Something Like Happiness ความสุขอยู่ที่ใด
Something Like Happiness ความสุขอยู่ที่ใด
พล พะยาบ คอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน 27 มกราคม 2551
หนังจากสาธารณรัฐเช็กเรื่อง Something Like Happiness (2005) หรือ Stesti ผลงานลำดับที่ 2 ของ โบห์ดาน สเลมา มีองค์ประกอบ 2 อย่างที่มีความสำคัญปรากฏแทบจะทุกฉาก แต่ไม่ได้ถูกเอ่ยถึงโดยตรง นอกจากเป็นฉากหลังของเรื่องราวเท่านั้น
หนึ่งคืออาคารที่พักของตัวละคร สองคือปล่องควันขนาดใหญ่ 3-4 ปล่องซึ่งมองเห็นอยู่ไกลๆ ทางด้านหลังของภาพ
ในสาธารณรัฐเช็กและสาธารณรัฐสโลวัก สองประเทศที่เคยอยู่ภายใต้ชื่อเดียวกันว่าเชโกสโลวาเกีย มีอาคารที่พักรูปแบบหนึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า พาเนแล็ค (Panelak) เป็นสิ่งปลูกสร้างประเภทแผงอาคารสำเร็จรูป ลักษณะเป็นตึกสูงเรียงเป็นแถวคล้ายแฟลตของบ้านเรา แต่ส่วนใหญ่จะมีขนาดใหญ่กว่า บางแห่งกว้างถึง 100 เมตร สูงกว่า 20 ชั้น
ความหมายของสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวที่อยู่นอกเหนือรูปแบบตัวอาคารคือ นี่คือเครื่องย้ำเตือนถึงยุคคอมมิวนิสต์ที่เคยมีอิทธิพลเหนือดินแดนนี้มากว่า 4 ทศวรรษ
พาเนแล็คเกิดขึ้นจากความขาดแคลนหลังสงครามและความคิดของผู้นำเชโกสโลวาเกียในยุคคอมมิวนิสต์ซึ่งต้องการสร้างบ้านคุณภาพดีต้นทุนต่ำให้แก่ประชาชน ที่สำคัญคือต้องแข็งแรงพอหากเกิดสงคราม ในประเทศคอมมิวนิสต์อื่นๆ ล้วนมีอาคารที่พักรูปแบบคล้ายกันนี้เช่นกัน
จากสถิติมีชาวเช็กถึงหนึ่งในสามอาศัยอยู่ในพาเนแล็ค แม้ปัจจุบันจะมีการพัฒนารูปแบบให้ทันสมัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันแม้แต่อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง แต่ก็เพียงส่วนน้อยในเมืองใหญ่ พาเนแล็คจำนวนมากยังมีรูปลักษณ์ไม่ชวนมอง ใช้วัสดุคุณภาพต่ำ ขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวก อยู่ห่างไกลตัวเมืองหรือแหล่งธุรกิจ ชนชั้นกลางจึงหนีออกไปอยู่ที่อื่น เหลือไว้เพียงคนฐานะยากจนและพวกผู้อพยพกระทั่งเกิดเป็นปัญหาทางสังคมขึ้นมา
ตัวอย่างของพาเนแล็คที่มีปัญหาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองมอสต์ เขตอูสตีนาดลาเบม เมื่อชาวยิปซีจากสโลวาเกียอพยพมาอยู่ในพาเนแล็คจนชนชั้นกลางที่อยู่เดิมต้องย้ายหนี ผู้อาศัยที่เหลือมีแต่คนจน ไม่มีการศึกษา ว่างงาน จนน้ำ-ไฟถูกตัด ลิฟต์หยุดใช้งาน ขยะเกลื่อนกลาด
ขณะเดียวกัน พาเนแล็คในเมืองมอสต์ก็เป็นที่รู้จักในด้านที่มีจำนวนผู้อาศัยสูงถึง 80 เปอร์เซนต์ จากการขยายตัวของเหมืองถ่านหิน สถานีพลังงานถ่านหิน และโรงงานอื่นๆ ทำให้ชาวเมืองเก่าทิ้งถิ่นที่อยู่เข้าไปอาศัยในพาเนแล็ค
เมืองมอสต์ที่ว่ามานี่เองเป็นสถานที่ถ่ายทำหนังเรื่อง Something Like Happiness
อาคารที่พักของตัวละครซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่กล่าวถึงตอนต้นก็คือพาเนแล็ค ส่วนปล่องควันขนาดใหญ่ 3-4 ปล่อง คือสถานีพลังงานถ่านหินโพเซเรดี้ ตั้งอยู่ชานเมืองมอสต์ เริ่มเปิดทำการตั้งแต่ทศวรรษ 70
