www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

Movie and Me :: 50 หนังประทับใจประจำปี 2009 โดย "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" (ตอน 1)

... จาก 3 Blog แห่งปี ที่แล้วอันว่าด้วย

8 ตัวสำรอง หนังดี(วีดี)ถูกใจประจำปี 2009 โดย "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=13-01-2010&group=14&gblog=188

10 ตัวละครประทับใจประจำปี 2009 โดย "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=14-01-2010&group=14&gblog=189

10 ฉากประทับใจประจำปี 2009 โดย "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=18-01-2010&group=14&gblog=190




Blog นี้ เป็น การเดินหน้าเข้าใกล้ตอนสุดท้ายของ บทสรุปที่สุดแห่งปี 2009 แล้วจ้า

.... ปีที่ผ่านมาไม่ค่อยได้เขียน Blog ซักเท่าไหร่ จึงขอไถ่โทษด้วยการเขียน Blog ส่งท้ายปีแบบบ้าพลัง คนอื่นเค้าจัดอันดับกันแค่ 10-20 แต่ จขบ. ขออัดเต็มเหนี่ยว 50 อันดับ

เพราะคิดว่า จะจัด 10 อันดับไป มันก็คงซ้ำๆ พอจะรู้กันอยู่ อีกทั้งคิดว่า คงไม่ได้มีใครอยากจะรู้เท่าไหร่หรอกว่า ตานี่(ผมอยู่ฯ) ชอบหนังเรื่องอะไรบ้าง

แต่ ถ้าขยายไปซัก 50 เรื่อง อาจเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆผู้อ่าน เผื่อจะหาหนังมาดูที่บ้าน หากมีแนวทางที่ชอบคล้ายๆกัน

2 Blog ถัดจากนี้ คือ การรวบรวม 5 หนังไม่ปลื้ม กับ 50 อันดับหนังประทับใจประจำปี 2009 แต่ด้วยความยาวเหยียดจึงจำเป็นต้องแบ่งเป็น 2 blogs

Blog นี้จะเป็นการเรียงลำดับ 50 – 20 ก่อนที่ Blog หน้าจะถึงคิวของ

20 อันดับสุดท้ายของหนังที่ประทับใจ + 5 หนังไม่ปลื้มของปี


และ

เหมือนเช่น 4 ปีที่ผ่านมาครับ ที่ต้องเน้นย้ำก่อนว่า หนังที่เลือกมา ผมขอเหมารวมหมดไม่ว่าจะเป็น หนังเล็กหรือหนังใหญ่ หนังโรงหรือหนังซีรี่ย์ แผ่นแท้หรือแผ่นผี โดยนับจากที่ดูไปตลอดทั้งปี 2009

และข้อสำคัญ

หนังที่ดีอาจไม่ได้เป็นหนังที่เราชอบ และ หนังที่เราชอบก็ไม่จำเป็นว่าต้องดี




ดังนั้น หนังที่เลือกมาต่อไปนี้คือ



50 อันดับหนังที่ผมฯชอบและโดนใจประจำปี 2009



อันดับ 50

Confessions of a Shopaholic




เป็นหนังที่ทำให้อารมณ์ดีดี๊ดีตลอดทั้งเรื่อง Isla Fisher ก็เล่นได้เซี้ยวบวกโก๊ะกำลังดี (แม้ตอนดูจะนึกถึง Amy adams ว่าน่าจะเหมาะกับบทนี้เหมือนกัน)

ดูแล้วให้ความรู้สึกเป็นเหมือน Enchanted ของปีก่อน คือ ดูแล้วสบายใจ และ ผมเองก็ชอบมากกว่าเวอร์ชั่นหนังสือ (ต่างจากคนส่วนใหญ่ที่ชอบหนังสือมากกว่า) เพราะรู้สึกว่า เวอร์ชั่นหนังสือ จะมีจุดจุ๊กๆจิ๊กๆน่ารักๆสไตล์สาวๆที่ไม่อ่านแล้วไม่โดนเท่าไหร่ แต่ เวอร์ชั่นหนัง มีความน่ารักขำๆจี๊ดๆที่ถูกจิตถูกใจมากกว่า

แค่คิดถึง ฉากเต้นรำ ก็อารมณ์ดีดี๊ดีแล้ว

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]


อันดับ 49

Fringe




นี่เป็น ซีรี่ย์ ที่ใช้เวลาอุ่นเครื่องจนกว่าจะ สนุก นานมากกก

ผมนั่งดู 3 แผ่นแรกด้วย เสียงบ่นกับตัวเองตลอดเวลา ประมาณว่า ไม่เห็นเจ๋งอย่างที่เขาเชียร์ๆกันเลย , นางเอกก็ช่างทำหน้าละเหี่ยใจได้ทุก episode , คดีแต่ละตอนก็แปลกดีที่จับ เหตุการณ์แปลกประหลาดมาโยงกับวิทยาศาสตร์ได้ทั้งหมด แต่มันก็จบๆไปไม่น่าติดตาม , นี่นะหรือที่เขาชมว่า เป็น X-File ยุคใหม่ หรือ เป็นฝีมือที่น่าทึ่งของ J.J. Abrams

ร่ำๆจะหยุดดูกลางคัน ถ้าไม่ติดว่าเสียดายตังค์ซื้อมาทั้งชุด

โชคดีเป็นอย่างยิ่งที่ผมไม่ถอดใจ เพราะ เมื่อถึงแผ่น 4 แล้วเส้นเรื่องหลักเริ่มชัดเจน ทำให้ผมขอแก้คำบ่นทุกข้อที่เคยกล่าวข้างต้น เพราะ ซีรี่ย์เรื่องนี้ มีของ จริงๆ เพียงแต่ใช้เวลาอุ่นเครื่องนานไปหน่อยเท่านั้นเอง

จากแผ่น 4 ถึงตอนสุดท้าย แทบจะหยุดดูไม่ได้ และ ก็ปิดฉากบน ... ได้อย่างชวนอึ้งและทึ่งจนยกนิ้วให้ ทั้ง คนที่เลือกมา และ สถานที่ที่เลือกจบ

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]




อันดับ 48

Tell no one




ถ้าปีก่อนมี Taken เป็นหนังแอคชั่นแบบลุ้นๆมันส์ๆ โดยไม่ต้องระเบิดภูเขาเผากระท่อมให้สิ้นเปลือง แต่อาศัยฝีมือของผู้กำกับและคนเขียนบท

ปีนี้ขอยกให้ Tell no one หนังฝรั่งเศสที่ดัดแปลงจาก นิยายสืบสวนแนวหักมุมของ ฮาลาน โคเบน(ฉบับแปลไทยของสนพ.อัมรินทร์)

เป็นนิยายที่ใครได้อ่านมีสิทธิหลังหักหลายรอบ เกี่ยวกับ ชายคนหนึ่งที่ได้รับข้อมูลลึกลับเกี่ยวกับภรรยาที่ตายไปแล้วหลายปี จนทำให้เขาต้องสืบหาเพราะสงสัยว่า ภรรยาอาจยังไม่ได้ตายจริงๆ

แม้อ่านหนังสือมาแล้วดูหนังก็ยังสนุกอยู่ เพราะ หนังดัดแปลงได้ดี และ ตอนจบก็มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแต่เข้าท่า

[ ยังไม่มีแผ่นลิขสิทธิ์ อาจต้องพึ่งบิทและกุ๊กกู๋ ]




อันดับ 47

Julie and Julia




ผมเป็นคนส่วนน้อยที่ไม่ได้ปลื้มการแสดงของ เมอรีล สตรีพ ในหนังเรื่องนี้ ติดจะรำคาญเสียด้วยซ้ำ (แม้ได้ดูคลิปตัวจริงของ จูเลีย ไชลด์ แล้วจะชื่นชมว่า เมอรีล เล่นได้เทพอีกครั้งก็ตาม - ลองหาดูได้ใน youtube)

