Time Capsule Review: Can't Buy Me Love (1987)



ลุงโรเจอร์ อีเบิร์ต ได้เขียนเอาไว้ในย่อหน้าแรกของบทวิจารณ์ระดับครึ่งดาว ที่มอบให้แก่หนังเรื่องนี้เอาไว้ว่า "Can't Buy Me Love ทำให้เด็กวัยรุ่นอเมริกัน เหมือนกับกลุ่มคนที่โง่เขลาและบ้าวัตถุนิยม ซึ่งมันก็อาจจะไม่เป็นไร ถ้าผู้สร้างรู้ตัวเองดีว่ากำลังทำอะไรอยู่...ไม่เลย เพราะท้ายที่สุดแล้ว หนังเรื่องนี้ได้ถูกนำเสนออย่างไร้ความรับผิดชอบและย่ำแย่จนสุดแก่น"


สำหรับตัวผู้เขียนแล้ว ต้องยอมรับว่าที่ลุงเค้าพูดมาก็มีส่วนถูก เพราะถ้าเกิดเป็นเรา ที่ต้องเข้าไปนั่งดูอยู่ในโรงภาพยนตร์ในปีค.ศ. 1987 ก็คงจะมีความรู้สึกไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก แต่เมื่อเวลาได้ผ่านไปกว่า 21 ปี อารมณ์ขุ่นเคืองหรือคับข้องใจในเนื้อหา หรือการนำเสนอที่ไร้ความรับผิดชอบของหนัง กลับถูกลบเลือนด้วยความรู้สึกที่โหยหา (Nostalgic) และคุณค่าในความรู้สึกผูกพันกับผู้ชม (sentimental value) ที่มีอยู่อย่างเปี่ยมล้น


ถ้าเทียบกับหนังที่อยู่ในประเภทเดียวกันแล้ว Can't Buy Me Love อาจจะเป็นผลงานที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าหนังอย่าง The Breakfast Club, Sixteen Candles หรือ Pretty in Pink (ที่ถูกสร้างสรรค์โดยปรมมาจารย์หนังวัยรุ่นในทศวรรษที่ 80 อย่างจอห์น ฮิวจ์) หรือถ้าจะวัดกันที่เพลงประกอบภาพยนตร์อย่างเดียวแล้ว หนังเรื่องนี้ก็อาจจะไม่ได้มีเพลงดังๆเท่ากับหนังอย่างเรื่อง Footloose, St. Elmo’s fire หรือ Mannequin แต่ด้วยภาพรวมถึงส่วนประกอบทั้งหมดที่มีอยู่ในหนังแล้ว Can’t Buy Me Love ก็มีสิทธิที่จะเป็นหน้าเป็นตา ให้กับหนังวัยรุ่นในยุคนั้นได้อยู่เหมือนกัน


หนังเริ่มด้วยโดนัลท์ (แพททริค เดมฟ์ซี่ย์) นักเรียนเนิร์ดๆคนหนึ่ง ที่แอบหลงรักซินดี้ ดาวเชียร์ลีดเดอร์ประจำโรงเรียนมาตั้งแต่เขาจำความได้ จนในที่สุดเขาก็ได้ตัดสินใจเอาเงินจำนวนหนึ่งพันดอลลาร์ ที่เขาสะสมมาจากการรับจ้างตัดหญ้ามาเป็นแรมปี มาเป็นค่าจ้างให้กับซินดี้ เพื่อเธอจะได้ยอมแกล้งเป็นแฟนของเขาในระยะเวลาเวลาหนึ่งเดือน แต่เมื่อนายโดนัลท์ได้เขาไปอยู่ในสังคมของพวกนักกีฬาแล้ว เขาก็เกิดติดใจ และเริ่มที่จะไม่สนใจเพื่อนเก่าของเขา จนในสุดท้ายก็สูญเสียจุดมุ่งหมายหลักที่ต้องการ นั้นก็คือแสดงให้ซินดี้เห็นอะไรในตัวเขาบ้าง


