images by free.in.th images by free.in.th
Group Blog
 
All blogs
 

กลับมาแล้วค่ะ...

บล็อกนี่้กลายเป็นบล็อกรายสามเดือนไปเสียแล้วหรือนี่...

กลับมาดูบล็อกในวันที่ขอหยุดพัก วันนี้ทั้งวัน ไม่มีกิจกรรมอื่นใดนอกจากอ่านหนังสือบางเล่มที่อยากอ่าน แต่ก็อ่านได้ไม่กี่หน้า เพราะการที่พ่อแม่มาอยู่ด้วย ก็มีเรื่องให้คุยและให้ทำค่ะ

คิดถึงบล็อกนี้เสมอ อยากเขียนหนังสือเสมอ

กลับมาดูอีกครั้งในวันที่มีคนอ่านที่น่ารักตามไปถึง Facebook แล้วบอกขอบคุณ บอกว่าบล็อกบางบล็อกของฉันสร้างแรงบันดาลใจให้เขาเก็บเงิน
และรู้จักละเอียดอ่อนกับชีวิต

ฉันรู้สึกว่านี่คือของขวัญค่ะ

ในวันที่ไม่ได้เขียนหนังสือเลย ทำงานที่ยุ่งกับการพบคนและการออกเดินทางไปที่นั่นที่นี่ ข้อดีของมันคือทำให้ฉันแทบไม่มีเวลามานั่งหดหู่หรือกลุ้มใจกับชีวิตในบางมุม ที่มันอาจจะทำให้รู้สึกแย่

แต่ไปๆมาๆทบทวนแล้วก็เห็นว่า เราน่ะช่างโชคดี มีอะไรหลายอย่างที่ดีและน่าพอใจจะตายไป ชีวิตนี้ดีแล้ว มีความสุขจะตาย จะหาเรื่องใส่ตัวหรือเรื่องทุกข์อะไรนักหนา

แค่นี้ก็ยิ้มได้แล้วค่ะ

เรื่องเล่ามีมากมาย เยอะจัด เยอะนัก ถ้าให้นั่งคุยจะคุยได้เป็นวักเป็นเวร
ถ้าให้นั่งเขียนคงเขียนได้อีกหลายบล็อก

เอาเป็นว่าในเมื่่อมีคนไปบอกถึงหน้าเฟซ ทำให้หวนกลับมาดูพื้นที่ตรงนี้
ก็อยากกลับมาเขียนหนังสืออีก ไม่อยากปล่อยให้ร้าง เพราะมันคือพื้นที่ที่ฉันรักและอยากเก็บเอาไว้

กลับมาแล้วค่ะ

และจะนั่งอยู่ที่เดิมเสมอไป...




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2555    
Last Update : 24 ตุลาคม 2555 19:11:17 น.
Counter : 725 Pageviews.  

ชีวิตลิขิตได้ ไม่ใช่นิยายแต่เป็นเรื่องจริง

ค่ำวันพฤหัสบดี

คิดถึงบล็อกจังเลย คิดถึงช่วงเวลาที่ไม่ได้เขียน ไปทำงานและเดินทางและแทบหาเวลารื่นรมย์ไม่ได้

แต่ขึ้นชื่อว่างาน ไม่มีอะไรง่ายค่ะ งานคือสิ่งที่เราต้องทำและตั้งใจทำ เพื่อให้มันเกิดคุณค่า งานง่ายๆในโลกนี้ไม่มี (อาจมีแต่ไม่ใช่งานสุจริต) แต่งานใดที่ทำแล้วใส่ความรักเข้าไปจะยิ่งมีคุณค่า และก่อให้เกิดความสุข

ทำงานให้มีความสุขก็ต้องรักงานนะคะ

กลับมาเขียนบล็อกอีกที อยากเล่าเรื่องเงินๆทองๆ เพราะสัมผัสเรื่องเงินๆทองๆเยอะในช่วงที่ผ่านมา

ฉันเคยพูดเรื่องเงินๆทองๆมาเยอะในบล็อกนี้ และแรงบันดาลใจที่สำคัญของการที่ลุกขึ้นมาปฏิวัติเรื่องเงินเกิดจากหนังสือเรื่องเงินเรื่องใหญ่ที่โรงเรียนไม่เคยสอน ของพี่โจ มณฑานี

