www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

Bolt + Marley and Me , เรื่องของ คนรักน้องหมา

สำหรับคนรัก(น้อง)หมา มีหนังสองเรื่องของปีที่ผ่านมา ที่ จขบ. เขียนลงนิตยสาร All แล้วเชิญชวนให้ลองหามารับชม จึงขอหยิบมาลง blog เพื่อแนะนำกันอีกครั้ง

นั่นคือ Bolt กับ Marley and Me



... Bolt คือหนังแอนิเมชั่นจากค่ายวอลต์ ดีสนี่ย์ ที่ลายเส้นอาจดูน่ารักเหมือนหนังสำหรับเด็กที่ไม่น่าจะมีอะไร แต่ตัวเนื้อหากลับมีความลึกซึ้งแยบยลที่คนดูผู้ใหญ่ก็สามารถสนุกไปกับ ชีวิตของสุนัขซูเปอร์สตาร์ ชื่อ Bolt

เดิม Bolt เป็นสุนัขสีขาวตัวน้อยๆ ที่ถูกเด็กผู้หญิงชื่อ เพนนี รับมาเลี้ยงตั้งแต่มันยังเล็ก เมื่อโตขึ้น ตัวมันก็เข้าใจว่าตัวเองมีพลังวิเศษมากมาย อาทิเช่น พลังเห่าทำลายล้างศัตรู , แรงกระโดดไกลขนาดข้ามตึก ฯลฯ และมีภารกิจ ช่วยเหลือ เพนนี ให้พ้นเงื้อมมือองค์กรร้าย



เรื่องของเพนนีที่รับ Bolt มาเลี้ยงเป็น เรื่องจริง

แต่ เรื่องพลังวิเศษกับองค์กรร้ายนั้นล้วนเป็น เรื่องแต่ง ที่มีคนเขียนบทขึ้นมา แต่ตัวมันเองไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นดารา

สาเหตุที่ Bolt ไม่รู้ตัวว่าเหตุการณ์รอบตัวเป็นการแสดง เพราะ ผู้กำกับต้องการให้ Bolt แสดงสมจริงจึงสร้างสถานการณ์หลอกให้ Bolt หลงคิดว่า ตัวเองมีพลังวิเศษและเจ้านายอยู่ในอันตราย

เพนนีเองก็ถูกผู้ใหญ่ขอให้ร่วมปิดบัง Bolt แถม Bolt ก็ไม่เคยออกนอกกองถ่ายเลย มันจึงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรมาก เป็นเหมือน พระเอกในหนังเรื่อง Truman show ที่คิดว่า กองถ่ายที่ตัวเองกินอยู่หลับนอน คือ โลกทั้งใบ



... ระหว่างที่เนื้อเรื่องในหนังดำเนินถึงตอน เพนนี ถูกองค์กรร้ายจับตัวไป Bolt กระวนกระวายอยากรีบไปช่วยเธอ บังเอิญวันนั้นทีมงานเกิดผิดพลาดปล่อยให้ Bolt หลุดออกจากกองถ่าย

ทันทีที่ออกสู่โลกกว้าง Bolt ทั้งช็อคทั้งตาสว่าง เมื่อพบว่าพลังเห่าของตัวเองทำได้แค่ใบไม้ปลิว , แรงกระโดดของตัวเองข้ามไม่พ้นแม้หลุมที่ขุดท่อ ตัวมันเองเป็นเพียงสุนัขธรรมดาๆ ที่มีอาชีพนักแสดง ไม่ได้มี พลังวิเศษอย่างที่เคยเข้าใจ



Bolt พยายามปรับตัวในโลกความเป็นจริง จากเดิมที่ไม่เคยเจ็บตัวหรือทนหิว มันต้องดิ้นรนเอาตัวรอดในสภาพสังคมที่ไม่มีคนคอยโอ๋เอาใจใส่เหมือนในอดีต

แต่ถึงจะลำบากกับการเอาชีวิตรอด Bolt ก็ยังคิดถึงความปลอดภัยของเจ้านายเป็นอันดับหนึ่ง เพราะมันยังเชื่อว่า เพนนี กำลังประสบอันตราย Bolt จึงขวนขวายหาวิธีทางที่จะเดินทางไปช่วยเหลือเพนนี



และ ในโลกความเป็นจริงนี้เอง ที่ Bolt ได้รู้ว่า ถึง พลังวิเศษ เป็นเพียงจินตนาการในโลกมายาที่ไม่มีอยู่จริง แต่ ยังมีบางสิ่งในโลกความเป็นจริง ที่มาทดแทนพลังวิเศษได้ นั่นคือพลังที่ชื่อว่า ‘มิตรภาพ’