ในขณะที่ซินดี้ที่ไม่เคยสนใจที่จะทำความรู้จักโดนัลท์มาก่อน เธอก็เริ่มจะมีความรู้สึกที่ดีๆกับเขาขึ้นมา แต่เมื่อเวลาหนึ่งเดือนที่เขาทั้งสองได้สัญญากันเอาไว้หมดลง โดนัลท์ก็เลิกที่จะสนใจซินดี้และแปรเปลี่ยนกลายเป็นคนละคน ซึ่งมันก็ทำให้เธอกลายเป็นคนที่ถูกทอดทิ้ง และต้องเก็บความเสียใจไว้อยู่กับตัวคนเดียว จนในที่สุดเธอก็ไม่สามารถเก็บความเจ็บช้ำได้อีกต่อไป จึงตัดสินใจบอกให้ทุกคนรู้ว่า โดนัลท์นั้นจ้างเธอเพื่อจะได้ทำให้ตัวเองเป็นที่นิยมในสังคมไฮสกูล เพราะอย่างนี้เอง เขาจึงกลับกลายเป็นคนที่คนทั้งโรงเรียนรังเกียจ แน่นอนว่าโดนัลท์ต้องรู้สึกเสียอกเสียใจเป็นการใหญ่ และในที่สุดก็สำนึกได้ว่า สิ่งที่ตัวเองทำนั้นเป็นสิ่งที่ผิด เขาได้ขอโทษซินดี้สำหรับเรื่องทุกอย่าง ซึ่งมันก็นำมาถึงฉากสุดท้าย ที่ทั้งสองนั่งอยู่บนรถตัดหญ้าของเขา และมุ่งหน้าไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังตกอย่างมีความสุข...(ขอบอกว่า เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นตามตัวอักษรทุกอย่าง)





ดังที่เห็นได้จากเนื้อเรื่องย่อข้างบนแล้ว สิ่งที่ทำให้ลุงอิเบิร์ตรู้สึกรบกวนจิตใจที่สุด นั้นค่อนข้างที่จะเด่นชัดอยู่ทีเดียว นั้นก็คือการหยิบเอามุมมองของคน ที่อยู่ภายใต้มนต์ดำของพวกวัตถุนิยม มาปู้ยี้ปู้ยำโดยที่ไม่ได้เอาใจใส่กับมันอย่างเท่าที่ควร และยิ่งร้ายไปกว่านั้น ก็คือการหยิบปัญหาของลัทธิวัตถุนิยมนี้แหละ มาใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการเล่าเรื่องเพียงเท่านั้น ดังที่ได้เห็นจากเวลาอันน้อยนิดที่มอบให้คนดู าำหรับการนั่งคิดทบทวนกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในหนัง ซึ่งมันก็ี่หมดไปกับการสร้างสถานการณ์ให้ตัวเอก เพื่อจะได้มีโอกาสชนะใจนางเอกกลับมาอีกครั้ง เราอาจจะพอสรุปได้ว่า Can’t But Me Love คือ Risky Business ในเวอร์ชั่นที่ปราศจากความเข้าใจและการศึกษารายละเอียด ในประเด็นที่หนังกำลังนำเสนอเลยก็ว่าได้


และดูเหมือนว่าเทรนด์ในเรื่องรักเขา (หรือเธอ) ข้างเดียวนั้น จะเป็นสิ่งที่ขายดิบขายดีในยุคนั้น ใน Sixteen Candles ตัวละครของมอลลี่ ริงวาล์ว ใช้เวลาทั้งเรื่องในการบอกรักรุ่นพี่ในโรงเรียน หรืออย่าง Pretty in Pink เจ้าดั๊กกี้ (กับการแสดงที่น่าประทับใจอย่างยิ่งของ จอห์น ครายเออร์) ที่แอบรักแอนนี่ (มอลลี่ ริงวาล์ว) จนตัวเองหัวใจสลาย เมื่อเธอดันไปแอบหลงรักกับหนุ่มหล่อพ่อรวยอย่างนายเบลน (แอนดรูว์ แม็คคาร์ทนี่ย์) ซะอีก Can't Buy Me Love เองก็ไม่ต่างกัน ประกอบกับความเชี่ยวชาญในการสร้างสถานการณ์ ที่ทำให้เราตัดสินใจเอาใจช่วยคนทั้งสอง โดยที่ถึงแม้ว่าจะมีหลายเรื่องที่พวกเขาได้กระทำนั้น จะเป็นเรื่องที่ผิด หรือแม้กระทั่งว่าตัวพระเอกจะทำตัวได้น่าหมั่นไส้มากแค่ไหนก็ตาม มันอาจจะเป็นความสุขในแบบที่ผิดๆ (Guilty Pleasure) ที่เราก็อดจะเอาใจช่วยเสียไม่ได้