เคยเล่าไหมคะ ว่าเงินเก็บที่เคยมีไม่มาก มันโตเป็นสามเท่าได้ก็เพราะลุกขึ้นมาใส่ใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง หาทางบริหารให้มันโต

ทำไมต้องสนใจเรื่องเงินๆทองๆขนาดนี้ มีเหตุผลอยู่ไม่กี่อย่างค่ะ
หนึ่ง ถ้าทำงานมาตั้งนานไม่เหลือเงินเก็บเลย อนาคตลำบากค่ะ
สอง เราไม่ได้แต่งงาน ไม่มีลูก ไม่มีใครให้พึ่งนะคะ อนาคตลำบากแน่นอนถ้าเป็นคนแก่กระเป๋าแห้ง
สาม เพราะเราไม่รู้วันข้างหน้าค่ะ เราไม่อาจฝากอนาคตไว้กับใครได้เลยสักคนเดียว ( แม้แต่มรดกพ่อแม่ก็เถอะ )
สี่ กลัวเจ็บป่วยแล้วต้องเป็นภาระของคนอื่นๆ ซึ่งในที่นี้ก็ไม่ใช่ใคร พ่อแม่พี่น้องเรานั่นแหละ

ฉันคิดแบบนี้เลยไม่ประมาท พยายามศึกษาและเตรียมให้ตัวเองตลอดเวลา

คนแบบฉัน คือประเภทเผื่อ เป็นคนส่วนน้อยค่ะ แต่คนส่วนมาก หรือคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่คนประเภทเผื่อแบบนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะไม่คิดยาว เขาเหล่านี้จะคิดสั้น คือวันต่อวัน เดือนต่อเดือน และไม่มีเงินเก็บ

มีคนอยู่ 2 ประเภทค่ะ

1. คนที่ฝากอนาคตไว้กับคนอื่น เช่น หวย การกู้หนี้ยืมสิน บัตรกดเงินสด
อะไรแบบนี้ คนลักษณะนี้เขาจะไม่คิดให้ตัวเองมีด้วยการเก็บออม และไม่คิดถึงวันข้างหน้า เพราะไม่คิดถึง ไม่เคยอยากให้ตัวเองรวยแบบยั่งยืน ทุกเดือนจะเจียดเงินหลักพันไปไว้กับหวยใต้ดิน ฝันลอยๆไปเรื่อยๆ แล้วก็ลำบากหืดขึ้นทุกเดือน แล้วก็บอกตัวเองว่าชาตินี้คงไม่มีวันรวย ซึ่งก็จะไม่รวยจริงๆเพราะไม่เคยเก็บเงินเลย

2. คนที่รับผิดชอบชีวิตตัวเอง ไม่ฝากอนาคตไว้กับสิ่งที่มองไม่เห็น คนประเภทนี้จะรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร ทำงานหนักก็ไม่บ่น ดอกผลของการทำงานหนักก็คือเงินที่ตัวเองสามารถเหลือเพื่อออมได้ มีเผื่อแผ่ให้คนอื่นได้ด้วย เพราะตัวเองมีเหลือแล้ว

คนประเภทที่ 1 มีมากมาย ขนาดอายุถึง 40 กว่าๆแล้วก็มี คือไม่มีเงินเก็บเลย รอให้ฟ้าดินประทานเงินมาให้ แล้วก็เอาไปใช้ฝันลอยๆต่อไป

คุณว่าคนประเภทไหนคะที่จะไม่ลำบากตอนแก่

บางทีคำตอบของมันก็มีอยู่แล้ว อย่าโทษฟ้าดินว่าเกิดมาไม่รวยเลยค่ะ เพราะคนที่จนมาก่อนแต่วันนี้เขารวยได้ ก็เพราะเขามุ่งมั่นทำงานและเก็บเงิน เก็บอย่างเดียวไม่พอต้องรู้จักทำให้มันโต ด้วยการเอาเงินไปต่อเงิน
และทำได้หลายวิธีมากในปัจจุบัน

