี้อาจจะเรียกว่า เป็นภาคต่อกลายๆของ American Graffiti (1973) (ที่พูดถึงชีวิตของวัยรุ่นในยุค 60's) โดยเรื่องนี้พูดถึงเหล่าพองเพื่อนนักเรียนไฮสกูลในยุค 70's กับชีวิตในวันปิดภาคเรียนของพวกเขา สิ่งที่น่าชมเชย ก็คือการเก็บรายละเอียดทุกเม็ดของผกก. Richard Linklater ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดนตรี (ควรมี OST ไว้มาครอบครองอย่างยิ่ง) และภาษาสำนวนของวัยรุ่นในยุคนั้น อีกทั้งหนังยังได้การแสดงที่สมจริง ของเหล่านักแสดงดาวรุ่ง (ในขณะนั้น) ที่ตอนนี้กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์กันไปแทบทุกคนแล้ว

BloodyMonday Rating:
3/4



Cloverfield (2008)

ดีนะที่มันยาวแค่ 70 กว่านาที (และไม่ได้ดูในโรง) ไม่งั้นผู้เขียนคงเกิดเหตุการณ์ projectile อาหารเย็นที่กินไปอย่างแน่นอน ต้องยอมรับว่า หนังสร้างให้เรารู้สึกมีอารมณ์ร่วม ไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่บนจอได้ตลอด ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของตัวละคร และเหตุผลที่ใช้ในการดำเนินเรื่องไปข้างหน้า มันจะค่อนข้างไร้ความเฉลียวอย่างเห็นได้ชัด (เชื่อว่า 20 นาทีแรก ที่ถูกใช้ในการพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละคร น่าจะทำให้คนหลายคนรู้สึกอึดอัด ว่าเมื่อไรพี่เบิ้มจะออกอาละวาดซะที)

BloodyMonday Rating:
2.5/4



Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull (2008)

หนังพิสูจน์ให้เราเห็นได้อย่างนึงว่า สปีลเบิร์คสามารถกำกับหนังแอ๊คชั่นทั้งหลับก็ยังได้ แต่นั้นก็ไม่ได้หมายถึงว่า หนังเรื่องนี้จะสามารถขึ้นไปเทียบชั้นกับภาคแรกได้แต่อย่างไร ด้วยฉากแอ็คชั่นเปิดเรื่องกับปิดเรื่องที่เรียกได้ว่า ไม่ค่อยน่าประทับใจซะเท่าไร (ก็มีแต่ฉากไล่ล่ากันในป่า ซึ่งอาจจะเป็นฉากที่ยอดเยี่ยมที่สุด ตั้งแต่สร้างกันมาเลยก็ได้) และบทสนทนาที่ไม่ได้มีความเฉียบคม ทำให้ผู้เขียนคิดว่า นี้น่าจะไม่ใช่หนังที่ดีที่สุดประจำซัมเมอร์นี้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ต้องชมเชยก็คือ ผู้สร้างเลือกที่ไม่จะทรยศคนดู โดยการที่ถ่ายทอดอินดี้คนเดิม อย่างที่เราๆเคยจดจำกันมาได้กว่า 20 ปี (ดาย ฮาร์ด 4 คือตัวอย่างราคาแพง ที่ผู้สร้างตัดสินใจเปลี่ยนแม็คเคลนจาก คนอึดกล้าบ้าบิ่น มาเป็นคนเหล็กกล้าบ้าบิ่นแทน)

BloodyMonday Rating:
2.75/4



...And Justice for All (1979)

นี่น่าจะเป็นผลงานการแสดงของอัล ปาชิโน ที่ถูกเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ ที่ไม่สมควรถูกเสนอที่สุดในอาชีพเขาแล้ว อย่างไรก็ตาม นี้ถือว่าเป็นหนังที่ดูสนุกอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว ทั้งๆที่เนื้อเรื่องซึ่งเกี่ยวกับ ความเหลวแหลกของระบบกฎหมายในอเมริกา มันน่าจะชวนให้เราเครียดได้พอควร ทั้งการคุมโทนของหนังได้อย่างอยู่หมัดของผกก.นอร์แมน จิววิสัน และนักแสดงสบทบที่มีสีสันเป็นอย่างยิ่ง (จอห์น ฟอร์ไซค์ กับบทอัยการปีศาจ ที่ถือว่าเป็นจุดเด่นที่สุด) น่าจะมีส่วนช่วยให้คนดู ชอบเรื่องนี้ได้อย่างไม่ยาก

BloodyMonday Rating:
3/4



Dan in Real Life (2008)

สิ่งแรกที่แว๊บเข้ามาในหัวคือ นี้มันเหมือนกับหนังเรื่อง The Family Stone อย่างไม่ผิดเพี้ยน แต่สิ่งที่ต่างกันคือ ในขณะที่ The Family Stone ได้ให้เวลากับตัวละครหลายๆคนมากพอ ที่จะทำให้หนังเรื่องนั้นพอที่จะมีอะไรจับต้องได้บ้าง แต่เรื่องนี้กลับมีเพียงคนเดียว(ตัวเอก) ที่เราพอจะมีความรู้สึกร่วมอยู่บ้าง ส่วนคนอื่นๆล้วนเหมือนกล่องกระดาษรูปคน ที่วางประดับฉากหลังของหนังให้เต็มๆเพียงเท่านั้น และมีอยู่หลายช่วง ที่หนังทำท่าที่จะมุ่งไปในทิศทางที่น่าสนใจ แต่สุดท้ายแล้ว ก็กลับไม่ได้ใช้โอกาสเหล่านั้นเลยสักนิดเดียว

BloodyMonday Rating:
2.25/4



27 Dresses (2008)

โอ้ เจ้าแม่หนัง Rom-Com ได้ถือกำเนิดขึ้นอีกคนแล้ว สิ่งที่สามารถพยุงให้หนังเรื่องนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง ก็คือการปรากฎตัวของ Katherine Heigl เพราะหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรใหม่เลยแม้แต่น้อย ฝ่ายชายทั้ง Edward Burns และ James Marsden ก็ไม่ได้ฝากผลงานอะไรที่น่าจดใจซะเท่าไร แต่ก็อีกแหละ บางทีคนดูอาจจะไม่ต้องการอะไรที่แปลกใหม่ กับหนังประเภทนี้ก็ได้

BloodyMonday
2.5/4



The Game Plan (2007)

ทั้งๆที่บอกกับตัวเองไว้ก่อนแล้วว่า หนังดิสนี่ย์นั้น มันก็ต้องลงเอยแบบนี้แหละ แตนี้มันเกินเยียวยาจริงๆ หนังพิสูจน์ให้เห็นว่า การที่เอาพระเอกแอ็คชั่น มาเล่นหนังครอบครัวน่ารักๆนั้น มันอาจจะไม่ใช้ความคิดที่ดีนัก อย่างเช่น ลุงอาร์โนโน ใน The Kindergarten Cop หรือ พี่วิน ใน The Pacifier (ทั้งนี้ทั้งนั้น เดอะร็อคก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว ในทั้งสามคน) สิ่งท่น่ารำคาญที่สุดคือ ลูกสาวของพระเอก ที่ดูแลัว ยังไงก็ไม่เหมือนด็กธรรมดาทั่วไปเลยสักนิด เหมือนกับว่าคนเขียนบท ยัดเยียดเอาบทของผู้ใหญ่ใส่เข้าไปในปากของเด็ก แล้วให้พูดยังไงยังงั้น

