All Blog
กรรมสิทธิ์หัวใจ ตอนที่ ๑๓

ตอนที่ ๑๓


เสียงนุ่มทุ้มที่ดังขึ้นจากเบื้องหลังส่งผลให้คนถูกถามสะดุ้งโหยง วริณสิตาสะบัดหน้ากับไปมอง แล้วสาวน้อยก็ได้เห็นว่าพีรพัฒน์กำลังมองมาจากหน้าห้องของเขา มือใหญ่ยังจับลูกบิดค้างไว้ คุณพีคงกำลังจะเข้าไปข้างในอยู่แล้วตอนที่เธอเปิดประตูออกมา


                “เอ่อ...” วริณสิตาพูดไม่ออก สาวน้อยได้แต่กะพริบตา นึกไม่ออกเลยว่าคุณพีมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ก็ในเมื่อเธอได้ยินเสียงรถแล่นออกไป เขาน่าจะต้องไปกับคนสำคัญของเขาสิ แล้วทำไม...


                “ดึกดื่นแล้ว ฉันถามว่าเธอจะไหน ได้ยินหรือเปล่า?” เสียงถามดังอีกครั้ง แถมหนนี้คนถามยังเดินเข้ามาหาด้วย แม้สีหน้าเขาจะไม่ได้บอกเลยว่าอยู่ในอารมณ์ใด โกรธหรือไม่ แต่วริณสิตาก็เกิดอาการเกรงๆขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


                “เอ่อ...จะ...จะ...ลงไป...หาป้าบัวศรีค่ะ”


“หาป้าบัวศรี?” ชายหนุ่มทวนคำ กระแสเสียงที่สูงขึ้นช่วงท้ายนั้นบ่งชัดถึงอารมณ์สงสัย “หาทำไม ต้องการอะไรรึเปล่า หรือว่า...ไข้ยังไม่ลด” ไวเท่าคำพูดเมื่อมือใหญ่หนายื่นมาจะอังหน้าผากให้อีกแล้ว สาวน้อยถึงกับผงะวูบไปโดยสัญชาตญาณจนแผ่นหลังชนประตูเสียงดังกึก


ชายหนุ่มชะงักมือใหญ่ไว้ทันใดและยังมิได้สัมผัสแตะหน้าผากพิสูจน์ไข้แม้กระผีก ดวงตาคมจ้องมองนัยน์ตาวาวๆที่มองเขาอย่างหวาดๆไม่ไว้ใจ


                “อะไร” แล้วยิ้มละไมผุดพรายขึ้นมา “นี่เธอยังไม่เลิกกลัวฉันอีกรึ” พีรพัฒน์ถามเมื่อตัดสินใจเลื่อนมือไปโยกศีรษะสาวน้อยแทน แต่คนถูกถามไม่ได้ตอบเขาเลยเลือกที่จะเอ่ยต่อ


“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันไม่คิดจะทำอะไรเด็กในปกครองของตัวเองแน่”


และหนนี้ก็มีแววดีขึ้นมาบ้าง เพราะสาวน้อยตรงหน้าทวนคำซ้ำ


“เด็ก...ในปกครอง...งั้นหรือคะ”


                “ใช่” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “ก็เธอยังไม่บรรลุนิติภาวะ เพราะฉะนั้น ฉันจะอยู่ในฐานะผู้ปกครองของเธอ เข้าใจมั้ย” แล้วพีรพัฒน์ปิดท้ายประโยคนั้นด้วยยิ้มละไม ใช่...หลังจากใคร่ครวญมาทั้งวัน ในที่สุดเขาก็ให้คำตอบกับตัวเองได้ว่าจะอุปการะเด็กผู้หญิงคนนี้ในฐานะไหน


                ...ผู้ปกครองกับเด็กในปกครอง...


                “อืม! เอาละ ทีนี้เธอจะบอกฉันได้หรือยังว่าจะลงไปหาป้าบัวศรีทำไมกัน” พีรพัฒน์วกกลับเข้าเรื่อง แต่ทว่า...


                “เอ่อ...ไม่มีอะไรค่ะ”


                “อ้าว!” เขาร้อง ทำหน้าสงสัยขณะที่วริณสิตาได้แต่ก้มหน้างุดลงไปอีก ก็แล้วจะให้บอกได้อย่างไรเล่า ว่าเธออยากจะทิ้งห้องสวยบนคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เขาจัดให้แล้วไปนอนที่ตึกคนใช้แทน! สาวน้อยตัดสินใจใช้มุขปากหายเข้าว่า


พีรพัฒน์ผ่อนลมหายใจออกมา ดูท่า...เขาคงต้องให้เวลาอีกสักหน่อย กำแพงน้ำแข็งแห่งความแปลกหน้าคงมิได้จะละลายลงมาง่ายๆ


“เอาเถอะ ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร กลับเข้าห้องของเธอไปพักผ่อนเถอะ มันดึกแล้ว”


เมื่อวริณสิตาพยักหน้ารับน้อยๆ เขาก็หันหลังจะเดินกลับห้องตัวเอง แต่เดินไม่เกินอึดใจร่างสูงใหญ่ก็หันกลับมา


“อ้อ! แล้วมียาที่ต้องทานก่อนนอนด้วยใช่ไหม ฉันเห็นเมื่อเช้า อย่าลืมกินนะ จะได้หาย เข้าใจไหม”


                “...ค่ะ”


                “อืม! ดี” หนนี้สั่งเสร็จก็เดินลิ่วๆไป ส่วนสาวน้อย...ก็ได้แต่มองตามแผ่นหลังที่ลับหายไปหลังประตูนัยน์ตากะพริบอยู่ปริบๆ


                ...ผู้ปกครอง...อย่างงั้นหรือ...


อือ! ดูเหมือนจะใช่ เพราะเธอเพิ่งจะโดนเข้าไปสองคำสั่งนี่


สาวน้อยคลี่ยิ้มออกมา ความอบอุ่นเกิดขึ้นในใจ เพราะอย่างน้อย...เธอก็ไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์นี้เพียงลำพังอีกแล้ว


......................


                แสงแดดยามเช้าสาดเข้าสลายบรรยากาศสลัวภายในห้องทันทีที่ชายหนุ่มผู้เจ้าของห้องดึงม่านหนาๆสีน้ำตาลให้กว้างออก พีรพัฒน์หยีตาลงเล็กน้อยเมื่อแสงจ้าสาดเข้ามา อึดใจก่อนที่สายตาจะปรับเข้ากับการเปลี่ยนแปลงความสว่างได้ เมื่อนั้นเขาจึงมองฝ่าแสงสีทองออกไปดูทัศนียภาพเบื้องนอก สุดลูกหูลูกตาคือหลังคาของบ้านหลังงามหลังอื่นๆ


คฤหาสน์ของป้าอังตั้งอยู่ในย่านบ้านพักอาศัยของคนรวย แม้แต่ละหลังจะสวยงามแต่อย่างไรก็คือทัศนียภาพของป่าคอนกรีตซึ่งค่อนข้างต่างกับบรรยากาศเขียวๆที่บ้านสวนอันคุ้นเคยของแม่เขา


พีรพัฒน์หรุบตาลงต่ำ ความจริงเจ็ดโมงเช้าอย่างนี้แดดยังไม่จัดนัก ที่สวนหย่อมหน้าบ้านจึงเห็นลุงก้านอดีตคนขับรถของป้าอังแปลงสถานภาพตนเองเป็นคนทำสวนไป ชายหนุ่มนิ่งมอง ลุงก้านเป็นคนเก่าคนแก่อีกคนที่ไม่ขอไปไหนหลังจากสิ้นบุญผู้เป็นนายอย่างป้าอัง แกเคยอาสาตัวอย่างขันแข็งว่ายังทำหน้าที่เป็นคนขับรถได้ดีแม้อายุอานามจะไม่น้อยแล้ว แน่นอนว่าพีรพัฒน์เชื่อ แต่เพราะเขาไม่เคยมีคนขับรถมาก่อน และไม่คิดว่าตัวเองจะคุ้นด้วยถ้าวันหนึ่งเกิดมีขึ้นมา ดังนั้นพีรพัฒน์จึงปฏิเสธการอาสาทำหน้าที่ของอดีตคนขับรถไปอย่างสุภาพ แต่เขาอนุญาตให้ลุงก้านอยู่ที่บ้านต่อไปได้ ด้วยหน้าที่อะไรก็ได้ที่แกอยากทำ


                ในที่สุดอดีตคนขับรถก็เลือกที่จะเป็นคนดูแลสวน


พีรพัฒน์ละตัวเองจากบานหน้าต่างเมื่อคิดว่าได้เวลาที่เขาควรจะลงไปข้างล่างแล้วทานมื้อเช้าสักที อย่างน้อยวันนี้พีรพัฒน์ก็ไม่อยากให้หุ้นส่วนอย่างหทัยรักต้องขุ่นเคืองใจด้วยการไปทำงานสาย เขาก้าวยาวๆออกจากห้อง ชายหนุ่มเผลอตัวหยุดอัตโนมัติเมื่อก้าวผ่านหน้าบานประตูลายสลักเถาองุ่น วูบหนึ่งในความคิด เขานึกอยากรู้ว่าคนที่อยู่ในห้องเป็นอย่างไร ชายหนุ่มเงื้อมือไปจะเคาะ แต่ว่า...


                คิดไปคิดมาอย่าดีกว่า พีรพัฒน์ลดมือลงมา มันคง...ไม่เหมาะหรอกถ้าเขาจะเคาะ


ชายหนุ่มตัดสินใจหมุนตัวเดินต่อไปลงบันไดสู่ชั้นล่าง


                “คุณพีจะให้ป้าตั้งโต๊ะเลยไหมคะ” นางบัวศรีเอ่ยถามทันทีที่พีรพัฒน์เดินลงมา แม่บ้านวัยหกสิบห้านั้นรอท่าเขาลงมาอยู่สักพักแล้ว เพราะมันเป็นปกติของบ้านนี้ตั้งแต่สมัยที่คุณอังกาบยังอยู่ อาหารเช้าจะถูกจัดขึ้นมาตั้งแต่เจ็ดโมงเพราะเจ้าของบ้านเป็นผู้บริหารที่ไปทำงานแต่เช้าตรู่เสมอ


ทันทีที่พีรพัฒน์พยักหน้ารับ นางบัวศรีก็หายวับเข้าไปในห้องรับประทานอาหาร และเมื่อชายหนุ่มเดินตามเข้าไปสมทบก็พบว่า ที่จริงโต๊ะอาหารถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องเผลอเลิกคิ้วขึ้นมาก็คือ...


จานข้าวบนโต๊ะอาหารนั้นมีจัดไว้แค่ชุดเดียว


                “กับข้าวออกจะหนักหน่อยนะคะ” นางบัวศรีบอก “ถ้าคุณพีไม่ชอบ จะรับเป็นขนมปังปิ้งหรือกาแฟไหมคะ ป้าจะเตรียมให้”


                “ไม่เป็นไร” พีรพัฒน์ส่ายหน้า ปฏิเสธเบาๆ เขามองอาหารเช้าที่แม่บ้านออกตัวว่าค่อนข้างหนัก มีผัดบล็อกโครี เอ็นไก่ทอดกระเทียมกับแกงส้มดอกแค สำหรับเขา กับข้าวมื้อเช้าแบบนี้ไม่ใช่ของหนักเพราะข้าวเช้าทุกวันที่บ้านสวนก็เหมือนกับข้าวมื้ออื่นทั่วๆไป 


                “แล้ววริณสิตาล่ะ ยังไม่ตื่นหรือ” ชายหนุ่มถามเมื่อทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ขณะที่นางบัวศรีตักข้าวใส่จานให้ คนเป็นแม่บ้านคลี่ยิ้มกรุ่นกำจาย อดหัวเราะเบาๆไม่ได้เมื่อนึกถึงเจ้าคนที่ถูกถาม


ยังไม่ตื่นรึ โธ่! นึกแล้วก็ขำ วันนี้นางคงต้องขอฟ้องความจริงอะไรบางอย่างสักหน่อยล่ะ


                “โอย ไม่ใช่หรอกค่ะ รายนั้นน่ะตื่นก่อนป้าเสียอีก ตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ก็มาเคาะห้องเรียกแล้วว่ามีอะไรให้ช่วยทำไหม” ว่าแล้วก็อดที่จะส่ายหน้าด้วยความนึกเอ็นดูไม่ได้ เด็กอะไรจะตื่นขึ้นมาหุงข้าวหุงปลาตั้งแต่ยังไม่ตีห้า สมัยนี้น่ะหาไม่ได้แล้ว!


                “แล้วก็นี่แหละค่ะ ผลงาน กับข้าวกับปลาหลายอย่างนี่ เจ้าจิ๊บมันขันอาสา ออกความคิดช่วยป้าทำทั้งนั้น ไม่มีจะยอมอยู่นิ่งๆเฉยๆล่ะ มันน่ะขยันขันแข็งจริงๆ”


                ขยันขันแข็ง พีรพัฒน์พยักหน้ารับรู้ ดูท่าเด็กนั่นก็น่าจะเป็นอย่างนั้นอยู่


                “อือ แล้วนี่เขาไปไหนเสียล่ะ ทำไมไม่เห็นมาทานกับข้าวฝีมือเขา”


                “อ่า...คุณพีจะ...จะให้เจ้าจิ๊บมันขึ้นมาร่วมโต๊ะที่เรือนใหญ่ด้วยหรือคะ”


แต่ราวกับคำถามนั้นมีอะไรผิดแผกไป ชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นนายเหลือบตามองหน้าทันที


                “ใช่ ทำไมหรือ”


น้ำเสียงเรียบๆนั้นแม้ไม่บ่งชัดว่าขุ่นใจอะไรหรือไม่ แต่ก็ทำให้นางบัวศรีชักร้อนๆหนาวๆ


                “อ่า...จะดีหรือคะ คือป้าเกรงว่ามันจะ...”


                “จะอะไร” พีรพัฒน์ถาม น้ำเสียงเข้มขึ้นนิดอย่างสัมผัสได้ “ผมไม่ได้ให้เขามาอยู่บ้านหลังนี้ในฐานะเด็กรับใช้นะป้าบัวศรี” แล้วประโยคนั้นทำให้แม่บ้านวัย ๖๕ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะใช่ว่านางจะไม่บอก แต่นิสัยอย่างเจ้าจิ๊บนั่น ยอมฟังเสียที่ไหน


                ‘ไม่หรอกมั้งจ๊ะ คุณพีเขาคงไม่ถามถึงจิ๊บหรอก’


แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร โธ่! เจ้าจิ๊บนะเจ้าจิ๊บ ทำป้าลำบากอีกจนได้!