เพื่อนใหม่ของ Bolt ประกอบไปด้วย ไรโน หนูแฮมสเตอร์ที่แอบเป็นแฟนคลับของ Bolt มานาน กับ มิตเทนส์ แมวจอมกวนสีหน้ายียวนเหนื่อยหน่าย

ระหว่างการเดินทาง มิตเทนส์ พยายามจะชี้ให้ Bolt เห็นว่า คนส่วนใหญ่มอง สัตว์ เป็นเพียงแค่ของเล่น ที่เบื่อแล้วก็ทอดทิ้ง ไม่จำเป็นที่ Bolt จะต้องเหนื่อยหาทางกลับบ้าน เพราะตอนนี้ใครๆก็คงลืมมันไปหมดแล้ว สู้ออกมาสร้างบ้านใหม่กับ เพื่อนๆ ดีกว่า

แต่ ความรักและซื่อสัตย์ที่สุนัขมีให้กับเจ้านาย ทำให้ Bolt ไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะกลับไป บ้าน ที่มันเติบโตมา



... ตัวละคร ‘คน’ ในหนังมีความน่าสนใจ เพราะเห็นได้ชัดว่าถูกแบ่งสองกลุ่ม คือ

‘ผู้ใหญ่’ ที่ถูกวาดภาพให้เป็นสิ่งมีชีวิตเห็นแก่ตัวที่ถูกครอบงำด้วยเรื่องของธุรกิจจนขาดจิตสำนึก พวกเขามอง Bolt เป็นแค่สัตว์ใช้งาน ต่อให้ Bolt หายตัวไป ก็คิดแค่ว่าหาตัวใหม่มาทดแทน

กับ ‘เด็ก’ ที่ถูกผู้ใหญ่พยายามครอบงำ ให้เชื่อว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับ มนุษย์ คือ การมีเงินทองและไม่ต้องไปสนคนหรือสิ่งมีชีวิตรอบตัว

ในขณะที่ตัวละครในฝั่งของ ‘สัตว์’ กลับมีน้ำใจ ขมีขมันที่จะช่วยเหลือเจือจุนกันชนิดที่คนยังต้องอาย โดย หนังเข้าใจหยิบ สัตว์ที่เป็นปรปักษ์กันระหว่าง ‘สุนัข – แมว – หนู’ ให้มาเป็นทีมเดียวกัน และให้ Bolt เป็นตัวแทนของ สุนัข ซึ่งเป็น สัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ที่ไม่มีวันทรยศเจ้านาย

ซึ่งถ้าใครดูไปจนถึงภารกิจสุดท้ายในหนัง เชื่อได้ว่า คนรักน้องหมาอาจต้องปาดน้ำตาให้กับ ความรักที่สุนัขตัวหนึ่งพึงจะทำได้เพื่อเจ้านายของตัวเอง




... มีหนังอีกเรื่องสำหรับ คนรักน้องหมา ที่ดูแล้วยากเหลือเกินที่จะไม่เสียน้ำตาให้กับสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ที่ชื่อ Marley

Marley and Me มีที่มาจากหนังสือขายดี Marley & Me: Life and Love with the World's Worst Dog ที่ผู้เขียนบรรยายถึง ‘สุนัขที่แย่ที่สุดในโลก’ ของตัวเอง และถูกดัดแปลงเป็นหนังโดยผู้กำกับ เดวิด แฟรงเคล ที่เคยฝากผลงานสุดเปรี้ยวแฝงข้อคิดดีๆอย่าง The Devil Wears Prada

ตัวเอกของเรื่องคือ จอห์น โกรแกน หนุ่มวัยทำงานที่วาดฝันอยากเป็นผู้รายงานข่าวนอกสถานที่ กับ เจนนิเฟอร์ ภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกัน

เจนนิเฟอร์เป็นคนชอบวางแผนชีวิตอย่างมีขั้นตอน และ ขั้นตอนสำคัญในชีวิตคู่ที่ จอห์น คิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมคือ การมีลูก เพื่อนของจอห์นจึงเสนอให้เขาไปหาสุนัขมาเลี้ยง เจนนิเฟอร์จะได้ไม่คิดเรื่องมีลูกอีก