BloodyMonday Rating:
2/4



Iron Man (2008)

ความไม่แปลกใหม่ คือสิ่งที่ดีที่สุด ที่หนังเรื่องนี้เลือกที่จะเดิน ไออ้อน (หรือไอร่อน อะไรก็ช่างมันเหอะ) แมน คือหนังซุปเปอร์ฮีโร่ ที่เดินตามขนบทำเนียมประเพณี ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว ในรอบหลายๆปีนี้ (เรื่องสุดท้าย ที่เรียกได้ว่ามีความสมบูรณ์ในตัวเอง น่าจะเป็น Spider-man 2 และ X2) หนังยังได้รับประโยชน์จาก ตัวเอกอย่าง โรเบิร์ต ดาว์นี่ย์ จูเนียร์ ที่ในที่สุด ก็แสดงให้คนทั้งโลกเห็นจริงๆแล้วว่า แกเป็นนักแสดงที่มี charisma ขนาดไหน (ถ้าใครเคยดู Kiss Kiss Bang Bang (2005) ก็จะเข้าใจว่าทำไม)

BloodyMonday Rating:
3/4



Takeshis' (2005)

ดูเรื่องนี้ก่อนภาคสองของ "ความล่มสลายในกระบวนการสร้างสรรค์" ที่ผกก. คิตาโน่แกเล่นเอาให้สะใจตัวเองเข้าว่า ทั้งฝันซ้อนฝันซ้อนฝัน ความรุนแรงที่ไร้ตรรคกะ ตัดฉากสลับไปสลับมาอย่างไม่มีเหตุผล คงไม่มีใครอาจหาญสามารถตีความได้ ในความหมายที่แท้จริงของเรื่องๆนี้ (แต่ก็ยังมีหลายๆฉาก ที่เหมือนกับว่า แกจะตัดพ้อต่อว่าคนดู ที่ชอบต่อว่าหนังของแกเรื่องก่อนๆอยู่เหมือนกัน)

BloodyMonday Rating:
งดแสดงความเห็นเรื่องคะแนนเหมือนกัน แต่ชอบเรื่องที่สองของแกมากกว่า



Evening (2007)

ตลอดความยาว 100 กว่านาทีที่นั่งดู ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า เรากำลังนั่งดูรูปวาดแขวนผนังสวยๆรูปหนึ่งอยู่ ปัญหาก็คือความสวยของมัน แทบจะไม่ได้ให้คุณค่าคืนมาแก่เราเลยสักนิดเดียว ตัวละครทุกๆตัวในเรื่องถูกแสดงออกมาได้อย่างแบนราบ และบทภาพยนตรก็ไม่ได้ส่งเสริมเลยแม้แต่น้อย แล้วถ้าการรวมดาราขนาดนี้มา มันยังทำให้หนังหลุดฟอร์มได้ถึงขนาดนี้ สงสัยผกก.ต้องกับพิจารณาตัวเองใหม่ได้แล้วว่า ตัวเองเหมาะกับหน้าที่จริงๆรึเปล่า

BloodyMonday Rating:
1/4



Horton Hears a Who! (2008)

ถ้านับว่าเรื่องนี้ อยู่นอกเหนือจากอาณาจักรของพิซาร์ สตูดิโอ ก็ถือว่าเป็นอนิเมชั่นที่สอบผ่านเรื่องหนึ่งเลย ไม่ว่าจะเป็นการเอาใจใส่ในเรื่องรายละเอียดของภาพ การให้เสียงพากษ์ที่เหมาะสม รวมถึงแง่คิดคำสอนที่ชัดเจน เข้าใจง่าย เข้าได้ถึงทุกเพศทุกวัย แต่ก็น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน ตรงที่หนังถูกดำเนินเรื่องเรื่อยๆเปื่อยๆไป(ไม่)หน่อย เหมือนกับว่าต้องการฆ่าเวลาในช่วงกลางๆของหนัง เพื่อจะได้ทำหนังดำเนินไปถึงจุดไคลแม๊กซ์

BloodyMonday Rating:
3/4



The Forbidden Kingdom (2008)

นี้เป็นหนังกังฟูฮอลลิวู้ดที่เหมาะกับ Jet Li มากกว่าที่จะเป็นหนังเฮียเฉินจริงๆ สิ่งที่ประสบความสำเร็จคือ การออกแบบ Wire-fu ที่อยู่ในระดับที่ผ่าน แต่สิ่งที่ไม่ประสบความสำเร็จล่ะ? ก็คือเกือบทุกอย่างที่เหลือ เริ่มจากการเล่าเรื่อง หนังหมดเวลามหาศาลไปกับแฟลชแบ็ค แล้วก็ Voice-over ที่ฟังๆแล้วจะหลับเสียให้ได้ นักแสดงทุกๆคน ถึงแม้ว่าฉากบู๊จะสอบผ่าน แต่เรื่องแอ็คติ้งตกหมด (เข้าใจว่าอาจจะเป็นเรื่องของภาษา ทำให้การแสดงมันออกจะดูเกร็งๆจริงๆ) จริงๆแล้ว ถ้าไม่คิดถึงหนังกำลังภายในอีกร้อยแปดพันเรื่องที่ได้ดูมา ก็ถือว่าไม่น่าเกลียดละกัน (ปล. แล้วมันจะยอดเยี่ยมกว่านี้ไหม ถ้าปล่อยให้เฮียเฉินหลงแกทำสตันท์เอง คิดดู มี Jet Li โชว์กังฟูเทพๆจากการออกแบบของหยวนหวู่ปิง และมีเฮียเฉินเล่นแอ็คชั่นแบบทุ่มทุนสร้าง เล่นจริง เจ็บจริง ให้เราดูในเรื่องเดียวกัน)

BloodyMonday Rating:
2.25



Good Night, and Good Luck. (2005)

เรื่องจริงของนักข่าวในตำนาน Edward R. Murrow (David Strathairn) ในช่วงหนึ่งของชีวิต ที่ตัดสินใจเล่นงาน สมาชิกสภา Joseph McCarthy ในกรณีที่กล่าวหาผู้คนว่าเป็นคอมมิวนิสต์ไปแบบส่งเดช ไม่ดูเวลาก็ไม่ทราบว่าหนังเรื่องนี้ยาวแค่ 80 กว่านาทีจริงๆหรือนี้ เพราะว่าเหนื่อยจากการอ่านซับมากๆ จนให้ความรู้สึกเหมือนกับดูหนังอีพิคยาวๆเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผลตอบแทนถือว่าอยู่ในระดับที่คุ้มค่า หนังสร้างได้กลิ่นอายของยุค 50 เป็นอย่างดี แล้วถึง David Strathairn จะเล่นดีแค่ไหน ก็ยังคงเป็นนักแสดงที่ถูกประเมินค่าต่ำอยู่ต่อไป

BloodyMonday Rating:
3/4



Resurrecting the Champ (2007)