ชายหนุ่มรวบช้อนและส้อมเข้าด้วยกันเสียงดังกริก


                “เด็กคนนั้นอยู่ไหน ไปตามเขามาพบผมเดี๋ยวนี้”






Free TextEditor



Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2553 16:52:07 น.
Counter : 1763 Pageviews.

4 comment
กรรมสิทธิ์หัวใจ ตอนที่ ๑๒

ตอนที่ ๑๒


                วริณสิตาหยุดตัวเองอยู่ตรงหน้าภาพถ่ายขนาดใหญ่ในกรอบหลุยส์สีทองอร่ามที่แขวนอยู่บนผนังของโถงใหญ่ในคฤหาสน์ สาวน้อยจ้องมองภาพถ่ายของสตรีวัยห้าสิบกว่าๆในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินสวยสง่าซึ่งกำลังมอบยิ้มพิมพ์ใจให้กับใครก็ตามที่มองภาพของท่านเสมอ...ท่านสตรีเจ้าของบ้าน


...คุณอังกาบ สุริยะธาดา...


แม้วริณสิตาจะไม่เคยมีโอกาสได้พบท่านในช่วงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เลย แต่ดวงหน้ารูปไข่ในภาพนั้นก็แสดงให้เห็นเด่นชัดถึงความงามของท่าน อีกทั้ง...แววตาแบบผู้ใหญ่ใจดีเฉกเช่นที่เธอเคยได้ยินคนสองคนเอ่ยถึงไว้ไม่มีผิด


‘คุณอังกาบท่านเป็นคนใจดีและเคยเมตตาต่อเรายายหลานนักหนา ในวันที่เจ้าไม่มียายแล้ว คุณอังกาบ...ท่านจะช่วยดูแลเจ้าได้นะลูกนะ’


‘เธอเองก็ได้อ่านจดหมายของยายเธอแล้วนี่ ที่มาวันนี้ฉันก็มาในฐานะตัวแทนป้าอัง ซึ่งฉันรู้ว่าถ้าเป็นป้าของฉันล่ะก็ ท่านคงพร้อมจะอุปการะเธอแน่ๆ’


วริณสิตากะพริบตาอย่างช้าๆ ในภาพถ่ายภาพนั้นมิได้มีแต่ท่านสตรีเจ้าของบ้านเพียงคนเดียวหรอก แต่ข้างๆยังมีชายหนุ่มอีกคน หน้าตาหล่อเหลาอ่อนโยนและกำลังยืนโอบคนสูงวัยกว่าด้วยสีหน้ารักใคร่  


นี่กระมัง...ลูกชายของท่าน คุณดนัยวัฒน์ สุริยะธาดา


วริณสิตายืนมองภาพนั้นนานจนอึดใจ คำบอกเล่าของป้าบัวศรีดังอยู่ในมโนสำนึก


            ‘แต่คุณอังเธอก็มีลูกชายนะ ชื่อคุณดนัยวัฒน์ แต่โชคร้าย คุณวัฒน์เธอมาถูกลักพาตัวหายสาบสูญไป’


สาวน้อยได้แต่ผ่อนลมหายใจ ยิ่งเห็นรูปของคุณอังกาบกับลูกชาย ก็ยิ่งทำให้สะท้านในใจ ทำไมนะคนใจดีมีเมตตาอย่างคุณอังกาบถึงต้องมาเจอเรื่องร้ายๆเช่นนั้นด้วย วริณสิตาได้แต่กระพุ่มมือขึ้นไหว้ภาพเหมือนของสตรีผู้ล่วงลับด้วยความเคารพและสงสารสุดหัวใจ


นานเกือบ ๕ นาทีที่วริณสิตายืนนิ่งๆอยู่ในความสงบเงียบของโถงคฤหาสน์ก่อนจะตัดสินใจเดินผ่านขึ้นบันไดสู่ชั้นสอง สาวน้อยยังคงทำได้แต่กวาดตามอง อาณาจักรบนชั้นสองนี้ก็โอ่โถงและสวยงามเฉกเช่นทุกส่วนของบ้าน แต่แน่นอน มันเงียบเหงานัก ตัวคฤหาสน์จัดแบ่งเป็นสองปีกตามอย่างที่นางบัวศรีเล่าให้ฟังตอนที่นั่งทานข้าวด้วยกันในครัวเมื่อครู่


                ‘ปีกทางขวานั่นเป็นห้องเก่าของคุณอังคุณวัฒน์ ส่วนนั้นคุณอังเธอก็จัดไว้เป็นส่วนตัว มีห้องพระกับห้องทำงานของท่านนั่นแหละ’


วริณสิตาค่อยๆทอดสายตามองไปตามระเบียงทางเดินที่ทอดสู่ห้องด้านปีกขวา พื้นที่ส่วนนั้นเป็นพื้นที่ส่วนตัวของท่านเจ้าบ้าน แม้ปัจจุบันท่านจะไม่ได้อยู่แล้วก็ตาม แต่สาวน้อยก็ตระหนักดีว่าไม่ควรเข้าไปยุ่มย่าม


‘ส่วนปีกซ้ายนั่น ปกติคุณอังเธอไว้สำหรับรับรองแขก’


                ‘งั้นหรือจ๊ะ’ วริณสิตาจำได้ว่าตัวเองเอ่ยออกไปเช่นนั้น มันเป็นประโยคคำถามเพราะนั่นเป็นฝั่งเดียวกับที่เธออาศัยเพราะงั้นจึงอดไม่ได้ที่จะสนใจใคร่รู้


                ‘ใช่ แต่ก็ไม่ค่อยจะได้มีหรอก แขกท่านน่ะ ก็เห็นมีแต่คุณพีเท่านั้น’


                ‘อะไรนะจ๊ะ คุณพีน่ะหรือ?’


อีกหนึ่งอย่างที่วริณสิตาเพิ่งได้รู้ก็คือ พีรพัฒน์ให้ความเคารพรักทั้งคุณอังกาบและดนัยวัฒน์มาก แม้ทั้งคู่จะจากไปแล้ว แต่เขาไม่เคยเข้าไปวุ่นวายหรือจัดการเปลี่ยนแปลงอะไรกับห้องของบุคคลทั้งสองแม้แต่น้อย และถ้าหากจำเป็นต้องพักที่คฤหาสน์หลังนี้ละก็ ห้องของคุณพีก็คือห้องใหญ่ที่สุดของส่วนรับรองแขกในปีกซ้ายซึ่ง...ก็เป็นห้องที่อยู่ถัดจากห้องของเธอไปเพียงหนึ่งห้องเท่านั้น


วริณสิตาผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะหันซ้ายแล้วออกเดินตรงไปตามระเบียงทางเดินกว้างกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูไม้สลักลายเถาองุ่น สาวน้อยเอื้อมมือจับลูกบิด ทว่า...แล้วก็อดใจไม่ได้ วริณสิตาผินหน้ามองเลยต่อไปยังสุดปลายของระเบียงทางเดิน และแน่นอน...สุดปลายสายตานั้นก็คือบานประตูของห้องใหญ่สุดทางปีกซ้าย  


                ‘แต่ก็นั่นแหละ’ เสียงของคนเล่ากลับมาดังก้องอีกครั้งในความคิด ‘นานน้าน...คุณพีเธอถึงจะมาสักที นี่ก็ยังดี ที่เธอไม่ได้คิดจะขายคฤหาสน์หลังนี้ทิ้งเสีย ไม่งั้น ป้าก็ไม่รู้จะไปอยู่ไหนทำมาหากินอะไร ไอ้เรามันก็แก่แล้ว ญาติมิตรอะไรที่ไหนก็ไม่มี ก็ได้แต่ฝากผีฝากไว้ที่นี่ คุณพีเธอก็ดี เธอเข้าใจเรื่องนี้ เข้าใจหัวอกคนแก่ไร้ญาติอย่างป้ากับตาก้าน’


ใช่...และตอนนี้ คุณพีเขาก็รับเด็กอย่างเธอเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์เพิ่มอีกคนแล้ว แต่ที่ไม่เข้าใจเลยสักนิด ก็คือทำไมคุณพีถึงต้องให้เธอขึ้นมาอยู่บนคฤหาสน์นี้ด้วย คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ


บ้านหลังใหญ่ แต่เงียบเหงาไร้ความสุข...มันเป็นเช่นนี้เอง 


นานเป็นชั่วโมงๆที่วริณสิตานั่งเจ่าอยู่บนพื้นหน้าเตียงในห้องใหม่แสนสวย เสียงเข็มนาฬิกาบนฝาผนังเดินดังกังวานชัดเหลือเกินในความรู้สึกเมื่อมีความเงียบคอยเป็นเพื่อน สาวน้อยชันเข่าขึ้นมากอด ที่จริงก็ใช่ว่าเธอจะไม่เคยเผชิญกับความเงียบแบบนี้สักหน่อย เพราะช่วงที่ยายเพิ่งเสีย เธอก็ต้องอยู่คนเดียวเงียบๆแบบเหมือนกัน แต่นั่น สภาพการณ์มันแตกต่าง เพราะอย่างน้อยตอนนั้นเธอก็ยังได้อยู่ใน ‘บ้าน’ บ้านที่ตัวเองคุ้นเคยมาตลอดชีวิต แต่นี่มันต่างกัน ต่างกันมากจริงๆ  


แล้วในที่สุดก็ทนไม่ไหว สาวน้อยตัดสินใจ คืนนี้เธอจะลงไปอยู่กับป้าบัวศรี แม้คนสูงวัยกว่าจะห้ามหรือย้ำหนักแน่นว่ามันเป็นเรือนคนใช้ แต่วริณสิตาไม่สนใจ เพราะต่อให้มันเป็นแค่ที่ซุกหัวนอนใต้สะพาน เธอก็แน่ใจว่าตัวเองจะรู้สึก ‘เป็นสุข’ มากกว่าแน่นอน


วริณสิตาดันตัวลุกขึ้นจากพื้นทันที สาวน้อยตรงดิ่งไปปิดสวิตช์ไฟเมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะลงไปหานางบัวศรี แต่ยังไม่ทันที่จะได้เปิดประตูแล้วออกไป โสตประสาทก็ได้ยินเสียงรถที่แล่นเข้ามาจอดในบริเวณคฤหาสน์เสียก่อน


สาวน้อยชะงักทันที


...คุณพี...


                ‘แต่ก็นั่นแหละ นานน้าน...คุณพีเธอถึงจะมาสักที’


คำบอกเล่าที่กลับมาดังก้องในหัวอีกครั้งทำให้วริณสิตาต้องหมุนตัวกลับมาอย่างชั่งใจ สาวน้อยมองไปที่บานหน้าต่าง จากห้องนี้ที่อยู่ทางฝั่งซ้าย เมื่อมองลงไปก็จะเห็นได้ถึงหน้าโรงรถเลยทีเดียว


                                     


                พีรพัฒน์เผลอตัวผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อสุดท้ายเขาก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดอยู่หน้าโรงรถในคฤหาสน์ของป้าอัง มันค่อนข้างจะ...ไม่ค่อยชิน...ใช่! ไม่ค่อยชินในความรู้สึกของเขานี่แหละ เพราะปกติแล้วถ้าค่ำมืดเขาก็ไม่ค่อยจะกลับเข้ามาที่นี่ ยิ่งมาพัก ก็ยิ่งไม่เคย แต่วันนี้มันแตกต่าง ชายหนุ่มได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้ง รถสปอร์ตสีดำที่แล่นเข้ามาจอดขนาบข้างทำให้เขาไม่มีเวลาให้กับความคิดตัวเองมากนัก


พีรพัฒน์เปิดประตูและก้าวลงมาจากรถทันทีที่ดับเครื่องสนิท แต่นั่นยังช้ากว่าอาคันตุกะที่ตามมาครั้งนี้ สาวสวยในชุดทำงานแบบสูทสตรีสีน้ำตาลอ่อนเปิดและปิดประตูรถตนเองลงอย่างว่องไวก่อนก้าวยาวๆมาหาเขาด้วยความมาดมั่น ใบหน้าสวยนั้นแม้มิได้บึ้งตึงแต่ก็ไร้รอยยิ้ม


                อึดใจก่อนที่ร่างประเปรียวสวยสง่าจะก้าวมาถึงตัวเขา พีรพัฒน์เหลือบตาขึ้นไปยังหน้าต่างห้องบนชั้นสอง แม้หน้าต่างบานนั้นจะมืดสนิท แต่ก็ยังทันได้เห็นม่านสีหวานที่สั่นไหวเพราะถูกใครบางคนดึงปิดอย่างว่องไว


                หทัยรักก้าวยาวๆมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆส่งให้ แต่อีกฝ่ายยังคงไม่ยิ้ม ตลอดครึ่งวันบ่ายมานี้หทัยรักแสดงทีท่าบึ้งตึงใส่เขาอย่างเปิดเผย พีรพัฒน์เข้าใจดี เจ้าหล่อนมีเหตุผลสมควรที่จะโกรธ


                “ไหนล่ะคะ เด็กที่มาขอความอุปการะจากคุณป้าอัง” หทัยรักถาม ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เมื่อต้องพบหน้า พรีพัฒน์จึงอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เขามาประชุมบอร์ดไม่ได้ในตอนเช้าให้หญิงสาวฟัง อธิบายเช่นเดียวกับที่เล่าให้สมศักดิ์ฟังทุกอย่าง แต่การกระทำเช่นนั้นกลับทำให้หทัยรักเรียกร้องที่จะติดตามเขามาที่นี่ให้ได้


                พีรพัฒน์ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วๆ


                “ผมว่า เด็กคนนั้นคงเข้านอนไปแล้วล่ะ เขาไม่ค่อยสบาย”


“อะไรกันล่ะคะ” สาวสวยแสดงทีท่าไม่พอใจ “จะเข้านอนได้ยังไง นี่ยังไม่สามทุ่มกว่าเสียด้วยซ้ำ รักไม่เชื่อหรอกค่ะ” ก็แน่ละ ใครจะไปข่มอารมณ์ไว้ได้ ยิ่งเมื่อรู้เหตุผลบ้าๆที่ทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าเบี้ยวการประชุมเสียหน้าตาเฉย เธอไม่ปรี๊ดจนเอพีกรุ๊ปแตกก็นับว่าควบคุมอารมณ์ได้ดีสุดๆแล้ว


เฮอะ! เด็กในอุปการะอย่างนั้นเรอะ! เธอต้องขอดูหน้ายายเด็กนั่นให้ได้!      