จอห์นจึงพาภรรยาไปซื้อลูกสุนัขพันธุ์ลาบราดอว์และตั้งชื่อมันว่า Marley



Marley มีพฤติกรรมเหมือนเป็นสุนัขไฮเปอร์อยู่ไม่นิ่ง ที่สร้างความวุ่นวายได้ไม่รู้จบ ขนาดครูฝึกยังขยาดขอให้ จอห์นกับภรรยา พากลับไปฝึกเองที่บ้าน

การใช้ชีวิตร่วมกับ Marley มีส่วนช่วยให้จอห์นได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ทั้งในด้านการงาน ที่เขาเขียนบทความเกี่ยวกับ Marley กลายเป็นคอลัมน์ขายดีที่ผู้คนชื่นชอบ จนทำให้เขาต้องเบนเข็มมาเป็นคอลัมนิสต์ และ ในด้านชีวิตครอบครัวที่ทำให้เขาดูมั่นใจมากขึ้นสำหรับการที่จะเป็นพ่อคน



... หลังจากจอห์นกับเจนนิเฟอร์มีลูก หนังก็ปรับอารมณ์จาก ความน่ารักสดใส ให้มี ความจริงจัง มากยิ่งขึ้น ซึ่งมันก็ตรงกับพัฒนาการด้านความสัมพันธ์ของตัวละคร และ เช่นเดียวกับทุกๆชีวิตคู่ ที่เริ่มต้นจาก คู่ข้าวใหม่ปลามันที่มีกันแค่สองคน ไปสู่ การเป็นคู่ชีวิตที่มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น และ เพิ่มบทบาทของการเป็นพ่อคนแม่คน

เจนนิเฟอร์ต้องทิ้งงานมาทำหน้าที่แม่บ้านเลี้ยงลูกเต็มตัว ส่วนจอห์นก็ต้องทำงานหนักขึ้น เจนนิเฟอร์เริ่มเครียดกับชีวิตแม่บ้าน จนถึงขั้นอยากจะให้เอา Marley ออกจากบ้าน เพราะ ความซนของมันที่เคยเป็นความสนุกในอดีต กลับกลายเป็น ความเหนื่อยหน่ายน่ารำคาญ ในยามที่ต้องรับผิดชอบลูกสามคนในปัจจุบัน

และสิ่งทีหนังเรื่องนี้นำเสนอต่างจาก หนังเกี่ยวกับสุนัขทั่วๆไป ที่มักจะเน้นความซื่อสัตย์ระหว่างสุนัขกับเจ้านาย ก็คือ การนำเสนอตัวอย่างปัญหาชีวิตคู่ ผ่านความเป็นไปของคู่สามีภรรยา จอห์นและเจนนิเฟอร์ ที่ค่อยๆทวีความตึงเครียดไปสู่จุดที่ภรรยาเอ่ยปากว่า

“ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะต้องลำบากขนาดนี้ ไม่เคยรู้ว่าชีวิตแต่งงานหรือการเป็นแม่ต้องเหนื่อยมากแบบนี้”

ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลย เพราะ แทบทุกคู่สมรสล้วนต้องผ่านจุดที่เจนนิเฟอร์เอ่ยขึ้นมา

ความสำคัญขึ้นอยู่กับว่า คู่สามีภรรยาแต่ละคู่ จะปรับตัวผ่านจุดนี้ได้อย่างไร ซึ่งหนังก็นำเสนอให้เห็นทางออก ผ่าน ความเสียสละของฝ่ายชาย ที่ไม่บ่น ไม่โวยวายตอนที่ภรรยาเหนื่อยหรือหงุดหงิด เขาเฝ้ามองเพื่อนสนิทได้งานที่ตัวเองเคยฝันและยอมเก็บความฝันที่จะไปเป็นผู้รายงานข่าวไว้เงียบๆตามลำพัง แล้ว เลือกทำงานเดิมๆที่ไม่ได้ชอบมากแต่สามารถสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว

เช่นเดียวกับ ฝั่งภรรยาที่ใส่ใจความรู้สึกของสามี เมื่อรู้ตัวว่าทำให้อีกฝั่งเสียใจก็พร้อมที่จะกล่าวคำขอโทษ , แอบสังเกตความอึดอัดใจของสามี และ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็สนับสนุนให้สามีก้าวเดินตามฝันของตัวเองต่อไป



... การที่หนังฉายภาพ พัฒนาการชีวิตคู่ตั้งแต่วันแต่งงานวันแรก ไปจนถึง วันที่มีลูกสามคน ทำให้ Marley and Me เป็นหนังที่พูดถึงการเติบโตของชีวิตคู่ โดยมี Marley เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต และ เปิดมุมมองชีวิตในแง่มุมใหม่ๆให้กับเจ้านาย