จากเค้าโครงเรื่องจริงของคอลัมนิสต์กีฬาอย่าง Erik (Josh Hartnett) ที่ไปเจอ และตัดสินใจทำสกู๊ปเกี่ยวกับอดีตนักมวยที่ชื่อว่า Champ (Samuel L. Jackson) ที่ชีวิตผกผัน จนกลายเป็นคนจรจัด แต่เรื่องมันก็พลิกโผไปอีกว่า Champ นั้นไปใช้ชื่อนักมวยอีกคนหนึ่ง ที่ไม่ใช่ตัวเอง ทำให้ Erik ต้องเจอกับสภาวะที่ว่า เขาจะเลือกที่จะยืนอยู่ข้าง Champ หรือประชาชนที่ถูกหลอก...เป็นหนังที่ดูแล้ว feel-good กันสุดๆไปเลย ลุงแซมมวลนี้ ถ้ามีอะไรแกทำ (อย่าง Black Snake Moan เป็นต้น) แกก็ทำได้อย่างไร้ที่ติจริงๆ ต่างจากจอช ที่ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ซะที จุดที่ผิดพลาดที่สุดของหนังเรื่องนี้ คือการที่หนังหลงประเด็นที่จะเล่าให้กับคนดูฟัง เพราะในขณะที่ เรื่องราวของชีวิตนักมวยของ Champ และอุปสรรคของเขาที่ได้ฟันฟ่ามา มันน่าที่จะทรงพลังและน่าจดจำ มากกว่าที่จะมาโฟกัสในเรื่องซึ้งๆของพ่อและลูก ที่ถูกใส่เข้ามา เพื่อบังคับให้เราร้อง "Awwww" ไปกับอารมณ์หนังในตอนนั้น

BloodyMonday Rating:
2.5/4



The Wicker Man (2006)

"Step away from the bike!" ทำให้จขบ.นั่งยิ้ม "how'd it get burned? HOW'D IT GET BURNED! HOWDITGETBURNED!! HOWDITGETBURND!!!" ทำให้จขบ.หัวเราะท้องขดท้องแข็ง แล้วตอนที่พระเอก คาราเต้ คิกใส่หน้าลีลี โซเบียสกี้ ถือว่าเป็นจุดสุดยอดของหนังเลยก็ว่าได้ แต่บ้าที่สุด ทำไมเราถึงต้องเสียเวลาไปชั่วโมงครึ่งเพื่อนั่งดูนิค เคจเล่นตลกด้วยเนี่ย 555+

BloodyMonday Rating:
1/4



Glory to the Filmmaker! (2007)

ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะคิดยังไงกับหนังเรื่องนี้ดี นี่คือเรื่องที่ 2 ในไตรภาค (ต่อจาก Takeshis'(2005)) ของธีมที่ว่าด้วย "ความล่มสลายในกระบวนการสร้างสรรค์" (เค้าว่ากันน่ะ) ของผกก. Takeshi Kitano หนังเล่าผ่านตัวผกก.โดยที่ตั้งคำถามกับตัวเองว่า จะสร้างหนังแนวไหนดีน่ะ ถ้าไม่อยากสร้างหนังยากูซ่าแล้ว โดยมีเรื่องสั้นๆหลายๆแนวอยู่ข้างในหนังอีกที ซึ่งดูแล้ว ก็เหมือนกับว่า ลุงคิตาโน่จะพยายามกรองผู้ชมหนังของแก ให้เหลือแต่แฟนเดนตายจริงๆ ตัวหนังนั้นก็ไม่มีรูปแบบที่แน่นอน เนื้อหาหลักๆก็ไม่มีให้หยิบจับ เหมือนกับว่าพอแกคิดอะไรออก ก็ใส่เข้ามาโดยไม่คำนึงถึงความต่อเนื่อง และบทสรุปของตัวหนังนั้น จะว่าไปก็เหมือนตอนจบของเรื่องนี้ มันคือหายนะทางความคิด ที่ดูแล้วน่าชมเชย มากกว่าที่จะถูกเหยียบย่ำให้จมดินอย่างที่ควรจะเป็น

BloodyMonday Rating:
งดแสดงความเห็นเรื่องคะแนน



Tape (2001)

ไม่ผิดหวังสำหรับใครที่เป็นแฟนหนังของผกก. Richard Linklater นี่คือมหกรรมการพูดใส่กันตลอด 80 นาที โดยที่มีนักแสดงหลักอยู่แค่สามคน (Ethan Hawke, Robert Sean Leonard และUma Thurman) เล่นอยู่ในห้องเล็กๆห้องเดียว ถึงแม้ว่าเนื้อหาที่หนังต้องการเล่าออกมานั้น จะไม่ได้มีแก่นสารอะไรเท่าไร (แล้วบางทีก็ดูเหมือนว่า หนังใช้การเล่นกับคำถามมากไปจนเกินความพอดี) แต่ด้วยบทสรุปน่าพอใจอย่างสูง บวกกับนักแสดงทั้งสามที่เล่นได้ดีอย่างไร้ที่ติ จึงไม่แปลกว่าทำไมคนถึงกล่าวขวัญกันนักกับเรื่องนี้

BloodyMonday Rating:
3/4



ลองของ 2 (2008)

ภาคกำเนิดครูพนอ "ลองของ 2" เป็นหนังที่อาจจะใช้ความพยายามมากเกินไป ทั้งที่ตัวเองน่าจะเป็นแค่ torture porn ที่จุดประสงค์หลักของหนังจำพวกนี้คือ สร้างความสะใจให้แก่แฟนๆหนังแนวนี้ (ประกอบกับตัวอย่างหนังที่เลือกตัดเอาฉากสยองๆออกมา ให้คนดูได้ตื่นเต้น) แต่ผลลัพท์ที่ได้ก็คือ ความอ่อนยวบของฉากขาย(การทรมาน) ที่ไม่สร้างสรรค์และน่าเบื่ออย่างเหลือเชื่อ และบทภาพยนตร์ที่ได้สร้างปมเอาไว้หลายที่ แต่ก็ไม่ได้ใช้เวลาให้เพียงพอในการคลี่คลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวคุณปวีณาล่ะ ที่หายไปเลย เมื่อหมดประโยชน์ในการใช้ดำเนินเรื่อง หรือแฟลชแบ็ค ที่เล่าถึงการพัฒนาตัวละครของครูพนอ ที่ดูแล้วครึ่งๆกลางๆไม่สมบูรณ์ ถ้าจะให้พูดถึงส่วนที่ดีจุดเล็กๆ ก็คือคุณมะหมี่ ที่เหมาะเหลือเกินกับหนังแนวนี้

BloodyMonday Rating:
1.5/4



Vantage Point (2008)

ถ้าเอาดูเพลินๆ ก็คงไม่ต้องมีอะไรให้ติมากมาย แต่ถ้าจะให้คิดลึกลงไปอีกหน่อย ก็จะมีแต่คำถามว่า ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม อยู่เต็มไปหมด แล้วถ้าจะให้หาคำจำกัดความของหนังเรื่องนี้ "Vintage Point ก็คือ Rashomon ที่ปราศจากปรัชญาคำสอนในเรื่องสัญชาติญาณดิบของมนุษย์ แล้วคงเหลือไว้แต่เพียงลูกเล่น gimmick เดิมๆ ที่ไม่ได้มีความแปลกใหม่แต่อย่างใด"

BloodyMonday Rating:
2/4



Venus (2006)

หนังรักในมุมมองของผู้สูงอายุ(มากๆ)ของ Maurice (Peter O'Toole) นักแสดงรุ่นลายครามที่ตกหลุมรักสาวรุ่นหลานวัยยี่สิบต้นๆอย่าง Jessie (หน้าใหม่แต่ฝีมือเจ๋ง Jodie Whittaker) ไม่แปลกใจว่าทำไมปีเตอร์ถึงได้เข้าชิงออสการ์ และบทภาพยนตร์ที่เข้าใจถึงสภาพจิตใจของตัวละครในเรื่องเป็นอย่างดี ทำให้เรื่องนี้น่าจะอยู่ในใจของผู้ชมบางกลุ่มไม่มากก็น้อย