ทุกคนก็คงทราบกันดีแล้วว่า นี้คือผลงานแจ้งเกิดของคุณหมอแม็คดรีมมี่ย์แห่ง Grey’s Anatomy อย่าง แพททริค เดมฟ์ซี่ย์ (หลังจากที่หายตัวไปจากสารระบบฮอลลิวู้ด ในช่วงยุคทศวรรษที่ 90) ซึ่งมันก็สมควรแล้วที่เขาจะได้รับคำชมเชยอย่างท่วมท้น เพราะทั้งความสดใสน่ารักในเรื่องรูปลักษณ์ และการแสดงที่เปี่ยมไปด้วยความกระตือรือล้น ก็ทำให้ผู้เขียนนึกถึงหนุ่มน้อยอนาคตไกลในตอนนี้อย่าง แซ็ค เอฟรอน (High School Musical) แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น ก็คือการได้นักแสดงนำหญิง ที่อาจจะเรียกได้ว่ามีความโดดเด่นมากกว่าคุณหมอแม็คดรีมมี่ย์ซะอีก อย่าง อาแมนด้า แพ็ตเตอร์สัน (ซึ่งก็น่าเสียดายว่า เธอได้ตัดสินใจเลิกราจากวงการ และใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดาเสียแล้ว) โดยเฉพาะในฉากที่เธอต้องบอกความจริงให้กับทุกคนได้รู้นั้น ถือว่าเป็นไฮไลท์ในอาชีพนักแสดงของเธอเลยก็ว่าได้


สิ่งที่สำคัญอีกสิ่ง ในการทำใจให้สนุกไปกับหนังเรื่องนี้ได้จนถึงขีดสุด นั้นก็คือเพลงประกอบภาพยนตร์ ที่ทำให้เรามีความรู้สึกโหยหาถึงยุคสมัยนั้นได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งปัจจุบันนี้ ก็มีหนังอย่าง The Wedding Singer ที่ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดี ในการนำเพลงจากทศวรรษที่ 80 มาใช้อิงประกอบตัวหนัง หรือหนังโรแมคติด คอมเมดี้ย้อนยุคอย่าง 13 Going on 30 ก็ได้นำเพลงยุค 80’s มาเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการดำเนินเรื่อง Can't Buy Me Love เองนั้น ก็มีเพลงที่ดังไม่แพ้เรื่องอื่นๆอยู่เหมือนกัน อย่าง Dancin’ With Myself ของบิลลี่ ไอด้อล (ฮีโร่ที่ช่วยพระเอกบนเครื่องบิน จากเรื่อง The Wedding Singer นั้นเอง) หรือ All Night Long ของ แรนดี้ ฮอล (ที่ถูกใช้เป็นไฮไลท์ในงานเต้นรำของโรงเรียนในเรื่อง)


ผู้เขียนก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมหนังวัยรุ่นในทศวรษที่ 80 ถึงติดอยู่ในความทรงจำได้ดีกว่ายุคอื่นๆ สำหรับผู้เขียนแล้ว หนังเหล่านี้มีความบริสุทธ์ (แบบแปลกๆ) ที่ทำให้เรายิ้มไปกับมันขณะที่กำลังนึกถึงอยู่เสมอ ในขณะที่หนังวัยรุ่นในยุคหลังๆ อย่าง Drive Me Crazy, Save the Last Dance, Bring It On หรือ It’s a Boy Girl Thing ถึงได้คอยที่จะเลือนหายไปจากความทรงจำของเรา บางทีเราคงต้องให้เวลามันอีกสักนิด บางทีอีกสิบปีข้างหน้า ก็อาจจะทำให้ผู้เขียนได้เขียนถึงบ้าง เหมือนกับที่กำลังใช้เวลาเขียนถึงเรื่องนี้อยู่ก็เป็นได้

BloodyMonday Rating:




 

Create Date : 15 มิถุนายน 2551
4 comments
Last Update : 15 มิถุนายน 2551 19:58:42 น.
Counter : 3010 Pageviews.