                “รัก” พีรพัฒน์เอ่ยเรียกสาวสวยอารมณ์ร้อนอย่างใจเย็น “เด็กคนนั้นไม่ค่อยสบายนะ เขาอาจจะทานข้าว ทานยา แล้วก็นอนหลับไปแล้วก็ได้ มันเป็นเรื่องปกติธรรมดา”


                “อะไรนะคะ” หทัยรักยังคงย้อนกลับเสียงสูง “นี่พีคิดว่าไอ้การที่เป็นต้นเหตุทำให้นัดประชุมผู้บริหารของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ต้องล่มเนี่ย มันเป็นเรื่องปกติธรรมดางั้นหรือคะ?!”


“รัก ผมไม่ได้พูดอย่างนั้นเลยนะ” ชายหนุ่มบอกอย่างใจเย็น เขารู้ว่าหทัยรักขุ่นเคืองกับเรื่องนี้มาก แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดวริณสิตา มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เด็กคนนั้นไม่สบาย และแน่นอน พีรพัฒน์ก็แสดงเจตจำนงแล้วว่ากรรมการของเอพีกรุ๊ปสามารถเริ่มประชุมได้โดยไม่มีเขา แต่ถ้าหทัยรักยังคงต้องการคนผิด เขาก็จะรับเอง


                “ผมขอโทษที่เป็นคนทำให้การประชุมวันนี้ต้องล่ม แต่สำหรับเรื่องเด็กคนนั้น ขอให้เป็นวันหลังเถอะนะ รักได้พบเขาแน่ๆ เพราะผมก็คงมีเรื่องเกี่ยวกับเด็กคนนั้นที่ต้องรบกวนให้รักช่วยดูแลจัดการให้ผมด้วย”


                “ช่วยเหลือจัดการ” หทัยรักขมวดคิ้วมุ่น “หมายความว่าไงคะ”


ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมา


                “ผมต้องขอโทษรักอีกครั้งนะที่ต้องขอรบกวนคุณตรงๆอย่างนี้ แต่เพราะผมไม่รู้จักใครและก็ไม่มีเพื่อนผู้หญิงคนไหนที่สนิทด้วยเท่ากับคุณ ผมเลยต้องรบกวนคุณให้ช่วยดูแลเด็กคนนั้นด้วย”


                “ขะ...คะ?” ในที่สุดหทัยรักก็หลุดยิ้มออกมา เมื่อได้ยินคำบอกเล่าที่ว่า ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่เขาจะสนิทด้วยเท่ากับตัวเอง


                “แหม...” หญิงลากเสียงยาว จังหวะนั้นถือโอกาสยื่นลำแขนเรียวๆมาคล้องไว้กับแขนของพีรพัฒน์ “จะรบกวนอะไรกันล่ะคะ เราก็...สนิทกันขนาดนี้แล้ว จริงไหมคะ” แล้วสาวสวยก็ปิดท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มแสนหวานผิดกับเมื่อนาทีที่แล้วจนพีรพัฒน์ต้องยิ้มเฝื่อน แม้จะใช้คำว่า ‘สนิท’ ในคำพูดเหมือนกัน แต่เขาว่าคำนี้ความหมายในพจนานุกรมของเขากับของหทัยรักคงจะต่างกันอยู่สักหน่อยเป็นแน่ แต่เขาก็มิได้หักหาญเยื่อใยไมตรี พีรพัฒน์เพียงยิ้มบางๆเมื่อวางมือใหญ่หนาของตนเองบนลำแขนเรียวยาวของหทัยรัก ก่อนค่อยๆปลดอย่างแผ่วเบาและสุภาพ


                “จวนจะสามทุ่มแล้ว ผมว่า ยังไงรักกลับบ้านก่อนจะดีไหม”


อ๊าย! ไอ้ผู้ชายบ้า!


หทัยรักหน้าหักลงอีกครั้ง ตวัดมือที่อุตส่าห์ยื่นไปคล้องแขนพีรพัฒน์ออกไปทันทีด้วยความหงุดหงิดในอารมณ์ แต่แน่แหละ เธอรู้ว่าไม่ควรจะตีหน้ายักษ์ ด้วยไอ้การจะเป็นสาวสวยน่ารักมันต้องมีจริตจะก้าน เพราะงั้นได้แต่ทนทำแค่กระเง้ากระงอดพองาม แม้ใจจริงนั้นอยากจะกรี๊ดใส่หน้าผู้ชายบ้าตาถั่วคนนี้ให้แก้วหูแตก!


“แหม!” หทัยรักแสร้งทำเสียงตัดพ้อ “พอหาคนใช้งานได้แล้ว ก็ไล่กันเลยหรือคะ พีน่ะไร้หัวใจเกินไปแล้วนะ”


                “รัก มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ” พีรพัฒน์ปฏิเสธ “ผมกลัวว่าคุณขับรถตอนดึกๆ มันจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่แค่นั้นเอง”


                งั้นก็ไปส่งฉันสิยะ ง่ายจะตาย!


แต่อะไรที่หทัยรักคิดว่ามันง่าย ผู้ชายคนนี้ไม่เคยทำให้ถูกใจเธอได้สักหน


เฮอะ! ไม่รู้เลยว่าโง่หรือบ้า!


ท้ายสุดแล้วสาวสวยก็ต้องทนข่มความขุ่นเคืองเอาไว้ ท่องอยู่ข้างในว่ารอไว้สักวัน สักวันที่เขาจะต้องมาสยบอยู่ต่อหน้าเธอ!


                “ก็ได้ค่ะ รักกลับก็ได้ เห็นกับที่พีอุตส่าห์เป็นห่วงหรอกนะ!”


พีรพัฒน์ยิ้มละไม ขณะที่อีกฝ่ายต้องซ่อนความหงุดหงิดหัวใจเก็บไว้เป็นที่สุดเลยทีเดียว


                วริณสิตาหมุนตัวขวับกลับมา ในความมืดสลัวหัวใจของสาวน้อยเต้นถี่ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่านาทีที่คนที่อยู่หน้าบ้านมองขึ้นมาเขาจะเห็นหรือไม่ว่าเธอแอบดูอยู่


                คงไม่หรอกมั้ง ก็ห้องปิดไฟออกมืด คงไม่ทันจะเห็นหรอก


เมื่อชั่งใจและบอกตัวเองเช่นนั้นวริณสิตาก็ค่อยๆหมุนองศากลับมา หนนี้มือน้อยค่อยแหวกม่านอย่างระวัง ดวงตากลมโตจับจ้องคนที่อยู่หน้าบ้านอีกครั้ง สิ่งที่เห็นต่อจากนั้นคือหญิงสาวที่ก้าวยาวๆเข้าไปหาชายหนุ่ม อึดใจแรกดูอาการกระฟัดกระเฟียดขัดใจ ก่อนร่างสูงใหญ่คงเอ่ยอะไรสักอย่างที่ทำให้ท่าทีนั้นเปลี่ยนไป จากโกรธขึ้งขัดใจกลายเป็นยิ้มสดใสพร้อมขยับเข้าไปคล้องแขนชายหนุ่มอย่างสนิทสนม สาวน้อยค่อยๆละม่านลงแผ่วเบา


แม้จะอยู่ในระยะไกลแต่ก็เห็นได้ว่าเจ้าของร่างบางสมส่วนนั้นสวยเพียงไหน


นี่กระมัง...หญิงสาวคนสำคัญ...


ประหลาดแท้ที่หัวใจเกิดหวิวไหว สาวน้อยปล่อยตัวอยู่กับความเงียบกระทั่งได้ยินเสียงรถแล่นออกไปเมื่อนั้นจึงตระหนักได้ วริณสิตาเงยหน้าขึ้นมา ใช่...เธอตั้งใจว่าจะลงไปนอนกับป้าบัวศรีนี่นาแล้วจะมายืนนิ่งซึมกระทืออย่างนี้ทำไม สาวน้อยตัดสินใจก้าวถี่ๆไปที่ประตู คว้าลูกบิดเปิดแล้วแทรกกายเบียดออกไปอย่างว่องไว


วริณสิตาผ่อนลมหายใจออกออกมาพรืดใหญ่เมื่อกลั้นใจปิดประตูลงให้เบาเสียงได้ที่สุด แต่ทว่า...


                “จะไปไหน?”


………………………….


สวัสดีค่ะ


ลงให้ ๓ ตอนรวดอย่างเมามัน ก่อนจะขออนุญาตหายไปทำภารกิจอันสำคัญยิ่งของตัวเองค่ะ อาจนานอยู่สักหน่อย สำหรับการลงตอนต่อไป หวังว่าจะยังมีคนรอคอยอ่าน


สุดท้ายนี้ ขอสวัสดีปีใหม่ ขอให้ทุกคนมีความสุขค่ะ






Free TextEditor



Create Date : 27 ธันวาคม 2552
Last Update : 27 ธันวาคม 2552 13:28:20 น.
Counter : 1900 Pageviews.

2 comment
กรรมสิทธิ์หัวใจ ตอนที่ ๑๑

ตอนที่ ๑๑


                “อ้าว! ลงมาทำไมล่ะกันเนี่ย” กระแสเสียงเนือยๆของนางบัวศรีร้องทักทันทีที่เห็นวริณสิตาเยี่ยมหน้าเข้ามายังห้องครัวที่อยู่ตรงตึกเล็กหลังคฤหาสน์ สีหน้าของนางมุ่ยลงนิดๆเมื่อเห็นวริณสิตาเดินเข้ามาใกล้ๆเคาน์เตอร์ทำครัวที่ยืนอยู่ จะว่ารู้สึกเกะกะก็มิใช่แต่...ก็มิได้ไม่เชิงนักเพราะตอนนี้ครัวนี้เกือบจะนับเป็นสถานที่ส่วนตัวของนางบัวศรีไปเสียแล้ว เนื่องจากนานหลายเดือน ที่ไม่มีอาคันตุกะคนใดย่างกรายเข้ามานอกจากตาก้านอดีตคนขับรถเท่านั้น ก็ตั้งแต่ที่คุณอังกาบเสียแล้วพวกเด็กรับใช้คนอื่นๆมันทยอยลาออกกันไปหมดนั่นแหละ


“ค่อยยังชั่วขึ้นแล้วเรอะ” นางบัวศรีเอ่ยถาม


คนถูกถามพยักหน้า


                “จ้ะ ค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้วล่ะ” แต่ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะไม่ค่อยเชื่อใจสักเท่าไหร่ นางบัวศรียุติมือที่สาละวนอยู่กับการปอกเปลือกกระเทียมลงชั่วครู่ ก่อนจะยื่นหลังมือมาอังหน้าผากตรวจดู แต่แน่นอนละ ไข้ของวริณสิตาลดลงแล้วจริงๆ เพราะหลังจากกลับมา นางบัวศรีก็จัดการให้เธอกินข้าวกินยา แล้ววริณสิตาก็หลับเป็นตายไปครึ่งค่อนวัน มาตื่นรู้ตัวอีกทีก็เย็นย่ำ ห้าโมงครึ่งเกือบหกโมงนี่แหละ


                นางบัวศรีละมือจากหน้าผากของวริณสิตา


                “แล้วลงมาจะเอาอะไรหรือเปล่าล่ะ หรือว่าหิวแล้วหึ?”


                “เปล่านะจ๊ะเปล่า” วริณสิตารีบพูดเพราะเกรงว่าคนสูงวัยกว่าจะเข้าใจผิด “จิ๊บไม่ได้อยากได้อะไรจ้ะ เพียงแต่...” สาวน้อยก้มหน้าลงมองพื้น อึดใจเต็มๆก่อนจะเงยขึ้นมา เอ่ยถามตามตรงว่า


                “ป้าจ๋า ป้ามีงานอะไรให้จิ๊บช่วยทำบ้างไหมจ๊ะ”


                “โอย! ไม่มีละ” นางบัวศรีตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด โบกมือให้หยอยๆก่อนหันไปยุ่งกับการปอกกระเทียมต่อ วริณสิตาเลยจ๋อยลงไปถนัดใจ


“ไม่มีเลยหรือจ๊ะ” สาวน้อยถามเสียงอ่อย “ทำกับข้าว ล้างผัก ล้างจาน หรืออะไรก็ได้ จิ๊บทำได้ รับรองไม่ทำอะไรเสียหายหรือเกะกะเลยจ้ะ จริงๆนะจ๊ะ” วริณสิตายืนยัน อย่างไรเสียก็อยากจะทำงาน เพราะไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองน่ะช่างไร้ประโยชน์


นางบัวศรีถอนหายใจออกมาหนักๆ


                “เฮ้อ! จะมาช่วยทงช่วยทำอะไร” คนสูงวัยกว่าพูด ไม่ได้ละสายตาจากงานที่ทำตรงหน้าสักนิด “ไม่สบายอยู่ ไม่ต้องช่วยหรอก เดี๋ยวคุณพีเธอจะมาว่าเอา”


                “ไม่หรอกมั้งจ๊ะ” วริณสิตาค้านเบาๆในทันที “จิ๊บช่วยทำงานนะ คุณพี...เขาจะมาว่าทำไมกันล่ะ”


และแน่นอนเมื่อหนนี้มีชื่อชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นเจ้าของบ้านอยู่ด้วยนางบัวศรีจึงละสายตามองหน้าเด็กสาว แววตาบนใบหน้าน้อยๆนั้นฉายแววจริงจังตั้งใจอย่างเด่นชัด


                “นะจ๊ะ ให้จิ๊บช่วยป้าเถอะ ล้างผักพวกนี้ก็ได้” ว่าแล้วสาวน้อยก็ถือวิสาสะหยิบต้นหอม ผักชีและแง่งขิงที่นางบัวศรีเตรียมไว้มาล้างทำความสะอาดทันที ที่จริงส่วนประกอบพวกนี้นางก็เตรียมไว้สำหรับทำข้าวต้มให้คนป่วยนั่นแหละ    


                 “เอ้อ! เจ้านี่ประหลาด” นางบัวศรีว่า “อยู่เฉยๆสบายๆไม่ชอบหรือไงหือ?”