BloodyMonday Rating:
3/4



The Sugarland Express (1974)

หนังโรงอย่างเป็นทางการเรื่องแรกของ Steven Spielberg สร้างจากเรื่องจริงของหนุ่มสาวสองคน (นำแสดงโดย Goldie Hawn และ William Atherton) ที่ถูกไล่ล่าไปทั่วทั้งรัฐเท็กซัส ทั้งเทคนิคการถ่ายทำที่สร้างสรรค์(ในยุคนั้น) รวมถึงมุมมองวิจารณ์สังคมอย่างแสบๆคันๆของผกก. จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเค้าถึงได้มีชื่อเสียงจนมาถึงทุกวันนี้

BloodyMonday Rating:
3/4



Sleuth (2007)

รีเมคจากหนังต้นฉบับปี 1972 โดย Jude Law รับบทที่ Michael Caine เคยเล่นเอาไว้ (แล้วตัวไมเคิลเองก็ขยับมาเล่นอีกตัวละครหนึ่ง) ระหว่างนั่งดู ให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังดูละครเวทีอยู่จริงๆ หนังได้รับประโยขน์จากความสามารถของนักแสดงทั้งสองอย่างมาก และด้วยมุมกล้องที่แปลกตา และการจัดเรียงร้อยบทพูดที่น่าศึกษา นักศึกษาเกี่ยวกับภาพยนตร์ควรดูเอาไว้ แต่ถ้าจะให้นับเป็นหนังที่ดูสนุก ก็คงขอตอบว่าไม่

BloodyMonday Rating:
2.5/4



Pulp (1972)

อีกเรื่องหนึ่งกับ Michael Caine (สองเรื่องติด 55+) โดยรับบทเป็นนักเขียน ที่ต้องเข้าไปพัวพันกับการฆาตกรรมอย่าง...ตั้งใจ ครึ่งแรกของหนังเหมือนกับว่าจะเป็นหนังตลกแบบเจ็บตัว แต่พอเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ กลับกลายเป็นว่าเป็นตลกร้าย(ไม่สุด)ไปเสีย ตัวเอกอย่าง Michael Caine ก็เล่นได้อย่างเยี่ยมยอด รวมถึง Mickey Rooney ที่โผล่มาน้อยฉาก แต่ขโมยซีนได้อยู่หมัด เสียดายว่าช่วงองค์สุดท้าย หนังเองคงหาทางจบไม่ลง เลยตัดสินใจจบเอาซะดื้อๆซะงั้นเลย

BloodyMonday Rating:
2.5/4



Hearts of Darkness: A Filmmaker's Apocalypse (1991)

สารคดีเรื่องดังที่พูดถึงหายนะในการสร้าง Apocalypse Now (1979) ของ Francis Ford Coppola ตัวสารคดีเก็บรายละเอียดปลีกย่อย รวมถึงสาระหลักๆได้อย่างดีเยี่ยม แต่ก็มาประสบชะตากรรมเดียวกับที่ตัวหนังถูกวิพากษ์วิจารณ์คือ impact ในช่วงสุดท้าย ที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกับ 3/4 แรกของสารคดีได้เลย (แถมน่าเสียดายว่า Marlon Brando ก็ยังเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมให้สัมภาษณ์อีกด้วย)

BloodyMonday Rating:
3/4



The Ten (2007)

นี้คือ The Decalogue (1989) เวอร์ชั่นหนังตลก ที่นำเสนอในรูปของ skit สั้นๆ โดยหยิบเอาบาปทั้งสิบข้อในศาสนาคริสต์ มาเป็นธีมหลักในการล้อเลียน หนังรวบรวมดาราอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง (Paul Rudd, Winona Ryder, Famke Janssen, Gretchen Mol และคนอื่นๆอีกมากมาย) หนังให้ความรู้สึกว่าเหมือนเรากำลังดู Saturday Night Live อยู่จริงๆ มุขมีบางอันที่ถือว่าใช้ได้ (แต่ส่วนมากแล้วก็จะแป๊ก)

BloodyMonday Rating:
2/4



Atonement (2007)

ไม่อยากทำให้แฟนๆหนังเรื่องนี้เคืองเลย แต่ผู้เขียนคิดว่า ความเฉียบขาดในการดัดแปลงจากนวนิยายของเรื่องนี้ สู้เรื่องที่แล้วของผกก. Joe Wright อย่าง Pride & Prejudice (2005) ไม่ได้เลย ด้วยลูกเล่นในการเล่าเรื่อง และความกระตืนรือล้นของตัวนักแสดง อาจจะทำให้หนังในช่วงครึ่งแรก อยู่ในขั้นคลาสสิค แต่น่าเสียดายที่ครึ่งหลัง (ที่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร) ไม่สามารถจะยกระดับให้เทียบเท่ากับครึ่งแรกได้เลย

BloodyMonday Rating:
3/4



Swingers (1996)

หนังแจ้งเกิดของสามหนุ่ม Doug Liman, Jon Favreau และ Vince Vaughn เล่าถึงกลุ่มผองเพื่อนในวัยยี่สิบกว่าๆ ที่ดิ้นรนทั้งในเรื่องการงานและความรัก หนังมีบทพูดเจ็บๆคันๆฮาๆอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับการแสดงที่น่าประทับใจของสองนักแสดงนำ น่าจะทำให้แฟนๆหนังประเภทนี้ (พูดน้ำไหลไฟดับ) ชอบใจได้ไม่ยาก

BloodyMonday Rating:
3/4



Feast of Love (2007)

ไม่บอกก็ไม่รู้ว่านี้เป็นผลงานของผกก. Kramer vs. Kramer และ A Place in the Heart หนังพิสูจน์ให้เห็นว่า การที่ทำมาจากนิยายดีๆ ไม่ได้หมายความว่าหนังต้องออกมาดีตาม ให้ความรู้สึกว่าเหมือนกับการนั่งดู Soap ธรรมดาๆเรื่องนึง ที่เผอิญมีดาราดังๆมาเล่นอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเท่านั้น (หนังมีฉากวาบหวามเยอะอย่างคาดไม่ถึง ช่วยให้จขบ. ตัดสินใจดูต่อได้อยู่เหมือนกัน อิอิ)

BloodyMonday Rating:
1.5/4



Step Up 2 The Streets (2008)

คิดว่า เป็นหนังที่สร้างง่ายมากๆ จับเอาฉากเต้นมาร้อยเข้าด้วยกันเยอะๆ เวลาจะสร้างความสัมพันธ์ให้กับตัวละคร ก็ทำเป็น montage ซะเลย (ง่ายดี) ความจริงหนังมันจะไม่ได้เรื่องเลย ถ้าไม่ได้การออกแบบท่าเต้นได้สุดเจ๋งแบบนี้ ดูแล้วอยากเต้นได้บ้างจัง

BloodyMonday Rating:
2.25/4 (ให้ภาคแรกไว้ 2.5 ชอบทั้งสองภาคพอๆกัน แต่ใจจะไปอยู่กับ Channing Tatum และ Jenna Dewan ซะมากกว่า 55+)



Rocket Science (2007)

