All Blog
ตอนที่ ๓๘ (๒)

เสียงดังโหวกเหวกที่ทะลุเข้ามาจนถึงกับจับความเป็นประโยคแว่วๆได้ยังผลให้พีรพัฒน์ต้องเงยหน้าละสายตาจากเอกสารก่อนหันไปทางประตู


นึกสงสัยว่านอกห้องทำงานเขามันเกิดวินาศสันตะโรอะไรกันขึ้นก็พอดีกับที่อินเตอร์คอมดังชายหนุ่มเอื้อมไปกดรับสาย


“ครับ”


“ค่ะ! ท่านประธานคะ คือตอนนี้มี อ๊ะ! นี่คุณ! คุณ! หยุดเดี๋ยวนี้นะคะ! รปภ.! รปภ.!”


และนั่นคือประโยคที่ได้ยินก่อนประตูห้องทำงานพีรพัฒน์จะถูกผลักเข้ามาด้านในอย่างแรง


และแน่นอนว่าเด็กหนุ่มที่ก้าวลิ่วๆเข้ามาก็ดูท่าพร้อมที่จะกระโจนใส่เขาเต็มที่


แต่ทว่าระดับผู้บริหารบริษัทอสังหาฯยักษ์ใหญ่ขนาดนี้แค่เลยธรณีประตูไม่ถึงก้าวดีผู้บุกรุกก็ถูกรั้ง


“นี่หยุดนะ! รปภ.! รปภ.! ทางนี้! ในห้องคุณพี!” แม้จะเป็นสตรีแต่รุ่งรวีก็พยายามเต็มที่ในการจะรั้งคนที่บุกเข้ามาในห้องทำงานของประธานกรรมการเอพีกรุ๊ปอย่างพละการ

เลขาฯสาวใหญ่ไล่ยื้อยุดฉุดแขนเด็กหนุ่มไว้ ปากก็ตะโกนร้องกรี๊ดๆ “รปภ.! รปภ.! รอปอภ๊อ!”


“ปล่อยนะ! ปล่อยผม! ปล่อยเซ่!”


“คุณรุ่งครับ!” ในที่สุดพีรพัฒน์ก็ร้อง “ไม่เป็นไรครับ!” เขาบอก “ไม่เป็นไร”


“แต่ว่า”


“ไม่เป็นไรครับ ปล่อยเขาเถอะ” พีรพัฒน์ยืนยัน เมื่อนั้นเด็กหนุ่มจึงได้สะบัดไหล่ออกมาแรงๆ ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเอพีกรุ๊ปสองนายวิ่งหน้าตื่นเข้ามาตามเสียง


แต่นาทีนั้นเหมือนทุกอย่างจะชะงัก


เมื่อเจ้าของบริษัทยืนทาง

ผู้บุกรุกกับเลขาฯยืนทาง

และรปภ. ก็ยืนอีกทาง

ทุกๆอย่างเลยเหมือนจะนิ่ง!


แต่เมื่อท้ายที่สุดที่พีรพัฒน์พยักหน้าหนักๆให้ลูกน้องทุกคนเป็นทำนองว่า


เอาละ! ทุกอย่าง ‘โอเคเรียบร้อยดี’ และทุกคนแยกย้ายได้!

เมื่อนั้นรุ่งรวีและรปภ. จึงเดินตามกันออกไปอย่างงงๆ



การนนท์ยังคงทำท่าฮึดฮัดเมื่อประตูห้องทำงานพีรพัฒน์ปิดลง


“ทำอย่างนี้หมายความว่าไง?!” เด็กหนุ่มเปิดฉากถามกร้าว


เห็นอากัปกิริยาพีรพัฒน์ก็แน่ใจว่าคนตรงหน้านี่คงไม่สนหรอกว่าเขาจะมารยาทงามเชิญนั่งก่อนหรือไม่

ชายหนุ่มหย่อนกายกลับลงบนเก้าอี้โต๊ะทำงาน


“ฉันไม่เข้าใจว่าเธอพูดอะไร” เขาพูด


“ฮึ!” การนนท์กระกดมุมปากขึ้นอย่างเย้ยหยันก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งบนโต๊ะทำงานตรงหน้าเขา


พีรพัฒน์มอง มันเป็นยี่ห้อที่เรียกได้ว่ายอดนิยมเลยทีเดียว


“คุณไม่มีสิทธิ์จะบังคับให้จิ๊บเอามือถือนี่มาคืนผม!”


“หืม?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง

“ไม่มีสิทธิ์งั้นหรือฉันว่า เธอคงจะเข้าใจผิดแล้วล่ะ” เขาบอกและมองหน้าคู่สนทนาไม่ครั่นคร้ามเช่นเดียวกัน


และแน่นอน! ฝ่ายเด็กหนุ่มเองก็จำได้ ว่าเขาเคยประกาศศักดินาว่ามีสิทธิเหนือวริณสิตาในฐานะผู้ปกครองมาแล้ว!


หึ!แต่ตอนนี้ใครมันจะสน! คนคิดกำลังจะโพล่งแต่ทว่า


“ฉันไม่ได้บังคับให้วริณสิตาเอาอะไรไปคืนใครหรอกนะ ไม่เคย” พีรพัฒน์ย้ำ “เฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่ใครจะให้กันด้วยความเสน่หา”


“ไม่ได้บังคับ? ถ้าไม่ได้บังคับ แล้วจิ๊บจะเอามันมาคืนทำไม!”


“นั่นฉันก็ไม่ใช่คนที่จะไปรู้อะไรในใจใครได้ ต้องขอโทษด้วย”


กับคำตอบนี้เด็กหนุ่มได้แต่เม้มปากอย่างขุ่นขึ้ง!


“ถึงแม้จะไม่ได้สั่งมาเป็นคำพูด แต่การกระทำคุณมันต้องบังคับ! ใช่มั้ยล่ะ! ตอบมาสิ!” การนนท์ตะโกนอย่างหมดความอดทน


เพราะเขามั่นใจ!

เพราะเขาแน่ใจ!

ว่ามันไม่มีอะไรที่เป็นไปได้อีกแล้วที่จะให้วริณสิตาทำแบบนั้นกับเขา!


พีรพัฒน์นิ่งนานชั่วอึดใจ ก่อนเอ่ยใจความกับเด็กหนุ่มที่กำลังขุ่นเคืองว่า


“ถ้าการที่ฉันอยู่นิ่งๆตามปกติของฉัน กลายเป็นการบังคับให้วริณสิตาเอาโทรศัพท์ไปคืนเธอ ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้”


“คุณนี่มัน!” การนนท์โกรธสุดโกรธ หากไม่มีโต๊ะทำงานตัวใหญ่มากั้น เด็กหนุ่มก็อาจจะโผไปชกคนตรงหน้าแล้ว!


พีรพัฒน์เองก็ดูออก และอันที่จริง เขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่นิยมชมชอบในการจะยียวนกวนให้ใครเกิดโทสะเลยสักนิดด้วย แต่ว่า...

มันน่าประหลาดนักที่นาทีนี้เขากลับรู้สึกสนุกกับอารมณ์นี้ชนิดที่เรียกได้ ว่าเกิดเองเป็นเองอัตโนมัติเลย!


“ได้!” ในที่สุดการนนท์ก็แค่นพูด เด็กหนุ่มได้แต่จ้องหน้า เขม่นมองจ้องตาพีรพัฒน์อย่างแน่วนิ่ง “ตอนนี้คุณอาจทำได้ มีอิทธิพลเหนือจิ๊บได้ แต่คอยดูเถอะ วันหนึ่งผมจะทำให้จิ๊บเป็นตัวของตัวเอง! คอยดู!”


