www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

Always: Sunset on Third Street 2 , บางสิ่งที่ไม่สามารถซื้อหา และ มีคุณค่ามากกว่าเงินทอง

ผมเองเป็นหนึ่งในแกนนำม็อบหน้าม้า หาคนดูเข้าไปชม เพราะประทับใจกับความรู้สึกอิ่มอุ่นที่หนังมอบให้ ดั่งหลักฐานที่เขียนไว้ใน blog นี้



ขออาสาเป็นหน้าม้า ขออาสาเป็นป๋าดัน เชียร์หนัง .. Always: Sunset on Third Street (หนังของเขาดีจริงๆ)
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=5&month=04-2006&date=24&blog=1



... แม้หนังจะอยู่ในกลุ่มที่ บิวท์สุดฤทธิ์ แต่ผมก็ไม่ขัดข้องหาก การบิวท์นั้นมีประสิทธิภาพมากพอที่จะโน้มน้าวให้เราคล้อยตามที่จะรักและอินไปกับมัน ดั่งที่เขียนไว้ใน blog นี้

Always: Sunset on Third Street , บางสิ่งที่ไม่อาจเห็นได้ด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยใจ//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=05-2006&date=13&group=1&blog=1



... ความจำสุดท้ายเมื่อสองปีก่อน คือ ความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในหนังที่ผมไม่อยากให้สร้างภาคต่อ เพราะ ภาคแรกจบสมบูรณ์ในตัวเองแล้ว แต่เมื่อผู้สร้างทีมเดิมคิดจะสร้างภาคสองขึ้นมาจะให้พลาดได้อย่างไร




...เรื่องราวในภาคสอง สานต่อภาคแรกแบบไม่ทิ้งช่วงไปนาน นับตั้งแต่ ฮิโรมิรับแหวนที่มองไม่เห็นหนีไปเป็นนางระบำ ส่วน ริวโนะสุเกะก็รับอุปการะเด็กที่ชื่นชมเขาไว้ดูแลดั่งลูกชาย จุดเริ่มต้นของภาคนี้คือเมื่อพ่อตัวจริงของ จุนโนะสุเกะ หวนกลับมาเพื่อต้องการรับลูกกลับไปเลี้ยงเอง เพราะเชื่อว่า นักเขียนไส้แห้งคงไม่สามารถดูแลลูกเขาได้ดีพอ

ธีมหลักในภาคนี้พูดแบบชัดแจ้งตรงไปตรงมาผ่านปากตัวละครพ่อผู้เป็นนักธุรกิจตั้งแต่ต้นเรื่อง เกี่ยวกับ ‘บางสิ่งที่ไม่ได้สามารถซื้อหาได้ด้วยเงินตรา กับ การปรับตัวของญี่ปุ่นผ่านยุคสงคราม’


...จากนั้น หนังก็เริ่มนำเสนอตัวละครใหม่ๆ+พล็อตย่อยๆ เช่น

พฤติกรรมต่อต้านแกมแก่แดด จากการปรับตัวให้เข้ากับสภาพชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ , การใช้ชีวิตแบบรู้สึกผิดในฐานะผู้อยู่รอด (survivor guilt) ของอดีตทหารเก่า , การก้าวเข้ามาของเด็กหนุ่มในชีวิตของโรขุ , อดีตรักฝังใจของหญิงสาวที่ต้องพลัดพรากเพราะสงคราม

เรื่องราวใหม่ๆเหล่านี้ถูกแต่งแต้มเข้ามาในหนังภาคสอง เพื่อขับย้ำธีม‘บางสิ่งที่ไม่ได้สามารถซื้อหาได้ด้วยเงินตรา กับ การปรับตัวของญี่ปุ่นผ่านยุคสงคราม’ ที่หนังต้องการสื่อสาร แต่ เรื่องราวใหม่ๆที่ใส่เข้ามา ส่วนที่เด่นที่สุดในหนังภาคนี้ก็ยังมาจากพล็อตเก่าในภาคแรก นั่นคือ ส่วนของนักเขียนหนุ่ม กับ เด็กผู้ชาย และ หญิงสาว