 

เจิมๆๆๆ
หนังดูน่ารักจัง
เราพลาดไปได้ไงไม่รู้นะ..ตอนมันเช้าโรง

ตอบวรรคสุดท้าย..มันอาจไม่ได้ร่วมสมัย..เราเลยไม่ in กับหนังมังคะ..
คิดเอาเองจากความรู้สึกตัวเอง
เพราะเราก็รู้สึกเหมือนกัน อิ อิ..
แวะมาลาไปชั่วระยะเวลาสั้นๆค่ะ

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

 

โดย: เริงฤดีนะ 15 มิถุนายน 2551 23:41:15 น.  

 

^
^
ตอนมันเข้าโรง เรายังต้องมีผู้ปกครองพาไปโรงหนังอยู่เลย เรื่องนี้ก็คงไม่ใช่หนังที่เขาพาไปดูแน่ๆ แฮ่ะๆๆ (แต่จำได้ว่า ไปดูกลั่นแค้นหมักโหด ของลุงซีกัล ตั้งสองรอบแหนะ ป๊า่เราคิดอะไรอยู่เนี่ยย 555+)

 

โดย: BloodyMonday 16 มิถุนายน 2551 22:50:04 น.  

 

หนังเรื่องนี้เข้าฉายตอนผมอายุ 6 ขวบ...เกิดทันแต่ดูไม่ทันจริงๆ

อันที่จริงค่อนข้างชอบพระเอกเรื่องนี้ครับ
แต่เคยอ่านประวัติเค้าว่าเมื่อก่อนแสดงแต่หนังแย่ๆ เลยดับวูบจนมาคืนชีพกับหนังเรื่อง เอนเชนเทด

ปล เรื่องย่อของคุณนี่ ไม่ย่อแล้วครับ 555+
อ่านจบเหมือนเห็นเครดิตผู้สร้างลอยมาเลย

ปล 2 หนังวัยรุ่นยุคใหม่ก็ผ่านมาแล้วผ่านไปอย่างที่คุณว่าจริง
หาที่อยากจะดูซ้ำรอบ 2 นี่นับเรื่องได้เลย
(ในรายนามที่คุณยกมามี Bring It On เรื่องเดียว...อยากดูนางเอกสมัยยังสาวๆ 555+)
(แต่ดูอีกรอบเดียวพอนะ)

 

โดย: ขอรบกวนทั้งชุดนอน 17 มิถุนายน 2551 17:33:39 น.  

 

^
^
ผมก็ไม่ทันครับ 555+

นายแพตทริคนี้ อาชีพเค้ากลับคืนชีพได้ ส่วนหนึ่งก็มาจากบทหมอหนุ่มสุดเท่ ใน Grey's Anatomy ด้วยนะครับ ผมเองก็ชอบดูน่ะู (แต่เพิ่งดูถึงปี 2 เอง)

หนังวัยรุ่นยุคล่าๆที่ผ่านมานี้ ถ้าผมเลือกว่าเรื่องไหนสามารถดูซ้ำได้น่ะ ก็น่าจะประมาณ 10 Things I Hate About you, Clueless, Can't Hardly Wait, Mean Girls ครับ นึกไม่ออกแล้วครับ แฮ่ะๆๆ

 

โดย: BloodyMonday 17 มิถุนายน 2551 20:05:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


BloodyMonday
Location :
Imaginationland, Valley of Bliss China

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






-= M & M in Nutshell =-


Gentlemen Broncos (2009)


You could have brain tumor by watching this contaminated turd. Nothing in Gentlemen Broncos pays off, it’s incoherent mess, and chock-full of incredibly annoying characters. You will not only loath this movie, but it also makes you want to punch someone who responsible for this abomination in the face.