คนคิดเรื่องเข้าใจคิด ที่หยิบ ชีวิตหนึ่งคนที่ฝึกเป็นกุ๊กผจญชีวิตในฝรั่งเศส จนเขียนหนังสือและมีรายการโทรทัศน์ของตัวเอง กับ อีกคนในอีกยุค ที่กำลังรู้สึกตันๆในชีวิตการงาน และเลือกใช้การเขียน Blog เป็นการเติมเต็มชีวิตของตัวเอง

สำหรับคนมีความฝันแต่รู้สึกชีวิตยังติดขัดควรดู ความพยายามที่จะหาที่ทางให้กับตัวเองโดยไม่ทิ้งความฝัน แต่ที่ยิ่งต้องดูคือเหล่า Blogger หรือ คนเขียนไดอารี่ทั้งหลาย ที่จะได้แรงบันดาลใจหลายอย่างจากหนัง

และที่ผมชอบอีกจุดคือ เสียงตอบรับจาก จูเลีย ไชลด์ ตอนท้าย ที่ทำให้เห็นว่า อย่าคาดหวังคนจากตัวหนังสือ เพราะเรามีสิทธิสร้างภาพความเป็นอุดมคติให้กับบางคนที่เราไม่เคยเจอ เพียงรู้จักผ่านตัวอักษร จนผิดหวังเมื่อพบตัวจริง

(เช่นอ่านบล็อกมานานแล้ว คิดว่า ผมอยู่ข้างหลังคุณ หล่อเทพพพ และ จิตใจงามหยดย้อย แต่เจอตัวจริงแล้วผิดหวังเพราะ แค่ หล่อมากและจิตใจดีเลิศ)

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ แต่ยังไม่ออก ]




อันดับ 46

Knowing




ช่างมีความคล้ายคลึงกับหนังของ เฮียมาโนช - M. Night Shyamalan ที่หน้าหนัง หลอกให้คนดูคิดว่าเป็นหนังตื่นเต้นโครมครามประมาณหนังซัมเมอร์ฟอร์มยักษ์ แต่พอดูจริงๆเนื้อใน กลับต้องการนำเสนอ ปรัชญา

ทำให้คนดูแบ่งออกเป็นสองกลุ่มชัดเจน คือ ผิดหวังเสียอารมณ์ กับ ปลื้มและทึ่งในไอเดีย

หน้าหนัง Knowing ชวนให้นึกถึง หนังมหันภัยถล่มโลกประมาณ Deep impact ที่พระเอกจะต้องหาทางกู้โลก ซึ่งหนังก็มอบความตูมตามโครมครามสมใจคนดู ไปสองสามฉาก แต่ สิ่งที่หนังอยากเล่าจริงๆคือ เนื้อหาที่ผสมผสานบางส่วนจากหนังเฮียมาโนช

เช่น การที่มนุษย์ถูกลงโทษจากธรรมชาติเหมือน The Happening ผสม ความเชื่อและศรัทธาในบางสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างเช่น Lady in the Water และ Signs

หนังอาจไม่ผสมผสานได้ลึกซึ้งน่าอัศจรรย์เหมือน The Fountain , ไม่ลงตัวเจ๋งจ๊าบเท่า Contact หรือ หักมุมเก๋ไก๋ชวนขบคิดเท่าหนังของพี่มาโนช แต่ตัวหนังก็ กล้า ที่จะผสม สิ่งที่ไม่น่าจะเข้ากันได้ ให้ไปด้วยกันได้ แบบไม่น่าเกลียดจนเกินไป และ ท้าทายความคิดคนดูดีทีเดียว

Knowing , วินาศภัยในปรัชญา , จิตวิทยา , ศาสนา และ ไซไฟ ( โอ้ววว จะผสมอะไรกันมากมาย)
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=31-03-2009&group=14&gblog=147

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ 45

Rachel Getting Married




ถ้าบอกว่าเป็นฝีมือผู้กำกับ Silence of the lambs หลายคนคงนึกว่า หนังน่าจะออกมาตื่นเต้นเข้มข้น แต่ กลับตรงกันข้าม เพราะที่ออกมาเป็นหนังดราม่าชีวิตครอบครัว ที่ไม่เน้นบีบคั้นอารมณ์จนเกินงาม แถมบางตอน กล้องยังเคลื่อนเป็นแฮนด์เฮลด์เหมือนสารคดีเสียอีก

แอนน์ แฮตตาเวย์ รับบทเป็น คิม น้องสาวของว่าที่เจ้าสาว ที่ถูกรับกลับมาบ้านช่วงที่เตรียมงานแต่ง หลังจากไปบำบัดภาวะติดยาในสถานพยาบาล เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอก็เริ่มรู้สึกเหมือนแปลกปลอมและเป็นคนนอก มีบางอย่างที่ระอุอยู่ในครอบครัวนี้ ที่ถูกปิดบังไว้

และเมื่อ ความจริงเปิดเผย เราจึงสามารถเข้าใจแทบทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ต้นเหตุของการที่ คิมติดยา หรือ สายตาที่คนในบ้านมองกันและกัน ที่บ้างก็แฝงความโกรธ ความรู้สึกผิด แต่พยายามปกปิดไว้ไม่ให้คนอื่นสังเกตเห็น

แค่ดูการแสดงระดับห้าดาว ของ แอนน์ แฮตตาเวย์ ก็คุ้มค่าแล้ว เธอช่วยส่ง ความเจ็บ ของแผลในชีวิตส่วนตัวและแผลครอบครัวให้เราได้รับอย่างเข้าถึง เรียกได้ว่า เป็นการฉีกบทบาทตัวเองได้สำเร็จ หลังจากพยายามมาหลายที ตั้งแต่เล่นเป็นสก๊อยสาวโชว์โฟโมสต์ใน Havoc หรือรับเชิญใน BBMT ก็ยังทำได้ไม่ดีเท่าเรื่องนี้

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ 44

Nick & Norah's Infinite Playlist




อาจดูเว่อร์ไปซักหน่อย แต่ก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เวลาบอกใครต่อใครว่า หนังเรื่องเหมือน once หรือ Before Sunset & Before sunrise เวอร์ชั่นลดวัยลง และเปลี่ยนโทนความละเมียดเรียบนิ่ง ให้เป็นความอึกทึกคึกคัก มีคอนเสิร์ต มีเหล้า มีเมา มีเสียงเพลง กลายเป็น หนังรักรุ่นใหม่สำหรับวัยทีน

มีความสุขกับการนั่งฟังเพลงเพราะๆ และ ดูอย่างเพลิดเพลินใจ

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ 43

Harry Potter and the Half Blood Prince





ถ้าคุณรู้สึกตัวคนเดียวเวลาบอกใครว่า ชอบหนังแฮรี่ภาค 6 โปรดจงรู้ว่ามี เพื่อนที่ชอบ อยู่ตรงนี้อีกคน

จุดเด่นที่เห็นได้จาก ‘หนังแฮรี่’ ฝีมือ เดวิด เยตส์ คือ เหมือนกับเขามีภาพในหัวชัดเจนว่า จะนำเสนอ ‘หนังแฮรี่’ ให้ออกมาในสไตล์ของตัวเองยังไง ไม่กังวลที่จะตัดฉากสำคัญๆหรือตัวละครคนโปรดของแฟนๆ

ทำให้ หนังของเขาไม่มีทีท่า ห่วงหน้าพะวงหลัง ประเภทกลัวแฟนพันธุ์แท้จะหงุดหงิดใจ จนต้องหยอดโน่นนิดนี่หน่อยใส่เข้ามาเซอร์วิสแฟนๆ ซึ่งสุดท้ายแล้วไม่ว่าหนังของเขาจะถูกใจแฟนๆหนังสือหรือไม่ แต่ใน แง่ภาพรวมของหนัง มันค่อนข้างลงตัวเมื่อเทียบกับภาคก่อนๆ เป็นการตีความโลกแฮรี่ที่น่าสนใจไปคนละแบบกับหนังสือ

ที่เด่นชัดอีกอย่างคือ เดวิด เยตส์ ค่อนข้างให้ความสำคัญกับ ‘หนังแฮรี่’ ในแง่ของการเป็น ‘หนังชีวิตวัยรุ่นที่กำลังเติบโต’ โดยมี ความเป็นพ่อมดแม่มด เป็นแค่ฉากหลัง มากกว่าจะเป็น ‘หนังแอคชั่นแฟนตาซี’