...สามคนนี้คือตัวละครสำคัญที่ตบประเด็น บางสิ่งที่มีคุณค่าสำคัญกว่าเงินตรา ให้ชัดเจนเรียกน้ำตาอีกครั้ง เมื่อ ชายหนุ่มพิสูจน์ให้คนรอบข้างเห็นว่าแม้ไม่มีเงินทองแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้คนดูถูกโดยไม่ทำอะไร และ พยายามเต็มความสามารถที่จะรั้งคนที่รักไว้ให้อยู่กับตัว จนถึงสุดท้ายหากรู้ว่าตัวเองไม่สามารถดูแลคนที่รักได้ดีพอ ก็พร้อมจะปล่อยให้เขาไปมีอนาคตที่ดีกว่า

ด้วย ความรักและความดี ที่ไม่สามารถตีค่าเป็นราคาได้นี้เอง จึงทำให้ พ่อที่แท้จริง ไว้วางใจและเชื่อมั่นที่จะฝากลูกตัวเองไว้ต่อไปแม้จะไม่เต็มใจนักก็ตาม เช่นเดียวกับ หญิงคนรักที่สัมผัสได้ถึง ความรักและห่วงใยอันแท้จริง ซึ่ง แหวนที่มองไม่เห็น ย่อมมีคุณค่ามีราคามากกว่า ทรัพย์สมบัติของคนที่เธอไม่ได้รักมอบให้

ประเด็นในส่วนนี้ทำหน้าที่เพิ่มน้ำหนักให้ประเด็นที่สอง นั่นคือ หลังญี่ปุ่นถูกสงครามทำลายลง แม้ผู้คนจะยังยากจนกำลังก่อร่างสร้างตัว สิ่งที่สำคัญที่สุดในการฟื้นฟูประเทศหาใช่เงินทอง แต่เป็น ความดีงามและความรักของผู้คนต่างหากที่สำคัญ

เพราะมันเป็นพลังสำคัญในการก่อเกิด ความหวังอันเรืองรองเฉกเช่นแสงสว่างที่ทุกคนเฝ้ามองบนหอคอยโตเกียว เช่นเดียวกับที่พ่อของจุนโนะสุเกะมองเห็นในตัว นักเขียนไส้แห้งยากจนคนหนึ่ง


....ภาคนี้หากมองอย่างไม่เปรียบเทียบ ก็จัดได้ว่า เป็นหนังอิ่มอุ่นหัวใจอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งทำออกมาได้ไม่ขัดเขิน มี CG ที่เนียนตา มีการแสดงที่เรียกเสียงฮาและเรียกความประทับใจ

แต่คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่แฟนๆต้องคิดถึงภาคแรก ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อภาคแรกลอยขึ้นมา ภาคนี้ถือว่าด้อยกว่าในทันที เพราะ ตัวละครใหม่ๆที่ใส่เข้ามาไม่สามารถสร้างความประทับใจได้ติดตรึง พล็อตย่อยๆที่กระจายในภาคนี้ไม่มีน้ำหนักน่าสนใจใกล้เคียงส่วนของ นักเขียนหนุ่ม

ซึ่งต่างจากภาคก่อน ที่พล็อตย่อยชีวิตอื่นๆบนถนนสายที่ 3 แห่งนี้ สามารถเรียกน้ำตาและความประทับใจได้ไม่แพ้กัน เช่น เราร้องไห้ให้กับเด็กสองคนที่กลับบ้านช้า เราเสียน้ำตาให้กับแหวนที่มองไม่เห็น เราน้ำตาซึมให้กับเด็กสาวที่คิดว่าครอบครัวไม่รัก ฯลฯ