และเรื่องราวของหนังได้สะท้อนถึงความเป็นอยู่ของผู้คนในเมืองนี้ หรืออาจรวมถึงชาวเช็กทั่วประเทศ
หนังเล่าถึงเพื่อน 3 คน ซึ่งรู้จักกันตั้งแต่เด็ก ประกอบด้วย โมนิก้า ดาช่า และโทนิค โมนิก้าเป็นหญิงสาวพนักงานเมกะสโตร์ ผู้รอคอยให้แฟนหนุ่มที่ย้ายไปทำงานในสหรัฐอเมริกาชวนเธอไปอยู่ด้วย โดยมีแม่คอยส่งเสริมอย่างเต็มที่ ขณะที่พ่อไม่เห็นด้วยนัก
ดาช่าอาศัยอยู่ในตึกเดียวกับโมนิก้า เธอเป็นแม่ลูกสองที่ถูกสามีทอดทิ้ง ต้องอยู่ตามลำพังกับลูก แต่บ่อยครั้งกลายเป็นว่าลูกต้องอยู่ตามลำพังเพราะเธอเอาแต่เมาหมดสติ ดาช่ากำลังแอบคบหาอยู่กับ ยาร่า ผู้จัดการร้านขายสุขภัณฑ์ซึ่งมีครอบครัวแล้ว และสัญญาว่าจะเลิกกับภรรยามาอยู่กับเธอ
สำหรับโทนิค แม้พ่อกับแม่ของเขาจะอยู่ตึกเดียวกับเพื่อนทั้งสอง แต่โทนิคเลือกมาอยู่กับป้าในที่ดินผืนเก่าของครอบครัวซึ่งเปิดเป็นอู่ซ่อมรถและเลี้ยงแพะ และเป็นเหตุแห่งความบาดหมางระหว่างพ่อกับป้า เพราะป้าไม่ยอมขายที่ดินให้โรงงาน ขณะที่โทนิคก็ไม่ยอมทำงานในโรงงานเช่นกัน ทั้งที่สภาพบ้านและความเป็นอยู่ของทั้งสองย่ำแย่ทุลักทุเล
อันที่จริง ฐานะความเป็นอยู่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนัก สำหรับโทนิคแล้วเรื่องหนักอกหนักใจที่สุดเห็นจะเป็นการที่เขาแอบรักโมนิก้า แต่ทำได้เพียงมอบมิตรไมตรีและความปรารถนาดีให้เท่านั้น
เรื่องราววุ่นวายเกิดขึ้นเมื่อดาช่ามีอาการป่วยทางจิตจนต้องส่งไปรักษาในโรงพยาบาล โมนิก้าจึงต้องดูแลลูกของดาช่าและตัดสินใจไม่ไปสหรัฐทั้งที่แฟนหนุ่มส่งตั๋วเครื่องบินมาให้แล้ว การตัดสินใจของเธอทำให้แม่ไม่พอใจจนโมนิก้าต้องหอบหิ้วเด็กๆ มาอยู่ที่บ้านของโทนิค
โมนิก้า โทนิค และเด็กเล็ก 2 คนที่หนุ่มสาวทั้งสองมอบความรักให้ มาอยู่ร่วมบ้านกันราวกับครอบครัวแสนสุข เหมือนที่เขาและเธอเคยเล่นสมมุติเป็นพ่อ-แม่เมื่อครั้งเป็นเด็ก แต่ภาพจำลองของความสุขย่อมไม่มีวันอยู่ยืนยาว
ดังที่กล่าวไว้แล้ว เรื่องราวของหนังสะท้อนภาพแท้จริงของเมืองมอสต์ที่ผู้คนยอมละทิ้งบ้านเก่า ขายที่ดินผืนเดิม หลังการรุกคืบของการพัฒนาอุตสาหกรรมทั้งเหมือง โรงงาน และสถานีพลังงาน เข้าไปอาศัยอยู่ในอาคารสำเร็จรูป ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนทั้งสามแสดงให้เห็นว่าพวกเขาต้องรู้จักกันก่อนจะย้ายมาอยู่ที่นี่ ครอบครัวของโมนิก้าและดาช่าคงขายที่ดินให้โรงงาน ยกเว้นเพียงส่วนของโทนิคที่ไม่ยอมขายแม้พ่อกับแม่ของเขาจะย้ายออกมาแล้ว
มีหลายครั้งที่คำพูดและการกระทำของตัวละครย้ำว่าการพักอาศัยในอาคารสำเร็จรูปนั้นมีพร้อมทุกอย่าง และการทำงานในโรงงานช่วยให้ชีวิตดีขึ้น ยิ่งหากเทียบกับสภาพบ้านเก่าของโทนิคซึ่งโดนตัดไฟ มีฝนรั่วจากหลังคา แถมไม่มีเงินใช้ ชีวิตในตึกและในโรงงานยิ่งควรไขว่คว้ามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากเรื่องร้ายๆ ที่เกิดกับดาช่า ความบาดหมางในครอบครัวของโทนิค ความคิดเห็นไม่ลงรอยกันระหว่างพ่อกับแม่ของโมนิก้า