เป็นอีกครั้งที่คนฟังนั้นนั่งนิ่งเพียงชั่วอึดใจ ก็คงมีแต่ตัวของตัวเองเท่านั้นล่ะที่จะตอบได้ว่ารู้สึกอย่างไร


“อืม” พีรพัฒน์ตอบรับเสียงเย็น “แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่ และถ้าเธอไม่มีธุระอะไรอีก ฉันขอแนะนำ ให้เธอกลับไปเรียนที่มหาวิทยาลัยจะดีกว่า ฉันต้องขอตัวทำงาน”

การนนท์ขบกรามแน่นจนเป็นสันนูนก่อนหมุนกายกลับเดินลิ่วไปทางประตู กำลังจะดึงเปิดออกประตูก็กลับถูกดันเปิดเข้ามาก่อน


การนนท์ชะงักเมื่อปะกับสาวสวย


“ต๊าย!” หทัยรักทักเสียงสูง “นี่เธอเองหรอเนี่ยนายนนท์ ที่มาเอะ”

แต่ยังไม่ทันที่หทัยรักจะได้พูดจบเด็กหนุ่มก็เดินสวนพรวดจะออกจากห้องทำงานพีรพัฒน์โดยไม่สนใจจะเสวนาด้วยจนหทัยรักต้องร้องอ๊ายออกมา


แต่ว่า


“เดี๋ยว!” เสียงที่รั้งไว้ทำให้การนนท์ต้องชะงัก เด็กหนุ่มคงไม่สนหรอกหากมันเป็นเสียงกรีดๆแหลมๆของผู้หญิงที่มีศักดิ์เป็นพี่สาว


แต่ในเมื่อมันไม่ใช่!


การนนท์หันกลับมา ถ้าสายตาที่ใช้มองจะสามารถเปลี่ยนเป็นใบมีดได้มันก็คงจะบั่นกายคนที่เขามองหน้าให้เป็นท่อนๆไปแล้ว!


“เธอลืมของ” คนพูดหลิ่วตาไปยังโทรศัพท์เครื่องที่เด็กหนุ่มงัดมาวางไว้บนโต๊ะ


การนนท์ใช้เวลาแค่อึดใจเดียวในการสาวเท้ายาวๆเดินเฉียดผ่านหน้าหทัยรักกลับไปคว้ามือถือเครื่องนั้น แล้วเฉียดผ่านอีกครั้งตอนออกจากห้อง


“อ๊าย! เสียมารยาทนะยะ!” หทัยรักร้องไล่หลังเด็กหนุ่มไปอย่างขัดใจก่อนหันจะกลับมาด้อมๆมองๆปฏิกิริยาคนในห้อง


กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้า คนอย่างหทัยรัก วรโชติก็พอประเมินสถานการณ์อะไรต่อมิอะไรได้หรอกน่า!


สาวสวยเผยยิ้มออกมาเพียงนิดก่อนเชิดหน้าแล้วปรับทุกอย่างให้กลับลงมาในรูปแบบที่คิดว่า‘เธอควรจะเป็น’


“แหม...” สาวสวยลากเสียงเดินเข้ามาสีหน้าดูจะตื่นๆ ออกจะ...ร้อนใจอยู่นิดๆ “นี่มันอะไรกันน่ะคะพี เมื่อกี้เห็นข้างนอกร้องโวยวายรักตกใจก็รีบมาดู แต่วะ”


“ไม่มีอะไรหรอกครับ”

พีรพัฒน์บอกตัดบทเขาพูดชนิดที่คนพล่ามยังไม่ทันจะว่าจบเสียด้วยซ้ำเลยทำหทัยรักชะงัก


แต่แน่ละ! มีหรือที่อย่างเธอจะยอม สาวสวยแสร้งคลี่ยิ้มพยายามสะกดกลั้นความโกรธที่ตีขึ้นมาจนผิวหน้าร้อนขึ้น


“โธ่!” เจ้าหล่อนว่า เดินเข้ามาหยุดตัวเองอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานชายหนุ่ม

“จะไม่มีอะไรได้ยังไงกันคะในเมื่อตานนท์น่ะ มาทำเสียมารยาทกับพีถึงขนาดนี้”


พีรพัฒน์ไม่ได้พูดอะไรตอบสาวสวยเลยทำริมฝีปากเม้มแน่น สีหน้าสีตาสุดแสนจริงจัง


“พีคะ” หทัยรักพูด “รู้มั้ยว่าข้างนอกเขาพูดกันว่ายังไงเขาว่า...น้องชายรักน่ะบุกเข้ามา แล้วก็...เหมือนจะมาทำร้ายคุณนี่มันเรื่องใหญ่นะคะ”


“ไม่หรอก” ชายหนุ่มส่ายหน้า

“แค่เรื่องเข้าใจผิดน่ะ” เขาไม่ได้สบตาคนพูดเมื่อแสดงทีท่าว่ากลับไปใส่ใจเอกสารที่อ่านอยู่ก่อนหน้า


“ถ้าให้เดา คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวริณสิตาสินะคะ”


ชายหนุ่มละสายตาขึ้นมาทันทีแม้จะไม่สูงถึงขนาดจะมองหน้า แต่ก็สังเกตได้ละว่าคนฟังนั้นสนใจ

หทัยรักกระกดยิ้มมุมปากขึ้นอีกนิดเพราะรู้สึกว่าตัวเองน่ะ...ถือไพ่เหนือกว่าแล้ว


“นายนนท์เขาก็อย่างนี้แหละค่ะรักสังเกตหลายหนแล้ว ตั้งแต่เรื่องที่เด็กนั่นไปทำแก้วแตกที่บ้านรัก แล้วก็ยังเรื่องที่ไปหลงทางนั่นอีกเขาเป็นห่วงเป็นใยมากเลย นี่ขนาดคุณพ่อรักน่ะ ยังพูดๆเลยว่า ดูท่านายนนท์จะจริงจังกับเด็กคนนั้นซะแล้วแล้ว...”


คนพูดยื่นหน้าเข้ามาก่อนเอ่ยถามชายหนุ่มว่า


“พีคิดยังไงกับเรื่องนี้ล่ะคะ”


“ผมก็ยังไม่ได้มีความคิดอะไร” พีรพัฒน์ตอบ

“แหม!...” หทัยรักลากเสียงยาว “พีจะไม่ทำหน้าที่ผู้ปกครองหน่อยหรือไงคะพูดอย่างกับคนไม่สนใจ แต่รักน่ะ กลัวใจนะคะ นายนนท์เขาเลือดร้อนแล้ววัยรุ่นหนุ่มๆสาวๆสมัยนี้น่ะ”


“รัก! รักครับ”


เจ้าหล่อนที่พยายามจจะเจื้อยแจ้วหยุดชะงัก


“ถ้าคุณจะกรุณาผมยังมีงานอีกหลายอย่างที่ต้องจัดการให้เสร็จก่อนประชุมบอร์ดบ่ายนี้ถ้าคุณไม่เกียจล่ะก็”


“ก็ได้ค่ะ! ก็ได้!” หทัยรักโพล่ง ความเคืองพุ่งปรี๊ดเมื่อรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเริ่มจะเชิญตนเองให้ออกไปจากห้องเขา


“รักไม่กวนคุณแล้วก็ได้! เชิญคุณทำงานตามสบายเถอะ!” เจ้าหล่อนว่า ก่อนสะบัดตัวเดินลิ่วๆออกจากห้องไป


จำไว้เถอะ!สักวันเธอจะต้องทำให้เขาเสียใจให้ได้ คอยดู!

.............................................


สวัสดีค่ะ


ไม่กล้าสัญญาว่าตอนหน้าจะมาเมื่อไหร่ แต่จะไม่ลืมสัญญาว่าเรื่องนี้จะมีตอนจบแน่นอน


หวังว่าจะยังมีคนอ่านที่น่ารักคอยติดตามอยู่


ปาริน



Create Date : 20 มกราคม 2558
Last Update : 20 มกราคม 2558 17:50:18 น.
Counter : 2404 Pageviews.