ถ้าใครชอบหนังเรื่อง Thumbsucker (2005) คงจะมีความรู้สึกไม่แตกต่างกับหนังเรื่องนี้ เป็นเรื่องของเด็กติดอ่างที่เข้าร่วมการโต้วาทีแห่งชาติ เพราะไปหลงรักกับสาวสวยหัวหน้าทีม หนังดำเนินตามรอยหนังจำพวก Coming-of-age เป๊ะๆๆ แต่ไหงพระเอก ที่ควรจะเรียนรู้จากความผิดพลาดแล้วโตขึ้นเมื่อหนังจบนั้น ไม่รู้สึกเสมือนจริงเอาซะเลยแหะ

BloodyMonday Rating:
2/4



Aqua Teen Hunger Force Colon Movie Film for Theaters (2007)

หนังสร้างจากซีรี่ยชื่อดัง(มั้ง)ของทางฝั่งอเมริกา เป็นการผจญภัยของเหล่าอาหารฟาสฟู้ด (เนื้อบด,เฟร้นฟราย และแก้วโค้ก) คิดว่าจะอุดมไปด้วยมุขฮากลิ้ง(แบบหยาบๆ)อย่างที่ผลพรรค South Park เคยทำได้มาแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าฮากริบ เหลือเพียงแต่ความหยาบคายให้ระคายหูเล่นๆ ข้อดีหนึ่งเดียวที่คิดออกคือ หนังยาวเพียงแค่แปดสิบนาทีนิดๆเองเท่านั้น

BloodyMonday Rating:
0.5/4



The Mist (2007)

ถามใครก็คงบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า คาแรคเตอร์ของมาเซีย เกย์ ฮาร์เดนน่าเจออะไรที่สะใจกว่านี้ (จริงไหม) โดยรวมแล้ว เป็นหนัง Horror ที่เดินตามแบบหนังแนวเดียวกันในสมัยก่อน บางคนอาจจะผิดหวังเมื่อคาดหวังว่าจะเป็นหนังสัตว์ประหลาดไป ตอนจบอาจจะทำให้คนหลายๆคนหัวเสีย (รวมทั้งผู้เขียน) แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่านี้เป็นหนังที่ดีเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

BloodyMonday Rating:
2.5/4



WarGames (1983)

ถ้าใครเคยดูเรื่อง Fail-Safe (1964) ของผกก. Sidney Lumet นี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องเดียวกันเลย เพียงแต่ว่าเปลี่ยนมาเป็นนักแสดงขวัญใจวัยรุ่น(ตอนนั้น)อย่าง Matthew Broderick และ Ally Sheedy เท่าน้นเอง ตัวหนังดูสนุก ตื่นเต้น พาลให้กลับไประลึกถึงกลิ่นอายยุค 80's เป็นอย่างดี

BloodyMonday Rating:
3/4



Run Fatboy Run (2007)

เรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า การขาด Edgar Wright และ Nick Forst ทำให้ Simon Pegg ขาดพลังไปอย่างน่าใจหาย ตัวหนังออกจะเป็นโรแมนติคมากกว่าตลกโปกฮา อย่างไรก็ตามบางฉากก็ยังทำให้จขบ.จะหัวเราะตกเก้าอี้ได้อยู่ อีกอย่าง การเลือกใช้เพลงเด็ดขาดมาก ควรมี OST ไว้ในครอบครองอย่างแรง

BloodyMonday Rating:
2.5/4



Night on Earth (1991)

แฟนๆหนังของผกก.จะไม่มีทางผิดหวังกับหนังเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวในคืนเดียวบนแท็คซี่ห้าคัน ที่อยู่ต่างสถานที่กันบนโลกใบนี้ จริงๆแล้วเนื้อหาแต่ละตอนนั้นไม่มีอะไรเลย แต่โดยรวมแล้วมีกลับมีเสน่ห์อย่างประหลาด ตอนที่เด่นที่สุดอยู่ในนิวยอร์ค ส่วนตอนที่แย่ที่สุดคือแท็คซี่ในโรม (กับการแสดงที่โอเวอร์สุดๆของ Roberto Benigni)

BloodyMonday Rating:
3/4




 

Create Date : 30 พฤษภาคม 2551
15 comments
Last Update : 1 มิถุนายน 2551 20:36:02 น.
Counter : 2278 Pageviews.

 

ขอบพระคุณงั๊บบบบบบบบ หนังเป็งตั๊บเลยชอบๆๆ อยู่ในกองหนังของฉานนนอีกหลายเรื่องงงงงง

เดี๊ยวเขียนแล้วเอาของหล่อนปายยปะ
ดีดี รีวิว ง่ายสั้นกระชับ เดี๊ยวฉานรีวิวเอาของเธอ เข้าบล๊อคเลย เพราะมานนิดเดียวอิอิ


Romance & Cigarettes (2005)

โอเค ผู้เขียนพอจะเห็นแล้วว่า ผกก.อย่าง John Turturro มีความเก็บกดมากแค่ไหนในชีวิต ด้วยบทภาพยนตร์ที่สุดโต่ง ทั้งในเรื่องไดอาล็อคเรื่องเพศสัมพันธ์แบบเห็นภาพชัดเจน (แล้วคิดดูว่ามันกระอักกระอ่วนแค่ไหน เมื่อใน commentary track เค้าได้เอาลูกชายวัย 18 ปี มานั่งบรรยายด้วย!) และฉากร้องเพลง (ใช่ มันเป็นหนังเพลง) ที่ไม่ได้น่าจดจำเลยสักนิด (อาจจะมีเพชรในตมอยู่ นั้นก็คือฉากของ Christopher Walken นั้นเอง) ยิ่งแย่ไปกว่านั้น ผกก.ยังตัดสินใจหยุดทำหนังมิวสิเคิลสุดระห่ำของเขา แล้วเปลี่ยนเป็นหนังฮอลมาร์คกลิ่นตุๆในช่วง 30 นาทีสุดท้าย ใครก็ได้ ช่วยคนดูให้พ้นจากความน่าเบื่อที

ตอบ เรากะจาดูเรื่องนี้โอเช ม่ายดูม่ายเปลือง อิอิ


27 Dresses (2008)

โอ้ เจ้าแม่หนัง Rom-Com ได้ถือกำเนิดขึ้นอีกคนแล้ว สิ่งที่สามารถพยุงให้หนังเรื่องนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง ก็คือการปรากฎตัวของ Katherine Heigl เพราะหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรใหม่เลยแม้แต่น้อย ฝ่ายชายทั้ง Edward Burns และ James Marsden ก็ไม่ได้ฝากผลงานอะไรที่น่าจดใจซะเท่าไร แต่ก็อีกแหละ บางทีคนดูอาจจะไม่ต้องการอะไรที่แปลกใหม่ กับหนังประเภทนี้ก็ได้

ตอบ มีเรื่องนี้อยู่ในมืออิอิ เดี๊ยวเขียนดีก่า

ง่า หนังกองเป็งตับเลย ดูทันไงหว่า



 

โดย: Bernadette 30 พฤษภาคม 2551 22:09:13 น.  

 

นั่งดูถ่ายทอดสดAStv.เหตุการที่สนามหลวงอยู่
เพิ่งกลับมาจากขอนแก่นค่ะ
อยู่ ตจว.สงบดีจัง
โขคดีที่ได้อยู่ไกล กทม.ระยะนี้
++++++++++++++++++++++++++
เราทันดูWarGamesนะ อิ อิ
และชอบIronMan..ค่ะ
+++++++++++++++++++++++++++

 

โดย: เริงฤดีนะ 31 พฤษภาคม 2551 0:00:44 น.  