การโทษโชคชะตาว่าทำไมฉันจนๆ ทำไมฉันไม่รวยสักที คือการปัดความรับผิดชอบไปให้คนอื่น ซึ่งในทางพุทธ พระพุทธเจ้าก็ตรัสสอนเราแล้ว ว่าจงอย่าเพ่งโทษคนอื่นแต่ให้ดูตัวเองเท่านั้น

เราทำอะไร หรือเราบกพร่องตรงไหนล่ะ ดูตัวเองแล้วปรับแก้ไป ไม่ใช่เพ่งโทษคนอื่นหรือโทษฟ้า เพราะนั่นคือสิ่งที่เราแก้ไขไม่ได้

ทุกอย่างในชีวิตเราอยู่ที่เราเลือกและกำหนด ไม่ใช่ฟ้าดิน ไม่ใช่เจ้านาย ไม่ใช่ญาติพี่น้อง ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นตัวเราเอง

ชีวิตลิขิตได้จึงไม่ใช่นิยายแต่เป็นเรื่องจริงค่ะ !!




 

Create Date : 12 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 12 กรกฎาคม 2555 23:03:24 น.
Counter : 941 Pageviews.  

เผื่ออะไรให้ชีวิตบ้างหรือยังคะคุณ...

เพื่อนคนหนึ่งของฉัน กำลังมีความรักครั้งใหม่..
พี่คนหนึ่งของฉัน กำลังมีหัวใจสีชมพู..

อีกมุมหนึ่ง
คนใกล้ตัวบางคน มีปัญหากับข้าวของหลังเลิกรา ว่าจะเอายังไงกับมันดี ของชิ้นใหญ่มูลค่ามาก ที่เคยให้กันเมื่อตอนยังรักกัน
แต่พอเลิกรักกัน เกลียดกันจะเป็นจะตาย
อีกมุมหนึ่ง คนรู้จัก เพิ่งน้ำตาทะลักทะล้นเมื่อได้คุยกัน แล้วบอกเรื่องราวเบื้องหลังชีวิตคู่ที่เหมือนจะสวยงามในสายตาของใครๆ ด้วยความเหลืออด

รัก-เลิก ไม่ต่างอะไรกับสุขทุกข์ในชีวิตคนเรา มีเกิดขึ้นได้ ก็มีดับลงไปได้ เหมือนกันไม่มีผิด

แต่ตอนเราอยู่ในอารมณ์สุข เรามองไม่เห็นว่ามันมีทุกข์ มันมีแต่สุข สุข สุข พอตอนเราทุกข์ เรายิ่งจม มองไม่เห็นความงามของอะไรเลย

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา มีการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยๆ โดยที่่เราไม่รู้ตัวมาเสมอ วานนี้รักมาก วันนี้ไม่รักแล้ว วานนี้ทุกข์มาก วันนี้ไม่ทุกข์แล้ว

แต่เรามักตั้งตัวไม่ทัน เพราะเราไม่ทันตั้งตัวนั่นแหละค่ะ

เรื่องของคนรักกัน เลิกกันแล้วทิ้งข้าวของ หรือแบ่งข้าวของกันไม่ลง ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพิ่งเกิด กลายเป็นความขมขื่น ของบางอย่างยกให้ตอนรักเหลือเกิน วันดีคืนดีอยากจะเอาคืน ลืมคำว่าให้ด้วยเสน่หา
หรือว่าเคยรักกันปานจะกลืนไปเสียสนิท

บางคนก็ตีค่าของที่ให้ ว่ามันต้องเป็นของฉัน เพราะฉันเคยดูแลคุณมา ...