...ภาคนี้ถึงจะมี ความพยายามบิวต์อารมณ์ น้อยกว่าภาคแรก แต่ ปัญหาคือ ภาคแรกอาจจะจงใจใส่ความรู้สึกดีเต็มที่แต่มันก็มีศักยภาพมากเพียงพอที่เราจะฟีลกู๊ดตามไปกับหนัง แต่พอผกก.ลดพลังตรงจุดนี้ไป เรากลับเริ่มรู้สึกถึงความเลี่ยนๆเรื่อยๆแบบไม่อินดีเท่าไหร่นัก บทที่เขียนมาให้บุคลิกตัวละครกับซับพล็อตในภาคนี้ยังไม่มีพลังขยี้อารมณ์ได้มากพอ

ยังดีที่ช่วงท้าย หนังตีตื้นรีดน้ำตาขึ้นมาได้บ้าง เมื่อหนังกลับมาบิวท์ได้มีประสิทธิภาพเหมือนภาคแรก คือ ถึงเราจะรู้ว่ามันน้ำเน่าหนักหนา มันเมโลดราม่าสุดฤทธิ์ แต่เราก็ยินดีที่จะปล่อยใจให้คล้อยตามก่อนจะปิดฉากลงอย่างสวยงาม จะน่าผิดหวังเล็กน้อยก็ตรง ภาคนี้ดูเหมือนอะไรต่อมิอะไรจะบอกกันจะๆแจ้งๆไม่ปล่อยให้คนดูได้คิดแล้วอิน เช่น ตอนจบของภาคแรก หนังไม่ได้มีบทสรุปให้ทุกชีวิต แต่ มอบความหวังทิ้งไว้ให้จินตนาการคนดูได้เติมเต็มด้วยตัวเอง แต่ ตอนจบของภาคนี้ค่อนข้าง บอกบทสรุปเบ็ดเสร็จชัดเจนโดยไม่เหลือช่องว่างใดๆให้กับคนดู


สรุป ... ดูภาคแรกมาแล้ว ภาคนี้ย่อมห้ามพลาด แต่ยังไม่เคยดูซักภาค น่าจะหาภาคแรกมาดูก่อน



สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนัง ได้ที่ //vreview.yarisme.com พร้อมลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท จำนวน 8 ใบ ทุกเดือน





แจ้งข่าวครับ :

เชิญชวนเพื่อนผู้อ่านทั้งใน Blog และ ใน Book มาพบปะพูดคุยและบังคับแจกลายเซ็น ที่ บูธซีเอ็ด ใน งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน เที่ยงครึ่งถึงบ่ายสองโมง จ้า (อย่าปล่อยข้าพเจ้านั่งหง่าวเพียงลำพังเลย)






ขอฝาก พ็อกเก็ตบุ้คสองเล่มที่เกี่ยวกับหนังแต่ไม่ใช่ หนังสือวิจารณ์หนังเพราะ "หนังสือรัก" เป็นการหยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม ส่วน องศาที่ 361 หนังสือเล่มล่าสุดที่จะช่วยให้คุณค้นหามุมเล็กๆในตัวเองที่จะมีความสุขในชีวิตได้มากขึ้น โดยไม่ต้องมองหาจากผู้อื่น


เพื่อนๆที่หาซื้อตามร้านไม่ได้ "หนังสือรัก"เข้าไปสั่งได้จากเว็บของสนพ.เลยจ้าที่ //www.bynatureonline.com/store/bookstore.php ส่วน องศาที่ 361 สั่งได้จากเว็บของซีเอ็ดครับผม




ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก >> หน้าสารบัญ

ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง





ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป



Create Date : 03 เมษายน 2551
Last Update : 3 เมษายน 2551 3:14:23 น. 16 comments
Counter : 2779 Pageviews.