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ 42

Drag Me To Hell




เป็นหนังสยองขวัญแนวโป๊งชึ่งตุ้งแช่ที่ดีมากในรอบหลายปีหลัง ข้อดียิ่งกว่าคือ การผสมอารมณ์ขันตลกร้าย และ พล็อตหนังในเชิงดราม่าออกมาได้ดี จนกลายเป็นหนังที่ทั้ง สนุกลุ้น , ตกใจ , ให้ข้อคิด , ขำขำ , ซึ้งๆ ฯลฯ

และ ยังเป็นตัวอย่างไว้ยันคนที่ชอบคิดว่า

"ก็หนังแอคชั่น หนังสยองขวัญ ฯลฯ จะเอาอะไรกับ บทหรือดราม่าให้มากมาย"

Drag me to hell เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่า

ก็ถ้าคุณมีฝีมือ คุณก็ทำได้อยู่แล้ว

Evil dead + Drag me to hell , ไปๆ ไปลงนรกเสียเถิดที่รัก
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=08-06-2009&group=14&gblog=164

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ 41

Lie to me




ตัวเอกเป็นหัวหน้าบริษัทเชี่ยวชาญจับโกหกคน ผู้ผ่านหลักสูตรการอ่านภาษากาย ที่มักถูกทางการจ้างให้ไปช่วยสืบสวนคดี

ไม่นึกว่าแค่ การจับโกหกคนเก่ง จะถูกนำมาทำเป็นซีรี่ย์ได้หลายตอน และ สร้างความชวนติดตามได้มากขนาดนี้ ทั้งๆที่ มุกการจับโกหกก็ซ้ำๆ จริงหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่ คนเขียนบทผูกเรื่องเก่ง ทำให้ดูสนุกชวนติดตาม นึกว่านั่งดู เชอร์ล็อคโฮล์มอยู่กลายๆ

เทียบกับ The Mentalist / Criminal minds ที่คนส่วนใหญ่ชอบๆกัน ผมกลับชอบเรื่องนี้มากกว่า เพราะ The Mentalist เด่นที่เสน่ห์ของพระเอก ส่วน criminal minds ก็เลือกคดีตามทฤษฎีในตำราจิตเวช ต่างจาก Lie to me ที่บางทีอาจจะมั่วๆผสมกันบ้าง แต่ด้วยตัวบทก็เดาได้ยากกว่าสองเรื่องนั้น และ ความสัมพันธ์ของตัวละครก็น่าสนใจ

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ 40

Michael Jackson's This Is It




ไม่ใช่หนังสารคดีที่ดีมาก แต่ดูแล้วขนลุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เติบโตมาในยุค MJ ครองเมือง

เป็นสารคดีชีวิตคนดังที่สามารถทำให้คนดูเห็นภาพด้านบวกของ เจ้าตัว โดยผู้สร้างแทบจะไม่ได้บิวต์หรือพยายามโน้มน้าวจนเกินงาม หากแต่ให้เจ้าตัว ถ่ายทอด ตัวตนที่น่าชื่นชม ผ่านการทำงานอย่างเป็นธรรมชาติ

ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนคลับถึงขนาดเต้นมูนวอล์คได้ That is It ก็สามารถทำให้คนดูทั่วๆไปอย่างผม ขยับเท้าเป็นจังหวะ ฮัมเพลงในใจ และ ขนลุกไปกับ ลมหายใจในอดีตของ Micheal Jackson ที่กำลังเคลื่อนไหวในจอ

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ แต่ยังไม่ออก ]



อันดับ 39

เฉือน / ฝันโคตรโคตร


ปีนี้ เป็น ปีที่ผิดหวังของ หนังไทย เพราะถึงจะมีหนังคุณภาพดีหลายเรื่อง แต่ เรื่องที่ชอบสุดๆ เหมือนสองสามปีก่อนแบบชอบจนติด ท๊อปเทน นั้นไม่มีเลย

สองเรื่องนี้ จึงเป็นที่ชอบที่สุดของปีในระดับสูสีกัน

เฉือน



งานชิ้นล่าสุดของ ก้องเกียรติ โขมศิริ ยังคงมีจุดร่วมที่เราสามารถพบได้ในเรื่องก่อนๆคือ หนังมักพูดถึง ปมหรือบาดแผลบางอย่างในอดีตวัยเด็กของเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะมีโอกาสได้ รับโทษ , ไถ่บาป หรือ แก้ไข ในปัจจุบัน

เป็นหนังที่ให้กลิ่นอาย nostalgia แบบดิบๆแมนๆ เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบจาก หนังสยองขวัญ(ลองของ) , หนังแอคชั่นดราม่า(ไชยา) มาเป็น หนังสืบสวน – ฆาตกรรม (เฉือน)

ชอบที่หนังทำออกมาแล้วกลมกล่อมแบบไทยๆไม่ติดกลิ่นนมเนยของฝรั่ง นอกจากจะสนุกลุ้นชวนติดตาม บทหนังเล่นกับปมทางจิตใจตัวละครและสะท้อนปัญหาสังคมได้เป็นอย่างดี

ข้อด้อยที่สุดที่มีในหนังเรื่องนี้ คือ แผนการตลาด ที่ขาดแรงดึงดูดจนทำให้หนังกำลังเดินตามรอยรุ่นพี่อย่าง ไชยา ไปอยู่ในทำเนียบ ‘หนังดีดูสนุกแต่ถูกเมิน’

เฉือน , ว่าด้วย โศกนาฏ-ฆาตกรรม ในหนังไทยที่ดีที่สุดของปี + 3 เคล็ดลับเพิ่มรายรับให้ 'เฉือน'
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=24-10-2009&group=14&gblog=182


ฝันโคตรโคตร



ผมไม่ชอบหนัง 2 เรื่องก่อนของคุณพิงเลย แต่เรื่องนี้ต่างออกไป

หนังทำให้ผมนึกถึงหนังในกลุ่ม The Science Of Sleep , พลอย , Mulholland Dr. ในเวอร์ชั่นที่ย่อยง่ายกว่าสามเรื่องที่ว่ามา โดยเหมือนกันตรงการเล่นสนุกกับเส้นแบ่งระหว่าง ความจริง และ ความฝัน ที่ตัวละครพยายามเติมเต็มบางสิ่งให้กับชีวิตตัวเอง

แม้ยังหมกมุ่นกับ ‘ชีวิตพิง’ และ ‘ตัวตนพิง (ซิกส์แพ็ค, ประวัติส่วนตัว ฯลฯ)’ แต่เมื่อหนังสามารถผสมผสาน [การเล่นประเด็น ความจริง/ความฝัน + การล้อหรือกัดตัวเองกับคนรอบข้าง + ลูกเล่นแพรวพราวที่ใช้ในการเล่าเรื่อง + สัญลักษณ์และช่องว่างที่ปล่อยให้สมองคนดูได้ตีความตามอัธยาศัย] แล้วออกมาลงตัวได้ในระดับนี้ จัดได้ว่าเป็นก้าวที่กล้า และ น่าชื่นชม

ฝันโคตรโคตร , จากซิกส์แพ็คและหน้าตา มาสู่ ก้าวที่กล้า กับ ความกล้าที่สร้างสรรค์ของ'หนังพิง'
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=22-09-2009&group=14&gblog=179

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ38

Moon




สำหรับแฟนๆหนังไซไฟ คุณอาจคิดว่าปีนี้มีแค่ Avatar , Star Trek และ District 9 เพราะ Moon เป็นหนังเล็กๆไม่มีโอกาสเข้าโรงฉายบ้านเรา แต่จากคะแนนวิจารณ์ที่ได้สูงจากแทบทุกกลุ่มนักวิจารณ์ก็พอจะบอกใบ้ได้กลายๆแล้วว่า นี่เป็นอีกหนึ่งหนังไซไฟน้ำดี

แซม ร็อกเวลล์ ถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจบนดวงจันทร์ตามลำพังเป็นเวลา 3 ปี มีเพื่อนแค่ คอมพิวเตอร์พูดได้ ที่พูดคุยกับเขาแก้เหงา นานๆทีจึงจะมีโอกาสติดต่อกับภรรยาบนโลกผ่านหน้าจอ เมื่อใกล้ถึงวันที่จะได้เดินทางกลับโลก เขาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่า เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

วันถัดมาเขานั่งรถออกไปสำรวจดาว เกิดอุบัติเหตุ ทำให้เขาติดค้างอยู่ในรถสำรวจจนหมดสติ รู้ตัวอีกทีก็กลับมานอนบนเตียง แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองกลับมาอยู่ในสถานีได้อย่างไร

ช่วงแรกของหนังลุ้นดีเหลือเกิน เพราะ เดาไม่ได้จริงๆว่าหนังจะออกไปทางไหน

งานสร้างแจ่ม , สกอร์เลิศ , การแสดงของแซม ร็อคเวลล์เจ๋ง และ บทหนังชั้นดี ส่วนผสมแบบนี้จะพลาดได้เชียวหรือ ?