รักเลิก เกลียด ชัง เป็นเรื่องน่าสะท้อนใจทั้งนั้น แต่มองให้ดีๆ มันก็สอนเราได้เหมือนเรื่องอื่นๆในชีวิตนั่นแหละค่ะ ว่าอย่าไปเอาแน่กับมันเลย

เจอดีๆก็เหมือนถูกล็อตเตอรี่ หยิบมาดี อาจโชคดีเพราะมีบุญ
เจอร้ายๆก็เหมือนหยิบผิดใบ ถูกกินไปตามเรื่อง

วานนี้มีคนมีครอบครัว ลูกหนึ่ง สามีหนึ่ง มาร้องไห้ต่อหน้า อ่า.. ที่คิดว่าจะคุยเรื่องวางแผนการเงิน กลายเป็นศาลาคนเศร้าไปเสียสนิท ภายนอกเหมือนชีวิตครอบครัวดีเหลือเกิน แต่ในบ้านมีแต่ความมึนตึง และอยู่ในภาวะปริแตก

เธอคนนั้นน่าสงสารและน่าเห็นใจ ฉันสงสารเธอ เพราะการที่สามีไม่ส่งเสียเลี้ยงดูทั้งเธอและลูกทั้งที่อยู่กันมาสิบห้าปี เป็นความรู้สึกที่แสนจะชอกช้ำ หนำซ้ำยังขอหย่ารายวัน ผู้ชายมีอะไรก็ไม่รู้แอบซ่อนอยู่ แต่ดูยังไงก็คงไปไม่ไหวแล้ว

ฉันบอกให้เธอยึดลูกเป็นดวงใจ ยังไงเธอก็ต้องเดินต่อไป เพื่อลูก เพื่อวันข้างหน้าของเขา

ฉันถามว่าสามีทำอะไรไว้ให้เธอบ้าง เงินฝาก หรือกรมธรรม์คุ้มครองชีวิตที่ยกผลประโยชน์ให้ลูกกับเมีย มีสักฉบับไหม เธอบอกว่าไม่มีอะไรทั้งสิ้นที่เขาจะทำไว้ให้ อนิจจา.. นี่ถ้าเขาเป็นอะไรไป เขาจะมีหนี้สินทิ้งไว้ให้เธอ แต่ไม่มีเงินสักบาทจะอุ้มชูให้เธอกับลูกได้อยู่รอดแม้ไม่มีเขา

คนแบบนี้ ไม่รักใครจริง

เจอแบบนี้ ได้แต่สะท้อนใจเท่านั้นเอง .. ครอบครัวต้องมีหลักใช่ไหม คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง เป็นหลักของครอบครัวเลี้ยงดูลูก และสร้างความมั่นคงให้ครอบครัว แต่นี่ เธอเหมือนหยิบล็อตเตอรี่ผิดใบ

เธอบอกฉันว่าดีนะ ที่ฉันไม่แต่งงาน

ค่ะ ดีที่ไม่มีภาระตรงนั้น แต่รู้ไหมว่า คนตัวคนเดียวก็ใช่ว่าจะสบาย
ถ้าเราไม่วางแผนใช้ชีวิต พอเราแก่ เราไม่มีเงิน เราไม่มีอะไรเลย เราจะกลายเป็นคุณยายในรายการวงเวียนชีวิตให้อนาถใจทันที

ผู้ชายคนนั้นใจร้ายกับลูกเมียเป็นบ้าเลย แต่คนจำนวนไม่น้อยก็เป็นแบบนี้แหละ เพราะไม่เคยคิดถึงอนาคต ว่าจะอยู่อย่างไร จะเป็นอย่างไร คิดแค่วันนี้ก็ยังไม่เป็นไรหรอกค่ะถ้าคิดแบบไม่ประมาท หรือคิดแบบคนฉลาดเขาคิดกันว่ามันต้องเผื่อ

เผื่อค่ะ เผื่อสำหรับทุกอย่าง

เผื่ออะไรให้ชีวิตบ้างหรือยังคะคุณ...
เผื่อเถอะค่ะ เผื่อใจ.. เผื่อทุกอย่างที่เอาไว้ใช้ในวันข้างหน้าด้วย
เผื่อไว้ วันหนึ่งจะได้ไม่รันทดเหมือนน้องผู้หญิงที่ฉันเล่าข้างต้น
เผื่อมันทุกอย่าง เพราะเหลือดีกว่าขาด

รู้แล้วหนอ...




 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 18 พฤษภาคม 2555 19:20:52 น.
Counter : 617 Pageviews.  

นิสัยใหม่ ตัวตนใหม่ ...