12 comment
บล็อกนี้...จากคนเขียนถึงคนอ่านค่ะ
สวัสดีค่ะ

ก่อนอื่นเราต้องขอบคุณกำลังใจจากคนอ่านที่ไม่เคยหายไปจากนิยายเรื่องนี้

สำหรับเรา ที่เงียบมาตลอดนั้น เราไม่เคยหายไปไหนหรอก หากเทียบเวลาในโลกความจริง หนูจิ๊บนางเอกของเราเรื่องนี้คงเรียนจบปริญญาและออกมาทำงานทำการได้สัก ๒ ปีแล้วเชียวแหละ นานจริงๆนะคะ เรายังรู้สึกเลย ฮะๆ (-_-!)


เราเองก็อยากมีกลับมาเป็นคนที่...มีจินตนาการ มีฝัน และมีความสุขที่ได้คิดได้แต่งเรื่องราวน่ารักๆของพระเอกนางเอกในนิยายให้คนอ่านได้อ่านแล้วนั่งยิ้ม หรือการแกล้งตัดฉับจบตอนสำคัญๆให้คนอ่านได้แอบนึกเคืองกันเล่นๆ นั่นก็เคยเป็นสิ่งที่เราชอบทำ


ถ้าเป็นได้ ณ ตอนนี้ เวลานี้ วินาทีนี้ เราอยากให้ตัวเองกลับไปเป็นอย่างนั้น กลับไปทำอย่างนั้นได้เป็นที่สุด


ช่วงระยะเวลา 2 ปี (และย่างเข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว) เราพยายามหลายอย่างที่จะหาทางทุเลาภาวะอาการซึมเศร้าที่เราเป็นออกไปให้ได้ พบหมอ ปฏิบัติธรรม กิจกรรมอาสา คุยกับเพื่อนให้มากขึ้น แล้วก็ไปเที่ยว มันก็เหมือนจะดีขึ้นมากนะ จากที่เคยรู้สึกเหมือนจะขี้เกียจกินข้าวแล้ว ขี้เกียจหายใจด้วย มันก็ค่อยๆดีขึ้น กลับมาทำงานประจำได้เป็นปกติ


แต่ชีวิตน่ะเนอะ เราอาจโชคร้ายหน่อยที่ดันมาเจอเรื่องแย่ๆสำทับมาอีกครั้งไอ้ตอนที่กำลังจะดีขึ้น มันก็เลยยังไม่ดีขึ้นสักที (T-T) (จิตใจอ่อนแอป้อแป้จริงๆเรานี่)


แต่ปีนี้ วันนี้ ตอนนี้กำลังพยายามใหม่ค่ะ (กลยุทธ์ต้านซึมเศร้าปีนี้ของเราคือการเน้นออกกำลังกายค่ะ เพราะได้เคล็ดมาใหม่จากมหาวิทยาลัยที่ทำงานว่ากีฬาเป็นยาวิเศษ สู้ๆ!)

เพราะงั้นยังไงจะพยายามไม่หายไปนะคะ อีกอย่าง เราก็คิดว่าอย่างน้อยเราก็ต้องฝึกพิมพ์อะไรลงไปในหน้าบล็อกหรือหน้านิยายบ้าง เหมือนเป็นการเริ่มต้นฝึกเขียนอีกครั้ง (แบบ...คิดว่าเป็นการทำกายภาพด้านการเขียนนิยายล่ะ อืม...มันมีมั้ยล่ะเนี่ย) แต่เอาล่ะ! เราหวังว่าสักวัน...อืม! ต้องเป็นวันในปี 2557 นี้แหละ เราอาจจะกลับมาเขียนนิยายได้อีกครั้ง

ขอบคุณอีกเป็นล้านๆครั้งสำหรับกำลังใจของคนอ่านทุกท่าน
ขอบคุณจากใจจริงๆ
แล้วเราจะกลับมา...

ปาริน




Create Date : 12 มีนาคม 2557
Last Update : 12 มีนาคม 2557 21:34:54 น.
Counter : 1142 Pageviews.

7 comment
ตอนที่ ๓๘ (๑)

ตอนที่๓๘ (๑)


“จิ๊บ!” การนนท์เรียกเสียงลั่นทันทีที่ได้เห็นวริณสิตาที่มหาวิทยาลัยในตอนเช้า แน่ล่ะเด็กหนุ่มค่อนข้างจะร้อนรนทีเดียวด้วยวันนี้เขามาถึงมหาวิทยาลัยช้าเพราะพิษจราจรที่ติดขัดผนวกกับความผิดหวังจากการพยายามโทรศัพท์เมื่อคืนนั่นก็ยิ่งทำให้การนนท์แทบจะเหินตรงดิ่งมายังม้าหินอ่อนประจำที่เด็กสาวสองคนนั่งกันอยู่


เด็กสาวทั้งคู่ต่างหันมามอง


“จิ๊บ!” หนุ่มน้อยเลยเรียกอีกที แต่หนนี้ก็ชะงักไปเพราะสบเข้ากับพยุดา

แน่นอนแหละว่าวันนี้สาวแว่นผมเปียไม่ได้ลุกขึ้นโหวกเหวกแว้กๆใส่เขาแบบทุกครั้ง

และอันที่จริง เมื่อการนนท์มาถึงโต๊ะแล้ว พยุดาก็ยังนั่งนิ่งไร้ซึ่งรอยยิ้มและคำทักทายโดยสิ้นเชิง


การนนท์ดูจะอึ้งไปนิดแต่วินาทีต่อมาเขาก็หย่อนกายลงนั่งตรงข้ามวริณสิตาและปัดเรื่องของพยุดาทิ้งไป


“จิ๊บ! เมื่อคืนนี้เราโทร.ไปหาน่ะ ทำไมไม่รับโทรศัพท์เราล่ะ เป็นอะไรรึเปล่า?” หนุ่มน้อยเปิดฉากทันที เพราะเมื่อวานหลังจากที่แยกกัน ความจริงเขานั้นอยากจะโทร.ไปหาวริณสิตาเสียเดี๋ยวนั้นจนใจแทบขาดแต่ก็ยังสู้อุตส่าห์หักห้ามเพราะคำพูดแรงๆ ของพยุดาที่ทำให้คิดได้ว่าเขาควรจะโทร.ไปตอนค่ำๆเพื่อหมายมั่นให้วริณสิตากลับถึงบ้านและได้อยู่ตามลำพังก็คงจะได้คุยกันยาวๆ


ใช่! แต่นั่นคือสิ่งที่ฝัน!

เพราะความจริงที่เขาได้พบกลับกลายเป็นว่าวริณสิตาไม่รับสาย ไม่ว่าจะกดโทร.ไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ตาม


การนนท์แทบจะคลั่ง ก็ได้แต่บังคับตนเองให้อดทนใจเย็นแม้จะข่มตาให้หลับไม่ได้เลยก็ตามเด็กหนุ่มเชื่อ! สุดลิ่มทิ่มประตูเลยล่ะว่ามันคงต้องมีอะไรเกิดขึ้นสักอย่างที่สำคัญ มันคงต้องเกี่ยวข้องกับไอ้ผู้ปกครองห่วยๆ คนนั้นด้วยเป็นแน่!


การนนท์หน้าเครียดทันใดซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับคนถูกถาม


“เรา...เราขอโทษนะการนนท์”วริณสิตาเอ่ยก้มหน้าก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาวางคืนให้

ใช่! ‘โทรศัพท์มือถือ’ เครื่องที่เขาสู้อุตส่าห์ไปหาซื้อและใช้ความพยายามอยู่เป็นวันๆ ที่จะชักแม่น้ำทั้งห้ากว่าจะวอนให้วริณสิตายอมรับไว้ได้!

แต่ทว่าตอนนี้ ในเวลาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงนี่ มันก็กลับมาวางอยู่ตรงหน้าเขาเสียแล้ว!