 

โอ้ว นี่แค่ #1 นะเนียะ เยอะจัด อิจฉาตาฮ้อน แล้ว

 

โดย: haro_haro 31 พฤษภาคม 2551 11:45:25 น.  

 

I'm still around!!

btw, I think I might just post this mini review here

(if you don't mind, and of course you won't.. so, I'll go ahead.. ok)

[b]The Chronicles of Narnia: Prince Caspian[/b]

I failed to see this as a vast improvement over the first one (which I gave it C+). But it is still an improvement from The Lion, The Witch and The Wardrobe.

(I watched LWW right before I went to see Prince Caspian)

The action got better, the battle at the end was great though nothing impressive (2x better than the final battle sequence in the first one). The Pevensie children (I mean, all 4 actors who play the roles) are much better here than they were in the first one. All of them, really, especially, William Moseley. He wasn't as bad as what I've heard of. Ben Barnes was good. Unfortunately, because of his bland-written character, nothing impressive to talk about. Oh, except his hot-ness.

While I didn't like the first one because of its too kid-friendly tone (and everything). This one wasn't much better because of its clumsy script and loosen-focused directing. I believe the first one did a much better job for the script part. The cheesy dialogue is still here, and still unbearable as well. So, no matter how good the actor was (Peter Dinklage!!), or how hard my lovely Barnes had tried, the film falls apart. The crazy thing is, it feels quite long but at the same time, I feel like I didn't have enough time with the characters like Trumpkin (Dinklage's character), Reepicheep or Edmund (played by the most impressive actor of all Pevensie children, Skandar Keynes) or even Prince Caspian himself whom I feel like wasn't given enough time for me to care anything about him. I might be blinded by Barnes's hotness. But I refuse to believe this was partly Barnes's fault. It was the clumsy script that spent half of the time with stupid boring politic sub-plot than its character. The first half hour, when the action scene hadn't started to pop up yet, was so boring.

And that kiss scene, it's 'eww'. I 'eww' with that scene not because I couldn't stand watching Barnes kissing someone who's not me. But that scene was totally 'off', as if it comes out from no where. It's not because of that scene itself. But because of this romantic sub-plot had never been well-developed. So, when this scene arrived, I couldn't help but felt 'WTF'.

I should stop now. It almost sounds like I hate this film while I didn't really. Actually, that's all what I dislike about this movie. But I have to admit, if not for Barnes or had I not been so obsessed with battle-epic flick, Prince Caspian would surely rank not far from the first one in my book.

But well, while no great film here, there were still other many things for me to watch and prevent me from being dreadfully bored.

I'm not sure about you though.

[b]B[/b] (7/10)

 

โดย: จูริง 31 พฤษภาคม 2551 17:02:55 น.  

 

Bernadette
พอดีเคยเขียนลงไว้ตรงข้างๆหน่ะ แล้วพอเยอะขึ้นจนไม่มีที่จะลง ก็เลยเอามาเก็บไว้ตรงนี้ซะเลย หุหุ

เริงฤดีนะ
เดินทางกลับมาปลอดภัยนะครับ แต่ช่วงนี้กรุงเทพไม่น่าอยู่จริงๆแหละ เฮ้อ.....โห ทันดู WarGames ด้วยย ชอบ Ally Sheedy จังง (ความจริง ชอบทุกคนจาก Brats Pack เลยนะ เหอๆๆ)

ฮาโร่
จะบอกว่า มันจะ #1 ไปอีกนานเลยน่ะ แหะๆๆ

จูริง
How do ya know I won't mind? haha...

Anyway, good to know you're back! (kind of...)

And thanks for such an impressive & fun review (so, u wanna kiss that "Barnes" guy, right? 55+). Actually, I haven't seen it yet, but a lot of my friends said that its quality just barely adequate. And just like u, they said that all the actions were much improved, but (so-called) "magic" was totally gone. So...what's magic anyway? Maybe my friends just wanna sound cool (55+). And maybe I have to check it out by myself once and for all.

ps. I will also post this in ur blog, in case you happened to miss it 55+

 

โดย: BloodyMonday 31 พฤษภาคม 2551 18:53:41 น.  

 

Well, IMHO, 'Prince Caspian' played out very much as an epic rather than a fantasy like the first one. I really have no idea where this 'the magic is gone' comment comes from. Maybe they meant; the wondrous, which is, as I mentioned, not such a surprise. 'Prince Caspian' is not a fantasy adventure, a story about discovery a new land. It's an epic/war/fantasy (imagine LOTR with Christian theme all over it).

And, IMO, the second book (Prince Caspian) was weak. At least not as strong as the 'The Lion, The Witch and The Wardrobe'. And how the film-makers have adapted the 'Prince Caspian' book to the 'Prince Caspian' movie is surprisingly impressive in some parts. Like, what should be left out from the book or what should be added on into the film. What they have failed is how to control the pacing. How to develop some of its sub-plots to be really effective or at least, engaging.

So far, this series has been not as good as it could have been. But it certainly could have gone much worse.

 

โดย: จูริง IP: 41.233.103.190 1 มิถุนายน 2551 4:37:18 น.  

 

^
^
Let me remind u, I have yet to see this film, so this comment is purely based on my opinion haha...

Well, I can see ur point about "the magic", and I think I have to agree with u on this one. Maybe "the magic is gone" also means that the film is not so wondrous in a second time around. It's like when I saw first three Star Wars and I thought "This is such a groundbreaking!" And then Lucas decided to make another three sequels which I think it's completely unnecessary. I mean it's the same characters and environment that we used to see but, as I said, the magic was gone.

So that's bring to the conclusion about my friend comment and urs. You said that it's bare a resemblance to LOTR's epic proportion. Maybe my friend linked his vision between those two franchise and thinking that he has seen it all before. Why bother to see them again?


Lastly, in my not-so humble opinion (haha..), I think this franchise will not go very far (I heard that Disney will only goes for 3 films). By the way, have u read those Narnia books? For me, I gave up around 3/4 of the first book (haha...). It's just not my cap of tea. If I have to read fantasy novels, I will always choose Douglas Adams's awesome books every time.

 

โดย: BloodyMonday 1 มิถุนายน 2551 11:00:15 น.  

 

งะชอบชอบ จาได้มาเปิดูทีเดียว เวลาฉานเขียนเรื่องอารายอิอิ เอาไปปะง่ายดีอิอิ

 

โดย: Bernadette 1 มิถุนายน 2551 16:14:23 น.  

 

ถ้าเขาประกาศสภานการ์ณฉุกเฉิน
พื้ที่ทำงานเราอยู่ในเขตพื้นที่นั้นพอดีค่ะ
++++++++++++++++++++++
เช้ามาอ่านวิจาร์ณหนังเล่นเพลินๆดีกว่า
แต่เสียดายจังไม่มีเวลาไปไหนเลย
หมายถึงเข้าโรงหนัง+เดินเล่น
+++++++++++++++++++++++

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

 

โดย: เริงฤดีนะ 1 มิถุนายน 2551 18:34:30 น.  