 
คนแรก เป็นครั้งแรกเลยครับ

ลุ้นเหมือนกันว่าจะเขียนไหม แล้วก็เขียนจนได้นะครับ

เรื่องนี้ผมยอมเดินทางไปดูที่สยามเลย สนุกและอิ่มเอมตลอด 2 ชั่วโมงครึ่ง ฉากเศร้าไม่จงใจเท่าภาคแรก แต่ผมก็เสียน้ำตาได้เหมือนกัน เพราะอินไปกับตัวละครมากๆ

ขอบคุณ จขบ. ที่แนะนำให้ได้ชมหนังเรื่องนี้ในภาคแรก จนกลายเป็นหนังที่อบอุ่นที่สุดเท่าที่ดูมา

ปล. รอดูภาค 3 ต่อไป คาดว่า ซูซูกิมอเตอร์ จะขยายมาเป็น บริษัท ซูซูกิ ในปัจจุบันแน่เลย


โดย: YoiChi_KinG IP: 125.24.44.229 วันที่: 3 เมษายน 2551 เวลา:11:28:24 น.  

 
เวลาดีใจขอให้ยิ้มเพียงมุมปาก
เพื่อที่เวลาเสียใจ จะได้ไม่ถึงกับร้องไห้

ไม่น่าชื่นชมเท่าไรนัก


โดย: ekky@mail วันที่: 3 เมษายน 2551 เวลา:17:52:37 น.  

 
ภาคแรกดีกว่าเยอะครับ ภาคสองมีฉากพีคๆแค่ฉากเดียวคือ ตอนที่นายซูซูกิด่า พ่อของจุนว่า เคยอ่านหนังสือเค้ามั้ยก่อนที่จะไปด่าคนอื่นเค้าหนะ ตอนนี้น้ำตาร่วง... แต่ภาคแรกนี่ร่วงเยอะมาก ภาคนี้ถ่ายฉากที่ไม่ค่อยสื่ออะไรหลายฉาก ส่วนฉากที่ผมคิดว่ามันดีๆอยู่แล้วแป๊กเฉยคือตอนริวโนซึเกะพูดกับฮิโรมิ คือฉากนั้นถ้าพูดน้อยๆมันซึ้งกว่าเยอะเลย นี่เล่นถามอ่าวไหนไปโอซาก้าแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วต้องมาอธิบายว่าอ่านนิตยสารแล้วกลับมา ผมว่าแค่ชูหนังสือให้ดูแล้วค้างไว้ มันจะซึ้งแบบอัดอั้นกว่าเยอะ


โดย: Pierre De Gonzalez IP: 58.64.103.234 วันที่: 3 เมษายน 2551 เวลา:20:02:01 น.  

 
ชอบอ่านตัวหนังสือของคุณ ค่ะ ... ตัวฉันเองก็ชอบหนังเรื่องนี้มาก คงต้องหาโอกาสไปดูให้ได้ ชอบคุณที่เอามาเล่าสู่กันฟังค่ะ


โดย: คนรักตัวหนังสือ (frogster ) วันที่: 3 เมษายน 2551 เวลา:20:06:55 น.  

 
สวัสดีครับหมอ

ไม่รู้จะจำกันได้หรือเปล่า แต่ดีใจที่ได้แวะมาเยี่ยมครับ

ผมยังไม่ได้ดู แต่คิดว่า ไม่น่าพลาดเรื่องนี้ครับ


โดย: aston27 วันที่: 3 เมษายน 2551 เวลา:22:06:10 น.  

 
ไปดูมาวันนี้เองค่ะ
เทียบกับภาคแรก ชอบภาคแรกมากกว่า
แต่สุดท้ายก็เสียน้ำตาอยู่ดี
สรุปแล้วก็เป็นหนังที่ต้องซื้อมาเก็บไว้ดูอีกรอบอยู่ดีค่ะ


โดย: ปลากะโฮ้น้้อย IP: 125.24.79.97 วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:1:30:53 น.  