“อะไรน่ะ” การนนท์ถาม แทบจะร้องคราง“มันหมายความว่าไงน่ะจิ๊บ”

“ขอโทษนะ...เราเอามาคืนขอบคุณมากสำหรับความใจดีของนนท์”


เพียงเท่านั้นก็เหมือนจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเด็กหนุ่ม การนนท์ลุกพรวด


“เอามาคืน!นี่มันหมายความว่าไงอ่ะจิ๊บ!”เพราะความผิดหวังที่ประดังประเดเข้ามาทำให้เสียงที่พูดแทบจะกลายเป็นตะโกน หนุ่มน้อยหน้าแดงหน้าดำ“เอามาคืนทำไม ในเมื่อเมื่อวานก็ตกลงกันแล้วนี่ว่าเราให้! จิ๊บจะทำอย่างงี้ได้ไง?!”


“ก็แล้วทำไมจะไม่ได้!” หนนี้เสียงใสๆ ของอีกคนที่นั่งด้วยเป็นฝ่ายสวนขึ้น


การนนท์สะบัดหน้าไปหาทว่านาทีนี้ แววตาที่พยุดาจ้องตอบเขากลับมา ก็ไม่ได้เหมือนกับเพื่อนคู่กัดที่คุ้นเคยกันมาเฉกเช่นทุกวันแต่มันเต็มไปด้วยอณูเนื้อหนักแน่นจริงจัง


“ก็แล้วทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อไอ้มือถือไฮโซที่นายให้มันทำให้จิ๊บเดือดร้อน แค่นี้ ชัดป่ะ?”


“น้อยหน่า...”วริณสิตาแทบจะร้องคราง หันไปรั้งแขนพยุดาที่ตอนนี้ก็หน้าดำคร่ำเครียดไม่ต่างกันไปแล้วสาวน้อยไม่รู้จะทำอย่างไร และดูเหมือนว่านาทีนี้ ก็ไม่มีอะไรจะช่วยได้เสียแล้ว

“ได้...” การนนท์กัดฟันพยักหน้า“เข้าใจละ”

เพราะคำว่า ‘เดือดร้อน’ ที่ได้สดับรับฟังเข้าไปเต็มๆรูหูนั้นมันได้กลายเป็นสะเก็ดไฟที่กระเด็นตกไปในกองน้ำมันเสียแล้วเด็กหนุ่มฉวยมือถือตรงหน้าขึ้นมา


“เพราะไอ้ผู้ปกครองบ้าๆ ของจิ๊บใช่มั้ย?! ได้! เราจะไปคุยให้รู้เรื่อง!”

“นนท์! เดี๋ยวก่อนสิ! การนนท์!เดี๋ยวก่อน จะไปไหน?” วริณสิตาลุกขึ้นร้อง จะห้ามเพื่อนหนุ่มที่หุนหันลุกพรวดไปแล้วแต่นาทีนั้นพยุดากลับคว้าแขนห้ามเธอไว้


“ช่างมันเหอะจิ๊บ!” เด็กสาวว่าจ้องคนที่หุนหันจากไปราวพายุด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “จะไปไหนก็ช่าง จิ๊บไม่ต้องไปสนใจหรอกหมาบ้าพรรค์นั้น พูดกันไปก็ไม่รู้เรื่อง!”
..............................




Create Date : 06 พฤศจิกายน 2556
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2556 22:50:02 น.
Counter : 1967 Pageviews.

14 comment
ประกาศถึงคนอ่านที่น่ารักทุกท่านซึ่งติดตามนิยายเรื่องนี้อยู่ ฉบับที่ 5
ตอนที่ 38 จะมาตอนสิ้นเดือนนะคะ

หยุดยาวสงกรานต์นี้ คนแต่งน่าจะมีเวลาว่างได้เขียนสักที จะพยายามเข็นตอนใหม่ออกมาให้อ่านกันจ้า

ปาริน


ประกาศขอเวลาเพิ่มอีก 2 สัปดาห์นะคะ คนเขียนประสบปัญหาทางจิตใจอีกครั้ง หนนี้ค่อนข้างหนักเลยเพราะโดนคนอื่นหลอกลวงและฉ้อโกงทรัพย์สินไปด้วย เสียใจและเศร้ามาก แต่ทำอะไรไม่ได้เลย ตอนนี้ได้แต่ทำใจ สวดมนต์ ทำสมาธิ และเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่ง คนที่คิดไม่ดีทำไม่ดี คดโกงผู้อื่น จะได้รับผลแห่งการคิดชั่วทำชั่วเบียดเบียนคนอื่นของเขา คนประเภทนี้ ทำกิจการงานอะไรก็คงจะไม่เจริญ Smiley

ขอโทษด้วยสำหรับคนที่รอคอยจะอ่านนิยาย เราจะพยายามทำใจเข้มแข็งและลุกขึ้นใหม่ให้ได้ ทรัพย์สินที่โดนฉ้อโกงไปจะถือว่าเป็นการทำทาน จะไม่คิดถึงมันอีก และเราจะหาใหม่ ให้ได้มากกว่าที่คนไม่ดีมาคดโกงเราไป 

สักวันสิ่งดีๆจะต้องกลับมาหาเรา

เราจะเขียนนิยายมาให้พวกคุณได้อ่านในเร็ววันค่ะ สัญญาด้วยเกียรติ

ปาริน





Create Date : 11 เมษายน 2556
Last Update : 30 เมษายน 2556 16:30:40 น.
Counter : 1798 Pageviews.

8 comment
ตอนที่ ๓๗
ตอนที่ ๓๗  

    “คาดเข็มขัดด้วย” ประโยคสั้นๆที่ดังขึ้นส่งผลให้คนซึ่งเพิ่งจะก้าวยาวๆเข้ามานั่งในรถต้องรีบพยักหน้าหงึกหงัก วริณสิตากุลีกุจอก้มหน้าคาดเข็มขัดนิรภัยตามคำสั่งขณะที่พีรพัฒน์ก็หักพวงมาลัยพารถคันหรูออกแล่น

และถึงแม้จะอยากถ่วงเวลาก้มหน้าให้นานๆ แต่ในความเป็นจริง เมื่อคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จวริณสิตาก็ต้องเงยหน้าขึ้นมา

สาวน้อยพยายามรักษาระดับสายตาให้ตนเองมองตรงผ่านกระจกด้านหน้าเท่านั้น ก็เพราะคิดอยู่ว่า ในสถานการณ์เช่นนี้คงเป็นการเสียมารยาทและอาจทำให้ ‘ผู้ปกครอง’ ไม่พอใจอีกหรอกหากเธอจะหันหน้าไปมองวิวจากข้างทาง!


    ใช่! วริณสิตาแน่ใจว่าเขาจะต้องไม่พอใจ เพราะอย่างน้อย เขาก็แสดงออกมาแล้วตอนที่ประกาศ ว่าเขาเป็นผู้ปกครองของเธอ


    ด้วยเหตุนี้วริณสิตาจึงเลือกที่จะบังคับให้ตัวเองมองตรงๆ ผ่านกระจกหน้ารถเท่านั้น แต่ว่าไอ้การฝืนตัวนั่งแข็งๆ ในบรรยากาศชวนอึดอัด มิหนำซ้ำ การมองตรงนี่มันก็ยังคงต้องเห็นคนนั่งขับแว่บๆ ในหางตาตลอด นั่นทำให้การบังคับตัวเองครั้งนี้เป็นอะไรที่ยากเย็นเสียยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา!

    เพราะทุกอย่างมันช่างเงียบและสร้างความอึดอัด!

วริณสิตาไม่ชอบเลย แต่เธอจะไปทำอะไรได้ เพราะหากคนที่นั่งอยู่ในรถกับเธอคือลุงก้าน วริณสิตาก็แน่ใจ ว่าตัวเองคงมีเรื่องราวเกี่ยวกับหนึ่งวันที่มหาวิทยาลัยเล่าให้ฟังได้เป็นล้านแปด

 แต่นี่!

