ความคิดเห็นสั้นๆ ที่มีต่อหนังเรื่อง The Happening ของนายมาโนช...



มาโนช: ทุกคนฟังให้ดี มันกำลังเกิดขึ้น มันกำลังเกิดขึ้น !!
ทุกคน: เกิดอะไรขึ้น มาโนช เกิดอะไรขึ้น !!
มาโนช: ไม่รู้เหมือนกัน รู้เพียงแค่ว่ามันร้ายแรงมาก ร้ายแรงมาก...
ทุกคน: ให้ตายสิ แล้วเราจะมีทางแก้ไขมันไหมเนี่ย
มาโนช: ไม่ !! สิ่งเดียวที่ทำได้นั้นก็คือ เราต้องรอ ต้องรอ...
ทุกคน: หลังจากนั้นล่ะ มาโนช
มาโนช: หลังจากนั้นทุกอย่างก็จะผ่านไปได้ด้วยดี ผ่านไปได้ด้วยดี...
ทุกคน: .....

ถ้าพระเจ้าต้องการที่จะลงโทษมนุษย์ ในฐานะที่เป็นตัวการทำให้โลกใบเล็กๆที่เราอาศัยอยู่นี้ ยุ่งเหยิงอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน ก็คงไม่จำเป็น ถึงขนาดที่จะต้องใช้พลังเหนือธรรมชาติ เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดชึ้นอยู่ในหนังเรื่องนี้ก็ได้ เพราะแค่การบังคับให้ทุกคน นั่งชมหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น ก็น่าเพียงพอที่จะทำให้มนุษย์ธรรมดาๆอย่างเรา หาวิธีทำอัศนิวิบาศกรรมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว

ผู้เขียนเข้าใจว่า การที่จะสร้างหนังเรื่องนึงนั้น ก็ไม่จำเป็นเสมอไป ที่จะต้องหาเหตุผลมารองรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนจอ แต่มันก็อาจจะมีสายใยเส้นบางๆที่แบ่งแยกระหว่าง การปล่อยให้คนดูกลับไปคิดเอง กับการทำตัวเพิกเฉยกับเนื้อเรื่อง (ที่ตัวเองกำลังเล่า) ทำไมผึ้งถึงหายไป? ทำไมหนังต้องพูดถึงตัวละครที่ชื่อว่าโจอี้ ถ้าจะไม่ต้องการที่จะเอ่ยถึงในตอนหลัง? ทำไมถึงนายรถไฟถึงบอกกับพระเอกว่า ขาดการติดต่อกับทุกคน? ทำไมมาร์ค วอลเบิร์คต้องพูดกับต้นไม้ปลอม? สิ่งเหล่านี้ มันเป็นแค่เศษเสี้ยวของความไร้การรับผิดชอบ ที่อัดแน่นอยู่มหาศาลในหนังเพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น

และการแสดงในระดับตัวการ์ตูนเรียกพี่ของ มาร์ค วอลล์เบิร์ค (กับจังหวะการพูดที่น่าขัน "บลา บลา บลา บลา บล๋าาา" ที่เกิดขึ้นในทุกๆประโยค) และร่างอันไร้วิญญาณของ ซูอี้ เดชาเนลล์ ที่เดินวนเวียนอยู่หน้ากล้อง รอเวลาเพื่อที่จะได้รับเช็คค่าจ้าง ในวันที่ปิดกล้องเพียงเท่านั้น ก็เป็นอีกส่วนประกอบหนึ่ง ที่ทำให้ The Happening เข้าไปอยู่ในทำเนียบหนังคลาสสิค ที่ถูกเข้าใจผิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นี้อาจจะไม่ใช่บทวิจารณ์ที่เจาะลึกนัก เพราะนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของอารมณ์ขุ่นเคืองและความโมโห ที่คุกรุ่นขึ้นทันทีที่เครดิตหนังเรื่องนี้ม้วนขึ้น เอาเป็นว่าถ้าใครอยากจะเห็นมาร์คกี้และพรรคพวก วิ่งหนีลมเป็นเวลา 90 นาทีเต็มๆนั้น นี้ก็อาจจะเป็นหนังที่เหมาะกับคุณก็เป็นได้

BloodyMonday Rating:



ปล. บล็อคนี้มาแบบเฉพาะกาล
(กลายเป็นอัพบล็อคสองวันติดเลย 55+)...สุดท้ายนี้ อยากจะบอกว่า
"กลับมาเร็วๆน่ะ นายมาโนช แล้วส่งเจ้าเอเลี่ยนตัวนี้
ที่กำลังปลอมตัวเป็นนายอยู่ี้ กลับไปอยู่ในที่ๆควรจะอยู่เร็วๆน่ะ"




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2551
12 comments
Last Update : 16 มิถุนายน 2551 21:57:04 น.
Counter : 951 Pageviews.