 

เยอะมากเลยครับ แบบว่า จากทุกเรื่องที่ จขบ. บอกมา ผมได้ดูไปแค่ 3 เรื่องเองครับ คือ Horton Hears a Who!, Atonement และ Feast of Love นอกนั้น ดับสนิท ไม่มีโอกาส

สำหรับ 3 เรื่อง ที่ผมได้ดู ผมชอบ 2 เรื่องแรกที่สุดครับ ส่วน Feast of Love เฉยมาก ถึงมากที่สุดจริงๆ เพราะผมไม่มีอารมณ์ร่วมกับความรักแบบมะกัน ที่มาเร็วไปเร็วแบบนั้นเลยจริงๆ

 

โดย: เข็มขัดสั้น 1 มิถุนายน 2551 20:36:33 น.  

 

ว่ากันเป็นตับเลยนะ..
เยอะเจงๆ
แต่เราชอบนะ เป็นภาษาไทยด้วย..ดีเลยแหละ

++ เรื่อง Tape เนี่ย เรามีในครอบครองเป็นวีซีดี(พากย์ไทยด้วยย) ไปรื้อมาได้จากกระบะลดราคา แต่ก็ยังดองไว้เหมือนเดิม 55

++ Hearts of Darkness: A Filmmaker's Apocalypse (1991) อ่ะน่าดู แต่ตัวหนัง Apocalypse Now (1979) นั้นเรายังไม่เคยได้ดูจนจบซักที ในเคเบิลก็เคยดูแว๊บๆ ยืมเพื่อนมาก็ดูไม่จบ ดองไว้จนเค๊ามาเอาแผ่นคืนไปแล้ววว 555

 

โดย: renton_renton 2 มิถุนายน 2551 17:19:28 น.  

 

แบร์
จะเอาไปแปะเหรอ มันสั้นจุ๊ดจู๋เลยน่ะ อิอิ

เริงฤดีนะ
พรุ่งนี้ก็ออกทริปอีกแล้วสินะครับ เดินทางปลอดภัยเด้อ

เข็มขัดสั้น
Feast of Love ไม่เวิร์คอย่างแรงครับผม คือมันก็จริงอย่างที่คูณเข็มขัดสั้นบอกจริงๆ ความรักในเรื่องนี้มันช่างเหมือนกับเปิดปิดสวิทส์ไฟจริงๆเลย

เรนตั้น
น้าาน ว่าเราหนาว่าดองหนัง แต่ดองเอง หุหุ Tape ยังไงก็ต้องลองดูน่ะ ไปๆมาๆ เรามีหนังของผกก. Richard Linklater เยอะเหมือนกันแล้วนะเนี่ย

 

โดย: BloodyMonday 2 มิถุนายน 2551 19:15:18 น.  

 

Venus (2006)

หนังรักในมุมมองของผู้สูงอายุ(มากๆ)ของ Maurice (Peter O'Toole) นักแสดงรุ่นลายครามที่ตกหลุมรักสาวรุ่นหลานวัยยี่สิบต้นๆอย่าง Jessie (หน้าใหม่แต่ฝีมือเจ๋ง Jodie Whittaker) ไม่แปลกใจว่าทำไมปีเตอร์ถึงได้เข้าชิงออสการ์ และบทภาพยนตร์ที่เข้าใจถึงสภาพจิตใจของตัวละครในเรื่องเป็นอย่างดี ทำให้เรื่องนี้น่าจะอยู่ในใจของผู้ชมบางกลุ่มไม่มากก็น้อย

BloodyMonday Rating:
3/4



The Sugarland Express (1974)

หนังโรงอย่างเป็นทางการเรื่องแรกของ Steven Spielberg สร้างจากเรื่องจริงของหนุ่มสาวสองคน (นำแสดงโดย Goldie Hawn และ William Atherton) ที่ถูกไล่ล่าไปทั่วทั้งรัฐเท็กซัส ทั้งเทคนิคการถ่ายทำที่สร้างสรรค์(ในยุคนั้น) รวมถึงมุมมองวิจารณ์สังคมอย่างแสบๆคันๆของผกก. จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเค้าถึงได้มีชื่อเสียงจนมาถึงทุกวันนี้

BloodyMonday Rating:
3/4



Sleuth (2007)

รีเมคจากหนังต้นฉบับปี 1972 โดย Jude Law รับบทที่ Michael Caine เคยเล่นเอาไว้ (แล้วตัวไมเคิลเองก็ขยับมาเล่นอีกตัวละครหนึ่ง) ระหว่างนั่งดู ให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังดูละครเวทีอยู่จริงๆ หนังได้รับประโยขน์จากความสามารถของนักแสดงทั้งสองอย่างมาก และด้วยมุมกล้องที่แปลกตา และการจัดเรียงร้อยบทพูดที่น่าศึกษา นักศึกษาเกี่ยวกับภาพยนตร์ควรดูเอาไว้ แต่ถ้าจะให้นับเป็นหนังที่ดูสนุก ก็คงขอตอบว่าไม่

อันนี้อยากดู อ่า

BloodyMonday & Friend No. 12


แบร์
จะเอาไปแปะเหรอ มันสั้นจุ๊ดจู๋เลยน่ะ อิอิ

งตอบกะเอาไปขึ้นบล๊อคเล๊ยยยย ไม่กินซีนกานด้วยอิอิ

 

โดย: Bernadette 2 มิถุนายน 2551 20:59:03 น.  

 

Hearts of Darkness: A Filmmaker's Apocalypse (1991)

สารคดีเรื่องดังที่พูดถึงหายนะในการสร้าง Apocalypse Now (1979) ของ Francis Ford Coppola ตัวสารคดีเก็บรายละเอียดปลีกย่อย รวมถึงสาระหลักๆได้อย่างดีเยี่ยม แต่ก็มาประสบชะตากรรมเดียวกับที่ตัวหนังถูกวิพากษ์วิจารณ์คือ impact ในช่วงสุดท้าย ที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกับ 3/4 แรกของสารคดีได้เลย (แถมน่าเสียดายว่า Marlon Brando ก็ยังเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมให้สัมภาษณ์อีกด้วย)

ตอบ อโพคาลิฟ เป็นอารายที่ขายได้จริงๆๆๆอ่า เรื่องหนายกะชั่ง จั่วหัวมาเป็น อโพคาลิฟ ขายดิบขายดีเจงเจง

 

โดย: Bernadette 2 มิถุนายน 2551 21:01:59 น.  

 

Good Night, and Good Luck. (2005) นี่ผมชอบที่สุดเลยครับสะท้อนการเมืองของมะกันในทศวรรษที่ห้าสิบได้ดี เรื่องการเมืองไทยนี่ไม่ต้องซีเรียสครับเพราะผมไม่แยแสกับมันเลย ฮะฮะ จริงอย่างคุณว่าสุดท้ายเรื่องคนที่เรารักต้องสำคัญกว่าอยู่แล้ว

 

โดย: Johann sebastian Bach 3 มิถุนายน 2551 14:46:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


BloodyMonday
Location :
Imaginationland, Valley of Bliss China

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






-= M & M in Nutshell =-


Gentlemen Broncos (2009)


You could have brain tumor by watching this contaminated turd. Nothing in Gentlemen Broncos pays off, it’s incoherent mess, and chock-full of incredibly annoying characters. You will not only loath this movie, but it also makes you want to punch someone who responsible for this abomination in the face.

BloodyMonday Rating:



Fantastic Mr. Fox (2009)


Imagine if Akira got Live-Action treatment by... say Alfonso Cuarón, you know how awesome it might be? That’s what happened to "Fantastic Mr. Fox". Wes Anderson's auteur perfectly captured the quirkiness and blissful tone of the material. Its stop-motion technique might be a little crude and... somewhat unsophisticated, but that's the charm of it. You’ll feel like pop-up book unveiled before your eyes. This is an exceptional animation of the year.