    สาวน้อยได้แต่หรุบสายตา ลอบผ่อนลมหายใจ และอดทนอยู่ในความเงียบแสนอึดอัด

    “ทำแกงสายบัวเป็นไหม?”

    “คะ?”

แต่แล้วก็ต้องอ้าปากค้างและส่งเสียงถาม เมื่อจู่ๆเสียงทุ้มๆก็เอ่ยถามอะไรออกมาดื้อๆอย่างไม่มีสัญญาณบอก สาวน้อยเลยงุนงง

“เอ่อ...เมื่อกี้...คุณพี...ว่าอะไรหรือเปล่าคะ?”

แต่นาทีนั้น...เหมือนผู้ปกครองหน้ามุ่ย...กลับจะยิ้มหน่อยๆ

    “ฉันถาม ว่าเธอทำแกงสายบัวเป็นไหม” เขาบอก “แถวบ้านฉันเรียกแกง แต่เป็นแบบต้มกะทิน่ะ”

    “อ้อ...เอ่อ...ก็...ก็เป็นน่ะค่ะ” วริณสิตาตอบ ถึงกับติดอ่างเล้กน้อยเพราะตั้งตัวไม่ทัน แต่นั่นเหมือนจะจุดประกายยิ้มน้อยๆที่มุมปากผู้ปกครองได้อีกเสียงั้น 

    “แล้ว...ทำไมถึงทำเป็นล่ะ?” เขาถามอีก แต่คราวนี้ และกับคำถามนี้ที่ดูจะพิลึกกึกกือก็ทำให้เด็กสาวถึงกับร้องอ้าวเลย

    “ก็ต้องเป็นสิคะ” วริณสิตาตอบ “เพราะตอนที่อยู่กับยาย หนูต้องช่วยยายทำกับข้าวค่ะ บางทีไปเก็บสายบัวมาทำกินกันบ่อยๆ ก็ต้องเป็นสิ”

    “อ่อ! งั้นหรือ” เสียงเขาว่า แต่แล้วแค่อึดใจเขาก็ย้อนถามอีก “แล้วที่บอกว่ากินบ่อยเนี่ย บ่อยแค่ไหนฮึ?”

    “ก็เกือบทุกอาทิตย์นั่นแหละค่ะ” วริณสิตาตอบ หนนี้ฉะฉานแล้วเพราะความรู้สึกอึดอัดอึมครึมที่เกิดขึ้นนั้นมันมลายหายวับไปเสียแล้วยามได้หวนนึกและพูดถึงวันเวลาที่อยู่กับยาย

“ตอนนั้นเราต้องประหยัดกันค่ะ” สาวน้อยเล่าอีก “หนูอยู่กับยายสองคน ไม่มีตังค์ บางทีเราก็ไปเก็บผักเก็บหญ้า เก็บสายบัวในบึงมาทำกับข้าวกินกัน ที่ทำประจำมีต้มกะทิบ้าง ลวกจิ้มน้ำพริกบ้าง ยายชอบทั้งนั้นเลยค่ะ แล้วหนูเองก็”

ที่จริงก็เพราะเสียงหัวเราะหึๆในคอของผู้ปกครองนั่นแหละที่ทำให้คนเล่าหยุดปากปั๊บพร้อมๆกับที่ฉุกนึกได้...ว่าบรรยากาศมันชักเปลี่ยน

    “เอ่อ...” วริณสิตาพูดไม่ออก

    “แล้วหนูเองก็...ก็อะไร?” เขาถามยิ้มๆเมื่อเด็กในปกครองชักนิ่งไม่ยอมตอบ

แต่แน่แหละ! วริณสิตาไม่พล่ามแล้ว!

    “ว่าไงล่ะ ก็อะไรฮึ?”  

    “ก็...ไม่มีอะไรค่ะ” สาวน้อยตอบอุบอิบ นึกถึงที่เผลอร่ายยาวก็ชักจะไม่มั่นใจ ก็ในเมื่อเขาโกรธเธออยู่นี่นา แล้วที่เธอพูดมากๆยาวๆไปเมื่อกี้นี้น่ะจะยิ่งไปทำให้เขาโกรธเข้าไปใหญ่รึเปล่าเล่า

ไม่แน่ใจ สาวน้อยเลยนิ่งไปนิดอย่างติดจะเกรง แต่เมื่อผู้ปกครองเองก็ไม่ได้จะเอ่ยหรือเผยอะไรนอกจากยิ้มน้อยๆที่แปลความหมายไม่ออกเอาเสียเลย วริณสิตาจึงตัดสินใจ ถามเสียงค่อย 

    “ว่าแต่...คุณพี...ถามทำไมหรือคะ?”

    “หืม?” ผู้ปกครองหนุ่มเลิกคิ้ว คลี่ยิ้มกลับมา และประกายในดวงตาเขา ก็เปลี่ยนไปแล้วจากเมื่อกี้จริงๆ 

    “ก๊อ...ไม่มีอะไรเหมือนกันนั่นแหละ!” เขาตอบก่อนหัวเราะร่วนอารมณ์ดี! อาการนั้นเลยทำวริณสิตาได้แต่นั่งงงเป็นไก่ตาแตกกับอารมณ์ที่พลิกจากหน้าเป็นหลังของผู้ปกครองหนุ่ม ซึ่ง...ดูเหมือนเขาเองจะพอใจที่เป็นเช่นนั้นด้วย

ความรู้สึกว่าคนที่ประกาศศักดินาเหนือเธอตอนอยู่มหาวิทยาลัยกลับกลายเป็นผู้ปกครองช่างแกล้งไปเสียได้ก็ทำให้หัวใจสาวน้อยเต้นประหลาด และช่วยไม่เลยที่ความช่างแกล้งไก๋กั๊ก ไม่ยอมจะตอบคำถามดีๆแบบนั้นจะทำให้ใจไผลนึกไปถึงครั้งแรก...ที่เขากลายเป็นผู้ใหญ่แบบนี้...

    ก็คือวันที่...เขาพาเธอไปบ้านสวน

วริณสิตาหรุบตาลงต่ำเมื่อหวนนึกถึงความสนุกและความสุขที่เกิดขึ้นในวันนั้น

    ทั้งบ้านสวน ท้องไร่ทุ่งนา คุณดวงทิพย์ ลูกชุบ และเหนืออื่นใด...การยินยอมอนุญาตให้เธอได้เรียนในสิ่งที่ต้องการ ทั้งหมดนั่นเกิดขึ้นราวความฝัน

    วริณสิตาจ่อมจมในห้วงคิดถึงความสุขที่บ้านสวนนานจนเป็นหลายอึดใจ กระทั่ง...เริ่มรู้สึก...ว่าทิวทัศน์ข้างทางชักจะแปลก

สาวน้อยกะพริบตา เขม่นมองภาพสองข้างทางอย่างจะให้แน่ชัดเพราะทิวทัศน์สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากตึกรามแน่นหนาไปสู่หมู่ไม้ริมทางที่หนาแน่นขึ้น

แน่ล่ะ เส้นทางอย่างนี้บอกได้ชัดว่าไม่ใช่ทางซึ่งจะตรงกลับไปบ้านสุริยะธาดาหรอก วริณสิตายืดตัวนั่งหลังตรงทันที หัวใจชักโดดโลดเต้นแบบถี่ๆกับวิวชานเมือง และมันก็ยิ่งเต้นถี่มากขึ้นเมื่อในที่สุดสภาพสองข้างทางก็กลายเป็นท้องทุ่งนากับทางดินสายแคบที่มีบ้านไม้ใต้ถุนยกสูงอยู่สุดปลายทาง!

สาวน้อยสะบัดหน้าไปมองผู้ปกครองหนุ่มทันที

    “อะไร” เสียงเขาถาม “หันมาทำไมฮึ?”