เด็กสาวส่ายหน้า รอยยิ้มน้อยๆฉาบขึ้นมาทันทีที่ได้หยิบจับงานขึ้นมาทำ


                “ไม่หรอกจ้ะ ยายบอกว่าคนเรา ถ้าไม่ทำงานก็เหมือนกับคนไร้ค่า”


เออ! จริงสินะ นางบัวศรีก็เพิ่งตระหนักได้ ตลอดเวลาที่ทำงานเป็นข้าด้วยกันมา แม่สายใจแกเป็นคนขยันขันแข็งที่สุดคนหนึ่งเช่นกันนี่นา มิน่าเล่าแก้วตาดวงใจของแกก็ดูท่าจะขยันขันแข็งไม่ต่างกัน คนสูงวัยกว่าทอดสายตามองเด็กสาวที่ล้างผักเสร็จแล้วและเดินเข้ามาหานางอย่างนึกเอ็นดู


                “ต้นหอมผักชีพวกนี้ป้าจะเอาไปทำอะไรต่อหรือจ๊ะ หั่นแบบซอยหรือเปล่าจิ๊บจะได้ช่วย”


                “เอ้อ ซอยนั่นละ” นางตอบขณะหันกลับไปปอกกระเทียมอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม “ป้าว่าจะทำข้าวต้ม ผักชีกับขิงนั่นซอยให้เยอะหน่อยแล้วกัน มันแก้ไข้ดี”


วริณสิตาเบิกตาขึ้นน้อยๆทันที


                “นี่ป้าทำข้าวต้มให้จิ๊บเฉพาะงั้นหรือจ๊ะ” สาวน้อยถามเร็วปรื๋อด้วยสีหน้าตื่นๆ ส่งผลให้นางบัวศรีต้องเหล่มองอีกทีจนได้


                “เออ! ก็ใช่น่ะซี เจ้านี่ก็ถามแปลก”


                “โอย งั้นไม่ต้องหรอกจ้ะป้า ไม่ต้อง” วริณสิตารีบพูด “จิ๊บน่ะกินอะไรก็ได้ ป้าไม่ต้องลำบากทำให้จิ๊บแบบนี้หรอกนะจ๊ะ”


                “โธ่ นางบัวศรีร้อง ส่ายหน้าน้อยๆกับความเกรงอกเกรงใจไม่เข้าเรื่องของเด็กสาว “ลำบากลำเบิกอะไรที่ไหนเล่าลูกเอ๊ย! กะอีแค่ข้าวต้มหม้อเดียว”


                “แต่ว่า...เดี๋ยวป้าก็ต้องทำกับข้าวอย่างอื่นสำหรับคนอื่นๆอีกไม่ใช่หรือจ๊ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องทำอะไรพิเศษให้จิ๊บหรอก จิ๊บเกรงใจ”


ฟังแล้วนางบัวศรีก็ได้ส่ายหน้าขำๆ เด็กคนนี้พูดเหมือนนางยังเหลืองานต้องทำกับข้าวเลี้ยงทหารอีกประมาณหนึ่งกองทัพ! ซึ่งถ้ามันเป็นอย่างนั้นได้จริงๆละก็ นางว่าก็คงจะดีเสียด้วยซ้ำ! เพราะทุกวันนี้ วันๆแม่บ้านอย่างนางแทบไม่ได้ทำอาหารให้ใครได้ทานเลย นอกจากตัวเองกับนายก้าน!


                “มันไม่ได้เหนื่อยเหน่ยอะไรขนาดนั้นหรอกน่า ที่ทำเนี่ยเดี๋ยวก็กินหม้อเดียวกันนี่แหละไม่ต้องเพิ่มหรอก ตาก้านมันก็ไม่ใช่คนเรื่องมากยุ่งยากอะไร” นางบัวศรีว่า แต่คนฟังนั้นทำหน้าสงสัย


กินหม้อเดียวกัน?


                “อ้าว แล้ว”


                “หึๆ แล้วคุณพีน่ะรึ” คนสูงวัยกว่าเดา “แกน่ะไม่ค่อยจะกลับมากินข้าวที่นี่หรอก” นางบัวศรีบอก ทำเอาสาวน้อยต้องถามทันที


                “ทำไมล่ะจ๊ะ ก็ที่นี่เป็นบ้านของคุณพีเขาไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเขาถึงไม่ค่อยจะกลับมาล่ะจ๊ะ”


                “เป็นของเขาน่ะใช่ แต่เพิ่งเป็นได้ไม่นานน่ะซี"


เกือบชั่วนาทีที่นางบัวศรีหยุดนิ่งไป นึกไตร่ตรองสิ่งใดในใจสักอย่างก่อนเอ่ยคำถามกับเด็กสาวตรงๆว่า


“แล้วเจ้าน่ะตามคุณพีเขามา รู้เรื่องเขามากน้อยแค่ไหนล่ะ”


สาวน้อยได้แต่กะพริบตาและค่อยๆส่ายหน้า


“ไม่เลยจ้ะ” วริณสิตาตอบเสียงค่อย “จิ๊บรู้แค่ว่า...คุณพีเขาเป็นหลานชายของคุณอังกาบเท่านั้น”


คนสูงวัยกว่าผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่


“นั่นแหละ คุณพีน่ะเธอเป็นหลาน หลานคนเดียว แต่คุณอังเธอก็มีลูกชายนะ ชื่อคุณดนัยวัฒน์ แต่โชคร้าย คุณวัฒน์เธอมาถูกลักพาตัวหายสาบสูญไป”


“อะไรนะจ๊ะวริณสิตาร้อง นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณอังกาบที่เพิ่งมีโอกาสได้รู้ และแน่นอน มันเป็นเรื่องน่าตกใจ


“ก็ไอ้พวกผู้ก่อการร้ายอะไรนั่นแหละ” คนเล่าเอ่ยต่อไป “คุณวัฒน์น่ะเธอเป็นนักข่าว ก็ทำข่าวต่างประท่งต่างประเทศอะไรของเธอไป แต่ไม่รู้อะไรดลใจ จู่ๆเธอก็ขอไปไอ้...อะไรนะ ไอ้แถบๆตะวันออกกลางน่ะ ไม่ถึงปีก็เกิดเรื่องขึ้นมา คุณอังเธอก็เลยตรอมใจนักหนา ตั้งสองปีจนเธอมาเสียไปนั่นละ คุณพีเธอถึงต้องเข้ามาดูแลทุกอย่าง”


“โธ่ วริณสิตาได้แต่ร้องคราง ได้ทราบอย่างนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะจ่อมจมกับความรู้สึกสงสาร แต่ก่อนนี้สาวน้อยเคยนึกว่าสภาพความเป็นอยู่ของเธอกับยายที่ยากจนขัดสน จนทำให้ยายซึ่งอายุมากแล้วต้องตากตรำทำงานหนัก นั่นเป็นเรื่องน่าสงสารที่สุดแล้ว แต่นาที้เมื่อมานึกดู งานหนักที่เธอกับยายต้องทำอาจเทียบไม่ได้กับสิ่งที่คุณอังกาบเจอ เพราะงานหนักน่ะก็ให้แค่ความลำบากกาย แต่นี่...


                ลูกทั้งคนมาถูกโจรผู้ก่อการร้ายลักพาตัวไป!


                นี่ละนะความจริงของโลก มนุษย์เรา ทุกผู้ทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจน ก็ล้วนแต่มีปัญหาหรือเรื่องทุกข์ใจให้ต้องเผชิญทั้งนั้น  วริณสิตาหลุดออกมาจากห้วงคิดตนเองได้เมื่อเสียงเนิบนาบดังขึ้นอีกครั้ง


“เฮ้อนางบัวศรีผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “แต่ก็อย่างที่เล่านั่นแหละ คุณพีน่ะเธอเป็นแค่หลาน ไม่ได้อยู่บ้านนี้มาตั้งแต่ต้น เพราะอย่างนั้นเธอก็คงจะไม่คุ้น ถึงได้ไม่ค่อยจะเข้ามา”


“งั้นหรือจ๊ะ” วริณสิตารับรู้เสียงเบา เสี้ยวหนึ่งในใจนึกอยากถามคนเล่าเหลือใจว่า ถ้าไม่อยู่นี่แล้วคุณพีเขาไปอยู่ที่ไหน แต่แน่นอน สาวน้อยรู้ดีว่าคงไม่เหมาะไม่ควร              


                “ใช่ เมื่อก่อนตอนคุณอังคุณวัฒน์เธอยังอยู่น่ะนะ บ้านนี้มีคนเยอะแยะไปหมด เด็กๆรับใช้ก็ปาเข้าไปตั้งแปดคนนั่นแน่ะ แต่พอคุณวัฒน์เธอมาหายตัวไป ทุกอย่างก็เริ่มแย่ จนคุณอังเธอมาเสียไอ้พวกเด็กๆก็เลยทยอยออกไปกันหมด จะเหลือก็แต่ไอ้คนเก่าๆแก่ๆอย่างป้ากับตาก้านนี่แหละที่ไม่รู้จะไปไหน เฮ้อ! ไอ้เรามันอยู่รับใช้คุณอังเธอมาตั้งกะโน้นนี่นะ สมัยสาวๆ” พูดจบ นางบัวศรีก็เหมือนจะนึกได้ ไม่แน่ใจตัวเองจะร่ายเพลินเกินไปหรือเปล่านางจึงหยุดปากลงและรอดูปฏิกิริยา แต่ว่าวริณสิตาก็ไม่รู้จะพูดอะไร สาวน้อยจึงได้แต่เงียบ


                “เออนี่ จู่ๆคนสูงวัยกว่าก็เอ่ยขึ้นมา “ป้าขอถามอะไรหน่อยเถอะนะ ไอ้เมื่อคืนน่ะ ทำไมเจ้าถึงลงมานอนบนพื้นเสียล่ะ เตียงนุ่มๆสวยๆก็มี”


                “จ๊ะ?”


วริณสิตาได้แต่กะพริบตา เหตุผลที่เธอลงมานอนบนพื้นน่ะหรือ


                “เอ่อ...คือ...” สาวน้อยก้มหน้า “คือ...เตียงมันสวยเกินไปน่ะจ้ะ”


                “อะไรนะ?” คนสูงวัยกว่าย้อนถามเสียงสูง แน่นอนวริณสิตารู้ ว่าเหตุผลนี้มันฟังดูบ้าๆ แต่เธอน่ะคิดอย่างนั้นจริงๆ


                “คือ...คือจิ๊บไม่เคยนอนแบบนั้นมาก่อนเลยจ้ะ แล้ว...แล้วเตียงมันก็ทั้งใหญ่ทั้งสวยแล้วก็สะอาดมากด้วย จิ๊บก็กลัวว่าถ้าจิ๊บนอน จะทำให้เตียงสวยๆยับ แล้ว...แล้วเดี๋ยวคุณพีเขาจะว่าเอา”


                “ไฮ้! พิลึกน่า” นางบัวศรีร้องเสียงหลง แถมพูดประโยคเดียวกับที่สาวน้อยพูดเมื่อกี้ไม่มีผิด “คุณพีเขาจะมาว่าทำไมในเมื่อเขาสั่งให้เจ้าอยู่ห้องนั้น”


                “แต่ว่า...” วริณสิตาได้แต่พูดอุบอิบ ก็เธอไม่รู้นี่ ที่ตามเขามาก็มีแต่ความไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจอะไรสักอย่าง มิหนำซ้ำเมื่อมาแล้ว เขาก็ปล่อยเธอไว้คนเดียวอย่างนั้น ความรู้สึกจึงไม่ต่างจากการถูกทิ้งอยู่โดดเดี่ยวในที่ไม่คุ้นเคย แล้วจะให้เธอทำอย่างไร?


คิดแล้วก็ได้แต่ก้มหน้า


                “ป้าจ๋า” วริณสิตาเรียกเบาๆ “ตอนกลางคืน ป้าพักอยู่ที่ไหนหรือจ๊ะ”


นางบัวศรีลอบมองหน้าสาวน้อยอยู่นิด ก่อนตอบ


                “ก็อยู่นี่แหละ”


                “อยู่นี่?”


“ใช่ ก็ตึกนี้คุณอังเธอสร้างไว้เป็นเรือนให้พวกลูกจ้างคนใช้อย่างเราอยู่กัน ห้องป้าก็ถัดจากครัวนี่ไปแค่นั้น ถามทำไมล่ะ”


                “เอ่อ...” แม้ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะพูด แต่ด้วยความที่ยังไม่สนิทคุ้นเคยกับคนสูงวัยกว่าตรงหน้าทำให้วริณสิตาอึกอักอยู่บ้าง “เอ่อ...คือ...คือถ้าอย่างนั้น จิ๊บ...ขอย้ายจากห้องข้างบนนั้น มาอยู่กับป้าที่ตึกนี้ได้ไหมจ๊ะ ป้าบอกว่าคุณอังท่านเคยมีคนอยู่ตั้งเยอะ เพราะฉะนั้นก็น่าจะมีที่ให้จิ๊บพออาศัยได้บ้างใช่ไหม”


แต่ทว่า...


                “ไฮ้! ไม่ได้ๆ” นางบัวศรีร้องทันที “ไอ้ตึกนี้พูดให้ตรงมันก็เรือนคนใช้นั่นแหละ แล้วเจ้าจะมาอยู่ได้ยังไง”


                “แล้ว...ทำไมถึงไม่ได้ล่ะจ๊ะ” วริณสิตาย้อนถาม ความไม่เข้าใจเจือชัดในกระแสเสียง “ทำไม...จิ๊บถึงจะลงมาอยู่เรือนคนใช้กับป้าไม่ได้ ในเมื่อ...จิ๊บก็อยู่ในฐานะคนใช้เหมือนกัน”


ฟังคำแล้วนางบัวศรีก็ได้แต่ถอนใจ


                “คุณพีเขาบอกอย่างนั้นหรือ?”


วริณสิตาเงยหน้าขึ้นมา สบตาคนถามชั่วอึดใจ ก่อนจะต้องส่ายหน้าตอบไปตามความจริงอีก


                “เปล่าจ้ะ คุณพี...เขาไม่ได้บอกอะไรเลย”


                “นั่นยังไง!” นางบัวศรีว่า “คนช้งคนใช้อะไรไม่ใช่หรอก เพราะไอ้วันที่คุณพีเขาไปรับเจ้ามาน่ะ เขาเป็นคนโทร.มาสั่งเองว่าให้จัดห้องเล็กตรงปีซ้ายไว้ให้ เพราะงั้นคุณพีเขาคงไม่ได้ให้เจ้ามาทำงานคนใช้หรอก” นางบัวศรีสรุปง่ายๆอีกครั้ง แต่นั่นไม่ง่ายเลยกับความรู้สึกของสาวน้อย    


            ถ้าไม่ได้แลกด้วยแรงงาน แล้วเธอ...ต้องแลกกับการอยู่ที่นี่ด้วยอะไร?