BloodyMonday Rating:



Fantastic Mr. Fox (2009)


Imagine if Akira got Live-Action treatment by... say Alfonso Cuarón, you know how awesome it might be? That’s what happened to "Fantastic Mr. Fox". Wes Anderson's auteur perfectly captured the quirkiness and blissful tone of the material. Its stop-motion technique might be a little crude and... somewhat unsophisticated, but that's the charm of it. You’ll feel like pop-up book unveiled before your eyes. This is an exceptional animation of the year.

BloodyMonday Rating:



Planet 51 (2009)


ถ้าถามว่าสนุกไหม? ก็โอเค ทุกอย่างถอดแบบมาจาก Shrek มุขที่อ้างอิงวัฒนธรรมป็อป ตัวละครสมทบที่น่าสนใจกว่าตัวเอก กราฟฟิคที่สอบผ่านฉลุย (ถ้าไม่ไปวัดกับพิกซาร์) แต่ถ้าถามว่าต้องดูไหม? ..... เอาเป็นว่าเวลาชั่วโมงครึ่ง ทำอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้ได้เยอะแยะ

BloodyMonday Rating:



It's Complicated (2009)


รู้สึกสนุกกับการได้เห็นป้าเมอรีล เข้าโหมดแอ๊บเด็ก (อีกแล้ว) ในขณะเดียวกัน อเล็กซ์ บอลด์วิน และ จอห์น ครากินสกี้ ก็ขโมยซีนได้ตลอด แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนังยาว 2 ชั่วโมงมีเรื่องให้เล่าแค่ 15 นาที... It's Complicated อาจเหมือนคนกินไวอากร้าแล้วเข้านอน คึกตลอดคืนแต่มันจะมีประโยชน์อะไร?

BloodyMonday Rating:



Up in the Air (2009)


Up in the Air is a blockbuster movie for people who think blockbuster movies are dumb, as it chock full of brilliantly written dialogue, and acting showcase for three talented actors (especially star-making turn by Anna Kendrick). But in the end, there's little to love, not so much story to chew on (plus disappointing third act), and no real connection to the meaning of human interaction as it intended to be.

BloodyMonday Rating:



I Love You, Beth Cooper (2009)


Cliché-ridden plot about a bunch of annoying characters get together in one idiotic circumstance, "I Love You, Beth Cooper" is shameless exploitation & biggest insult to 80s teen flicks. It's like memorizing magic trick from internet, hoping to perform like David Copperfield. Neither sense of wonder nor magic flare happens here. Only good thing is, it makes me wanna cleanse my soul with genuine 80s teen movie night marathon.

BloodyMonday Rating:



Everybody's Fine (2009)


Meh. The movie serious lack of originality & characters development. Only Robert De Niro comes out fine in this schmaltzy, "Lifetime" movie-of-the-week plot.

BloodyMonday Rating:



Paper Heart (2009)


Twee delight... That's only two words I can think of right now.

BloodyMonday Rating:



Adam (2009)


A perfect companion to Mary & Max (one of the best animation of 2009), Adam is star-crossed love story (pun intended) between Adam, Asperger's Syndrome bearer, and Beth, free spirit woman. The picture wouldn’t be this intimate without stunning performance by Hugh Dancy. On the other hand, the lack of depth on why Beth would love someone like Adam, preventing me from wholeheartedly embraces her choice in the end (which is nice & perfect but requires a leap of faith). Otherwise, this is touching romantic film, which putting its feet firmly on the ground, making the world full of hope and seems nicer place to live.

BloodyMonday Rating:



The Invention of Lying (2009)


Expected to be like “Click” or “Yes Man”, where high-concept plot turned into endless gags, with moral lesson (forcefully) shoving down your throat. But "The Invention of Lying" is thinking man’s film. The whole concept is not seeing how first lying man exploits the ability. But it's about him finding the way not to lie, in order to find genuine happiness. Great stuff.