แล้วก็ยิ้มอย่างแกล้งๆเสียอย่างนั้น! เพราะงั้นวริณสิตาจึงต้องหันกลับไปมองที่สุดปลายทาง
และที่ลานหน้าบ้านนั้นคุณดวงทิพย์ก็ออกมายืนรอคนมาเยือนแล้ว

    วริณสิตาหัวใจโลดถี่ ไม่คิดเลยว่าเขาจะพาเธอมาที่นี่อีก! สาวน้อยทำใจกล้าหันหน้าไปมองผู้ปกครองอีกครั้ง หนนี้เขาเพียงยิ้มละไม ไม่ได้เอ่ยอะไรกระทั่งขับรถเข้ามาจอดยังลานบ้าน อึดใจหนึ่งเมื่อดับเครื่องยนต์จนสนิท ผู้ปกครองหนุ่มจึงหันมา ยิ้มละไมยังกำจาย 

    “วันนี้ฉันหลอกพาเธอมาให้แม่ฉันใช้แรงงานอีกแล้วนะ เธอหนีไม่พ้นหรอก หึๆ” พูดแค่นั้นผู้ปกครองหนุ่มก็เปิดประตูรถออกไปโดยไม่สนใจเลยเลยว่า ‘คนถูกหลอกพามาใช้แรงงาน’ จะมีอากัปกิริยาที่เรียกว่า เหวอ ยังไงบ้าง!

แต่เมื่อตั้งสติได้วริณสิตารีบเปิดประตูรถตามลงมาอย่างว่องไว

    “สวัสดีค่ะ” สาวน้อยกระพุ่มมือไหว้คุณดวงทิพย์ที่ยืนยิ้มละไมคอยอยู่
    “สวัสดีจ้ะ” คนสูงวัยกว่ารับไหว้ก่อนหันไปทางชายหนุ่ม “ไง วันนี้ได้ฤกษ์ พาลูกมือมาช่วยแม่ทำกับข้าวสักทีนะ”

พีรพัฒน์หัวเราะเบาๆ แต่ก็ไม่ทันที่เขาจะได้ตอบ

    “พี่จี๊ปปปปปป! เย้ๆ พี่จิ๊บ!” เสียงเรียกนั่นดังแจ้วเหวกๆมาก่อนตัวตั้งแต่ไกลตามเคย เมื่อหันไปก็เห็นลูกชุบวิ่งมาทั้งชุดนักเรียนจนหน้าเริ่ด

“พี่จี๊ปปปปป”

    คนถูกเรียกฉีกยิ้มกว้าง แต่ต่อจากเสียงเรียกพี่จิ๊บยาวๆนั่น ก็เป็นเสียงดุของคุณดวงทิพย์

    “เอ้าๆ! เจ้าชุบ! สอนละไม่เคยฟังเลยนะ ตะโกนโหวกเหวกมาอย่างนั้นอีกแล้ว!”

คนถูกเอ็ดที่วิ่งมาถึงพอดีได้แต่เบรกเอี๊ยด ก้มตัวลงหอบแฮ่กเพราะห้อมาอยู่เกือบนาทีก่อนที่จะยืดตัวขึ้นมายิ้มแหย

“แฮ่...ก็ชุบรีบอ่ะ” แม่สาวน้อยจอมแก่นว่า “ชุบน่ะวิ่งมาตั้งกะเห็นรถน้าพีเลี้ยวเข้าปากทางโน่นแน่ะ”

ฟังจบเจ้าของรถก็หัวเราะขัน อดไม่ได้ที่จะแซว

    “โห้! ไม่อยากเชื่อเลย ว่าชุบอยากจะเจอน้าขนาดนั้น” 

    “แหม! ไม่ใช่ซะหน่อย” แม่สาวน้อยรีบว่า “ชุบไม่ได้คิดถึงน้าพีสักกะติ๊ด แต่ชุบอ่ะคิดถึงพี่จิ๊บต่างหาก ก็เลยรีบมา”

ว่าจบลูกชุบก็ตรงเข้าคล้องแขน ยิ้มหวานให้วริณสิตา

“พี่จิ๊บจ๋า คิดถึงจัง”

    คนถูกอ้อนได้แต่คลี่ยิ้ม

    “จ้ะ พี่ก็คิดถึงชุบเหมือนกัน” วริณสิตาพูด “แต่ทีหลัง ไม่ต้องรีบวิ่งมาแบบนี้นะ เดี๋ยวหกล้มไปจะแย่”

    “โอ้ย คงห้ามไม่ได้หรอกมั้งเจ้านี่” คุณดวงทิพย์ว่า มองแม่สาวน้อยข้างบ้านด้วยแววตาระคนขัน “แก่นแก้วเป็นม้าดีดกะโหลก เห็นย่าเขาเอ็ดเขาบ่นประจำ”

    “โธ่! ป้าทิพย์น่ะ อย่าเอาความจริงมาเล่าสิ ชุบก็อายเป็นนะ”

    “อ้อ! อายเป็น ก็หัดทำตัวเป็นเด็กผู้หญิงกะเขามั่งซี”

    “น่าๆ เดี๋ยวถึงเวลา อีกสิบปีชุบจะเป็นกุลสตรีให้ป้าทิพย์ดูเลย”

    “เออ! แล้วป้าจะคอยดู ว่าแต่วิ่งเริ่ดมาเนี่ย ชุดนักรงนักเรียนไม่เปลี่ยน บอกย่าเขารึยังหืม?” คนสูงวัยกว่าถามอีก สาวน้อยลูกชุบยิ้มแฉ่งเห็นฟันครบตามเคย ก่อนตอบฉะฉาน

    “บอกแล้วจ้ะ แถมบอกเลยไปด้วยว่า เย็นนี้ชุบจะกินข้าวบ้านป้าทิพย์”

    “แน่ะ!” คุณดวงทิพย์ร้องเพียงแค่นั้น ก่อนที่จะได้ประสานเสียงกับพีรพัฒน์หัวเราะให้กับ ‘ความล้น’ ของสาวน้อยจอมแก่น!

    “อย่างนี้ก็แปลว่าแม่มีลูกมือช่วยทำกับข้าวเพิ่มอีกหนึ่งนะครับ งั้น...ผมขอเมนูพิเศษหน่อยดีกว่า” พีรพัฒน์ว่า

“พิเศษหรือจ๊ะ” คนสูงวัยกว่าถาม “แล้วพีอยากกินอะไรล่ะ?”

    “แกงสายบัวครับ”

    วริณสิตาเหลือบมองเขาทันที และยิ้มที่เหมือนจะไม่มีอะไรบนใบหน้าเขา ก็ราวกับจะมีประกายยั่วแหย่ขึ้นมายังไงยังงั้น!

    “ได้สิจ๊ะ” คุณดวงทิพย์ตอบ “แต่ต้องมีคนไปเก็บสายบัวให้แม่นะ”
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง

    “ไม่มีปัญหาครับ” เสียงเขาว่า ก่อนหันมา “จริงมั้ย วริณสิตา?”

    นั่นไงล่ะ! คนถูกถามได้แต่ยิ้มแหยๆ แทนคำตอบขณะคิดอยู่ในใจว่า

    ผู้ปกครองอะไรชอบแกล้ง!