วริณสิตารู้สึกว่าลำคอตัวเองแห้งผาก               


“ถ้าอย่างนั้น...คุณพี...เขาให้ต้องการจิ๊บอยู่ในฐานะอะไรล่ะจ๊ะ” สาวน้อยตัดสินใจถาม ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นคำถามที่คนถูกถามไม่รู้จะตอบยังไงด้วย


                “เอ่อ...”


                “ก่อนหน้าจะมา” วริณสิตาเอ่ยขึ้นมาอีกเสียงแผ่วๆ “คุณพี...เขาเคยบอกว่ามาอยู่นี่ จิ๊บก็ต้องทำงานอะไรตอบแทนเขาบ้าง ถ้า...ไม่ใช่งานคนรับใช้ แล้วมันจะเป็นงานอะไรล่ะจ๊ะ”


ยิ่งโดนรุกไล่ แม่บ้านวัยหกสิบห้าก็ยิ่งตอบไม่ถูก มิหนำซ้ำ ยังกลืนไม่เข้าคายก็ไม่ออกอีกด้วย


                “เอ่อ...”


ยิ่งเห็นท่าทีแบบนั้น วริณริสิตาก็ยิ่งหวั่น


                “มัน...คงไม่ใช่...”


                “โธ่! จิ๊บเอ๊ย!” คนสูงวัยกว่าร้องออกมาเสียงยาว ด้วยความที่อาบน้ำร้อนมาก่อนร่วมสี่รอบทำให้นางบัวศรีรู้ดีว่าคำต่อไปในประโยค ‘คงไม่ใช่...’ คือคำว่าอะไรและหมายความว่าอย่างไร! แต่แน่นอน นางบัวศรีให้คำตอบไม่ได้ ใจหนึ่งก็อยากจะบอกไปตามตรงว่านางเองไม่รู้ แต่...


ไอ้ที่ดูๆ เห็นๆอยู่เมื่อเช้ามันก็ไม่แน่!


ไหนจะไอ้หน้าตาเคร่งเครียดถมึงทึงตอนที่คิดว่าเจ้าจิ๊บหายตัวไป ไหนจะไอ้เหตุการณ์ที่เขาเข้าอุ้มลิ่วๆพาไปโรงหมอด้วยสีหน้าเป็นห่วงนั่นอีก เอ้อ! มันห้ามไม่ให้คิดได้เสียเมื่อไหร่!


นางบัวศรีผ่อนลมหายใจออกมาอย่างคนหนักอก


                “เฮ้อ! ป้าเองก็คงได้แต่บอกเจ้าตามตรงนั่นแหละว่าไม่รู้ ถ้าคนอุปการะเจ้าเป็นคุณวัฒน์น่ะ ป้าก็พอจะบอกได้หรอกว่าเธอจะเอ็นดูเจ้าในฐานะไหน เพราะรายนั้นป้าเห็นและรู้จักเธอมาตั้งแต่เล็กๆ แต่คุณพีนี่...ป้าไม่รู้จักเขาจริงๆลูกเอ๋ย”


คำตอบนั้นก็ยังไม่ต่างอะไรไปกับ...บ่วง...ที่รัดรึงวริณสิตาไว้กับความว้าวุ่นและไม่แน่ใจในชะตาชีวิตของตัวเองเลย


........................






Free TextEditor



Create Date : 27 ธันวาคม 2552
Last Update : 27 ธันวาคม 2552 13:02:25 น.
Counter : 1840 Pageviews.

1 comment
กรรมสิทธิ์หัวใจ ตอนที่ ๑๐

ตอนที่ ๑๐


“อ๊ายหทัยรักร้อง ใบหน้าสวยที่แต่งด้วยเครื่องสำอางชั้นเลิศบูดบี้เพราะความขัดเคืองใจเมื่อกดมือถือต่อสายกลับไปอีกครั้งก็ดันกลายเป็น ‘ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่คุณเรียก’ ไปเสียแล้ว!


“อ๊าย! อ๊าย!ๆๆ นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ยแล้วก็ส่งเสียงแหลมอีกหลายครั้งให้สากับความขัดใจทำเอาหนุ่มใหญ่วัย ๕๓ ที่เพิ่งเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาถึงกับมุ่นคิ้วอย่างสงสัย 


“อะไรกันน่ะลูก? เอะอะเสียงดัง”


“คุณพ่อ


ไม่จำเป็นที่คุณอมรจะต้องถามอะไรอีก หทัยรักก็ลุกพรวดจากโต๊ะทำงาน เม้มริมฝีปากจนบางเฉียบแบบคนอัดอั้นยามจ้องหน้าผู้เป็นบิดา


“ก็ ’ท่านประธานกรรมการใหญ่’ ของคุณพ่อน่ะสิคะ ทำตัวแย่ แย่! แย่ที่สุด


“เฮ้ย...” คุณอมรลากเสียงยาว ก้าวพรวดๆเข้ามาหาลูกสาวที่ยืนหน้าหงิกชนิดไม่ห่วงจะหมดสวย ทั้งสีหน้าและบุคคลิกของคุณอมรที่มักจะวางเรียบเฉยต่อหน้าบุคคลอื่นได้เสมอ กลับอันตรธานไปได้ ง่ายดายยิ่งกว่าแสงแวบวับของฟ้าแลบเสียอีก แม้จะเป็นนักธุรกิจมากประสบการณ์ ผ่านปัญหาอุปสรรคมาโชกโชน ทว่าคุณอมรกลับแพ้ราบคาบอยู่อย่างเดียว...


...ลูกสาว...


“ทำไมถึงไปพูดอย่างนั้นเล่าลูก?” คุณอมรถาม


“ก็มันจริงนี่คะ หทัยรักเถียง “คุณพ่อทราบมั้ยคะ ว่าจู่ๆอีตา...’อีตาบ้า’นั่นก็บอกว่าคงเข้ามาประชุมบอร์ดไม่ทัน


“โธ่! ไม่เอาน่าลูก เรื่องแค่นี้ รถมันอาจจะติดก็ได้ เขามาไม่ทัน งั้นเดี๋ยวพ่อก็แจ้งเลื่อนการประชุมเป็นตอนบ่ายก็ได้”  


“มันไม่อย่างงั้นสิคะคุณพ่อ รักยังไม่ทันพูดอะไรเลย เขาก็บอกว่า เขาไม่ต้องการให้การประชุมต้องเลื่อนหรือล้มเลิก ให้กรรมการคนอื่นประชุมไปได้เลยโดยไม่มีเขา นี่แหละค่ะ ประสาทที่สุดหทัยรักพ่นออกไปเป็นชุดอย่างสุดทน แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าที่พีรพัฒน์บอกมาจริงๆก็สามารถทำได้! การประชุมวิสามัญสามารถดำเนินได้ถ้ามีผู้ถือหุ้นมาเข้าประชุมกันแทนหุ้นได้เกินจำนวนหนึ่งในสี่แห่งทุนของบริษัท! แต่...


แต่มันจะเรื่องบ้าอะไรกันเล่า ในเมื่อเขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด! เขาก็น่าจะรู้สิว่าตัวเองสำคัญที่สุด แล้วนี่อะไร ไม่ใส่ใจเลย! และที่น่าคลั่งแค้นกว่านั้นน่ะหรือ...


“ฮึ! แล้วมากกว่านั้นนะคะคุณพ่อมากว่านั้น” หทัยรักยังพ่นต่อไปอย่างอัดอั้น “เขากล้าปิดมือถือใส่รักค่ะคุณพ่อ เขาปิดมือถือใส่รัก


ดูเหมือนจะเรื่องนี้เองที่ทำให้หทัยรักหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนแทบกรี๊ด


“เฮอะ! ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้เขากลายเป็นเจ้าของมรดกนับร้อยล้านของคุณป้าอังล่ะก็ แค่หางตา อย่านึกว่ารักจะแล


ใช่! และนั่นก็เป็นเหตุผลใหญ่ ‘ใหญ่ที่สุด’ เลยด้วยที่คุณอมรอยากให้หทัยรักสนิทชิดเชื้อกับพีรพัฒน์ แม้ความจริงหลังสิ้นคุณอังกาบ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับคนอย่างคุณอมรที่จะทำให้เอพีกรุ๊ปเปลี่ยนจากมือพีรพัฒน์มาอยู่ในมือเขาแทน แต่นั่นไม่ใช่การวางแผนชีวิตที่ดี ฐานะเขาตอนนี้ก็ร่ำรวยสุขสบายอยู่แล้ว แต่แน่นอน...คนที่เขาอยากให้ร่ำรวยและสุขสบายยิ่งกว่าก็คือ...แก้วตาดวงใจที่ชื่อหทัยรักนั่นแหละ


                “โธ่! ใจเย็นๆน่าลูกสาวคนสวยของพ่อ” คุณอมรปลอบประโลม ลูบผมลูกสาวเบาๆ สิ่งที่เขาอยากให้หทัยรักได้ครอบครองไม่ใช่แค่เอพีกรุ๊ป แต่รวมถึงคฤหาสน์ ที่ดินและทรัพย์สินทุกอย่างของคุณอังกาบ และแน่นอน นาทีนี้การเข้าไปครอบครองด้วยสิทธิของ ‘ภรรยา’ ดูจะเป็นวิธีที่ดี ถูกต้องและสง่างามต่อลูกสาวของเขาที่สุด


                พอมีคนเอาใจแสดงความรักใคร่ หทัยรักก็ค่อยอารมณ์ดีขึ้น แต่ถ้าว่ากันแล้วความโทโสต่อผู้ชายบ้าๆที่บังอาจปิดโทรศัพท์ใส่สาวสวยอย่างเธอ อารมณ์ขึ้งๆก็ยากจะหายไปได้ปุบปับเหมือนกัน!


                หทัยรักจ้องมองบิดา เมื่อยี่สิบห้านาทีที่แล้ว ทั้งเธอและคุณอมรต่างก็นั่งอยู่ในห้องประชุมกันทั้งคู่ แต่หลังจากที่ไม่มีวี่แววว่าพีรพัฒน์จะโผล่มาสักทีหทัยรักจึงได้เลี่ยงออกมาแล้วจัดการโทร.ตามเขา แล้วก็เป็นอย่างที่เห็นกันนี่แหละ!


                “คุณพ่อคะ เดี๋ยวรบกวนคุณพ่อแจ้งเลือนการประชุมเลยนะคะ” หทัยรักพูดขณะที่หันไปคว้ากระเป๋าถือผ้าไหมทอแสนหรูยี่ห้อ JIM THOMSON เปิดออก แล้วจัดการหย่อนมือถือใส่ลงไป


                “ได้สิ” คุณอมรตอบ “ว่าแต่...รักจะออกไปไหนล่ะลูก”


หทัยรักเงยหน้าขึ้นมา


                “จะไปไหนงั้นหรือคะ” หทัยรักย้อนคำถาม มือขาวๆหยิบแว่นกันแดดออกจากกระเป๋าก่อนสวมเข้ากับใบหน้าด้วยทีท่าของสาวมั่น


                “รักก็จะไปจัดการผู้ชายบ้าตาถั่วที่บังอาจปิดมือถือใส่รักน่ะสิคะ!”   


                หลังจากได้พบหมอ รอรับยาและชำระค่ารักษาพยาบาลซึ่งทั้งหมดนั่นกินเวลาเข้าไปถึงเกือบสิบโมงสี่สิบห้า ดังนั้นกว่าที่พีรพัฒน์จะพาวริณสิตากลับมาถึงบ้านจึงล่วงเลยมากว่าสิบเอ็ดโมงสิบห้าเลยทีเดียว


                “เอาละถึงแล้ว” ชายหนุ่มบอกเบาๆขณะวนรถเข้าจอดเทียบตรงบันไดหินอ่อนหน้าบ้าน


                “ขอบพระคุณคุณพีมากค่ะ” สาวน้อยที่นั่งข้างๆกระพุ่มมือไหว้อย่างอ่อนน้อม ถ้อยประโยคที่ตอบกลับมาดูจะเบากว่าของเขาหลายเท่านัก แต่ดวงตาของสาวน้อยค่อนข้างแดงจัด พีรพัฒน์ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเพราะพิษไข้ ฤทธิ์ของยาแก้ไข้ หรือความดื้อของคนไข้กันแน่ที่เอาแต่ทนฝืนอาการจะหลับมิหลับแหล่มาตลอดทางถึงเพียงนั้น เขาไม่รู้ว่าควรจะเสียใจ โมโห หรือท้ายสุดคือ...นึกขำ ว่าจนถึงขนาดนี้แล้วเด็กคนนี้ก็ยังไม่ยอมจะไว้ใจเขาสักที


คิดๆก็น่าตีพิลึก!


“ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มตอบ นางบัวศรีนั้นออกมายืนคอยอยู่ตรงบันไดหน้าอย่างใจจดใจจ่อเหมือนเคยแล้วก็ได้แต่ชะเง้อคอน้อยๆตามวิสัยใคร่รู้ วริณสิตาค่อยๆเปิดประตูรถออกมา มีถุงใส่ยาสีขาวถือติดอยู่ในมือ แต่ก่อนที่สาวน้อยจะดันประตูรถปิดให้ พีรพัฒน์ก็ไม่วาย เอียงหน้าลงมา จ้องตาสาวน้อยแล้วก็...