เมื่อวาน ขณะขับรถไปธนาคาร..
สมุดบัญชีกองทุน สมุดบัญชีนั่นนี่ หลายเล่ม ถูกเตรียมไว้เพื่อไป update
การเปลี่ยนชีวิตทำให้ต้องวางแผนและคิดเผื่อ ใส่ใจเรื่องที่ต้องดูแลรับผิดชอบด้วยตัวเอง

จากคนที่เคยผิดพลาดเรื่องเงิน ไม่เคยสนใจเงินในบัญชี ใช้จ่ายไม่ดูความเหมาะสม เก็บเงินไม่ได้เลย ฉันพลิกมุมคิดกลับมาชนะตัวเอง เรียนรู้จากความผิดพลาด หันมาศึกษาเรื่องการลงทุน อยู่อย่างไม่ประมาทต่อชีวิต

มองเรื่องเงิน เรื่องการลงทุน เป็นเรื่องสนุก หาความรู้ เรียนรู้
เกิดนิสัยใหม่ ตัวตนใหม่ที่ทำให้รู้สึกดีกับตัวเองขึ้นมาก

นิสัยใหม่ ตัวตนใหม่ มักจะเกิดขึ้นจากการที่เราได้เรียนรู้ และตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างให้ดีขึ้น ไม่เฉพาะกับเรื่องเงินนะคะ แต่หมายถึงกับทุกเรื่องที่เราตั้งใจจะเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะถ้าการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปในทางบวก

ตอนที่เอาเงินไปลงในกองทุนหุ้น ลังเล ไม่แน่ใจ หุ้นเคยตกลง แอบใจเสีย แต่ก็ได้เรียนรู้ ว่าถ้ามันจะเสีย นั่นคือบทเรียนที่เราได้เรียนรู้ เงินหาย หาเอาใหม่ ของนอกกายถ้าเสียไปจะเป็นไรเล่า อย่าให้ใจเสีย คิดได้อย่างนั้นก็ปล่อยมันไป ขาดทุนก็ตัดใจ ลงใหม่อย่างไม่ประมาท

การจัดการในเรื่องเงินกับเรื่องธรรมะนั้น จะว่าไปก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ห่างไกลกันเลยค่ะ ไม่ใช่เรื่องทางโลกกับทางธรรมจะหาจุดสมดุลไม่ได้เสียเมื่อไหร่ พระธรรมสุดท้ายก่อนที่พระองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพาน คือการสอนให้เราเข้าถึงความไม่ประมาท

คนไม่ประมาทจะมีการวางแผนเสมอ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นถ้าเรามีแผนสำรองให้ชีวิต เราจะสบายใจ แต่กว่าที่เราจะเรียนรู้มันได้ เราอาจจะต้องเจ็บปวดหรือพลาดก่อน ซึ่งนั่นคงเป็นเรื่องธรรมดา

นิสัยใหม่ ตัวตนใหม่ เหมือนการลอกเปลือกข้าวโพดออกจากฝัก เราจะเห็นตัวตนใหม่ของเราที่เดินออกจากความผิดพลาด เป็นคนใหม่ที่สง่างามขึ้นกว่าเดิม นิสัยใหม่ ตัวตนใหม่ในเรื่องการเรียน ทำให้เด็กคนหนึ่งพลิกจากเด็กหลังห้องกลายเป็นเด็กเรียนดี นิสัยใหม่ ตัวตนใหม่ พลิกจากคนที่เคยร้ายสุดขั้ว กลับมาเป็นคนดีของพ่อแม่ นิสัยใหม่ ตัวตนใหม่ ยังเกิดได้ในคนทุกคน ที่รู้ตัวเอง ชนะใจตนเอง และในทุกเรื่องที่เราต้องการจะเปลี่ยนแปลง

ตัวฉันเองก็มีนิสัยเก่า ตัวตนเก่าที่ไม่ค่อยเข้าท่าเหมือนที่เคยเขียนไว้ในบล็อกก่อนหน้านี้ มันเคยเป็นอดีตที่ฉันรู้ตัวดี แต่มีบทเรียนมากมายที่เกิดขึ้นมากระทบ ทำให้เราต้องพิจารณาตัวเองและทบทวน จนได้รู้ว่าที่แท้ เราก็เป็นที่รวมของนิสัยอันไม่น่ารักต่อผู้อื่น เราทำอะไรให้ใครไม่สบายใจเพราะเรามากมายจริงๆ แล้วพอคิดได้อย่างนี้ก็ทุกข์ซ้ำสอง ทั้งก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องให้ทุกข์ไปแล้ว