แต่นั่นก็เป็นการแกล้งที่ทำให้คนถูกแกล้งมีความสุขมาก วริณสิตาได้ออกไปตะลอนกับลูกชุบสองคนอีกอย่างเคยเพราะภารกิจเก็บสายบัวครั้งนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว

    “ชุบจะพาพี่จิ๊บไปเก็บสายบัวนะ ข้างฟากนาเหนือของป้าทิพย์อ่ะ” ลูกชุบหันหน้ามาคุยขณะออกเดินขึ้นหน้าวริณสิตาเพื่อนำนาง

“หนที่แล้วที่พี่จิ๊บมาชุบยังไม่ได้พาไป ตรงนาโน้นนะป้าทิพย์ปลูกบัวสายไว้ในคูข้างๆ คันอ่ะ ตรึมเลย นั่งริมตลิ่งเด็ดเอายังได้” ลูกชุบบอก หัวเราะคิกคักก่อนป้องปากกระซิบ

“หรือเราจะลงไปเก็บกันกลางๆ ก็ได้นะ พี่จิ๊บไม่ได้เอาเสื้อมา เดี๋ยวชุบอาสาลงให้ ฮิๆ” แม่สาวน้อยจอมแก่นว่า ดวงตาเป็นประกายเมื่อนึกไปถึงว่างานนี้ล่ะ จะได้ฉวยโอกาสหนีย่าเล่นน้ำด้วย แต่คนโตกว่าก็รู้ทันจึงสกัดดาวรุ่ง

    “ไม่ได้หรอกชุบ เดี๋ยวเราก็โดนเอ็ดกันพอดี”

    “โธ่! ไม่เป็นไรหรอกพี่จิ๊บ คูน้ำข้างคันนาป้าทิพย์นะน้ำไม่ลึกเลย ตกไปก็ไม่จม อีกอย่าง ไม่อยากจะคุยหรอกว่าชุบอ่ะ ว่ายน้ำเก่งยังกะปลาเลย จะบอกให้”

    “จ้ะ พี่เชื่อ ว่าชุบว่ายน้ำเก่ง แต่ชุบก็ไม่ได้มีเสื้อมาเปลี่ยนนะ ขืนกลับไปตัวเปียกๆ เพราะลงน้ำโดยไม่ขอผู้ใหญ่ล่ะก็ โดนดุแน่นอนเลย เชื่อพี่สิ พี่ไม่อยากโดนว่าหรือทำให้ชุบต้องถูกตีหรอกนะ”

เมื่อเอายกเอาบทลงโทษที่อาจจะได้ถ้าหากเล่นสนุกเกินไปขึ้นมาพูด ลูกชุบก็ยิ้มแหยและยอมจำนนไม่คะนองในเรื่องลงน้ำอีก และคูน้ำข้างคันนาฟากเหนือของคุณดวงทิพย์เต็มไปด้วยบัวสายสีชมพูสดที่แผ่กระจายหนาแน่นจริงๆ แค่เดินไล่เก็บตามลาดตลิ่ง ไม่นานสองสาวน้อยก็ได้สายบัวกลับมากันเต็มหอบ


    และเมนูนี้คนทำหน้าที่ปอกและขูดมะพร้าวของบ้านสวนก็ยังคงเป็นผู้ปกครองของวริณสิตาตามเคย วริณสิตาอาจโชคร้ายหน่อยตรงที่เมื่อเธอกับลูกชุบหอบสายบัวเข้ามาในครัว พีรพัฒน์ก็ทำงานของเขาเสร็จแล้ว

    “อ้าว! มากันแล้ว มาๆ เอาสายบัวมาช่วยกันลอกเปลือกเลย ป้ากำลังจะโขลกพริกไทยกับหอมกับกะปิพอดี” คุณดวงทิพย์ว่าขณะสาละวนกับการเตรียมเครื่องปรุงต่างๆ วริณสิตาจึงกระวีกระวาดหอบสายบัวเข้าไปนั่งบนแคร่ตัวเดียวกัน

    “งั้นชุบไปเอากะละมังใส่น้ำมาไว้ให้แช่สายบัวนะจ๊ะ”

    “เออ ดีๆ อย่าลืมใส่เกลือมานิดนึงด้วยนะลูก” คุณดวงทิพย์ตะโกน นาทีนี้ดูทุกคนจะเริ่มวุ่นกับการเตรียมส่วนผสมแล้ว พีรพัฒน์จึงลุกขึ้นจากกระต่ายขูดมะพร้าว   

    “งั้นมา ฉันจะช่วยหั่นสายบัวอีกแรง” เขาพูดขณะย้ายสำมะโนครัวมาหย่อนกายลงนั่งข้างเด็กในปกครอง มือหนาๆ หยิบมีดบางเล่มเล็กมาถือเตรียมพร้อม

    “มาสิ ฉันจะช่วย” เสียงเขาว่า แต่สาวน้อยได้แต่กะพริบตา 

    “เอ่อ...คือ...สายบัวนี่ เขาไม่ค่อยใช้มีดหั่นกันค่ะ” วริณสิตาบอก “แต่เขาจะใช้วิธีหักเอา เป็นท่อนๆ แล้วก็ลอกเยื่อออกให้หมด”

    “หืม?” คนเตรียมมีดขมวดคิ้วมุ่นทันที “ไม่หั่นรึ ทำไมล่ะ สายบัวมันก็ยาวๆ ทำไมไม่รวบเป็นกำๆ แล้วหั่นไปทีเดียวเหมือนหั่นถั่วฝักยาวน่ะ เร็วกว่ากันตั้งเยอะ” ผู้ปกครองบอก

วริณสิตาได้แต่ลอบผ่อนลมหายใจออกมา

    “ค่ะ เร็ว” สาวน้อยว่า “แต่เขาไม่ทำกัน”

วริณสิตาหยิบสายบัวขึ้นมาสายหนึ่ง

    “ปกติบัวมันจะมีใย ถ้าใช้มีดหั่นมันจะมีใยบัวเหลืออยู่ จะทำให้คันคอเวลากินน่ะค่ะ ที่เขาทำกันเลยจะหักเป็นท่อนๆ แล้วก็ชักใยบัวออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แบบนี้น่ะค่ะ”
ตลอดประโยคที่อธิบายนั่นคนพูดสาธิตให้ดูไปด้วย

    ผู้ปกครองหนุ่มได้แต่ทำหน้าเหรอหรา แถมยังบอกอีกว่า

    “งั้นหรือ ฉันไม่ยักกะรู้”

    “หึๆ” เสียงหัวเราะนุ่มๆ ที่ดังขึ้นส่งผลให้ทั้งผู้ปกครองหนุ่มและเด็กในปกครองต้องหันมองไป แล้วก็ได้เห็นว่าคุณดวงทิพย์กำลังมองมาอยู่ ริมฝีปากประดับรอยยิ้ม

    “ก็ได้แต่กินอย่างเดียวนี่จ๊ะ ไม่เคยมาช่วยแม่ทำ แล้วพีจะรู้ได้ยังไง” คุณดวงทิพย์บอก

    “ก็พอจะมาช่วยทีไร แม่ก็ทำเสร็จแล้วทุกทีนี่ครับ ผมเลยไม่มีโอกาสได้ช่วยเลยต่างหาก”

คนสูงวัยกว่าหัวเราะอีกครั้ง นั่นเพราะมันออกจะจริง! ก็เนื่องด้วยคุณดวงทิพย์เองนั้นได้รับการอบรมบ่มสอนมาอย่างสตรีไทย งานบ้านงานเรือนไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยมักจะเข้าครัวตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ พร้อมจัดแจงกับข้าวกับปลาให้คนในครอบครัวเสร็จสรรพเสียทุกครั้งไป เพราะอย่างนั้นคุณดวงทิพย์จึงได้แต่ยิ้ม ไม่ตอบโต้พีรพัฒน์ แต่เลือกที่จะหันไปถามวริณสิตาแทน

    “ว่าแต่หนูจิ๊บทำสายบัวเป็นด้วยหรือจ๊ะ”

วริณสิตาพยักหน้า เอ่ยเบาๆ ว่า

    “ค่ะ สมัยก่อน หนูต้องช่วยยายทำกับข้าวทุกวัน”

    “แหม ดีจริง”

    “หึๆ” หนนี้เป็นเสียงทุ้มๆ ของผู้ปกครองหนุ่มบ้างที่เล็ดลอดมา เขาหัวเราะก่อนเอี้ยวตัวกระซิบว่า

“อืม! อย่างนี้ค่อยเชื่อได้หน่อย ว่าเคยทำกินบ่อยๆ สมัยก่อน! เอ้า! ชุบ ได้กะละมังใส่น้ำรึยัง”
แล้วเขาก็หันไปร้องถามลูกชุบโดยไม่ได้รู้เลยว่าเด็กในปกครองจะรู้สึกพิพักพิพ่วนใจเต้นขนาดไหน!