“เดี๋ยวทานข้าว ทานยาแล้วก็นอนพักเสียนะ” เขาออกคำสั่ง ส่วนคนถูกสั่งก็ได้แต่พยักหน้าและรับคำ ‘ค่ะ’ เสียงแผ่วๆ ทว่าอากัปกิริยาเจี๋ยมๆสุดแสนจะเจียมเนื้อเจียมตัวแบบนั้นทำให้พีรพัฒน์นึกจับทางอะไรได้อีก


                “อ่อ! แล้วก็นอนพักน่ะบนเตียงนะ ไม่ใช่ ‘บนพื้น’ เข้าใจไหม”


หนนี้คงรับคำออกมาเป็นคำพูดไม่ไหว วริณสิตาได้แต่ก้มหน้าลงไปมองพื้น พีรพัฒน์จึงไปเอ่ยวาจากับนางบัวศรีที่ยืนชะเง้อคออยู่แทน


                “ป้าบัวศรี”


                “ขะ...คะ คุณพี” นางบัวศรีกระวีกระวาดเข้ามาใกล้ๆประตูรถ พีรพัฒน์เลยเอียงหน้าลงอีกนิดก่อนออกคำสั่ง


“ดูแลวริณสิตาด้วย ผมต้องไปทำงานละ”


                “ค่ะๆ” นางบัวศรีรีบรับคำก่อนจัดการปิดประตูรถให้พีรพัฒน์อย่างว่องไวเลยทีเดียว


               


                พีรพัฒน์เปิดโทรศัพท์มือถืออีกครั้งเมื่อตอนที่เขาหักพวงมาลัยรถเข้าสู่ถนนเส้นหลักเรียบร้อยแล้ว ไม่ทันจะถึงนาทีที่เปิดให้ติดต่อได้ด้วยซ้ำ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ เขาคงไม่จำเป็นต้องเดาหรอกว่าใครโทร.มา พีรพัฒน์จัดการสวมหูฟังบลูทูธก่อนกดรับสาย


                “ครับ ว่ายังไงครับ”


                “เฮอะ! จะว่างงว่าไงกันล่ะครับไอ้คุณพี” เสียงห้าวๆคุ้นหูพร้อมสรรพนาม ‘ไอ้’ ที่สุดแสนจะคุ้นเคยทำให้พีรพัฒน์ถึงกับหัวเราะขำ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่คิดอย่างงั้น


                “ขำ ขำ” คนปลายสายได้แต่ประชด “เอ็งรู้บ้างมั้ย ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับข้าบ้าง ฮะ?”


                “อ้าว!” พีรพัฒน์ร้อง “ก็ถ้าเอ็งไม่บอก จะรู้ได้ยังไงล่ะครับ ไอ้คุณซ้ง”


คนถูกเรียก ‘ไอ้คุณซ้ง’ ได้แต่ทำเสียงชิชะมาตามสัญญาณคลื่นโทรศัพท์ก่อนจะบอกในสิ่งที่พีรพัฒน์พอจะเดาได้อยู่แล้ว


                “คุณรักเขามาที่นี่” เสียงของชายหนุ่มนามว่า ‘ซ้ง’ หรือ ‘สมศักดิ์’ บอกกล่าว “เขามาตามหาท่านประธานกรรมการใหญ่ของเอพีกรุ๊ป แต่บังเอิ๊ญเบ้จำเป็นของพีแอลเอสไม่รู้ว่ะว่าท่านประธานหายหัวไปไหน เท่านั้นแหละเอ็งเอ๊ย! รู้รึเปล่าคุณรักเขาเกือบฉีกอกข้าแหกเป็นชิ้นๆ”


พีรพัฒน์หัวเราะขำ เบ้จำเป็น ใช่ สมศักดิ์ใช้คำได้ถูกทีเดียว เพราะอย่างน้อยก็เดือนนี้ทั้งเดือนนั่นแหละที่เขาขอให้สมศักดิ์แบ่งเวลามาช่วยดูแลพีเอสแอลแทนเขาก่อน


“แล้วทำไมเอ็งถึงไม่ยอมให้เขาฉีกไปเล่า” พีรพัฒน์ว่า “เขาจะได้เห็นถึง ‘หัวใจ’ ของเอ็งสักทีไง”


“เฮอะ! ตลกฝืดแล้วไอ้พี” สมศักดิ์สวน แต่ต่างคนต่างก็รู้ดี ว่าในคำพูดที่คล้ายจะเย้าเล่นของพีรพัฒน์มีความจริงเจืออยู่ สมศักดิ์นั้นเป็นเพื่อนสนิทของเขา เป็นหุ้นส่วนหนึ่งในสามคนที่ช่วยกันสร้าง ‘พีแอลเอส ซิเคียวริตี้ ซิสเต็มส์’ ขึ้นมา เขากับสมศักดิ์เรียนวิศวะด้วยกันมาสี่ปี ซึ่งตลอดสี่ปีที่ผ่าน ไม่ใช่แค่เพียงพีรพัฒน์ แต่เป็นทุกคนในรุ่นต่างหากที่รู้ว่าสมศักดิ์นั้นแอบชอบสาวสวยเชียร์ลีดเดอร์ ดาวเด่นของมหาวิทยาลัยที่ชื่อ...หทัยรัก


ทว่าด้วยความเป็นหนุ่มตี๋ขี้อายและเจ้าเนื้อ ทำให้สมศักดิ์มองว่าตัวเองต่ำต้อยไม่คู่ควรพอจะจีบคนสวยไฮโซระดับดาวมหาวิทยาลัยแม้แต่นิด! กระทั่งตอนนี้ ตอนที่มันเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญของบริษัทรักษาความปลอดภัยบนเครือข่ายและระบบคอมพิวเตอร์อย่างพีแอลเอส เป็นเจ้าของกิจการร้านทองอันใหญ่โตของครอบครัวที่เยาราช มันก็ยังคงคิดว่าตัวเองต่ำต้อยอยู่นั่นเอง!


                “ว่าแต่ เอ็งไม่คิดจะแจกแจงแถลงไขให้รู้หน่อยหรือไง ว่าทำไมข้าถึงต้องมาโดนคุณรักด่าแทนเอ็งด้วยฮึ” สมศักดิ์ถาม ใจจริงพีรพัฒน์ก็อยากตอบ ว่าเป็น ‘คราวซวย’ ของสมศักดิ์เองที่หทัยรักคิดว่าเขาจะหายไปอยู่ที่พีแอลเอส แต่ตรองดูแล้วคิดว่ามันออกจะกวนบาทาไปสักหน่อย ไหนๆสมศักดิ์ก็เจอลูกวีนของหทัยรักไปอย่างช่วยไม่ได้แล้ว


                “เออ! โทษทีเพื่อน กับเรื่องนั้น มันเป็นเหตุสุดวิสัย”


                “ก็แล้วมันสุดวิสัยยังไงเล่าโว้ย เล่ามาสิวะ”


พีรพัฒน์หรี่ตา เขาน่าจะเหลือเวลามื้อกลางวันอีกสักพักก่อนจะต้องเข้าไปที่เอพีกรุ๊ปตามคำที่บอกไว้ และแน่นอน ในความรู้สึกเขาตอนนี้ มื้อกลางวันกับเพื่อนอย่างสมศักดิ์น่ะเข้าท่ากว่ามื้อกลางวันกับ...อดีตดาวมหาวิทยาลัยที่เกือบแหกอกเพื่อนเขาไปแน่นอน


                “งั้น...เอ็งออกมากินข้าวกลางวันด้วยกันสิซ้ง แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง”


                “อะไรนะสมศักดิ์เงยหน้าขึ้นมองพีรพัฒน์ มืออูมๆเผลอค้างตะเกียบคีบเส้นบะหมี่สีเหลืองซึ่งเกือบจะเอาเข้าปากไปแล้วถ้าหูดันไม่ได้ยินอะไรเสียก่อน


                “อุปการะเด็ก?” สมศักดิ์ถามอีกครั้งแต่พีรพัฒน์ไม่ได้ตอบ เขาไม่ใช่คนชอบย้ำอะไรนักหนา หากพูดครั้งเดียวแล้วฟังไม่รู้เรื่องคนฟังก็หมดโอกาสเสียแล้วล่ะ แต่แน่นอน เพื่อนซี้อย่างสมศักดิ์รู้นิสัยข้อนี้ของเขาดี และที่ถามย้ำไม่ใช่ไม่แน่ใจ แต่ไม่อยากจะเชื่อมากกว่า  


                “ฮ่าๆ” แล้วก็หัวเราะออกมาจนได้ “นี่เอ็งนึกยังไงของเอ็งเนี่ยถึงเอาเด็กมาอุปการะ นึกอยากจะมีลูกโดยไม่ต้องหาแม่ของลูกรึไงวะ” สมศักดิ์ว่าอย่างติดตลก เพราะอายุอานามพวกเขาตอนนี้ ก็ ๓๒-๓๓ นั่นแหละ เพื่อนในรุ่นก็ทยอยแต่งงานมีลูกมีเต้าเข้าสู่สภาพสร้างครอบครัวกันไปแยะ ไอ้คนตรงหน้านี่ก็อาจจะอยากเอาอย่างบ้างก็เป็นได้ แต่จะตลกในความคิดก็ตรงที่ ไอ้พีมันดันไปหาลูกแทนที่จะหาเมียเท่านั้นเอง!


สมศักดิ์หัวเราะขำ


                “ไม่ใช่อย่างงั้นโว้ย มันเป็นเรื่อง...เรื่องที่ช่วยไม่ได้ต่างหาก” พีรพัฒน์พยายามบอก แต่เหมือนคนตรงหน้าไม่ได้สนใจประโยคเขาสักนิด สมศักดิ์ดูสนุกสนานกับความคิดของตัวเองมาก ตาที่หยีเล็กอยู่แล้วยิ่งหยีเล็กลงไปอีกเมื่อถามต่อไปอย่างสำราญอารมณ์


                “แล้วเด็กที่เอ็งไปเอามาอุปการะเนี่ย ผู้หญิงผู้ชายวะ”


                “ผู้หญิง”


                “โฮ้...ลูกสาวเว้ย เหอๆ” ครั้งนี้หัวเราะต่ำๆ ในหัวสมศักดิ์จินตนาการพีรพัฒน์ในมาดคุณพ่อหวงลูกสาวไปแล้วอย่างขบขัน


                “แล้ว...กี่ขวบวะ” ถามต่อขณะส่งเส้นบะหมี่ที่ค้างในอากาศอยู่นานเข้าปากเสียที อาจจะชืดๆไปสักนิดแล้ว แต่เมื่อซดน้ำซุปตามพร้อมๆกับแกล้มด้วยเรื่องขำๆของไอ้พี รสชาติบะหมี่หมูแดงร้านประจำที่อยู่ห่างจากพีแอลเอสมาสองตึกนี่ก็อร่อยพอถูไถละ


                “สิบเจ็ด”


พรืด!!!


สมศักดิ์แทบพ่นบะหมี่ออกทางจมูก แต่คนที่ซวยเพราะน้ำซุปกระเด็นใส่สูทกลับเป็นคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า


“เฮ้ย!ๆ ขอโทษๆ”


พีรพัฒน์ข่มอารมณ์หลับตาขณะสมศักดิ์ละล่ำละลัก ลนลานคว้ากระดาษทิชชูบนโต๊ะมาเช็ดเศษบะหมี่ออกจากไหล่ให้


“แต่ว่าเมื่อกี้ เมื่อกี้เอ็งว่าเอ็งอุปการะเด็กอายุเท่าไหร่นะ”


“สิบเจ็ด” ชายหนุ่มกัดฟันตอบ


“โหย! ไอ้พี” สมศักดิ์คราง ทำหน้าเหมือนตัวเองพานพบสมบัติล้ำค่าของมวลมนุษยชาติไม่มีผิด “เอ็งนี่สุดยอด


“หยุดเลยนะไอ้ซ้ง” พีรพัฒน์ชี้หน้า “หยุดความคิดอกุศลของเอ็งไปเลย” เขาว่าขณะดึงกระดาษทิชชูอีกแผ่นออกมาปัดเศษหมี่ที่ยังค้างอยู่ให้หลุดไป “ยายของเด็กคนนี้เขียนจดหมายมาขอความอุปการะจากป้าอังโดยที่ไม่รู้ว่าป้าเสียไปแล้ว” พีรพัฒน์บอก


“อือฮึ” หนนี้สมศักดิ์นั้นตั้งใจฟัง ถึงขั้นจดจ่อตาไม่กะพริบ


“เขาป่วยหนัก” พีรพัฒน์ว่าต่อไป “ก็เลยขอร้องให้ป้าอังช่วยอุปการะเลี้ยงดูหลานสาวของเขาหน่อย โดยที่เขาจะยกหลานสาวให้เป็นสิทธิ์ขาดของป้าอัง”


                “ฮือฮึ แล้ว?”


ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจก่อนเอ่ยต่อไปอีก


                “ช่วงที่จดหมายมาถึงเป็นช่วงงานศพป้าอังพอดี ป้าบัวศรีเขาเห็นข้ายุ่งๆก็เลยไม่ได้เอาจดหมายให้ทันที กระทั่งจัดการเรื่องวุ่นๆทุกอย่างเสร็จนั่นแหละถึงได้รู้ พอมีโอกาสไปดูก็ปรากฏว่า...ยายของเขาตายไปแล้วสองอาทิตย์”


                “ฮื้อสมศักดิ์ร้อง “น่าสงสาร”


                “อือ” พีรพัฒน์เผลอพยักหน้า ความรู้สึกไม่ดียังติดอยู่ในใจว่าเขานั้นละเลยเรื่องนี้เกินไป แต่จมอยู่กับความรู้สึกผิดไม่เท่าไหร่ คนอีกฝ่ายก็ดั๊น...


                “หึๆ” หัวเราะออกมา “หน้าตาเป็นไงวะเด็กเอ็งเนี่ย” สมศักดิ์ถาม


“หึ…หึๆ” พีรพัฒน์เองก็แค่นยิ้มเหมือนจะขำ ก่อนจะขยำทิชชูที่อยู่ในมือแล้วปาใส่สมศักดิ์ทันทีทันใด “คิดอกุศลไม่เลิกนะไอ้ซ้ง


                “เฮ้ย คนถูกประทุษร้ายร้องเสียงดัง เอี้ยวตัวหลบขวับแต่ก็ไม่ทัน ก้อนกระดาษทิชชูเลยยังพุ่งเข้าหน้าไปอยู่ดี


                “โธ่!ๆ ไอ้พี เอ็งน่ะซีที่คิดอกุศล ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย”


                “แต่สีหน้าเอ็งมันฟ้อง รู้เอาไว้นะโว้ย ที่อุปการะเด็กนั่น ข้าไม่ได้คิดนอกคิดในอะไรทั้งนั้นนอกจากไอ้ที่เขาวอนขอความเมตตาจากป้าอัง แค่นั้น เข้าใจ๋?”


                “ไม่กินเด็กว่างั้น?”


