Everlasting Moments ภาพสะท้อนอันงดงาม




Everlasting Moments
ภาพสะท้อนอันงดงาม

พล พะยาบ
คอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน 24 พฤษภาคม 2552


*มายาเล่าถึงจุดเริ่มต้นชีวิตคู่ของพ่อกับแม่ว่า แม่ถูกล็อตเตอรี่ได้รางวัลเป็นกล้องถ่ายรูป พ่อบอกว่าควรเป็นของเขาเพราะเป็นคนออกเงินซื้อ แต่แม่ยืนยันว่าถ้าพ่อต้องการเป็นเจ้าของ มีทางเดียวคือแต่งงานกับเธอ

ข้ามมาถึงปี 1907 มายากลายเป็นพี่คนโตของน้องๆ อีก 3 คน อาศัยในห้องเช่าเล็กๆ ในเมืองมัลโม ประเทศสวีเดน มาเรีย ลาร์สัน ผู้เป็นแม่ในวัยกลางคนรับจ้างทำความสะอาดและตัดเย็บเสื้อผ้า ส่วนพ่อ ซิกฟริด เป็นกรรมกรท่าเรือที่เมามายกลับบ้านไม่เว้นแต่ละวัน ซ้ำร้ายบางครั้งยังตบตีแม่

พฤติกรรมของซิกฟริดยิ่งเถลไถลออกห่างจากครอบครัวมากขึ้นเมื่อไหลตามกระแสปฏิวัติชนชั้น ร่วมกับเพื่อนกรรมกรประท้วงนั่นประท้วงนี่ หรือกระทั่งมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น

กระนั้น แม้สภาพชีวิตที่มาเรียต้องแบกรับจะย่ำแย่เพียงใด ยังมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นเมื่อเธอเจอกล้องตัวเก่าที่ซุกอยู่ในตู้เสื้อผ้า มาเรียนำไปขายที่ร้านถ่ายรูป แต่ เซบาสเตียน ชายสูงวัยเจ้าของร้านห้ามไว้ เขาเกลี้ยกล่อมให้มาเรียสนใจถ่ายภาพ ทั้งยังสอนและให้อุปกรณ์จำเป็นต่างๆ ทุกขั้นตอนแก่เธอ

มหัศจรรย์แห่งแสงสะท้อนที่มาเรียบันทึกด้วยตนเองเป็นภาพแรกคือลูกของเธอทั้ง 4 คน

ขณะที่ระหว่างมาเรียกับเซบาสเตียนได้เกิดความรู้สึกดีๆ ส่องสะท้อนต่อกันนับแต่นั้น

คือความรู้สึกดีๆ ที่มีภาพถ่ายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว ไม่มีถ้อยคำลึกซึ้ง ไม่มีสัมผัสรักใคร่เกินกว่ารอยยิ้มและแววตาห่วงใยอ่อนโยนยามได้พบเจอกัน มาเรียยังเป็นแม่ที่ดีของลูกๆ และเป็นภรรยาของสามีเจ้าอารมณ์ ใช้การถ่ายภาพซึ่งเธอมีพรสวรรค์เป็นเครื่องชุบชูจิตใจเพื่อผ่านช่วงเวลายากลำบากอีกมากมายในชีวิต

แต่นี่จะเป็นภาพประทับที่มาเรียยอมรับให้คงอยู่กับเธอตลอดไปหรือไม่

Everlasting Moments หรือ Maria Larsson's Everlasting Moment ผลงานลงขันสร้างโดยนายทุน 5 ชาติ ได้แก่ สวีเดน เดนมาร์ก นอร์เวย์ ฟินแลนด์ และเยอรมนี ภายใต้งานกำกับฯของ ยอน โทรเอลล์ (Jan Troell) ผู้กำกับฯอาวุโสชาวสวีเดน ได้เป็นตัวแทนสวีเดนชิงออสการ์หนังภาษาต่างประเทศในรอบปีที่ผ่านมา กระทั่งทะลุเข้าถึงรอบ 9 เรื่องสุดท้าย ทั้งได้เข้าชิงลูกโลกทองคำในสาขาเดียวกัน

เรื่องราวข้างต้นคือเรื่องจริงจากคำบอกเล่าของ มายา ลาร์สัน ลูกสาวคนโตของมาเรีย ลาร์สัน ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพ่อของภรรยาของโทรเอลล์ ประกอบกับภาพถ่ายจริงๆ ของมาเรียซึ่งนำมาเป็นแรงบันดาลใจ เสมือนการรำลึกนึกย้อนเรื่องราวที่บันทึกอยู่ในภาพถ่ายให้กลับมีชีวิตขึ้นอีกครั้ง

*เพราะเป็นเรื่องจริงจากคำบอกเล่าและแรงบันดาลใจจากภาพถ่ายของคนใกล้ตัวผู้สร้างเองทำให้ Everlasting Moments ไม่ใช่หนังประวัติบุคคลที่ยิ่งใหญ่หรือมีแง่มุมตื่นเต้นน่าติดตาม ไม่มีเรื่องราวพลิกผันเหนือความคาดหมาย แต่เป็นเรื่องราวที่ให้ผู้ชมติดตามอย่างค่อยเป็นค่อยไป ค่อนข้างเรียบง่ายทั้งเนื้อหาและการดำเนินเรื่อง อาจมีบทตอนกระตุ้นอารมณ์บ้างแต่ก็เป็นไปตามเหตุการณ์

ความใกล้ชิดของผู้สร้างกับบุคคลต้นเรื่องน่าจะยิ่งทำให้เรื่องราวในหนังไม่ถูกปรุงแต่งหรือดัดแปลงเกินพอดี อาจไม่ใช่ด้วยความเกรงใจ แต่เป็นความประทับใจและความตั้งใจที่จะถ่ายทอดเรื่องราวซึ่งเคยรับรู้ให้ออกมาใกล้เคียงและดีที่สุด