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ37

Grey ‘s anatomy ซีซั่น 5




น้ำเน่า น้ำเน่า และ น้ำเน่า

แต่ก็เป็นน้ำเน่าที่ชวนหลงใหลและเคลิ้มไปกับชีวิตรักของเหล่าหมอๆ (ที่มั่วกันไปมา) และ ได้ข้อคิดดีๆจาก เหล่าคนไข้ที่เข้ามารับการรักษากับพวกเขา

ซีซั่น 4 เป็น ซีซั่นที่น่าผิดหวังที่สุดของ Grey ‘s anatomy แต่ ซีซั่นนี้คือ การกลับมาที่สร้างสภาวะ อินจัดๆ ให้กับผมได้อีกครั้ง หลายตอนยิ้ม หลายตอน(น้ำตา)ปริ่ม จบแล้วก็รู้สึกอิ่มกำลังดี

เสียดายที่ ซีรี่ย์นี้ เสีย แอ๊ดดี้ ไปให้ Private Practice เพราะเห็นได้เลยว่า เธอกลับมาทีไร หนังก็เหมือนมีความน่าสนใจมากขึ้นทันที

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ36

Adventureland




ผลงานชิ้นล่าสุดของ Greg Mottola ผู้กำกับหนังวัยรุ่นฮาๆที่ผมชอบในความทะลึ่งฮาแต่ไม่อุบาทว์และฉลาดในการนำเสนออย่าง Superbad

Jesse Eisenberg (น่าจะรุ่งมาตั้งแต่ตอนเล่น The Squid and the whale แล้วเงียบหายไป) รับบทวัยรุ่นมาดซื่อที่อยู่ในช่วงสับสนค้นหาตัวเอง เพิ่งเรียนจบไฮสคูล มีแผนจะออกท่องยุโรปเพื่อหลีสาวในที่แปลกใหม่ แต่เมื่อพ่อแม่เกิดปัญหาทางการเงินกะทันหัน นอกจากจะไม่มีเงินเที่ยว ยังอาจไม่พอจะส่งเรียนต่อ เขาจึงต้องหารายได้เสริมด้วยการไปทำงานที่สวนสนุกชื่อ Adventureland

ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้กำกับคุมโทนหนังได้อบอุ่นน่าดูอย่างคงเส้นคงวา ผสมผสานระหว่าง ความโรแมนติกกับการเติบโตของตัวละครได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ และ ตัวละครประกอบต้องขอบคุณคนเขียนบท ที่ไม่ทำให้พวกเขาเป็นตัวละครแบนๆ แต่สร้างความน่ารักน่าคบหาเกือบทุกคน

และ คริสเตน สจ๊วต ในเรื่องนี้ดูสดใสสมวัยทั้งๆที่ชีวิตก็มีปัญหาหลายอย่าง แต่อย่างน้อยใบหน้าก็ไม่ได้อมบูดเหมือนท้องผูกตลอดเวลาใน New Moon ที่มีแค่ปัญหาผู้ชายอย่างเดียว

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ35

The Boy in Striped Pyjamas




อย่าหลงกลเห็นหน้าปกเวอร์ชั่นหนังสือฉบับแปลของไทย แล้วเข้าใจว่า เป็นเรื่องราวเด๊กเด็กน่ารักซึ้งๆ เพราะนี่คือ เรื่องราวชวนสะเทือนใจ ของ เด็กสองคนที่พบ ความเป็นเพื่อน ในภาวะสงคราม โดยที่ต่างฝ่ายต่างยืนคนละฝั่งกัน

มีหลายอย่างในหนังเรื่องนี้ที่ทำให้ผมคิดถึง Life is beautiful เพราะนอกจากจะพูดถึง นาซี-ยิว ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เหมือนกันแล้ว Life is beautiful กับ The Boy in Striped Pyjamas ยังน่าสนใจตรงประเด็นร่วมที่ว่าด้วย เด็กในภาวะสงคราม , เกมส์ของเด็กๆ และ การบิดเบือนความจริง

ฉากสะเทือนใจที่สุดของผมใน Life is beautiful คือ ฉากในตรอกเล็กๆตอนท้าย ที่หนังทำให้เห็นว่า ถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ชายหนุ่มอย่างกุยโด้ก็ไม่เคยหยุดที่จะปกป้องความงดงามในโลกของลูกชาย

ตรงกันข้ามกับ The Boy in Striped Pyjamas ที่ฉากสะเทือนใจคือการได้เห็น โลกอันงดงามของเด็กๆถูกทำลายย่อยยับทีละเล็กละน้อย ด้วยมือของผู้ใหญ่ที่ไม่เคยใส่ใจพวกเขาเลย

ตอนที่ผมดู Life is Beautiful จบครั้งแรก ผมชอบตัวหนังและชื่อหนัง ที่ทำให้เห็นว่า แม้รอบตัวเราจะโหดร้ายสิ้นหวังอย่างไร มันก็มิใช่ว่า จะไม่มีความงดงามหลงเหลือให้ชื่นชม ตราบใดที่เรายังสามารถรู้จักเลือกมุมที่จะมอง

แต่เมื่อผมดู The Boy in Striped Pyjamas จบ ผมก็พบว่า ความงดงาม ในชีวิตของเด็กมีเงื่อนไขต่างจากผู้ใหญ่ ตรงที่พวกเขาไม่ได้มีสิทธิเลือกด้วยตัวเอง แต่ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ว่าจะสร้างโลกของพวกเขาให้ออกมาเป็นเช่นไร

สิ่งที่เด็กๆใน The Boy in Striped Pyjamas ได้รับ ทำให้เห็นว่า มันน่าเศร้าเพียงใด ที่ความบริสุทธิ์งดงามถูกลิดรอนโดยความขัดแย้งของผู้ใหญ่ จนทำให้ จากผ้าขาวกลายเป็นสีดำและ เถ้าถ่านในที่สุด

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ34

He's Just Not That Into You





ข้อดีของหนังสือ He's Just Not That Into You คือ คำแนะนำของผู้เขียนเหมือนหมัดแย็บที่พุ่งเข้าตรงๆให้ผู้อ่านยอมรับความจริง แทนที่จะหาเหตุผลช่วยให้ตัวเองสบายใจ หนังสือพยายามให้เราวิเคราะห์สถานการณ์ แล้ว เผชิญหน้ากับความเป็นจริง ว่าที่เขาทำให้เราผิดหวังก็เพราะ ‘เขาแค่ไม่ปิ๊ง(คุณ)จริงๆ’

แต่ ผมไม่ค่อยชอบ หนังสือ เท่าไหร่ เพราะอ่านๆไปก็ดูจะสรุปแบบสูตรสำเร็จไปนิด ทั้งที่ชีวิตคนแต่ละคนย่อมมีที่มาต่างกัน

ข้อด้อยข้อนี้ได้รับการปรับปรุง เมื่อ ถูกนำมาสร้างเป็นหนัง เพราะหนังไม่ได้ใช้ประโยค keyword นี้ตอบทุกโจทย์ความรัก แต่ เวอร์ชั่นหนังมีการเติมพล็อตเรื่อง ใส่ตัวละคร แล้ว ผูกเรื่องราวขึ้นมาใหม่หมด ต่างจาก หนังสือที่มีแค่การตอบคำถามเป็นบทๆ