 
สำหรับผม

ภาคแรก คือ การมีความหวัง ใช้ความหวังเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวในการดำเนินชีวิต แต่ภาค 2 บอกถึงผลที่เกิดขึ้นจากความหวังนั้น และทำให้ความหวังที่มีอยู่ และการดำเนินชีวิตมีคุณค่ามากขึ้น

เห็นด้วยกับแทบทุกความเห็นที่บอกว่า ภาคนี้ด้อยกว่าภาคแรก และให้ความสำคัญกับตัวละครบางตัวได้ไม่ค่อยดีนัก แต่ภาพรวมของของหนัง ทำให้เรารู้สึกดีได้จริงๆ แม้จะน้ำเน่า แต่ถ้าน้ำเน่าชั้นดี ผมยินดีรับมาไว้ในอ้อมใจเลยครับ

ส่วนในเรื่องของพล็อตย่อย ผมเองชอบค่อนข้างมากเลยทีเดียว แม้ไม่หนักเท่าพล็อตหลักของนักเขียน แต่ตรึงใจผมจริงๆ กับ พล็อตของคุณนายซูซูกิ ที่แบบว่า โอย เข้าใจ และปิดท้ายพล็อตนี้ ด้วยความรู้สึกดีๆ ได้มากอีกด้วย และพล็อตย่อยของคุณหมอยักษ์ผู้น่าสงสาร ที่วันนึงก็ได้มีสมาชิกครอบครัวให้กลับไปหาซะที (อาจจะไม่สมบูรณ์แต่ก็ รู้สึกดีใจแทน) อ้อ ที่แน่ๆ ตัวละครที่ผมคิดว่า ภาคนี้มีบทบาทให้ผมได้ชมเยอะขึ้นอย่างคุณป้าร้านขายบุหรี่ ก็ได้ใจผมมากๆ เลยครับ

ดูจบออกมาแล้ว แอบอิจฉาคนในชุมชนถนนสาย 3 ที่มียาชั้นเอกที่ชื่อว่า "น้ำใจ" คอยมอบให้กับเพื่อนมนุษย์ที่สุดเลยครับ และเพลง Hana no Na ที่ปิดท้าย ก็ทั้งสุขและซึ้งอย่างแรงมากจนผมน้ำตาตก ไม่รู้จะตกยังไง ต้องแอบเช็ดป้อยๆ คนเดียว อีกแล้น

สรุป ชอบมากครับ



โดย: เข็มขัดสั้น IP: 202.183.190.14 วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:19:54:23 น.  

 
ลืมไปได้ยังไงกันผม

จะบอกว่า เห็นไอ้อิเป แล้ว อยากมีหลานแบบนี้จริงๆ เลยครับ ให้ตายสิ กวนได้ใจ แถมแก่นได้โล่ห์อีกด้วย 55555555


โดย: เข็มขัดสั้น IP: 202.183.190.14 วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:20:00:08 น.  