BloodyMonday Rating:



Give ‘Em Hell Malone (2009)


This is one damn frustrating experience. It’s like watching an infant trying to stand up and walk. They would take a few steps then fall their asses. In fact, kiddie film like “Bugsy Malone” has done better job paying a tribute to film noir than this borefest.

BloodyMonday Rating:



Zombieland (2009)


ถ้าอังกฤษมีหนังซอมบี้ฮาแตกอย่าง Shaun of the Dead แล้ว ทำไมอเมริกาจะมีบ้างไม่ได้... Zombieland คือการผสมผสานระหว่างบรรดาหนังซอมบี้เก่าๆ เข้ากับทัศนคติของคนสร้างที่อาจดูหนังแนวนี้มากเกินความจำเป็น จนสามารถสร้างหนังซอมบี้ที่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองเป็น และเล่นสนุกไปกับกฏพื้นฐานของซอมบี้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกความดีให้สี่นักแสดงนำ โดยเฉพาะ วู้ดดี้ ฮาเรลสัน (เขาเกิดมาเพื่อบทนี้) ที่ช่วยกันสร้างมนต์เสน่ห์ ให้กับการเดินทางในโลกไร้มนุษย์ได้อย่างเต็มที่

ถึงแม้พลังงานที่ขับเคลื่อนจะมาหมดเอาดื้อๆในองค์สุดท้าย เมื่อฉากใหญ่ในสวนสนุกถูกทำขึ้นเพื่อแสดงฉากการฆ่าซอมบี้เด็ดๆ (ซึ่งไม่ใช่จุดเด่นสำหรับเรื่องนี้เลย) แต่โดยรวมแล้วมันก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัว ที่บรรดาแฟนซอมบี้จะมาพลาดหนังเรื่องนี้... อ้อ แล้วหนังยังมีดารารับเชิญสุดเซอร์ไพรซ์ ที่สร้างเสียงฮาที่สุดในเรื่องได้จากประโยคสุดท้ายอีกด้วย

BloodyMonday Rating:



Frequently Asked Questions About Time Travel (2009)


เมื่อเพื่อนสามคนก๊งเบียร์กันในผับแล้วเจอสาวฮ็อต (แอนนา ฟาริส) ที่อ้างว่ามาจากอนาคตจนเกิดรอยแยกของเวลา ทำให้ทั้งสามต้องท่องไปทั้งโลกในอนาคตและอดีตจนวุ่นวาย...

หนังมีไอเดียกิ๊บเก๋ ทำออกมาได้สนุกสนานสไตล์ซิตคอมอังกฤษ โดยเฉพาะการนำกฏเหล็กต่างๆจากหนังที่เกี่ยวกับการท่องเวลา (ดูเหมือนว่า Back to the Future จะเป็นแรงบรรดาลใจหลัก) มาปู้ยี้ปู้ยำอย่างเมามัน ถึงแม้ว่าตลอดเวลาการรับชมจะให้ความรู้สึก เหมือนตัวเองกำลังดูซีรี่ย์ทางโทรทัศน์ แต่มันก็คือตอนที่ฮาที่สุดของซีซั่น แถมเอฟเฟ็คที่ใช้ก็มีคุณภาพจนคาดไม่ถึง

BloodyMonday Rating:



Looking for Eric (2009)


มีความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มองโลกในแง่ดีเกินบรรยากาศโดยรวม จริงอยู่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงเอยด้วยดีในตอนสุดท้ายนั้น สามารถสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับคนดู แต่จากสถานการณ์ในเรื่องและบริบทที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันยากที่จะทำใจเชื่อในสิ่งที่เห็น โดยเฉพาะพล็อตรองเกี่ยวกับปืน ซึ่งถ้าถูกตัดออกไปและหนังยังดำเนินเรื่องอย่างที่เป็นอยู่ Looking for Eric ก็น่าจะเป็นหนังฟีลกู้ดที่อบอุ่นที่สุดเรื่องหนึ่งของปีเลยทีเดียว

BloodyMonday Rating:


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2551
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
15 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add BloodyMonday's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.