 

อิๆ

ท่าทางจะโมโหมากๆ เลยได้ไปแค่ครึ่งดาว

ไปดูแพนด้ามายัง สนุกนะ ดูแล้ว อารมณ์ดีแน่นอน

เปิดให้ลงคะแนนหนังสัปดาห์นี้แล้วนะจ้ะ.. ถ้าว่างๆ ก็ช่วยไปลงด้วย

//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A6708635/A6708635.htm

 

โดย: จูริง IP: 41.233.111.237 16 มิถุนายน 2551 18:41:02 น.  

 

อิอิ ผมชอบสารของหนังที่ต้องการจะสื่อนะ

แม้นักแสดงจะเออไม่อยากจะพูดคงคล้าย ๆคุณนะแหละ


แต่หนังสื่อประเด็นที่ว่าเราไม่สามารถเข้าใจธรรมชาติได้


แต่ก็แทรกฉากที่พระเอกคุยกับต้นไม้พลาสติก ถ้ามองแบบมุมมองผมนะไม่รู้เฮียแกคิดแบบนี้รึเปล่า เหมือนพระเอกกำลังหาทางที่จะหยุดยั้ง หรือสรางสันติกับต้นไม้

เหมือนมนุษย์ปัจจุบันที่กำลังหาทางคงบคุมธรรมชาติอยู่

แตที่จริง ๆ แล้วมนุษย์ไม่มีทางที่จะควบคุมธรรมชาติได้ตราบใดที่ไม่เข้าใจในธรรมชาติ

 

โดย: et009 IP: 125.24.220.8 16 มิถุนายน 2551 19:29:51 น.  

 

จูริง
โมโหจริงๆน่ะ ไม่ได้เครียดระหว่างนั่งดูหนังมาตั้งนานแล้วนะเนี่ย

et009
ผมทราบดีน่ะ สำหรับสารสาระที่เค้าต้องการจะพูดถึง (ซึ่งมันก็ชัดเจนซะแทบที่จะกระโดดออกมาจากจอเลยทีเดียว) แต่ปัญหามันก็มีอยู่คือ การที่ผกก.ได้กำหนดตัวเองไว้ว่า จะสร้างหนังที่ตระหนักถึงการรักษาธรรมชาติ แต่กลับใช้เพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวของปัญหานั้น เพื่อมาเป็นเพียงเครื่องมือในการถ่ายทอดความรุนแรงอันน่าขบขัน พร้อมกับเหตุผลรองรับที่ไร้น้ำหนักเป็นอย่างยิ่ง

ซึ่งผมก็จะไม่มีปัญหาเลย ถ้ามันมาพร้อมกับความตั้งใจของทีมงาน แต่ดูเหมือนว่า ทั้งนักแสดง (มีคนพูดไว้ว่า เหตุผลที่กลุ่มพระเอกถึงไม่เป็นอะไรเลย นั้นก็เพราะทุกคนเล่นได้แข็งเหมือนต้นไม้มาก ต้นไม้ก็เลยคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน 555+), คนเขียนบท (หนังอาจจะมีบทพูดที่ไร้ความสำคัญ อยู่กว่าครึ่งบทเลยทีเดียว รวมถึงประโยคคลาสสิค ที่พระเอกบอกว่า "นี้ ป้า ผมเป็นครูวิทยาศาสตรน่ะ" ที่ให้ความรู้สึกเหมือนนิค เคจ ตอนแย่งจักรยานจากผู้หญิงในเรื่อง The Wicker Man ที่พูดว่า "หยุดน่ะ ผมคือตำรวจ" 555+) รวมถึงตัวผกก.เองด้วย ที่ออกอาการขี้เกียจ ในการสร้างสรรค์เรื่องราวให้เราได้ชมอย่างที่เป็นอยู่นี้ (ก็คงยกเว้นไว้แค่ตากล้อง Tak Fujimoto ที่ถือว่าทำงานออกมาได้ตามมาตรฐาน)