                “เอ๊ะ! ไอ้นี่”


                “เฮ้ย!ๆ เออ เอาน่าๆ ข้าก็ล้อเล่น จริงๆก็รู้อยู่ว่าคนอย่างเอ็งมันไม่เจ้าชู้ แต่ว่า...ถามตรงๆหน่อยเถอะนะ” สมศักดิ์หรี่ตา “เด็กผู้หญิงอายุสิบเจ็ดน่ะไอ้พี โตขนาดนั้น แล้วเอ็งจะบอกคนอื่นว่าอุปการะเขาใน ‘ฐานะ’ อะไร ไหนบอกซิ?”


เจอประโยคนั้นเข้าไปพีรพัฒน์ก็ได้แต่อึ้ง เพราะถ้าจะเอาแบบใจจริง ‘นั่น’ ก็เป็นคำถามที่เขายังหาคำตอบที่เหมาะไม่ได้เหมือนกัน!


.......................






Free TextEditor



Create Date : 27 ธันวาคม 2552
Last Update : 27 ธันวาคม 2552 12:41:23 น.
Counter : 1997 Pageviews.

1 comment
กรรมสิทธิ์หัวใจ ตอนที่ ๙

ตอนที่ ๙


            ร่างสูงใหญ่ก้าวเท้าเข้ามาในโถงกว้างของคฤหาสน์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่คนที่ดูจะตึงเครียดกว่าคือแม่บ้านวัยหกสิบห้าที่รอรับหน้าอยู่


                “หาดูทั่วแล้วหรือ” ชายหนุ่มเปิดฉากคำถามแรกทันที แต่อาจเพราะคิ้วเข้มที่ขมวดมุ่นจึงทำให้น้ำเสียงที่เคยฟังนุ่มทุ้มอ่อนโยนอยู่เสมอกลับยังความน่าเกรงขามจนทำให้คนถูกถามเหมือนจะสะดุ้งไปน้อยๆ


“ขะ...ค่ะ” เมื่อคำตอบเป็นเช่นนั้นพีรพัฒน์ก็ไม่ได้พูดอะไรกับนางบัวศรีอีก เขาก้าวยาวๆไปตามบันไดหินอ่อนที่ทอดตัวขึ้นสู่ชั้นบนของคฤหาสน์ ช่วงก้าวยาว แข็งแรงและมั่นคงเช่นชายหนุ่มฉกรรจ์ทำให้นางบัวศรีที่ก้าวตามมาอยู่ด้านหลังต้องคว้าราวบันไว้ แล้วพาสังขารที่อายุอานามหกสิบห้าแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อให้ตามทันเลยทีเดียว พีรพัฒน์คว้าลูกบิดประตูไม้แกะลายเป็นเถาองุ่นของห้องเล็กตรงปีกซ้ายและเปิดออกอย่างรวดเร็ว มวลอากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศชั้นยอดกรูเข้าปะทะผิวกาย แต่ห้องทั้งห้อง...ว่างเปล่าไร้ความเคลื่อนไหว


“นี่แหละค่ะ” เสียงนางบัวศรีบอกเล่า “เมื่อเช้าเกือบเจ็ดโมงกว่า ไม่เห็นเจ้าจิ๊บออกมาสักที ป้าก็เลยขึ้นมาดู แต่ว่า...ก็อย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ” นางบอก จนถึงตอนนี้ความรู้สึกตกใจยังวูบๆอยู่มโนสำนึก เพราะงั้นไม่ต้องไปนึกถึงเมื่อเช้ากันเลย พอเปิดมาเจอห้องโล่งๆ ใจนี่หล่นแว้บไปอยู่ตาตุ่มเทียว!


“เป็นความผิดของป้าเองล่ะค่ะ เมื่อคืนก็เห็นแล้วว่ามันซึมๆหงอยๆ ไม่น่าเล้ย ไม่น่าทิ้งปล่อยให้อยู่คนเดียวเลย นี่เลยหนีไปไหนเสียแล้วก็ไม่รู้” นางบัวศรียังพล่ามต่อไป “แต่คุณพีไม่ต้องกังวลนะคะ ข้าวของมีค่าในบ้านทุกอย่างยังอยู่ครบ ป้าตรวจแล้ว”


พีรพัฒน์เหลือบมองหน้าคนพูดอยู่นิด เขาไม่เคยมีความคิดหรือสงสัยว่าเด็กคนนั้นจะขี้ขโมยเลยแม้แต่น้อย แต่แน่นอน คงตำหนิอะไรไม่ได้กับคำพูดเมื่อกี้เพราะ—ไม่มีใคร—จะรู้จักนิสัยใจคอแท้จริงของเด็กนั่น  


“แน่ใจนะ ว่าหาทั่วแล้ว” พีรพัฒน์ถามอีกครั้ง


“ค่ะ” นางบัวศรีตอบ “พอเปิดมาเห็นห้องโล่งๆ ป้าก็ตกใจ เดินหาให้ทั่วทั้งชั้นบนชั้นล่าง ให้ตาก้านช่วยตามจนรอบบ้านแล้วก็ยังไม่เจอ ป้าขอโทษนะคะคุณพี ป้าขอโทษ เป็นความผิดของป้าแท้ๆเลย”


ชายหนุ่มก้าวเข้าไปกลางห้อง กวาดตามองรอบๆ ของทุกอย่างยังอยู่ปกติดีเช่นที่นางบัวศรีบอก ชายหนุ่มหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด


วริณสิตาจะหายไปไหนได้?


                เมื่อคืนก็เห็นแล้วว่าเด็กมันซึมๆหงอยๆ


หรือว่าจะหนีกลับไปที่บ้านเก่า?


–ทั้งๆที่เพิ่งจะถูกคุกคามหวังทำมิดีมิร้ายนี่น่ะรึ?—


พีรพัฒน์ถึงกับแค่นยิ้มออกมา เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นละก็


เฮอะ! เด็กไร้หัวคิด!


ชายหนุ่มหมุนตัวจะเดินออกไปจากห้องทันที ทว่าแค่แวบหนึ่งของปลายหางตา เขารู้สึกราวกับว่าจะเห็น—ปลายเท้าคน— ที่ยื่นพ้นออกมานิดๆจากซอกเตียงฝั่งด้านใน พีรพัฒน์สะดุดกึกก่อนสะบัดหน้าพรึบไปเขม่นมอง และแล้วก็...


ใช่! ใช่จริงๆนั่นแหละ! แม้จะยื่นพ้นออกมาจากฐานไม้ตันๆของเตียงแค่นิดเดียวก็ตาม แต่มันคือเท้าคนจริงๆ!


พีรพัฒน์รีบก้าวยาวๆเข้าไปดูอีกด้านของเตียงทันที และแล้ว...


เฮ้อ! อยู่นี่นี่เองนะ แม่เด็กเจ้าปัญหา...


พีรพัฒน์ผ่อนลมหายใจหนักอึ้งออกมา ส่ายหน้าน้อยๆขณะทอดสายตามองร่างเล็กๆที่นอนตะแคงคู้กายหลับนิ่งอยู่บนพื้นตรงซอกเหลือบข้างเตียง ส่วนนางบัวศรีที่เห็นอาการสะดุดของเจ้านาย ก่อนร่างสูงใหญ่นั้นจะโดดผลุงไปชะโงกดูอีกด้านของเตียง เช่นนั้นจึงรีบเดินเข้ามาดูบ้าง


“โอย! ตายๆ!” แล้วแม่บ้านวัยหกสิบห้าก็อุทานลั่นออกมา “ทำไมลงมานอนตรงนี้ล่ะลูกเอ๊ย!” แล้วก็เกิดอาการไม่กล้ามองหน้าเจ้านายหนุ่มขึ้นมากะทันหัน เพราะความสะเพร่าขี้ตกใจแท้ๆ ที่พอเห็นห้องโล่งๆปุ๊บก็ตระหนก รีบร้อนตื่นไฟออกไป แต่ว่า...


ไฮ้! ก็ใครจะไปคิดเล่า ว่าเด็กมันจะลงมานอนข้างล่างเมื่อเตียงกว้างๆ นุ่มๆ อุ่นๆก็มี! นึกแล้วน่าตีจริงๆ!


“จิ๊บเอ้ย เจ้าจิ๊บ” ว่าแล้วนางบัวศรีก็ส่งเสียงปลุกพร้อมเสลงกุลีกุจอเข้าหาร่างน้อยๆที่ยังคงนอนนิ่ง แต่ทว่าเรียกสองทีก็แล้ว เจ้าของร่างที่นอนคุดคู้ก็ไม่มีท่าทีจะลุกขึ้น นางบัวศรีเลยยื่นมืออูมๆไปเขย่าต้นแขน แต่ทว่าทันทีที่ทำเช่นนั้นมืออูมๆของนางก็ได้สัมผัสกับไอระอุที่มากเกินกว่าปกติทันที


“ตายแล้ว!” แล้วก็ถึงกับร้องตกใจออกมาอีกหน “ทำไมตัวร้อนเป็นไฟอย่างนี้ล่ะ! จิ๊บ จิ๊บเอ้ย”


นางบัวศรีพยายามประคองศีรษะวริณสิตาขึ้นมาอิงกับร่างของนาง เด็กสาวปรือตา พิษไข้ทำให้ส่งเสียงเพ้อเบาๆ


“ยาย...ยายจ๋า...จิ๊บหนาว...”


พีรพัฒน์ขยับเข้ามาเกือบจะทันที เขาทรุดตัวลงนั่งก่อนยกมืออังหน้าผากของสาวน้อย ความร้อนที่แตะอังกับหลังมือนั้นสูงจัดจนเขาเองต้องตกใจ พีรพัฒน์ตัดสินใจทันที


“ตัวร้อนจัดขนาดนี้ ผมจะพาเขาไปโรงพยาบาล” พูดจบเขาก็ช้อนร่างสาวน้อยให้ลอยละลิ่วขึ้นมา นางบัวศรีนั้นได้แต่อ้าปากค้าง แต่ครั้นเจ้านายหนุ่มอุ้มเด็กสาวก้าวลิ่วๆไปจากห้อง นางก็ต้องรีบลุกอย่างทุลักทุเล กึ่งเดินกึ่งวิ่งให้ทันอีกหน


“ลุงก้าน เปิดประตูหน้ารถให้ที” พีรพัฒน์ออกคำสั่งทันทีที่เจอหน้าอดีตคนขับรถคุณอังกาบตรงหน้าบ้าน นายก้านดูท่าทางจะงงๆอยู่ไม่น้อย แต่แน่นอน ไม่มีเวลาหรือโอกาสจะได้ซักอะไรให้เข้าใจ เพราะสถานการณ์ที่เห็น เจ้านายหนุ่มอุ้มเด็กสาวที่เขากับนางบัวศรีวิ่งตามหาลงมา ที่สำคัญแม่หนูนั่นสลบไสลไม่ได้สติอีกต่างหาก มันดูร้ายแรงและเร่งด่วนจนต้องพับความสงสัยทุกอย่างเก็บไปก่อน


“ครับๆ” นายก้านตอบ กุลีกุจอเปิดประตูหน้ารถให้ชายหนุ่มทันที พีรพัฒน์วางร่างวริณสิตาตรงเบาะหน้าข้างคนขับซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่นายก้านวิ่งอ้อมไปอีกด้านเพื่อจะปฏิบัติหน้าที่ แต่ทว่า...


“ไม่ต้องลุงก้าน ผมขับเอง” ว่าจบพีรพัฒน์ก็ก้าวยาวๆ อ้อมเข้าไปนั่งประจำที่คนขับและไม่เกินอึดใจเขาก็พารถยุโรปคันใหญ่ออกตัวพุ่งทะยาน โดยทิ้งนายก้านให้อยู่กับความงุนงงสงสัยหนักเข้าไปอีก


“เออ! สรุปมันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย งงจริงๆวุ้ย” อดีตคนขับรถวัยหกสิบหกได้แต่ยกมือเกาหัว หันมองเข้าไปในบ้านก่อนตะโกนลั่น


“ยายศรี ยายศรีโว้ย ไหนแกมาเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ!”


 


แม้โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดจะอยู่ห่างไปไม่ไกลเท่าไหร่ ทว่าสภาพการจราจรที่ค่อนข้างแออัดของเช้าวันทำงานก็ทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิดไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องติดแหง็กอยู่ตรงแยกไฟแดง แม้ตัวเลขดิจิตอลที่วิ่งนับถอยหลังอยู่จะแสดงความยุติธรรมของเวลาว่าเท่าเทียมกับทุกๆวันสักเพียงไหน แต่ตอนนี้พีรพัฒน์ก็อดจะรู้สึกไม่ได้ว่ามันดูยาวนานกว่าปกติ


                “ฮือ...” เสียงเพ้อยังคงเล็ดลอดจากริมฝีปากของคนป่วยเป็นระยะๆ พีรพัฒน์ละสายตาจากท้ายรถคันหน้ามามอง


“วริณสิตา”


“หนาว...” สาวน้อยพึมพำแผ่วเบา แม้เขาจะหรี่แอร์ลงไปให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะไม่อยากจะปิด ด้วยเกรงว่าจะหายใจไม่สะดวกกัน แต่ร่างเล็กๆที่นั่งอยู่เบาะข้างก็ยังสั่นระริก สองแขนกอดเข้ากับตัวเองจนแน่น เห็นแล้วพีรพัฒน์นึกเคืองตัวเองขึ้นมา สะเพร่าชะมัด เขาน่าจะหาผ้าห่มหรืออะไรติดมาด้วยสักนิด เด็กคนนี้จะได้ไม่ทรมานขนาดนี้


“วริณสิตา เป็นยังไงบ้าง”


“หนาว...หนาวน่ะ...”


พีรพัฒน์นิ่วหน้า นึกเคืองตัวเองอยู่เกือบครึ่งนาทีก่อนที่สายตาจะแลเห็นปลายไทด์สีเทาเงินบนอกตัวเอง แล้วเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้


                จริงสิ! สูทของเขาไง


พีรพัฒน์เอี้ยวตัวไป คว้าสูทตัวนอกที่โยนไว้ตรงเบาะหลังทันที ปกติเขาไม่ใคร่จะพิสวาทนักกับการผูกเนคไทใส่สูทอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่วันนี้จำเป็นเพราะเขาต้องเข้าประชุมบอร์ดของเอพีกรุ๊ป และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าไอ้ชุดหรูๆนี่ก็มีประโยชน์ใช้ได้เหมือนกัน


พีรพัฒน์คลี่สูทตัวนอกห่มให้วริณสิตาอย่างเบามือ ความอบอุ่นที่แผ่เข้ามาในภาวะหนาวสั่นของร่างกายทำให้วริณสิตาแข็งใจลืมตาขึ้นมา และแล้ว...และแล้วคนที่เธอได้เห็นในความทรมานเพราะพิษไข้ ก็เป็นคนๆนี้อีกจนได้


                ...คุณพี...