การที่หนังนำเสนอความสัมพันธ์หลายคู่ที่มีมีส่วนเกี่ยวพันกัน และ ระดมดาราดังๆมาเล่น ไม่ว่าจะเป็น เจนนิเฟอร์ อนิสตัน , เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ , เบน แอฟเฟล็ค , สการ์เล็ตต์ โยฮันส์สัน , ดรูว์ แบรี่มอร์ ฯลฯ คงทำให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงหนังรักหลากคู่หลากสไตล์อย่าง Love actually จะต่างไปก็ตรง

He's Just Not That Into You มีความชวนฝันน้อยกว่า ไม่หวานเลี่ยนจนเกินไป ไม่ได้ดูแล้วชุ่มชื่นหัวใจไปเสียทั้งหมด แต่ สามารถจับประเด็น ปัญหาของความสัมพันธ์ได้ตรงจุดแล้วพุ่งไปหาคนดูแบบไม่อ้อมค้อม เหมือน กระจกสะท้อนความสัมพันธ์ในชีวิตจริงที่ดูแล้วเจ็บจี๊ดโดนใจ เหมาะที่จะใช้เป็น กรณีศึกษา ว่าด้วย ชีวิตรักที่ไม่ลงตัว

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ33

Doubt




ดู Doubt แล้วคิดว่า หนังช่างเหมาะกับสังคมไทยในปัจจุบันเสียเหลือเกิน ที่ความวุ่นวายส่วนหนึ่งมาจากการเผลอตัดสินคนอื่น จาก ความเชื่อ , จากคำ ‘เขาว่ากันว่า..’ หรือ จากลางสังหรณ์ โดยปราศจากหลักฐานข้อเท็จจริง

ซึ่งไม่ต่างจากตัวละครในหนัง แถมในบางฉาก ตัวละครยังประกาศอีกต่างหากว่า ความจริงเป็นอย่างไรชั้นไม่สน ชั้นสนแต่สิ่งที่กระทบกับชั้นหรือคนใกล้ตัว , ความจริง ต้องเป็นตามสิ่งที่ฉันคิด

ทีมนักแสดงในหนังเรื่องนี้ เล่นกันเขี้ยวลากดินชนิดกินกันไม่ลง ขนาด วิโอล่า เดวิส ออกมาแค่ สิบนาที ยังไม่ยอมให้ เมอรีล สตรีฟ ข่มแม้แต่น้อย

เมอรีล เด็ดขาดมากๆตั้งแต่ฉากเปิดตัวที่ตรงไปป้าบกะโหลกเด็ก ส่วน เอมี่ อดัมส์ ตอนแรกแอบคิดว่า โผล่มาเล่นผิดเรื่องหรือเปล่า แต่พอเห็น ความแอ๊บแบ้วแบบเนียนตา ก็คิดว่า บทนี้แหละ เขียนมาให้เธอโดยแท้

บทบรรยายของหลวงพ่อฟลินน์ในหนังก็เป็นอีกส่วนที่ชอบมาก โดยเฉพาะช่วงทีเปรียบ การนินทา กับ กรีดหมอนขนเป็ด นี่เห็นภาพชัดเจนดีแท้

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ32

Goemon




ปกติแล้วตัวเองจะไม่ค่อยถูกจริตกับ หนังญี่ปุ่นเน้นโชว์ CG หวือหวา อารมณ์แฟนตาซีหรือการ์ตูน แต่ Goemon จัดเป็นข้อยกเว้น

ไม่เพียงแต่งานด้านเทคนิกจะอลังการ ตัวเนื้อหาของหนังยังหยิบประวัติศาสตร์มาเรียบเรียงใหม่อย่างสนุกสนาน ถึงจะมีความเว่อร์ในสไตล์ใกล้เคียงการ์ตูนไปหน่อย ก็ไม่ทำให้ความเข้มข้นของหนังลดลงแต่อย่างใด

แถม ประเด็นในหนังที่ว่าด้วย การแก่งแย่งอำนาจ โดยมี ประชาชนและลูกสมุนผู้ซื่อสัตย์เป็นแค่หมากของผู้นำ ดูแล้วสะทกสะท้อนใจยังไงพิกล

เห็นบรรยากาศสงครามในหนังทำออกมาได้ดีแบบนี้ ได้แต่ฝากความหวังให้ผู้กำกับคนนี้หยิบการ์ตูน Berserk มาสร้างโดยเร็ว

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ แต่ยังไม่ออก ]



อันดับ31

The Proposal




ไม่แปลกใจที่ The Proposal จะประสบความสำเร็จในตารางหนังทำเงิน เพราะคุณลักษณะเด่นสุดของหนังเรื่องนี้ ที่สามารถชนะใจคนดูแทบทุกเพศทุกวัย คือ ‘ความน่ารัก’ชนิดคะแนนเต็มสิบ ซึ่งมาจากการเลือกคู่นักแสดงที่จับคู่กันได้อย่างเหมาะสม , บทหนังที่เขียนขึ้นมาราวกับต้องการเรียกรอยยิ้มคนดูทุกๆสิบนาที

และ การแสดงของสองนักแสดงนำที่รับส่งได้กันแบบกุ๊กกิ๊กน่ารักน่าชัง โดยเฉพาะ แซนดร้า บูลล็อค ที่ย่างเข้าวัย 46 ปี ยังคงดูดีและมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง

ขอยกรางวัลชนะเลิศสาขา หนังน่ารักแห่งปี ที่ความน่ารักมาบังตา ทำให้พอมองข้ามจุดอ่อนทั้งหลายที่มีอยู่

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ30

Frost / Nixon




ผมชอบฝีมือการกำกับหนังดราม่าหนักๆของ รอน โฮเวิร์ด จากเรื่องนี้มากที่สุดเมื่อเทียบกับงานของเขาในรอบสิบปีที่ผ่านมา และ พิสูจน์ให้เห็นว่า จะให้ทำหนังซัมเมอร์อย่าง Angels & Demons เขาก็ทำได้ และ ถ้าจะมาทำหนังคุณภาพหวังรางวัล เขาก็พัฒนาฝีมือดียิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก

การนั่งดูหนังเรื่องนี้ เหมือน นั่งดูมวย ที่เราได้เห็นตั้งแต่การวางแผนก่อนขึ้นชก , การแลกหมัดเป็นยกๆ และ หมัดน็อคบนเวที เพียงเปลี่ยนจาก หมัดๆมวยๆ เป็น การพูดคุย และเปลี่ยนจาก ‘นักมวย’ เป็น ‘นักการเมือง VS. พิธีกรรายการโทรทัศน์’

ตอนแรกกังวลเล็กน้อยว่าจะดูไม่รู้เรื่อง เพราะ ส่วนตัวผมเองมีความรู้การเมืองอเมริกันระดับมัธยม แต่ดูแล้วเข้าใจได้สบายๆไม่ยากเย็น ซึ่งคงต้องชม ปีเตอร์ มอร์แกน ที่ถนัดเหลือเกินกับการเขียนบทหนังที่ัดัดแปลงจากชีวิตคนจริง เช่น The Queen (ล่าสุด มาเขียนบท บอนด์ น่าลุ้นว่าจะเป็นอย่างไร)

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ 29

Milk





ตอนแรกก็ปลื้มลุงมิคกี้เป็น แรนดี้ แรม เชียร์ให้แกได้ออสการ์ แต่พอได้มาดูนม(Milk)ก็เปลี่ยนใจคิดว่ายกให้เฮียเพนน์เค้าไปเหอะ

ฌอน เพนน์ เล่นได้ยอดเยี่ยมกระเทียมดอง คือ ดีแบบไม่ต้องปล่อยพลังแต่เก็บได้ทุกอารมณ์ทุกรายละเอียด ทุกช็อตทุกซีน ไม่มีหลุด ดูแล้วเชื่อในความเป็นเกย์(ที่แกไม่ได้เป็น) เชื่อในความเป็นนักการเมืองยอดนักสู้(ซึ่งแกก็ไม่ได้เป็นอีกเช่นกัน)