BloodyMonday Rating:



Planet 51 (2009)


ถ้าถามว่าสนุกไหม? ก็โอเค ทุกอย่างถอดแบบมาจาก Shrek มุขที่อ้างอิงวัฒนธรรมป็อป ตัวละครสมทบที่น่าสนใจกว่าตัวเอก กราฟฟิคที่สอบผ่านฉลุย (ถ้าไม่ไปวัดกับพิกซาร์) แต่ถ้าถามว่าต้องดูไหม? ..... เอาเป็นว่าเวลาชั่วโมงครึ่ง ทำอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้ได้เยอะแยะ

BloodyMonday Rating:



It's Complicated (2009)


รู้สึกสนุกกับการได้เห็นป้าเมอรีล เข้าโหมดแอ๊บเด็ก (อีกแล้ว) ในขณะเดียวกัน อเล็กซ์ บอลด์วิน และ จอห์น ครากินสกี้ ก็ขโมยซีนได้ตลอด แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนังยาว 2 ชั่วโมงมีเรื่องให้เล่าแค่ 15 นาที... It's Complicated อาจเหมือนคนกินไวอากร้าแล้วเข้านอน คึกตลอดคืนแต่มันจะมีประโยชน์อะไร?

BloodyMonday Rating:



Up in the Air (2009)


Up in the Air is a blockbuster movie for people who think blockbuster movies are dumb, as it chock full of brilliantly written dialogue, and acting showcase for three talented actors (especially star-making turn by Anna Kendrick). But in the end, there's little to love, not so much story to chew on (plus disappointing third act), and no real connection to the meaning of human interaction as it intended to be.

BloodyMonday Rating:



I Love You, Beth Cooper (2009)


Cliché-ridden plot about a bunch of annoying characters get together in one idiotic circumstance, "I Love You, Beth Cooper" is shameless exploitation & biggest insult to 80s teen flicks. It's like memorizing magic trick from internet, hoping to perform like David Copperfield. Neither sense of wonder nor magic flare happens here. Only good thing is, it makes me wanna cleanse my soul with genuine 80s teen movie night marathon.

BloodyMonday Rating:



Everybody's Fine (2009)


Meh. The movie serious lack of originality & characters development. Only Robert De Niro comes out fine in this schmaltzy, "Lifetime" movie-of-the-week plot.

BloodyMonday Rating:



Paper Heart (2009)


Twee delight... That's only two words I can think of right now.

BloodyMonday Rating:



Adam (2009)


A perfect companion to Mary & Max (one of the best animation of 2009), Adam is star-crossed love story (pun intended) between Adam, Asperger's Syndrome bearer, and Beth, free spirit woman. The picture wouldn’t be this intimate without stunning performance by Hugh Dancy. On the other hand, the lack of depth on why Beth would love someone like Adam, preventing me from wholeheartedly embraces her choice in the end (which is nice & perfect but requires a leap of faith). Otherwise, this is touching romantic film, which putting its feet firmly on the ground, making the world full of hope and seems nicer place to live.

BloodyMonday Rating:



The Invention of Lying (2009)


Expected to be like “Click” or “Yes Man”, where high-concept plot turned into endless gags, with moral lesson (forcefully) shoving down your throat. But "The Invention of Lying" is thinking man’s film. The whole concept is not seeing how first lying man exploits the ability. But it's about him finding the way not to lie, in order to find genuine happiness. Great stuff.

BloodyMonday Rating:



Give ‘Em Hell Malone (2009)


This is one damn frustrating experience. It’s like watching an infant trying to stand up and walk. They would take a few steps then fall their asses. In fact, kiddie film like “Bugsy Malone” has done better job paying a tribute to film noir than this borefest.

BloodyMonday Rating:



Zombieland (2009)


ถ้าอังกฤษมีหนังซอมบี้ฮาแตกอย่าง Shaun of the Dead แล้ว ทำไมอเมริกาจะมีบ้างไม่ได้... Zombieland คือการผสมผสานระหว่างบรรดาหนังซอมบี้เก่าๆ เข้ากับทัศนคติของคนสร้างที่อาจดูหนังแนวนี้มากเกินความจำเป็น จนสามารถสร้างหนังซอมบี้ที่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองเป็น และเล่นสนุกไปกับกฏพื้นฐานของซอมบี้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกความดีให้สี่นักแสดงนำ โดยเฉพาะ วู้ดดี้ ฮาเรลสัน (เขาเกิดมาเพื่อบทนี้) ที่ช่วยกันสร้างมนต์เสน่ห์ ให้กับการเดินทางในโลกไร้มนุษย์ได้อย่างเต็มที่

ถึงแม้พลังงานที่ขับเคลื่อนจะมาหมดเอาดื้อๆในองค์สุดท้าย เมื่อฉากใหญ่ในสวนสนุกถูกทำขึ้นเพื่อแสดงฉากการฆ่าซอมบี้เด็ดๆ (ซึ่งไม่ใช่จุดเด่นสำหรับเรื่องนี้เลย) แต่โดยรวมแล้วมันก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัว ที่บรรดาแฟนซอมบี้จะมาพลาดหนังเรื่องนี้... อ้อ แล้วหนังยังมีดารารับเชิญสุดเซอร์ไพรซ์ ที่สร้างเสียงฮาที่สุดในเรื่องได้จากประโยคสุดท้ายอีกด้วย

BloodyMonday Rating:



Frequently Asked Questions About Time Travel (2009)


เมื่อเพื่อนสามคนก๊งเบียร์กันในผับแล้วเจอสาวฮ็อต (แอนนา ฟาริส) ที่อ้างว่ามาจากอนาคตจนเกิดรอยแยกของเวลา ทำให้ทั้งสามต้องท่องไปทั้งโลกในอนาคตและอดีตจนวุ่นวาย...

หนังมีไอเดียกิ๊บเก๋ ทำออกมาได้สนุกสนานสไตล์ซิตคอมอังกฤษ โดยเฉพาะการนำกฏเหล็กต่างๆจากหนังที่เกี่ยวกับการท่องเวลา (ดูเหมือนว่า Back to the Future จะเป็นแรงบรรดาลใจหลัก) มาปู้ยี้ปู้ยำอย่างเมามัน ถึงแม้ว่าตลอดเวลาการรับชมจะให้ความรู้สึก เหมือนตัวเองกำลังดูซีรี่ย์ทางโทรทัศน์ แต่มันก็คือตอนที่ฮาที่สุดของซีซั่น แถมเอฟเฟ็คที่ใช้ก็มีคุณภาพจนคาดไม่ถึง

BloodyMonday Rating:



Looking for Eric (2009)


มีความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มองโลกในแง่ดีเกินบรรยากาศโดยรวม จริงอยู่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงเอยด้วยดีในตอนสุดท้ายนั้น สามารถสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับคนดู แต่จากสถานการณ์ในเรื่องและบริบทที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันยากที่จะทำใจเชื่อในสิ่งที่เห็น โดยเฉพาะพล็อตรองเกี่ยวกับปืน ซึ่งถ้าถูกตัดออกไปและหนังยังดำเนินเรื่องอย่างที่เป็นอยู่ Looking for Eric ก็น่าจะเป็นหนังฟีลกู้ดที่อบอุ่นที่สุดเรื่องหนึ่งของปีเลยทีเดียว

BloodyMonday Rating:


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2551
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
30 พฤษภาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add BloodyMonday's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.