เมื่อความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาให้เราพิจารณา นี่คือโอกาสที่เราจะได้ฝึกจิตใจ
เมื่อใครติงให้น้อมรับ เมื่อเจออะไรแรงๆ เรื่องนั้นอาจถูกส่งมาเตือนเรา ให้เราน้อมพิจารณาตัวเองและเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่

มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่ฝีกได้ นี่เป็นวรรคในบทสวดที่แปลจากภาษาบาลีในบทสวดมนต์ที่อาจจะเคยได้ยินบทแปลกันมาบ้าง นั่นแสดงว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงบอกเรามานานแล้ว ว่าตัวเรานั้นประเสริฐเพราะเหตุใด เพราะคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงภายใน และฝึกทุกอย่างได้นั่นเอง

ชีวิตคนเรามีหลายเหลี่ยมหลายมุม หากเราได้พิจารณาดูบ้าง ว่าเราทำผิดพลาดเรื่องอะไร ทบทวนอยู่เสมอในทุกเรื่อง น้อมใจดูข้่อบกพร่องของตัวเองว่ามีหรือไม่ แล้วแก้ไขเสีย นี่ก็คือมนุษย์ที่ฝึกได้ตามที่ควรจะเป็นแล้วค่ะ

ขอให้คนอ่านมีความรู้สึกรัก และตระหนักในตนเอง ว่าตัวเราทุกคนไม้ได้เกิดมาเพื่อจะเป็นอย่างนั้น ผิดหวังซ้ำซาก หรือว่า จะต้องจมอยู่กับความผิดพลาดตลอดชีวิต เพราะเราทุกคนมีศักยภาพในตัวเองที่จะพัฒนาได้ นิสัยใหม่ ตัวตนใหม่เกิดขึ้นได้เสมอ แค่เรายอมรับและยินดีจะเอาชนะตัวตนเก่า
เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งให้ดีกว่าเดิม

ขอให้พบวันที่สุข แจ่มใส อยู่กับทุกความรู้สึกอย่างพอดี ไม่ยินดีจนเกิดเหตุ ไม่ทุกข์โศกจนเกินควร อิ่มอยู่กับลมหายใจของปัจจุบัน ทำตัวเองให้เป็นที่รักของคนรอบข้าง

นิสัยใหม่ ตัวตนใหม่ จะทำให้เรามีชีวิตใหม่ที่อิ่มสุขกว่าเดิม

รู้แล้วหนอ...




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2555 16:34:26 น.
Counter : 578 Pageviews.  

อย่าเพ่งโทษเขา .. จ ง โ ท ษ ตั ว เ อ ง ...

บทเรียนชีวิตบทหนึ่งที่ฉันผ่านมา และได้ย้อนกลับไปมอง ในวันที่ผ่านบทเรียนนั้นมาแล้วด้วยความเข้าใจและต้องขอบคุณ ที่ได้เกิดสิ่งนั้นขึ้นมาในชีวิต

มีน้องคนหนึ่งบอกว่า ชีวิตฉันนี่มันดีนะ .. แต่ถ้าจะต้องให้สะบักสะบอมจึงจะเรียนรู้ได้ สู้เราได้รู้เร็วๆ มันก็น่าจะดีกว่า และจะไม่ดีกว่าหรือถ้าจะไม่ต้องเจ็บปวด เปลืองตัว เปลืองใจ แต่ได้ระวังและทำดีๆเสียตั้งแต่แรก

แต่ในเมื่อเราไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้ ทุกเรื่องนะคะ เรากลับไปแก้อะไรไม่ได้เพราะมันคืออดีต ปัจจุบันเรารู้ว่าเราเคยเป็นอย่างนั้นมาและจะไม่เป็นอย่างนั้นอีก