ไม่ใช่แค่ป๋าเพนน์ แต่นักแสดงรอบข้าง ก็เล่นได้เยี่ยมทั้งสิ้น ชนิดที่ฉีกบทแมนๆของตัวเองออกไปได้แบบน่าทึ่ง

ส่วนตัวหนังเล่าเรื่องได้สนุก ยังนึกอยู่เลยว่า ถ้าคนเป็นเกย์อยากจะหาหนังซักเรื่องที่ให้คนอื่นเข้าใจเกย์มากยิ่งขึ้น หนังที่ควรเลือกมาฉายไม่ใช่ BBMT แต่เป็นเรื่องนี้ต่างหาก ที่จะทำให้คนเข้าใจได้ดียิ่งกว่า

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ 28

My Sister's Keeper




ตอนเข้าโรงก็ฉายแต่โรงแพงๆไม่กี่โรง โฆษณาก็ลงช่องเล็กกะจิ๊ดริด กระแสก็ไม่ได้แรงมาก จึงไม่แปลกใจที่หลายคนไม่ได้ดู

ยังจำได้ถึงเสียงสูดน้ำมูกฟื้ดฟ้าด คนปาดน้ำตาป้อยๆ ในโรงหนัง เมื่อนั่งดู ชีวิตครอบครัวที่มีลูกสาวคนโตเป็นมะเร็ง และ ลูกสาวคนเล็กที่พ่อแม่ให้กำเนิดมาเพื่อเป็นเด็กอะไหล่คอยบริจาคเลือดหรือเจ็บตัวช่วยพี่สาว

วันดีคืนดี ลูกสาวคนเล็ก ตัดสินใจจ้างทนาย ขอสิทธิในการตัดสินใจเป็นของร่างกายตัวเอง ไม่ยอมที่จะทำตามพ่อแม่บังคับรักษาอีกต่อไป

ส่วนหนึ่งของหนัง น่าจะทำให้ ผู้ใหญ่ หันมาใส่ใจ ความรู้สึกนึกคิดของเด็กมากขึ้น จากที่ผู้ใหญ่มักจะคิดว่า เด็กไม่คิดไม่รู้สึกอะไร แค่ทำตามๆที่ผู้ใหญ่บอกซึ่งมันไม่จริงเลย บวกกับ การแสดงให้เห็นผลกระทบในครอบครัวที่มีผู้ป่วยเรื้อรังหรือระยะสุดท้าย ว่า มีความเจ็บปวดอะไรที่เกิดขึ้นและเราจะช่วยเหลือคนอื่นๆที่ได้รับผลกระทบอย่างไร

และเมื่อถึงตอนท้าย หนังก็เพิ่มประเด็นในแง่ของ การปล่อยวาง และ ช่วยให้คนที่มีผู้ป่วยระยะสุดท้าย เข้าใจความรู้สึกของพวกเขามากยิ่งขึ้น

เป็นหนังดราม่าที่ห้ามพลาด และก็ห้ามลืม กระดาษทิชชู่ไว้เช็ดน้ำตา

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ 27

Martyrs




หนังลาบเลือดในยุคปัจจุบัน มักพยายามยัดเยียดความรุนแรงเกินความจำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ อาจเพราะเข้าใจว่า ปริมาณตับและลำไส้ จะทำให้ หนังสนุกขึ้น

Martyrs ก็เป็นหนังที่สาดใส่ความรุนแรงจนเกินจะรับไหวจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่หนังประเภทลาบเลือดตลาดสด ที่ซดเลือดเป็นถุงๆโดยไร้เนื้อหา

เด็กสาวสองคน บุกเข้าไปในครอบครัวหนึ่งที่แสนอบอุ่นแล้วสาดกระสุนสังหารคนในบ้าน ด้วยเจตนาล้างแค้นที่เคยทำ ทารุณ บางอย่างกับเด็กหนึ่งในสองคนนั้นหลายปีก่อน

เมื่อเสร็จภารกิจ คำถามที่เกิดขึ้นในใจของพวกเธอคือ มั่นใจได้อย่างไรว่ามาถูกบ้าน ? เพราะสมาชิกพ่อแม่และลูกๆดูแสนจะเป็นคนดี หรือพวกเธอจะสังหารผิดครอบครัว

และ คำถามที่สองเกิดแก่คนดูคือ เด็กสาวที่แค้นจัดๆคนนี้ โดนกระทำอะไรมา ?

ความฉลาดเล่าที่ผมชอบ คือ ครึ่งหลังของหนังจะตอบข้อสงสัยในครึ่งแรก และเป็นการมาแบบครบแพ็คเก็จการทารุณกรรม หลังจากครึ่งแรกหนังปล่อยให้เรารับรู้แค่ได้ยินจากคำบอกเล่าของตัวละคร และแกล้งไม่บอกว่าเธอโนอะไร

ซึ่งคำตอบที่ได้รับที่มาพร้อมเหตุผล นอกจากจะสลดใจ ยังสะท้อนด้านมืดของสังคมกลุ่มหนึ่ง ที่ใช้ ความงมงายของตัวเอง มาเป็นข้ออ้างในด้านของศรัทธาและการเรียนรู้

[ ไม่มีแผ่นลิขสิทธิ์ อาจต้องพึ่งบิทและกุ๊กกู๋ ]



อันดับ 26

BoyA




ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังจะกลับเข้าสังคม หลังจากถูกคุมขังมาหลายปี
เขาออกมาสู่สังคมโดยมีเจ้าหน้าที่รุ่นพ่อคอยดูแล ให้กำลังใจ และ ช่วยสร้างตัวตนใหม่ เพื่อลืมอดีตเลวร้ายที่เขาเคยทำในวัยเด็ก

ทุกอย่างดูเหมือนจะดำเนินไปด้วยดี เขามีงานดีๆทำ มีผู้หญิงดีๆมาสนใจ มีเพื่อนใหม่ๆที่น่าคบ และ มีบุคคลที่เหมือนพ่อคนที่สองคอยช่วยเหลือ

แต่ในเมื่อ คนเราไม่มีวันหนีอดีตไม่พ้น และ ยังมีคนที่ยังไม่คิดให้อภัย บวกกับ ยังมีคนที่สนุกกับการทำข่าวโดยไม่สนใจว่าใครจะเป็นจะตาย นำมาสู่ ชะตากรรมอันเลวร้ายที่ชายหนุ่มต้องกลับไปเผชิญ ทั้ง ความผิดบาปจากอดีต และ ความเกลียดชังที่โหมกระหน่ำในช่วงเวลาปัจจุบัน

นี่คือหนังดราม่าจากอังกฤษที่ดูเหมือนจะน่าเบื่อ ผมจึงหยิบงานอื่นมานั่งทำพร้อมกับนั่งดูไปด้วย แต่ปรากฎว่า ตลอดสองชั่วโมงของหนังตรึงผมไว้ที่หน้าจอ จนไม่สามารถทำอย่างอื่นไปพร้อมๆกันได้เลย

เห็นแผ่นเมื่อไหร่ หามาดูกันให้ได้นะพี่น้อง

[ ไม่มีแผ่นลิขสิทธิ์ อาจต้องพึ่งบิทและกุ๊กกู๋ ]



อันดับ 25

New York, I Love You


ตัวหนังรวมๆรู้สึกชอบประมาณหนึ่ง แต่มี 2 ตอน ที่ผมชอบเอามากๆ คือ



ตอน ง่ายบวกจี๊ดดดด - คุณปู่คุณย่าณ. Brighton Beach ที่เล่าเรื่องง่ายๆ แต่ให้ความอิ่มอกอิ่มใจมากมาย



ตอน ติ๊สบวกงาม - ตอนที่ Shekhar Kapur มาสานต่อผลงานของ แอนโธนี่ มิงเกลล่า ถ่ายทอดอารมณ์ รัก เหงา เศร้า และ หวนรำลึกอดีต ได้อย่างละเมียดจับใจ