 
ไปดูมาแล้วค่ะ
ตั้งแต่ได้ดูภาคแรก ก็ตั้งใจไว้เลยว่าจะต้องดูภาคสองในโรงให้ได้(ภาคแรกวีซีดีค่ะ)
เลยนั่งรถเข้ากรุงเทพฯกับพ่อ ๒ คน โบกแท็กซี่ไปhouse RCA โลด
ประทับใจกับบรรยากาศโรงหนังhouseมากๆเลยค่ะ(แต่ตัวซับมันกระพริบๆดูอ่อนแรงจัง)
รอบ ๑๔.๒๐ น. วันอังคาร มี ๗ คนทั้งโรง
ดูจนจบแต่ไม่ร้องไห้อ่ะค่ะ เหมือนนั่งดูไปแล้วภาคแรกชอบลอยชึ้นมาในหัว แบบตราตรึงมาก
แต่หนังก็ยังคงความเป็นAlways ได้ดีค่ะ พ่อที่ไม่เคยดูภาคแรกก็บอกว่าหนังซึ้งดี ส่วนตัวดันไปซึ้งกับเพลงตอนจบมากกว่าค่ะ มีคำแปลด้วย ความหมายดีมากๆ ฉากที่ชอบก็คงจะเป็นฉากแรกแอบหลอกให้งงว่าAlwaysเปลี่ยนแนวหรอ (๕๕)
สรุปแล้ว ชอบค่ะ มีอีกกี่ภาคก็จะดูให้ครบทุกภาคเลย
ป.ล.ฉากของหมอ ในเรื่องเหมือนน้ำหนักจะลดลงนะคะ การเอาไก่ไปโบกๆเพื่อที่จะได้เจอครอบครัวอีกครั้ง น่าจะทำให้ซึ้งได้มากกว่านี้
ป.ล.๒เสียดายจัง อดได้ฟิล์ม หมดซ้าตั้งแต่ ๒ วันแรก
ป.ล.๓ชอบบล็อกของคุณมากค่ะ เขียนดีจัง
ป.ล.สุดท้าย รักAlways ที่สุดเลย



โดย: Always IP: 118.174.123.150 วันที่: 5 เมษายน 2551 เวลา:23:04:46 น.  

 
ชอบภาคนี้มากกว่า เพราะว่ามันไม่ยัดเยียดจนเกินไปนี่แหละค่ะ
ตอนที่ดูไม่ร้องไห้เลย
ดันมาร้องตอนเพลงที่ขึ้นช่วง End Credit ซะงั้นค่ะ
แต่การร้องไห้ก็ไม่ใช่เครื่องหมายของหนังดีเสมอไปนะคะ


โดย: Baby GurL IP: 125.24.24.182 วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:13:17:24 น.  

 
รู้สึกแตกต่างนิดนึง
เพราะชอบภาคนี้มากกว่าภาคแรกนะ
แต่ยังไงก็ always love always
^___________^


โดย: piie-z* IP: 125.26.59.248 วันที่: 11 เมษายน 2551 เวลา:21:50:47 น.  

 
+ แหะๆ ผมเพิ่งจะได้ดูเรื่องนี้เมื่อวันพุธที่ผ่านมาเองครับ (เชยชะมัด) ... และเนื่องจากความ 'ท็อปฟอร์ม' ของภาคแรก เลยทำให้ภาคนี้ถูกนำไปเปรียบเทียบอย่างช่วยไม่ได้ และผมก็พบว่า จุดที่รู้สึกได้ว่าภาคนี้ด้อยกว่าภาคแรกมี 2 จุดคือ การเกลี่ยบทที่ไม่เนียนเรียบเท่าภาคแรก ทำให้บางคาแรคเตอร์ก็ดูเหมือนจะถูกโฟกัสให้โผล่ขึ้นมา และก็กลับหายไปจนเหมือนถูกลืมในบางช่วงเวลา ... กับอีกจุดหนึ่งที่สำคัญมาก (และภาคแรกก็มีอยู่อย่างดาษดื่น) ก็คือ 'ฉากจี๊ดใจ' ที่หายไป (เช่น ฉากแหวนที่มองไม่เห็น, ตอนที่จุนโนสุเกะรู้ว่าถูกขโมยงานเขียน, ตอนที่เด็ก 2 คนหนีออกจากบ้าน ฯลฯ) มีเพียงแค่ฉากที่เป็นมุกเดิมๆ จากภาคแรก หรืออย่างมากก็ฉากอิ่มอุ่นบางตอนเท่านั้นที่มาแทนที่

+ แต่ถ้าไม่นำมาเทียบกัน หนังเรื่องนี้ก็ถือเป็นหนัง feel good อีกเรื่องหนึ่งที่มีคาแรคเตอร์และบทภาพยนตร์ที่แข็งแรง ตัวละครทุกตัวทำหน้าที่ของตนเองได้เป็นอย่างดี ทำให้คนดูต้องซาบซึ้งจนน้ำตาซึมไปกับเรื่องราวของพวกเขา ที่ช่วยประคับประคองกันและกันให้ก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากของแต่ละชีวิตต่อไปได้อย่างงดงามอ่ะครับผม


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 18 เมษายน 2551 เวลา:17:44:16 น.  