ผมเห็นด้วยตามที่คุณได้บอกว่า มนุษย์นั้น ยังไงก็ไม่สามารถเข้าใจในความอัศจรรย์ของธรรมชาติได้ ซึ่งมันก็น่าจะเป็นไปตามที่อย่างที่ผกก.แกอยากจะให้ทุกคนคิดละครับ เพียงแต่ว่า ผมเองก็ไม่เข้าใจผกก.เหมือนกัน ที่ทำไมถึงต้องใช้เวลาและเงินทองมากมาย เพียงเพื่อที่จะพูดถึงสิ่งที่ธรรมดาสามัญอย่างนั้นด้วย

ขอบคุณที่มาคอมเม้้นต์ครับ ตอนนี้ผมสบายใจขึ้นแล้ว เหมือนยกภูเขาออกจากอก 555+

ปล. ขออนุญาติเพิ่มขึ้นอีกครึ่งดาว หลังจากที่นึกถึงการถ่ายทำที่ถือว่า ยังมีเค้าโครงของกระบวนการทางความคิดสร้างสรรค์ได้อยู่เหมือนกัน (เช่น ช๊อตถ่ายข้ามไหล่คน ในตอนที่แม่คุยโทรศัพท์กับลูก เออ เจ๋งดีเหมือนกัน)

 

โดย: BloodyMonday 16 มิถุนายน 2551 22:02:16 น.  

 

ขอบพระคุณงั๊บปายยหามาดูดีก่า

 

โดย: Bernadette 16 มิถุนายน 2551 23:28:28 น.  

 

สงสัยจะฉุน ขาดเลยนะพี่เรา 555+
เอาน่าพี่ ยังมีหนังที่ห่วนแตกว่านี้อีก
ถือซะว่า คลายเครียด ดูหนังดีๆ มาเยอะแล้ว มานั่งดูอะไรที่แย่ๆ มั่ง ก็ดีเหมือนกันนะ

กะว่าจะดูเรื่องนี้แล้วเด่ พอมาอ่าน ไม่ดูดีกว่า

 

โดย: haro_haro 17 มิถุนายน 2551 14:48:18 น.  

 

ถึงกับรีบชักเงินกลับจากช่องขายตั๋วไม่ทัน...แย่ขนาดนั้นเลยหรอครับ
กะว่าวันสองวันนี้จะไปดูแล้วแท้ๆ แบบนี้คิดหนักเลย

ย่อหน้าสุดท้ายเขียนแล้วเห็นภาพเลย
เพราะตอนดูตัวอย่างก็มองหาต้นเหตุของภัยพิบัติไม่เจอ (เจอแต่ภาพคนฆ่าตัวตายกันใหญ่)
บางทีหนังอาจจะเว้นให้เราไปคิดเอาเอง
หรืออาจจะแปลเป็นนัยๆว่า การทำลายโลกที่เราทำๆกันอยู่...ก็คือการฆ่าตัวตายในอนาคตของมนุษย์

ถ้าได้ไปดูจะมาถกกันใหม่
แต่ขอรออ่านวิเคาระห์ข้างๆ ก่อนได้ไหม (ขวามือของบล็อกนี้อะ)
เขียนเมื่อไหร่จะรีบเข้ามาอ่านเพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนชม

 

โดย: ขอรบกวนทั้งชุดนอน 17 มิถุนายน 2551 17:40:47 น.  

 

แบร์
ไปหาดู...แต่ว่า...หนังมันแย่นะ...แถมเพิ่งเข้าโรงเอง

ฮาโร่
555+ เรื่องนี้ขึ้นไปนั่งอยู่บนทำเนียบหนังยอดแย่ประจำปีของเราี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่จะจบอันดับไหน ต้องติดตามตอนต่อไป

ขอรบกวนทั้งชุดนอน
อย่างที่ได้เขียนในบล็อคและตอบคุณ et009 หนะครับ คือมันแตกต่างนิดนึง ระหว่างการปล่อยให้คนดูกับไปคิดเอง กับการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบต่อเนื้อเรื่องที่เขากำลังเล่าอยู่ และที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้น ก็คือการใช้เพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวของปัญหา เพื่อมาเป็นเพียงเครื่องมือในการถ่ายทอดความรุนแรงที่ดูไร้เหตุผล ตามที่เห็นอยู่ในหนังหนะครับ

ทั้งนี้ทั้งนั้น (อย่างที่คุณบอก) ผมว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้ ก็คือการไปดูด้วยตัวเองก่อนครับ ดูจบแล้วมีความเห็นอย่างไร มาคุยกันได้ครับ

 

โดย: BloodyMonday 17 มิถุนายน 2551 19:41:02 น.  