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ 24

Gran Torino




การที่ตัวละครรุ่นคุณลุงคุณปู่ยังสามารถเป็น พระเอกในหนังได้ คือ ข้อดีของวงการหนังเมืองฝรั่งมังค่าที่มีมาช้านาน ที่ต่อให้นักแสดงอายุอานามเข้าขั้น ปู่ย่า แต่ถ้าเขาหรือเธอมีฝีมือ ก็ย่อมมีโอกาสยืนหยัดเป็นดาราแถวหน้าในหนังได้ เฉกเช่น ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ในวัน หกสิบกว่า ยังเบ่งกล้ามตะลุยป่าใน Rambo ภาคล่าสุด

หรือ รุ่นปู่ที่ทุกคนเคารพนับถือในวงการมากที่สุดคนหนึ่งอย่าง คลิ้นต์ อีสต์วู๊ด ก็ยังมีผลงานอยู่ต่อเนื่อง ทำหนังปีละสองเรื่อง เข้าชิงรางวัลทุกเรื่อง มาเรื่องนี้ ยังพ่วงเล่นเองอีกต่างหาก

Gran Torino เป็นผลงานที่เข้าข่าย มาสเตอร์พีซ อีกเรื่องหนึ่งของ คลินต์ อีสต์วู๊ด เป็นงานที่ตอบโจทย์คำถามประมาณว่า “ถ้าคลินต์ อีสต์วู๊ดจะเล่นหนังแอคชั่นในวัย 80 หนังเรื่องนั้นควรเป็นเช่นไร ?” เพราะจะให้เขาวิ่งไล่ฟัดตัวร้ายก็คงไม่ได้ดูทะมัดทะแมงเหมือนแต่ก่อน

ฉากแอคชั่นหรือความเท่สะใจในหนังเรื่องนี้ไม่ได้มาจาก การขับรถไล่ล่า หรือ กระโดดชกหน้าเตะก้านคอ แต่เป็นแอคชั่นที่ใช้ความเก๋าเข้าช่วย แสดงให้เห็นถึง พัฒนาการของหนังที่เติบโตไปตามวัยของผู้กำกับ และ ที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นกว่างานเก่าๆคือ การปิดฉากของหนังที่แฝงมุมมองของการเอาชนะความรุนแรง ด้วยการ ไม่ใช้ความรุนแรง ในฉากที่บอกได้สั้นๆว่า แมนโคตรและโคตรแมน

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ 23

30 rock




สองสามตอนแรก รู้สึกว่าเป็น ซีรี่ย์ที่มุกแป้กมาก สงสัยมากว่าทำไมใครๆถึงชม ทีน่า เฟย์ นักแสดงนำและผู้สรรสร้างซีรี่ย์ชุดนี้จนอยู่ได้มาหลายปี

จนกระทั่งผมพบว่า มันเหมือนคำสาป ที่นั่งดูไปเรื่อยๆ ต่ออีกซักสองสามตอน เมื่อเริ่มคุ้นเคยกับกลุ่มตัวละครในบริษัททำรายการโทรทัศน์ ที่แต่ละคนมีบุคลิกเฉพาะตัว จาก มุกแป้กๆทั้งหลาย กลับกลายเป็น ความฮา และ ยิ่งงี่เง่ามากเท่าไหร่ ยิ่งฮามากขึ้นทุกที และ ทวีความฮามากขึ้นทุกตอน

เสียดายที่แผ่นซับไทยเพิ่งมีแค่ ซีซั่นเดียว

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ 22

Last Chance Harvey




หากคิดถึงหนังรักมีวุฒิภาวะ Last Chance Harvey เป็นหนังรักที่เข้ามาเติมเต็มให้หายคิดถึง หนังรักดีๆที่ไม่ค่อยมีในระยะหลัง คือไม่ใช่รักหนุงหนิงนิ๊งหน่อง และ บิวท์ให้รู้สึกดีแบบไม่มากไม่น้อยไป

สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก และ ผมคิดว่าเป็นตัวอย่างอันดีในการตอบคนที่เคยสงสัยว่า เวลาไปอ่านเจอบทความที่พูดถึง Chemistry ที่เข้าคู่กันของคู่พระนางเป็นอย่างไร การแสดงของ ดัสติน ฮอฟแมนน์ และ เอ็มม่า ธอมป์สัน เป็นคำตอบที่เห็นภาพชัดเจน โดยเฉพาะฉากที่ร้านอาหารสนามบิน ที่เห็นปุ๊บแล้วบอกได้ว่า เป๊ะเลย

ที่ชอบอีกอย่างคือ มุกตลกในหนังเรื่องนี้ ล้วนน่ารัก ทั้งที่มาจาก บทของแม่นางเอก และ ฉลาดกัดแกมหยอกโดยเฉพาะ'ความเป็นอังกฤษ-อเมริกัน' ที่หนังแหย่ได้น่ารักดี


Last Chance Harvey , โอกาสของความรัก โอกาสของชีวิต
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=23-04-2009&group=14&gblog=154

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]



อันดับ 21

The Reader





สิ่งที่ผมชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ยิ่งกว่าการแสดงชั้นดีของ เคต วินสเลต คือ การถ่ายทอดอารมณ์ของหนัง ที่ให้ความรู้สึกเหมือนตอนอ่านหนังสือ นั่นคือ อ่าน(ดู)จบ แล้ว ความร้าวรานบาดลึกยังค้างอยู่ในใจของเราต่อไปอีกหลายวัน

ถ้าไม่ติดตรงตอนจบ ที่ผมรู้สึกว่า หนังพยายามจะบรรเทาความเจ็บปวดให้กับตัวละครและคนดูมากเกินไป ผมจะชอบหนังเรื่องนี้สุดๆ

[ มีแผ่นลิขสิทธิ์ ]






... Blog หน้า สัปดาห์หน้า จะมาต่ออีก 20 เรื่อง ถือเป็นการ ปิดท้าย Blog ที่สุดของปี 2009 ด้วย

5 หนังไม่ชอบ + 20 อันดับหนังประทับใจ



ก่อนที่จะ แถมท้าย กันให้ตายไปข้าง ไม่คนอ่านก็คนเขียน กับ


20 อันดับหนัง จี๊ดดด อู้ววว ว้าววว ประจำทศวรรษ





ป.ล. เนื่องด้วยระยะหลังไม่ค่อยได้เขียน blog ยาวๆได้ครบทุกเรื่องที่ดู เลยชวนอ่าน ชวนคุย ผ่านทาง twitter "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" ได้ที่ //twitter.com/ibehindu เน้อ แต่ถ้าใครเล่น Facebook ก็ชวนไปคุยกันต่อได้ที่ fan page "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" (www.facebook.com/IbehindYou) หรือ คลิกตามรูปด้านล่างแล้ว กด become fan คุยกันได้โลด


"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"

Promote Your Page Too







Create Date : 20 มกราคม 2553
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2553 1:49:04 น. 20 comments
Counter : 12315 Pageviews.

 


โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:2:19:26 น.  

 
ตามมาอ่านนะคะ

ว้าว ได้ดู บอย เอ แล้วด้วย
ชอบหนังเรื่องนี้มาก (แต่บังเอิญหนูจัดเป็นหนังของปีที่แล้ว เลยจัดอันดับไปแล้ว ท็อป ทเวนตี้นะ ถ้าจำไม่ผิด

หวังว่า คงจะได้เห็น ยัยป๊อปปี้ ในท็อปเทนนะคะ


โดย: จูริง IP: 41.233.165.126 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:2:59:09 น.  

 
หวัดดีคับ
นี้เป็นครั้งแรกที่ได้เขียนคอมเม้น
หลังจากที่ไม่ได้จ่ายค่าบริการอ่านมานาน
ผมตามอ่านบล็อกพี่ตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว
สำนวนการเขียนของพี่เหมือนเพื่อนผมคนหนึ่ง
ประทับใจได้ไม่รู้เบื่อ
จะติดตามอ่านเรื่อยๆน่ะพี่


โดย: ชื่อแบ็คคับ IP: 94.196.1.107 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:7:07:03 น.  