 
สวัสดีนะคะ
เป็นครั้งแรกที่เข้ามาอ่าน
น้องแนะนำให้รู้จัก
เป็นอิกคนนึงที่ชอบหนังเรื่องนี้มากๆ
เพราะภาคแรกดูไปร้องไห้ไป แล้วก้อจบลงที่ต้องยิ้มทุกครั้งที่น้ำตาไหล

ไปดูภาค 2 มาแล้วเหมือนกัน
เราว่าผู้กำกับเค้าก้อยังให้รายละเอียดของตัวละครนะ เค้ายังไม่ลืมเรื่องเล็กๆน้อย เช่น ฉากที่พ่อของฮิปเป เค้าคุยกับพ่อหนุ่มนักเขียน ตอนที่เค้าให้กำลังใจ แล้วนักเขียนถามว่า "จะอ่านหนังสือของเค้ามั๊ย" พ่อฮิปเปตอบว่า "เค้าเป็นคนกระด้าง ... คงไม่อ่านหรอก" ประมาณนี้ (ขอโทษค่ะ จำคำพูดได้ไม่หมด) ตอนจบก้อเฉลยว่าจิงๆแล้วเค้าอ่านบทค.ของนักเขียน จากตรงนี้เราว่ามันตอบอะไรหลายๆอย่างนะ ว่าทำไมพ่อฮิปเปถึงพยายามอยากช่วยนักเขียนน่ะ ... น่ารักมากเลย เค้าสองคนต่างกัน แต่ก้อเข้าใจกันได้ดี สำหรับเราทั้งสองภาคไม่ได้ต่างกันเลย เพราะสุดท้าย หนังเรื่องนี้ก้อทิ้งท้ายให้เรายิ้มเสมอ
คิดถึง Always จังเลยเนอะ
ขอบคุณนะคะ ที่เอามาลงบล็อคให้ใครๆอ่าน
ดีจังค่ะ ที่มีใครๆแบ่งปันสิ่งที่ได้ดูมา


โดย: beejung IP: 58.8.147.30 วันที่: 18 เมษายน 2551 เวลา:22:54:20 น.  

 
ต๊ะเอ๋ ..

สะดวกหนังรอบ 6.30.หงะ เลยได้ดู vantaqge point กะ once แหล่มทั้งคู่.. หนหน้าต้องตั้งใจมาทำงานไวไว ได้ทันรอบ 5.45 งิ .. เดี๋ยวเจอะกันน้า always 2

ภาคแรก DVD ชิบูญ่า 119.- ละนะครับ ราคามิตรภาพ เลยซื้อเก็บไว้แจกมิตรรัก หะเหยๆ


โดย: Duo วันที่: 21 เมษายน 2551 เวลา:16:07:22 น.  

 
หนังดีครับ ชอบมาก

ผมว่าภาคนี้ความลงตัวของอารมณ์ดีกว่าภาคแรกนะ แต่ด้อยกว่าในเรื่องบทกับความจี๊ด แล้วก็บทสรุป(ที่ภาคนี้ดูขัดๆเขินๆ)เท่านั้นเอง

ขอบคุณรีวิวครับ


โดย: tHecHamp IP: 58.8.99.100 วันที่: 22 เมษายน 2551 เวลา:8:16:33 น.  

 
หาภาค 2 ดูหรือซื้อได้ที่ไหน ช่วยๆ บอกกันหน่อย


โดย: เคโละ IP: 58.11.3.207 วันที่: 27 มีนาคม 2552 เวลา:11:57:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
3 เมษายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.