ในเมื่อเป็นหนังว่าด้วยการถ่ายภาพเชิงศิลปะ อีกทั้งเป็นเรื่องราวความหลังที่ยังงดงามอยู่ในความทรงจำ งานกำกับภาพจึงเป็นส่วนที่โดดเด่นที่สุด หนังถ่ายด้วยฟิล์ม 16 ม.ม. ก่อนทำเป็น 35 ม.ม. เพื่อให้ภาพมีความละเอียดน้อยลงและใช้โทนสีซีเปียเป็นส่วนใหญ่สื่อความรู้สึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ทั้งยังดูอบอุ่นอ่อนโยนแฝงความมั่นคงเหมือนบุคลิกของตัวละครมาเรีย ลาร์สัน

นอกจากนี้ ความงดงามของการกำกับภาพคล้ายจะตั้งใจให้สอดคล้องกับธรรมชาติของการถ่ายภาพซึ่งใช้แสงเป็นต้นกำเนิด หลายภาพหลายฉากจึงมีช่องรับแสงเป็นองค์ประกอบหลัก โดยเฉพาะหน้าต่างและประตูที่มีแสงแดดส่องผ่าน รวมถึงแสงจากหลอดนีออนซึ่งเป็นของใหม่ในยุคนั้น

อันที่จริง แสงที่ปรากฏในหนังไม่ได้มีหน้าที่เพียงให้สอดคล้องกับการถ่ายภาพเท่านั้น เนื่องจากมาเรียมองว่าภาพถ่ายคือการบันทึกชั่วขณะนั้นไว้ชั่วนิรันดร์ และแสงคือจุดเริ่มต้นกระบวนการทำงานของกล้องถ่ายรูป ฉากต้นเรื่องที่เป็นภาพดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้าผ่านใบไม้ลงมาพร้อมกับขึ้นชื่อหนังว่า “ขณะหนึ่งนิจนิรันดร์ของมาเรีย ลาร์สัน” กับฉากท้ายเรื่องที่เป็นภาพเดียวกันแทนสายตาของมาเรียก่อนที่เธอจะเสียชีวิต จึงหมายถึงชั่วชีวิตของมาเรียซึ่งบันทึกสิ่งต่างๆ ไว้ตลอดไป

นอกจากผู้คนและเหตุการณ์มากมายที่ผ่านเข้ามาแล้ว ลูกๆ ของเธอและบุคคลพิเศษอย่างเซบาสเตียนล้วนแต่ถูกบันทึกไว้อย่างแนบแน่นเท่าชีวิต อีกคนคือ ซิกฟริด สามีเจ้าอารมณ์ซึ่งทำสิ่งเลวร้ายต่อมาเรียไว้มากมาย แต่กระนั้น ต้องไม่ลืมว่าเขาและเธอมีกล้องถ่ายรูปเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตคู่

คงเพราะเหตุนี้มาเรียจึงมั่นคงกับสามีไม่เปลี่ยนแปลง

ไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนเช่นคำแนะนำที่พ่อย้ำกับมาเรียเพื่อให้เธอทนอยู่กับซิกฟริดต่อไปว่า สิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้ไม่มีใครทำลายได้

ภาพดวงอาทิตย์ส่องแสงจึงหมายถึงแสงจาก “เบื้องบน” ได้เช่นกัน

ลองคิดต่อไปว่าถ้าแสงแดดที่ส่องยังมาเรียเปรียบเหมือนผู้สร้างที่บันทึกเรื่องราวของเธอเป็นภาพยนตร์

สิ่งที่เราได้เห็นย่อมเป็นภาพชีวิตที่ส่องสะท้อนได้อย่างงดงาม และคงอยู่ในใจไปอีกนาน




Create Date : 30 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2552 2:35:37 น. 5 comments
Counter : 2171 Pageviews.

 

แวะมาเจิมบอกว่า
เป็นหนังที่สะท้อนภาพชีวิตที่น่าดูมากๆ เลยค่ะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 30 พฤศจิกายน 2552 เวลา:8:51:51 น.  

 
น่าดูจังครับ ผมล่ะชอบหนังภาพสวยๆด้วย


โดย: McMurphy วันที่: 30 พฤศจิกายน 2552 เวลา:17:17:55 น.  

 
อา จำได้แม่นครับ ที่เคยอ่านในมติชนนั่นเอง
น่าดูๆ


โดย: เอกเช้า IP: 124.120.193.139 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2552 เวลา:21:52:40 น.  

 
เพิ่งกดดูตัวอย่างไปเมือ่เช้าเอง น่าดูดีครับ สนใจอีกเรื่องคือ The Maid หนังชิลีมั้ง


โดย: merveillesxx วันที่: 7 ธันวาคม 2552 เวลา:5:48:51 น.  

 
เห็นโปสเตอร์หนังเรื่องนี้ทีแรกนึกถึง ชาร์ลอต แกงส์บูรก์ จาก The Golden Door

น่าดูค่ะแต่ยังไม่ได้ดู (ตามเคย ^_^!)
และ The World is Big and Salvation Lurks Around the Corner ก็น่าดู




โดย: renton_renton วันที่: 10 ธันวาคม 2552 เวลา:19:52:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แค่เพียงรู้สึกสุขใจ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




บทวิจารณ์ภาพยนตร์รางวัลกองทุน
ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ปี 2549

..............................








พญาอินทรี




ศราทร @ wordpress
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
30 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แค่เพียงรู้สึกสุขใจ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.