 
เข้ามาเก็บ

เสียใจจัง "ความรักสั้นฯ" ไม่ติดเหรอเนี่ย


โดย: จุใจ IP: 58.10.27.4 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:8:26:06 น.  

 
แวะมาอ่าน อ่านเพลิน เชียว
ติดตรง คิดว่า ผมอยู่ข้างหลังคุณ หล่อเทพพพ และ จิตใจงามหยดย้อย แต่เจอตัวจริงแล้วผิดหวังเพราะ แค่ หล่อมากและจิตใจดีเลิศ
ไม่ค่อย เลยนะคะ


โดย: jubu IP: 110.169.40.203 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:8:35:35 น.  

 
มีตั้งหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู
และก็มีอีกตั้งหลายเรื่องที่เพิ่งเคยได้ยินชื่อเนี่ย


โดย: หัวใจสีชมพู วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:11:40:38 น.  

 
ขอบคุณค่า

อ่านแล้วได้ลิสต์หนังที่น่าดูอีกเพียบบบ

ขอให้จขบ.บ้าพลังแบบนี้บ่อยๆนะคะ..อิอิ


โดย: Budd IP: 58.9.234.42 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:14:00:39 น.  

 
เลื่อนมาอ่านเจอตรงเรื่อง Harry Potter ดีใจจนแทบน้ำตาไหลเลยค่ะ เพราะดูแล้วชอบมากๆ ผกก.กล้ามากที่ตัดแอ็คชั่นท้ายๆเรื่องไปทั้งยวง แต่กลับทำให้ทุกอย่างพอดี ไม่มาก ไม่น้อยเกิน พอไปอวยให้คนอื่นฟัง เขาก็เฉ่งกลับมาทุกทีว่าภาคนี้ไม่เห็นสนุก

โดดเดี่ยวมานาน ที่แท้พี่หมอก็ชอบเหมือนกัน ฮือ(ซับน้ำตาด้วยความปลื้มปิติ)


โดย: รถขนมปังกรอบ IP: 117.47.185.16 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:16:09:17 น.  

 
ตรงใจหลาย ๆ เรื่องค่ะ
และก็มีหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู

ตอนแรกอยากดู Nick & Norah's Infinite Playlist อยู่แล้ว
พอมาอ่านบล็อกคุณหมอแล้วยิ่งคลั่ง ไอตรงที่บอกว่าเหมือน Once นี่แหละ
พอเรากรี๊ด Once มาก ดูบ่อยมาก ๆ เลยค่ะ


โดย: clairejiras IP: 58.9.253.156 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:17:35:52 น.  

 
เขียนยาวดีจังค่ะ
เรื่อง harry potter นี่แปลกดีที่รอบๆตัวเรามีแต่คนชอบ เราเองก็ชอบมากเพราะลืมเนื้อหาในหนังสือหมดสิ้นแล้ว :D


โดย: โปรดทำให้ฉันหยุดหัวเราะ IP: 115.67.210.132 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:20:28:21 น.  

 
ปีนี้เป็นปีที่ผมดูหนังน้อยมากเลยครับ แต่ใน List ของคุณผมอยู่ข้างหลังคุณ มี

1. The Reader ที่ผมได้มีโอกาสดูครับ ที่แน่ๆ ชอบมาก หนังจบ อารมณ์ผมค้างไปนานมาก หลายวันเลย เพราะจุกในใจอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ

2. Martyrs อันนี้ดูไปสะท้อนใจไป ลุ้นไปว่า โอย โหดมาก จนต้องปิดก่อน สงบจิตใจ แล้วค่อยดูใหม่ ตอนจบอึ้งไปเลย

3. He's Just Not That into You ชอบมากครับ เห็น Goodwill เล่นได้โดนมากๆ ชอบสุดๆ ไปเลยครับ

จะมาติดตามอีก 20 อันดับอีกรอบนะครับ


โดย: เข็มขัดสั้น วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:20:42:27 น.  

 
ตามติดพี่หมอค่ะ
รออ่านบลอคหน้าอยู่นะค่ะ ^^


โดย: Jane IP: 58.64.123.39 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:22:01:32 น.  

 
Tell no one[ ยังไม่มีแผ่นลิขสิทธิ์ อาจต้องพึ่งบิทและกุ๊กกู๋ ]
BoyA [ ไม่มีแผ่นลิขสิทธิ์ อาจต้องพึ่งบิทและกุ๊กกู๋ ]

อืม...สงสัยต้องก่ออาชญากรรมอย่างน้อยสักสองคดีแล้ว
ถ้าก่ออาชญากรรมด้วยตัวเองไม่สำเร็จจะมาขอคำชี้แนะนะคะ

"ขอบคุณที่บ้าพลัง"


โดย: Quasar วันที่: 23 มกราคม 2553 เวลา:1:58:48 น.  

 
ปีนี้ผมไม่ค่อยได้ดูหนังเท่าไหร่เลยครับ ใน list นี้รู้สึกจะได้ดูแค่ propsal (น่ารักจริง) กับ Harry6 (เห็นด้วยครับว่าเป็นหนังแฮร์รี่ที่ดีที่สุดที่เคยมีมา)
อยากดู Knowing, Julie and Julia แล้วพออ่านรีวิวก็อยากดู Goemon ด้วยครับ


โดย: เจรามี วันที่: 23 มกราคม 2553 เวลา:13:48:35 น.  

 
เข้ามาลุ้น Avatar


โดย: Charles IP: 203.144.144.164 วันที่: 23 มกราคม 2553 เวลา:16:12:26 น.  

 
เข้ามาจ่ายค่าบริการเป็นครั้งแรกหลังจากที่ตามอ่านมานาน

เพิ่งรู้ว่ามีคนชอบ martyrs เหมือนกันเลย เอาไปให้คนอื่นๆดู ไม่มีใครดูจบเรื่องสักคน

แล้วจะรออ่านตอนหน้านะครับ


โดย: harry-the-red@RMT IP: 10.50.0.175, 127.0.0.1, 125.27.55.198 วันที่: 25 มกราคม 2553 เวลา:12:37:44 น.  

 
ยังติดตามอยู่เสมอ ทั้ง blog และ หนังสือ นะครับ
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับ fringe 5 นาทีของแผ่นสุดท้าย คิดได้ไงเนี่ยะ บระเจ้าส์ :)


โดย: np IP: 10.15.1.55, 58.137.199.126 วันที่: 28 มกราคม 2553 เวลา:18:39:02 น.  

 
จาเข้ามาทวงตอนสองอะครับคุณพี่ (แต่คาดว่าคงงานยุ่ง) มาดูๆแล้วก็เห็นว่ามีอีกหลายเรื่องที่ผ่านตาโดยไม่ได้ตั้งใจและโดยตั้งใจ(เพราะไม่ตรงแนว) แต่พอเห็นคุณหมอเขียนอย่างนี้แล้วต้องรีบแจวไปหาๆ หลายๆเรื่องๆ ข้างต้นมาดู ตอนนี้ได้ดู moon แล้ว อืม แซม เล่นได้เจ๋งดีครับ เล่นคนเดียวทั้งเรื่องได้อารมณ์เหงาๆ เปลี่ยวๆ ดี
martyr เคยดูมาก่อนแล้ว ต้องยอมรับว่าหนังทำออกมาได้รุนแรง ทรมาน ทรกรรม คนดูเหลือเกิน
ตอนใต้ดินนี่แทบจะปิดอยู่หลายๆ รอบ แต่ก็กัดฟันดูจนจบและได้ค้นพบสัจธรรมของชีวิตจริงๆ เหอเหอ

ยังรอคุณหมออยู่นะครับ และไม่ลืมที่จะกล่าวว่า
"ขอบคุณครับ"


โดย: โลกแบนๆ IP: 203.144.144.164 วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:0:56:17 น.  

 
ขออภัยที่รอนาน แต่ตอนจบมาแล้วจ้า ตามไปอ่านกันได้โลดดดด


โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:2:38:08 น.  

 
มาติดตามบล็อกครับ


โดย: lavenderbreeze999 วันที่: 30 ตุลาคม 2554 เวลา:20:12:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
มกราคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
20 มกราคม 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.