 

อะแฮ้ แหะ แหะ แย่ขนาดนั้นเลยทีเดียว เรื่องนี้กระแสไม่ดีเลยเนอะ มีแต่คนก่นด่า แต่ถ้ามันมีแต่เหตุการณ์ที่ไม่มีเหตุผลมาอธิบายมากมายจนอุดรอยโหว่กันไม่หมดเนี่ย ผมก็ว่ามันไม่น่าจะเป็นหนังที่ดีได้นะ บางคนอาจจะว่าติสท์ดี แนวดี แต่มากไปหยั่งงี้ก็แย่ล่ะ

ป.ล. ตอนนี้ตัวเองพิมพ์อะไรอยู่ก็ไม่รู้อะ อ่านไม่ออกเลย

 

โดย: Moonlight Mile 17 มิถุนายน 2551 21:32:28 น.  

 

อยากดูมากๆ เราชอบเฮียแขกคนนี้อยู่แล้ว

เลยยังไม่อ่าน กลัวไม่ตื่นเต้นน่ะ

 

โดย: mr.cozy 18 มิถุนายน 2551 0:34:19 น.  

 

หนังมัน....สร้างความน่าสงสัยอยู่ตลอดเวลา ก็สนุกดี แต่..พอเริ่มเข้าเค๊า พอเริ่มให้เหตุผลเริ่มมีประเด็นก็สมองเริ่มเป๋ไปด้วย ถ้าคิดอะไรให้มาก ก็อาจโอเค แต่เราอยากได้ความบันเทิง เลยสรุปที่ว่าหนังแกไม่หนุกไม่บันเทิงเลยจริงๆ

 

โดย: renton_renton 18 มิถุนายน 2551 8:09:32 น.  

 

สวสดีครับ

ผมเป็นหนึ่งในส่วนน้อยที่ชอบหนังเรื่องนี้

ขอทราบความหมายที่ท่านบอกว่า "การใช้เพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวของปัญหา เพื่อมาเป็นเพียงเครื่องมือในการถ่ายทอดความรุนแรงที่ดูไร้เหตุผล"

แค่นี้ก็พอแล้วครับ

 

โดย: tyraphonia IP: 125.25.248.169 23 มิถุนายน 2551 0:13:46 น.  

 

ตอบคุณ tyraphonia นะครับ

ผมจะยกตัวอย่างที่คล้ายคลึงกันนะครับ Fire Down Below ของที่เฮียสตีเว่น ซีกัล เล่นเป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติ หนังอาจจะหาเหตุผลที่ดีกว่านี้ ในการสร้างหนังแอ็คชั่นเรื่องนี้ก็ได้ แต่พอดีนี้คือหนังของเฮียซีกัล และเขาก็อยากจะสร้างหนังที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติพอดี ผลที่ได้ก็คือส่วนผสมที่ไม่ซิ้งค์กันของเรื่องนี้ (ผมไม่รู้ว่าจะแปลว่ายังไงนะครับ แต่การกระทำแบบนี้เขาเรียกว่าการ exploit กับเรื่องที่ผู้สร้างไม่ตั้งใจที่จะนำเสนอ)

และมันก็สามารถโยงมาถึงหนังเรื่องนี้ของคุณมาโนชได้ นั้นก็คือการ exploit ธรรมชาติ เพื่อที่จะหาวิธีในการเสนอการฆ่าตัวตายต่างๆ ที่ถูกประดิษฐประดอยมาเป็นอย่างดี (ผมต้องยอมรับ) แต่ถ้าเราคิดถึงกับลมพิฆาตที่คุณมาโนชอุตส่าห์หาเหตุผลมารองรับแล้ว เราก็อาจจะรู้สึกผิดที่จะรู้สึกสนุกไปกับมันก็ได้นะครับ

หวังว่าความเห็นของผมคงอธิบายได้ด้วยตัวมันเอง แต่ถ้ามันยังไม่มีเหตุไม่มีผลพอที่จะสนับสนุนคำพูดของผม ก็ขออภัยมาณ.ที่นี้ด้วย...