                “เป็นยังไงบ้าง” พีรพัฒน์เอ่ยถามทันที วริณสิตาส่ายหน้าและพยายามจะดันตัวลุกขึ้นมานั่งหลังตรง แต่ทว่า...


                “พิงลงไปตามเดิมเดี๋ยวนี้นะ แล้วก็ห้ามบอกเชียวว่า ‘ไม่เป็นไร’ ฉันไม่ประทับใจแน่ถ้าต้องถูกเด็กหลอกซ้ำซาก” ว่าจบเขาก็เบนสายตากลับไปยังท้ายรถคันหน้า สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้วและรถต้องเคลื่อนตัวไปอีกครั้ง น้ำเสียงดุที่เพิ่งจะเคยได้ยินจากเขาเป็นหนแรกทำให้วริณสิตาต้องพิงตัวกลับลงไปกับพนักเบาะตามเดิม แต่จะคิดว่าเป็นเพราะบทดุของเขาอย่างเดียวก็เห็นจะไม่ใช่ เพราะตอนนี้วริณสิตาปวดหัวเหลือเกิน ทว่าสาวน้อยก็พยายาม เพราะเมื่อรับรู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน คนข้างๆคือใคร เธอก็ตั้งใจว่าจะไม่นอนหลับตาอีกแล้ว


แต่ราวกับเขาจะทราบดีหรืออย่างไรว่าอาการไข้นี่ทรมานหนักหน่วง เพราะน้ำเสียงดุๆที่เคยใช้กลับอ่อนโยนลงไปทันตายามเมื่อเอ่ยต่อว่า  


                “ทนหน่อยแล้วนะ เลยแยกนี้ไปก็ถึงโรงพยาบาลแล้วล่ะ”


วริณสิตาตอบรับ ‘ค่ะ’ เสียงเบา เธอไม่แน่ใจหรอกว่าเขาจะได้ยิน คุณพีอาจโกรธ แต่เธอก็ไม่มีแรงพอจะพูดให้ดังกว่านี้แล้ว เพราะการต้องพยายามฝืนลืมตาในภาวะที่พิษไข้รุมเร้าแบบนี้ มันก็ทรมาน...ทรมานเอาการเลยทีเดียว!


               


                พีรพัฒน์หักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าไปในลานจอดของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง รปภ.หนุ่มสองคนที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำลาน กุลีกุจอโบกมือเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการถอยรถเข้าซองของเขา ก่อนจะรี่มาเปิดประตูรถให้อย่างสุภาพพร้อมร่มคันใหญ่ยักษ์ที่กางหันแดดให้ นับเป็นการบริการที่ดีเยี่ยมทีเดียวสำหรับธุรกิจโรงพยาบาลสมัยนี้ วริณสิตาพยายามแข็งใจจะเดินเอง แต่เดินได้แค่ไม่กี่ก้าวพีรพัฒน์ก็จัดการบอกให้บุรุษพยาบาลนำรถเข็นมาให้เสียแล้ว จะขัดขืนหรือก็เจอสายตาดุๆเข้าอีก สาวน้อยจึงต้องจำยอมนั่งเฉยๆให้บุรุษพยาบาลเข็นเข้าไปด้านใน แต่แม้จะดูสวยงามหรูหราสะดวกสบายเพราะประกอบการโดยเอกชน แต่โรงพยาบาลก็คือโรงพยาบาล เป็นสถานที่ๆมีผู้คนจำนวนมากรอคิวเข้ารับบริการเสมอ พีรพัฒน์เข้าไปจัดการเรื่องบัตรประจำตัวผู้ป่วยให้เพราะต้องการให้คนป่วยนั่งอยู่เฉยๆ วริณสิตาได้แต่มองตามหลังเขาไป ในใจ...อดหม่นๆไม่ได้


เธอนี่แย่นัก ทำให้คุณพีเขาต้องเดือดร้อนอีกจนได้!


พีรพัฒน์เดินกลับมาหาวริณสิตาอีกครั้งหลังจากจัดการเรื่องบัตรประจำตัวคนไข้เสร็จ เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะความป่วยไข้ไม่สบายทางกายที่เป็นอยู่หรือไรที่ทำให้เด็กสาวตรงหน้าดูจะ...เศร้าสร้อย...ได้จนขนาดนี้ พีรพัฒน์บอกไม่ถูก วริณสิตาดูซีดเซียวและเหงาหงอยจนเขาอดนึกสงสารไม่ได้


                พีรพัฒน์ค่อยๆทรุดตัวลงนั่งบนม้านั่งยาวที่อยู่ด้านข้าง


                “ไง ปวดหัวมากเลยเหรอ” ถามเบาๆอย่างปรานี และหนนี้ก็ไม่มีความหยิ่งทระนงเหลืออีกแล้วเพราะสาวน้อยพยักหน้ารับไม่ปิดบัง พีรพัฒน์ยื่นมือไปอังหน้าผากเธอดูอีกครั้ง ไอร้อนยังคงระอุ


แต่จะทำอย่างไรได้ ทุกคนที่นั่งอยู่บริเวณนี้ ไม่ว่าเด็ก คนแก่ คนสาวหรือแม้แต่คนหนุ่ม ก็ล้วนเป็นคนไข้ที่รอรับการเรียกตรวจรักษาตามคิวด้วยกันทั้งนั้น ถึงแม้ตอนนี้เขาจะกลายเป็นประเภท ‘คนมีเงิน’ แล้ว แต่ก็ไม่ใช่วิสัยเลยที่จะเอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยอำนาจของเงินตรา


                “ทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ได้หาหมอแล้ว”


                “ค่ะ...”


ชายหนุ่มยิ้มบางๆ อย่างเอื้อเอ็นดู


“แล้ว...เธอกลัวเข็มฉีดยาหรือเปล่า” เขาถามต่อ วริณสิตาส่ายหน้าน้อยๆ  


                “ไม่ค่ะ แต่...ไม่ชอบยาเม็ดขมๆ” ประโยคนั้นฟังอุบอิบเสียจนคนถามหัวเราะขำๆ นี่แหละนะ เด็ก อย่างไรก็คือเด็ก


                “อือ! งั้น เดี๋ยวพอเจอหมอก็บอกคุณหมอว่า หนูไม่เอายาขมๆกลับไปทานบ้านนะคะ แต่ขอมาฉีดยาทุกวันจนกว่าจะหาย แบบนั้นดีมั้ย?”


“ไม่ค่ะ ไม่ดีเลย” สาวน้อยตอบ รู้สึกได้ชัดว่าประโยคนั้นคนพูดเพียงแค่แกล้งเย้าเฉยๆเลยยิ้มออกมาได้นิดๆ แต่คนแหย่น่ะ...ยิ้มได้กว้างทีเดียว ก็ความต้องการเขาประสบความสำเร็จนี่ โทรศัพท์มือถือพีรพัฒน์ส่งเสียงดังขึ้นมานาทีนั้น ชายหนุ่มหยิบมันออกมาพิศดูก่อนรอยยิ้มในหน้าจางลงไปยามเมื่อได้เห็นชื่อคนโทร.มา


“หทัยรัก...”


พีรพัฒน์เงยหน้าขึ้นทันที


“เดี๋ยวฉันมานะ” เอ่ยสั้นๆเท่านั้นก่อนจะดันตัวลุกขึ้นแล้วก้าวยาวๆอย่างเร่งรีบ แต่ทว่า...


“คุณพี


คนถูกเรียกหันขวับกลับมาทันที แม้น้ำเสียงที่เรียกนั้นจะฟังอ่อนๆ แต่ก็จับได้ชัดถึงความตระหนกที่เจืออยู่ และยิ่งเมื่อได้เห็น...แววตาตื่นกังวลในดวงหน้าอ่อนระโหยนั่น พีรพัฒน์ก็ยิ่งกว่าจะรู้สึก! เสียงโทรศัพท์มือถือยังคงกรีดร้องไปอย่างต่อเนื่อง และแน่นอนเขารู้ดีด้วยว่าคนโทร.มาร้อนใจขนาดไหน แต่ทว่า...


พีรพัฒน์หมุนตัวกลับมา ตัดสินใจปล่อยให้มือถือดังต่อไปอีกสักหน่อย ชายหนุ่มคลี่ยิ้มละไม ค้อมตัวลงมาให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับสาวน้อย


“ไม่ต้องกลัว” พีรพัฒน์บอก “ฉันไม่หนีไปไหนหรอก แค่คุยโทรศัพท์แป๊บเดียว เดี๋ยวฉันก็มา” หนนี้กระแสเสียงเขาอ่อนโยนชนิดที่ไม่คิดเหมือนกันว่าตนเองจะพูดได้ เขาไม่ใช่คนกระด้าง ห่าม เถื่อน แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะ...อบอุ่นอ่อนโยนอะไรขนาดนี้ด้วย พีรพัฒน์ยืดตัวขึ้นอีกครั้ง ก่อนหันแล้วรีบก้าวยาวๆหลบไปอีกด้านโดยไม่หันกลับมองคนป่วยอีกเลย


วริณสิตาได้แต่มองตามร่างสูงไปจนร่างนั้นลับหายไปตรงหลังหัวมุมทางเลี้ยว แม้น้ำเสียงอ่อนโยนที่เอื้อนเอ่ยเมื่อครู่จะทำให้รู้สึกวางใจในระดับหนึ่ง ทว่าความเหงาแบบเดิมก็ผุดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ คนที่โทร.มาคงเป็นคนเดียวกันกับทุกครั้ง เพราะชื่อที่เคยได้ยินเขาเรียกและที่เขาหลุดครางออกมาเมื่อกี้


รัก...หทัยรัก...


ก็คงจะ...เป็นคนสำคัญจริงๆ


“พี! พีอยู่ที่ไหนคะนี่” เสียงแหลมๆของหทัยรักทะลุมาตามสัญญาณทันทีที่พีรพัฒน์กดรับสาย “รู้มั้ยตอนนี้กรรมการผู้ถือหุ้นทุกคนเขามากันครบแล้วนะ แล้วทุกคนก็กำลังรอพีอยู่คนเดียว ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนคะ”


ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกไป


                “ผมขอโทษรัก” พีรพัฒน์เอ่ยเบาๆ เขาไม่ตอบคำถามหทัยรัก ทว่ากลับเลี่ยงถามกลับไปเสียเอง “กรรมการผู้ถือหุ้นของเอพีกรุ๊ปมากันครบพอจะเป็นองค์ประชุมไหม”


                “ก็ครบน่ะสิคะ ก็บอกแล้วไงคะว่าตอนนี้เราขาดท่าน ‘ประธานกรรมการ’ อยู่คนเดียว เสียงเล็กๆนั้นฟังกระเง้ากระงอดแบบเด็กขัดใจอยู่นิดๆ พีรพัฒน์ก้มลงดูนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง เก้าโมงยี่สิบห้า ล่วงเลยเวลาการนัดประชุมของเอพีกรุ๊ปมากว่ายี่สิบห้านาทีแล้ว ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา


                “ถ้าอย่างนั้น...ก็ให้เขาเริ่มประชุมกันได้เลย ผมคงเข้าไปไม่ทันภายในสิบโมงแน่”


                “พีหทัยรักร้องเสียงแหลม “ไม่ได้นะคะ การประชุมจะเริ่มได้ยังไงถ้าประธานกรรมการยังไม่มา”


                “ได้สิรัก” พีรพัฒน์บอก เขาเลือกอธิบายเหตุผลของตนเองต่อไปอย่างใจเย็น “ถ้าผู้ถือหุ้นของเรามาครบองค์ประชุมละก็ ผมก็ไม่ต้องการให้การประชุมต้องเลื่อนหรือล้มเลิก อีกอย่าง หากที่ประชุมต้องการประธานในการประชุม คุณลุงอมรก็ทำหน้าที่นั้นแทนได้ ช่วงที่ป้าอังไม่สบายก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ”


                “ไม่ได้นะคะ หทัยรักไม่ยินยอม “ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด คิดดูสิคะ มันจะเป็นเรื่องตลกมากนะถ้า...ถ้าผู้ถือหุ้นใหญ่สุดไม่มาประชุม


                “รัก”


“พี คนปลายสายเริ่มส่งเสียงโอดครวญ “พีจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ก็เมื่อคืนพีสัญญาแล้วว่าจะมาประชุมบอร์ด แล้วนี่มันเกิดอะไรกันขึ้นน่ะ คุณอยู่ที่ไหนคะ บอกรักมาเดี๋ยวนะ”


พีรพัฒน์รู้และเข้าใจดีว่าทำไมหทัยรักถึงได้โกรธเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้ นั่นเพราะหทัยรัก...อยากเหลือเกินที่จะให้เขาเข้าไปบริหารงานที่เอพีกรุ๊ปเต็มตัว แต่ว่า...


ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ


                “รัก” พีรพัฒน์เรียกชื่อหญิงสาวปลายสาย เขาอยากให้เธอคลายความขุ่นเคืองลง แต่ก็ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร เสียงนางพยาบาลที่ขานชื่อคิวคนไข้ก็ดังขึ้น


                “คุณวริณสิตาค่ะ”


และทันทีที่ชื่อนั้นกระทบโสตประสาท พีรพัฒน์ก็เอ่ย


“ขอโทษจริงๆรัก แต่ผมต้องวางสายแล้ว”


“พี


“ช่วงบ่ายผมจะเข้าไป แล้วค่อยพบกันนะ” พูดจบชายหนุ่มก็วางสายและปิดเครื่องไปในทันที


...............


ปล. ขออภัยหลายๆที่ชักช้าค่ะ (แฮ่...รู้สึกผิด) ช่วงนี้เจ้าของบล็อกป่วยค่ะ ทั้งปวดฟันและเป็นไข้
แต่อย่างไร เรื่องนี้ลงไว้ที่เว็บสิรินดาด้วยนะคะ ที่นั่นจะนำมากกว่าในบล็อกอยู่นิดๆ ถ้าอย่างไรไปอ่านได้พลางๆก่อนค่ะ






Free TextEditor



Create Date : 03 ธันวาคม 2552
Last Update : 3 ธันวาคม 2552 23:39:11 น.
Counter : 2459 Pageviews.

2 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

parinnada
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]



แนะนำตัว
New Comments