จากที่เคยเป็น สุนัขที่แย่ที่สุดในโลก(The World's Worst Dog) ในตอนแรกๆ หลังจากเวลาผ่านไปเกือบสิบปี Marley ก็ทำให้จอห์นได้รู้ว่า มันคือสุนัขที่ยิ่งใหญ่ที่เขาไม่สามารถจะหาสุนัขตัวไหนมาทดแทนได้อีก และ ความยิ่งใหญ่ในตัว Marley ที่จอห์นกระซิบบอกมันด้วยความภาคภูมิใจ ก็คือ ความรักที่มันมีให้กับเจ้านายในทุกๆวันอย่างไม่เปลี่ยนแปลง



สำหรับคนเลี้ยงสุนัขทุกคนคงรู้ดีว่า ตราบใดที่เรามอบใจให้กับสุนัขเต็มร้อย มันก็พร้อมที่จะมอบใจกลับมาให้เราเต็มร้อยเช่นกัน ไม่ว่า เจ้านาย จะเปลี่ยนไปอย่างไร จะหงุดหงิดหรือรำคาญ แต่ สุนัข ไม่เคยเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่มันมีต่อเจ้านาย

ความรักและซื่อสัตย์ที่มันมีต่อเจ้านายนี่เอง จึงทำให้ สุนัขทุกตัว คือ สุนัขที่ดีที่สุดในโลกสำหรับเจ้าของที่มอบใจรักให้กับมัน และทำให้ สุนัขไม่ใช่เป็นแค่สัตว์เลี้ยงสำหรับคน แต่ มันยังสามารถเป็นเพื่อนที่จะเคียงข้างเราไปจนวาระสุดท้าย ถึงมันพูดกับเราไม่ได้ แต่มันก็จะไม่มีวันทิ้งเราไป







Create Date : 11 มกราคม 2553
Last Update : 11 มกราคม 2553 19:34:21 น. 7 comments
Counter : 6899 Pageviews.

 
สุขสันต์วันจันทร์อันแสนผ่อนคลายนะค้าบ


โดย: ผมชอบกินข้าวมันไก่ วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:19:50:15 น.  

 
ดู Marley and Me จบก็เศร้าเลย เพื่อนบางคนบอกว่าดูไม่จบ ยังไงก็จะไม่ดูตอนจบ เพราะเขาก็เลี้ยงลาบราดอว์ดื้อๆอยู่ตัวนึง แล้วก็กำลังมีลูกอ่อนพอดี


โดย: นายเพิ่ม IP: 124.121.50.106 วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:19:55:37 น.  

 
เห็นแล้วน่าดูเหมือนกันแฮะ


โดย: Kross_ISC วันที่: 12 มกราคม 2553 เวลา:7:07:20 น.  

 
ผมดูเรื่องหลัง ยอมรับเลยว่าน้ำตาไหลแบบหยุดไม่อยู่เลยครับ


โดย: จีโน่ IP: 202.142.193.15 วันที่: 12 มกราคม 2553 เวลา:16:19:00 น.  

 
อีกทีนึง

ผมว่าโอเว่น วิลสัน เล่นเรื่องนี้ได้ดีมากเลยนะครับ สลัดภาพบทความเป็นคนกะล่อน ขี้โกง กวนๆ ได้หมดเลย กลายมาเป็นผู้ชายธรรมดาคนนึง ที่อ่อนโยนมากๆ ได้ ชอบการแสดงของเขามากครับ


โดย: จีโน่ IP: 202.142.193.15 วันที่: 12 มกราคม 2553 เวลา:16:20:41 น.  

 
ดูMarley and Me แล้วเสียน้ำตาให้เจ้าMarleyมากมายเลยค่ะ


โดย: บะหมี่หยกหกก้อน IP: 58.8.88.91 วันที่: 13 มกราคม 2553 เวลา:10:24:09 น.  

 
ดูmarleyแล้วเศร้ามากๆค่ะ ร้องไห้จะตายแนะ ตอนที่มันตาย แต่ว่าหนังเขาก็ดำเนินไปให้จบอยู่แล้ว ดำเนินไปตามชีวิตมนุษย์ สักวันมันก็ต้องตายอยู่แล้ว ดูแล้วนึกถึงหมาตัวเองจังเลยค่ะ


โดย: มุก IP: 203.144.144.164 วันที่: 24 มกราคม 2553 เวลา:18:16:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
มกราคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
11 มกราคม 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.