 

โดย: BloodyMonday 23 มิถุนายน 2551 18:37:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


BloodyMonday
Location :
Imaginationland, Valley of Bliss China

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






-= M & M in Nutshell =-


Gentlemen Broncos (2009)


You could have brain tumor by watching this contaminated turd. Nothing in Gentlemen Broncos pays off, it’s incoherent mess, and chock-full of incredibly annoying characters. You will not only loath this movie, but it also makes you want to punch someone who responsible for this abomination in the face.

BloodyMonday Rating:



Fantastic Mr. Fox (2009)


Imagine if Akira got Live-Action treatment by... say Alfonso Cuarón, you know how awesome it might be? That’s what happened to "Fantastic Mr. Fox". Wes Anderson's auteur perfectly captured the quirkiness and blissful tone of the material. Its stop-motion technique might be a little crude and... somewhat unsophisticated, but that's the charm of it. You’ll feel like pop-up book unveiled before your eyes. This is an exceptional animation of the year.

BloodyMonday Rating:



Planet 51 (2009)


ถ้าถามว่าสนุกไหม? ก็โอเค ทุกอย่างถอดแบบมาจาก Shrek มุขที่อ้างอิงวัฒนธรรมป็อป ตัวละครสมทบที่น่าสนใจกว่าตัวเอก กราฟฟิคที่สอบผ่านฉลุย (ถ้าไม่ไปวัดกับพิกซาร์) แต่ถ้าถามว่าต้องดูไหม? ..... เอาเป็นว่าเวลาชั่วโมงครึ่ง ทำอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้ได้เยอะแยะ

BloodyMonday Rating:



It's Complicated (2009)


รู้สึกสนุกกับการได้เห็นป้าเมอรีล เข้าโหมดแอ๊บเด็ก (อีกแล้ว) ในขณะเดียวกัน อเล็กซ์ บอลด์วิน และ จอห์น ครากินสกี้ ก็ขโมยซีนได้ตลอด แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนังยาว 2 ชั่วโมงมีเรื่องให้เล่าแค่ 15 นาที... It's Complicated อาจเหมือนคนกินไวอากร้าแล้วเข้านอน คึกตลอดคืนแต่มันจะมีประโยชน์อะไร?

BloodyMonday Rating:



Up in the Air (2009)


Up in the Air is a blockbuster movie for people who think blockbuster movies are dumb, as it chock full of brilliantly written dialogue, and acting showcase for three talented actors (especially star-making turn by Anna Kendrick). But in the end, there's little to love, not so much story to chew on (plus disappointing third act), and no real connection to the meaning of human interaction as it intended to be.

BloodyMonday Rating:



I Love You, Beth Cooper (2009)


Cliché-ridden plot about a bunch of annoying characters get together in one idiotic circumstance, "I Love You, Beth Cooper" is shameless exploitation & biggest insult to 80s teen flicks. It's like memorizing magic trick from internet, hoping to perform like David Copperfield. Neither sense of wonder nor magic flare happens here. Only good thing is, it makes me wanna cleanse my soul with genuine 80s teen movie night marathon.

BloodyMonday Rating:



Everybody's Fine (2009)


Meh. The movie serious lack of originality & characters development. Only Robert De Niro comes out fine in this schmaltzy, "Lifetime" movie-of-the-week plot.

BloodyMonday Rating:



Paper Heart (2009)


Twee delight... That's only two words I can think of right now.

BloodyMonday Rating:



Adam (2009)


A perfect companion to Mary & Max (one of the best animation of 2009), Adam is star-crossed love story (pun intended) between Adam, Asperger's Syndrome bearer, and Beth, free spirit woman. The picture wouldn’t be this intimate without stunning performance by Hugh Dancy. On the other hand, the lack of depth on why Beth would love someone like Adam, preventing me from wholeheartedly embraces her choice in the end (which is nice & perfect but requires a leap of faith). Otherwise, this is touching romantic film, which putting its feet firmly on the ground, making the world full of hope and seems nicer place to live.