กับการที่แม่ยังไม่พอใจกับสภาพชีวิตของตนเองจนอยากให้ลูกสาวได้ไปอยู่อเมริกาแดนสวรรค์ แสดงให้เห็นว่าอาคารที่พักเพียบพร้อมกับรายได้ที่พอเพียงใช่ว่าจะเติมเต็มความสุขได้เสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อหันไปมองช่วงเวลาเปี่ยมสุขของตัวแทนจาก 3 ครอบครัว ได้แก่ โมนิก้า โทนิค ป้า และลูกทั้งสองของดาช่า ในบ้านหลังเก่าซึ่งแม้มีไม่ครบครันแต่ก็อบอุ่นงดงาม
ปล่องควันขนาดใหญ่ 3-4 ปล่อง อันเป็นส่วนหนึ่งของสถานีพลังงานถ่านหินโพเซเรดี้ซึ่งเห็นปรากฏเป็นฉากหลังตลอดทั้งเรื่องไม่ว่าจะอยู่บนอาคารหรืออยู่บริเวณบ้านเก่า นอกจากจะสื่อถึงการพัฒนาที่คุกคามควบคุมชีวิตผู้คนในเมืองนี้แล้ว ภาพปล่องไฟของโรงถ่านหินลักษณะคล้ายกันนี้ยังมีอยู่อีกหลายแห่งทั่วประเทศ รวมถึงสถานีพลังงานนิวเคลียร์ 2 แห่ง ในเทเมลินและดูโควานี ซึ่งก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตผู้คนและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด หนังเรื่องนี้จึงสะท้อนถึงความเป็นอยู่-เป็นไปของชาวเช็กทั่วประเทศด้วยเช่นกัน
หนังมีท่าทีเย้ยหยันอยู่พอสมควร กับฉากแห่งความสุขหลายฉากที่ต้องมองเห็นปล่องควันขนาดใหญ่ปรากฏเป็นฉากหลังอันน่าขัดแย้งอยู่เสมอ เช่นฉากที่โมนิก้า โทนิค และเด็กๆ พายเรือในสระน้ำอย่างมีความสุข โดยโทนิคสมมุติเรื่องราวว่ากำลังอยู่ในเทพนิยาย แต่ที่เห็นไกลๆ นั้นคือปล่องควันขนาดใหญ่ยืนโดดเด่นปล่อยควันดำสู่ท้องฟ้า
บทสรุปของหนังเหมือนกับจะยอมรับว่าถึงที่สุดแล้วเราไม่อาจฝืนต้านความเปลี่ยนแปลงในสังคมที่ก้าวสู่รูปแบบทุนอุตสาหกรรมเต็มตัวจนกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มั่งคั่งและมั่นคงที่สุดในยุโรปตะวันออกหลังยุคคอมมิวนิสต์ และมีดัชนีคุณภาพชีวิตในเกณฑ์ดีซึ่งถูกประเมินจากตัวเลขมากมายโดยองค์กรระหว่างประเทศ
ถึงกระนั้น ดัชนีความสุขของเราจะมากหรือน้อย...อยู่ที่ว่าเราเลือกประเมินกันอย่างไร
I'm On The Corner Of Your Mind(I Love You) โดย Leonid Soybelman เพลงประกอบหนังเรื่องนี้
Create Date : 01 มิถุนายน 2551 |
Last Update : 1 มิถุนายน 2551 10:51:41 น. |
|
11 comments
|
Counter : 1697 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ม่วนน้อย วันที่: 1 มิถุนายน 2551 เวลา:15:48:06 น. |
|
|
|
โดย: jonykeano วันที่: 1 มิถุนายน 2551 เวลา:22:11:44 น. |
|
|
|
โดย: grappa วันที่: 2 มิถุนายน 2551 เวลา:9:24:10 น. |
|
|
|
โดย: ม่วน IP: 125.24.194.42 วันที่: 2 มิถุนายน 2551 เวลา:23:35:03 น. |
|
|
|
โดย: haro_haro วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:11:49:38 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]
|
บทวิจารณ์ภาพยนตร์รางวัลกองทุน ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ปี 2549 ..............................
พญาอินทรี
ศราทร @ wordpress
|
|
|
|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|