    เพราะแค่เสี้ยวนาทีที่กระซิบยั่วเย้า ลมหายใจเขา ก็ปะทะผิวแก้ม!

สาวน้อยรู้สึกหน้าร้อนเห่อ แต่โชคดีที่ทั้งลูกชุบและคุณดวงทิพย์ยังเป็นตัวช่วยที่ทำให้วริณสิตารู้สึกเก้อน้อยลงเสมอ เธอสนุกและมีความสุขได้ตลอดเมื่ออยู่กับพวกเขา ใบหน้าจึงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มตั้งแต่วินาทีแรกที่มากระทั่งถึงเวลาที่ต้องกลับ

    พีรพัฒน์เหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือ

    “จะสองทุ่มแล้ว เดี๋ยวผมคงต้องขอตัวกลับบ้านป้าอังแล้วนะแม่” พีรพัฒน์บอก “อยู่ดึกเกิน เดี๋ยวป้าบัวศรีแกจะห่วงเด็กเอา” พูดเองก็ยังไม่วายจะเหลือบตามองหน้า ‘เด็ก’ เสียด้วยก่อนออกคำสั่ง

“ไปเถอะวริณสิตา กลับกันได้แล้ว”

    ซึ่ง ‘เด็ก’ ก็ดูจะเจื่อนลงไปชนิดเห็นได้ชัด แต่ก็พยักหน้า วริณสิตาหันไปยกมือไหว้ลาคุณดวงทิพย์

    “หนูลาล่ะนะคะ พี่ไปล่ะนะชุบ” ท้ายประโยคหันไปบอกสาวน้อยคู่หู เลยโดนถามสวนเข้าให้

    “แล้วเมื่อไหร่พี่จิ๊บจะมาอีกล่ะ?”

    “ก็”
กำลังจะอ้าปากบอก ว่าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เสียงทุ้มๆ ที่ดังขึ้นอย่างทันควันก็ทำให้เด็กสาวต้องเบิกตากว้าง

    “อาทิตย์หน้า”

วริณสิตาสะบัดหน้าไปทางผู้ปกครองทันทีขณะที่ลูกชุบก็กำลังตะโกนลั่น

    “เย้ๆ จริงนะ”

    “อืม! จริงสิ” และคำตอบนั้นก็สำทับมาอีก พีรพัฒน์หันไปพูดกับคุณดวงทิพย์ “เดี๋ยววันเสาร์นี้ งานไร่ งานสวน งานครัวอะไรนี่ แม่เก็บเอาไว้เยอะๆ เลยนะครับ เดี๋ยวผมจะได้หลอกพา ‘เด็ก’ มาให้แม่ใช้แรงงานอีก แต่เช้าเลย”

    “แน่ะ! ดูพูดเข้า” คุณดวงทิพย์หัวเราะ ก่อนจะหันไปทาง ‘เด็ก’ ที่ยังได้แต่อึ้ง! “อย่าไปถือไปสาผู้ใหญ่เพี้ยนๆ เลยนะหนูจิ๊บ สงสัยเขาจะทำงานมากจนเลอะน่ะ!”

    สาวน้อยได้แต่ยิ้มๆ ไม่ตอบอะไร และไม่กล้าที่จะมองหน้าผู้ใหญ่ที่ประกาศว่าจะหลอกพาเธอมาให้คุณดวงทิพย์ใช้งานด้วย!

    “งั้นผมไปแล้วนะครับ”

    “จ้ะ ขับรถดีๆ นะ”

และนั่นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่วริณสิตาจะได้แต่เดินตามผู้ปกครองกลับมาที่รถ เธอไม่รู้หรอก ว่าคำพูดยั่วแหย่ตลอดทั้งหมดนั่นมันจะเป็นความจริงสักแค่ไหน แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะทำให้เธออดเดินอมยิ้มน้อยๆไปตลอดไม่ได้ จนกระทั่ง...

    “เป็นอะไร” จู่ๆ เสียงนุ่มทุ้มก็เอ่ยถาม กอรปกับหน้ายิ้มๆ แบบรู้ทันของผู้ปกครองนั่นก็ทำให้วริณสิตาต้องรีบส่ายหน้าดุ๊กดิ๊ก ก่อนตอบ “เปล่าค่ะ” เสียงอุบอิบแล้วเปิดประตูเข้าไปในรถ


    แต่อย่าได้ไปว่าเด็กในปกครอง เพราะนาทีนี้ แม้แต่ตัวผู้ปกครองยังเหมือนจะหยุดยิ้มไม่ได้เลย!


พีรพัฒน์ล้วงมือลงไปหยิบของบางสิ่งออกมาจากกระเป๋า เขาก้มลงดู ยิ้มกว้างกลาดเกลี่ยทั่วใบหน้าก่อนจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่งประจำที่ด้วยอีกคน

    “วริณสิตา ฉันมีอะไรบางอย่างจะให้เธอ”

    และสิ่งที่ผู้ปกครองหนุ่มยื่นมา คือมือถือใหม่เอี่ยมเครื่องเล็กๆ กะทัดรัดเครื่องหนึ่ง


    รอยยิ้ม...ค่อยๆ เหือดหาย แต่ทว่า...คนที่กำลังยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้...ก็ไม่ได้สังเกตเลย

    “วันนี้ฉันไปเลือกหาโทรศัพท์มือถือมา อันนี้หน้าจอสัมผัส เครื่องก็ไม่ได้ใหญ่นัก คิดว่าน่าจะเหมาะกับเธอ”

    เขายิ้ม แต่วริณสิตาไม่ได้ตอบ ผู้ปกครองหนุ่มจึงเลือกที่จะเอ่ยต่อ 

    “ฉันขอโทษนะ” เขาพูด น้ำเสียงนั้น...ทั้งจริงจังและนุ่มนวล “ฉันขอโทษ สำหรับการทำหน้าที่ผู้ปกครองที่ไม่ได้เรื่องเลยของฉัน ถ้าเธอจะโกรธ จะต่อว่าว่าฉันเป็นตาแก่โบราณเต่าล้านปี ที่ดันคิดเทียบว่าสมัยนี้มือถือมันจะไม่มีความจำเป็นเหมือนเมื่อสมัยที่ฉันเป็นวัยรุ่น ฉันก็ไม่โกรธ รับไปสิ นะ ฉันตั้งใจซื้อมาให้เธอ”

    แต่วริณสิตาก็ยังได้แต่นิ่ง! เธอมองเขาด้วยนัยน์ตาหวาดหวั่นราวแบกทุกข์เอาไว้ทั้งโลก

แต่พีรพัฒน์ยังคงยิ้ม เขาคิด ว่าตนเองเข้าใจความรู้สึกหนักอึ้งในใจของวริณสิตา

แต่ทว่า...

    เสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นมานาทีนั้น...จากมือถือนิรนาม ก็ทำให้ยิ้มของพีรพัฒน์ หายวับไปในพริบตา! 
...................


สวัสดีค่ะ

ปารินกลับมาแล้ว ขอโทษที่ปล่อยให้รอกันนานแสนนาน และเหนืออื่นใด ขอขอบคุณกำลังใจดีๆจากคนอ่านที่น่ารัก ซึ่งไม่เคยทิ้งกัน ทั้งๆที่ปารินก็เป็นคนเขียนที่นิสัยยอดแย่

ขอบคุณค่ะ ขอบคุณจากใจจริง





Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2556 12:57:54 น.
Counter : 3174 Pageviews.

15 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

parinnada
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]



แนะนำตัว
New Comments