BloodyMonday Rating:



The Invention of Lying (2009)


Expected to be like “Click” or “Yes Man”, where high-concept plot turned into endless gags, with moral lesson (forcefully) shoving down your throat. But "The Invention of Lying" is thinking man’s film. The whole concept is not seeing how first lying man exploits the ability. But it's about him finding the way not to lie, in order to find genuine happiness. Great stuff.

BloodyMonday Rating:



Give ‘Em Hell Malone (2009)


This is one damn frustrating experience. It’s like watching an infant trying to stand up and walk. They would take a few steps then fall their asses. In fact, kiddie film like “Bugsy Malone” has done better job paying a tribute to film noir than this borefest.

BloodyMonday Rating:



Zombieland (2009)


ถ้าอังกฤษมีหนังซอมบี้ฮาแตกอย่าง Shaun of the Dead แล้ว ทำไมอเมริกาจะมีบ้างไม่ได้... Zombieland คือการผสมผสานระหว่างบรรดาหนังซอมบี้เก่าๆ เข้ากับทัศนคติของคนสร้างที่อาจดูหนังแนวนี้มากเกินความจำเป็น จนสามารถสร้างหนังซอมบี้ที่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองเป็น และเล่นสนุกไปกับกฏพื้นฐานของซอมบี้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกความดีให้สี่นักแสดงนำ โดยเฉพาะ วู้ดดี้ ฮาเรลสัน (เขาเกิดมาเพื่อบทนี้) ที่ช่วยกันสร้างมนต์เสน่ห์ ให้กับการเดินทางในโลกไร้มนุษย์ได้อย่างเต็มที่

ถึงแม้พลังงานที่ขับเคลื่อนจะมาหมดเอาดื้อๆในองค์สุดท้าย เมื่อฉากใหญ่ในสวนสนุกถูกทำขึ้นเพื่อแสดงฉากการฆ่าซอมบี้เด็ดๆ (ซึ่งไม่ใช่จุดเด่นสำหรับเรื่องนี้เลย) แต่โดยรวมแล้วมันก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัว ที่บรรดาแฟนซอมบี้จะมาพลาดหนังเรื่องนี้... อ้อ แล้วหนังยังมีดารารับเชิญสุดเซอร์ไพรซ์ ที่สร้างเสียงฮาที่สุดในเรื่องได้จากประโยคสุดท้ายอีกด้วย

BloodyMonday Rating:



Frequently Asked Questions About Time Travel (2009)


เมื่อเพื่อนสามคนก๊งเบียร์กันในผับแล้วเจอสาวฮ็อต (แอนนา ฟาริส) ที่อ้างว่ามาจากอนาคตจนเกิดรอยแยกของเวลา ทำให้ทั้งสามต้องท่องไปทั้งโลกในอนาคตและอดีตจนวุ่นวาย...

หนังมีไอเดียกิ๊บเก๋ ทำออกมาได้สนุกสนานสไตล์ซิตคอมอังกฤษ โดยเฉพาะการนำกฏเหล็กต่างๆจากหนังที่เกี่ยวกับการท่องเวลา (ดูเหมือนว่า Back to the Future จะเป็นแรงบรรดาลใจหลัก) มาปู้ยี้ปู้ยำอย่างเมามัน ถึงแม้ว่าตลอดเวลาการรับชมจะให้ความรู้สึก เหมือนตัวเองกำลังดูซีรี่ย์ทางโทรทัศน์ แต่มันก็คือตอนที่ฮาที่สุดของซีซั่น แถมเอฟเฟ็คที่ใช้ก็มีคุณภาพจนคาดไม่ถึง

BloodyMonday Rating:



Looking for Eric (2009)


มีความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มองโลกในแง่ดีเกินบรรยากาศโดยรวม จริงอยู่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงเอยด้วยดีในตอนสุดท้ายนั้น สามารถสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับคนดู แต่จากสถานการณ์ในเรื่องและบริบทที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันยากที่จะทำใจเชื่อในสิ่งที่เห็น โดยเฉพาะพล็อตรองเกี่ยวกับปืน ซึ่งถ้าถูกตัดออกไปและหนังยังดำเนินเรื่องอย่างที่เป็นอยู่ Looking for Eric ก็น่าจะเป็นหนังฟีลกู้ดที่อบอุ่นที่สุดเรื่องหนึ่งของปีเลยทีเดียว

BloodyMonday Rating:


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2551
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
16 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add BloodyMonday's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.