เรื่องที่ว่านี้ก็คือ การไม่เพ่งโทษคนอื่น ค่ะ แต่ให้น้อมกลับเข้ามาดูที่ใจตัวเอง

ครั้งหนึ่ง กับคนที่อยู่ด้วยกัน มีปัญหาทะเลาะกัน เราหยุดไม่ได้ ยอมไม่เป็น แล้วยังไม่มีสติอีก สิ่งนี้จะเกิดเป็นระเบิดลูกใหญ๋ในเวลาต่อมา ทำให้คนที่อยู่กับเราได้รับผลจากการที่เราเป็นแบบนี้ แล้วในที่สุดก็นำไปสู่การเลิกราโดยที่เราเองก็ไม่เข้าใจ

ความไม่เข้าใจที่เกิดขึ้นเริ่มจาก ความคิดที่ดูแต่คนอื่น ไม่เคยกลับมามองภายในตัวเองเลยว่าเราเป็นอะไร และเราต้องปรับที่ตัวเราเอง
ความคิดที่ว่าก็มีลักษณะแบบนี้ค่ะ

- ทำไมล่ะ คนอยู่ด้วยกันก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้างไม่เห็นแปลก
( คิดเองเออเอง )
- เขาว่ากันว่ายิ่งทะเลาะกันยิ่งรักกันไม่ใช่หรือ ( คิดเองเออเองอีกจากความเข้าใจผิดๆ)
- ต้องพูดกันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้ตอนนี้ ( ไม่มีสติและเริ่มโมโห ไม่รู้จักอดทนอดกลั้น อดทน รอคอย ด้วยความใจเย็น )
- เธอดีนักหรือ ทำไมไม่ฟังกันบ้าง หัดฟังเราบ้างสิ ( เรานั่นแหละไม่ฟัง เพราะมัวแต่โมโห อยากจะให้เขาฟัง อยากอย่างนั้นอยากอย่างนี้ )

เป็นต้น

ต้องยอมรับว่า ในเวลานั้น ฉันเองก็ยังเขลามากนัก ทั้งที่อายุก็ไม่ได้น้อยแล้ว แต่วุฒิภาวะทางอารมณ์ถือว่าด้อยมาก การที่เราไม่สนใจน้อมใจเข้ามามองดูตัวเอง แต่โทษคนอื่นตลอดเวลา ประโยคที่ว่า เธอดีนักหรือ เธอไม่เคยฟังฉัน เธอทำอย่างนั้น เธอเป็นอย่างนี้ คือประโยคที่เป็นเชื้อเพลิงอย่างดีให้เกิดการทะเลาะกันไม่จบไม่สิ้น

ไม่ต่างอะไรกับในองค์กรหรือในบริษัทฯ หรือที่ไหนก็ตามที่ เราแต่ละคนต่างก็ใช้อัตตาตัวตน ตัวกู ( ฉันนี่แหละ ) ใหญ่มาก จนใครก็มาแตะต้องไม่ได้ เมื่อมีสิ่งใดมากระทบเรา และใจเราวิ่งตามอารมณ์ที่มากระทบนั้นไป มันก็พร้อมจะเกิดการกระทบกระทั่ง ทำให้เกิดการทะเลาะ ขัดแย้ง การงานก็ไม่ราบรื่น ฝ่ายนั้นขัดกับฝ่ายนี้ ฝ่ายนี้ขัดกับฝ่ายนั้น ยอมกันไม่เป็น ถามว่าถ้าเป็นอย่างนี้บรรยากาศแบบนี้ส่งเสริมให้เรามีความสุขในการทำงานไหม

ในห้องปฏิบัติกรรมฐาน อาจารย์มีกติกาให้เรากำหนด-งดพูด เพื่อน้อมใจให้เข้ามาดูตนเอง อย่าเอาใจส่งออกนอก การเอาใจส่งออกนอกอาจจะทำให้เราแสดงอะไรที่กระทบกับอัตตาของคนอื่น และแม้แต่ใจเราเองอาจจะไปตัดสินคนอื่น เพ่งโทษคนอื่น แต่ถ้าเราสนใจตัวเอง น้อมใจตัวเองเข้าหาธรรม ดูใจตนเองอยู่เสมอ รู้สึกตัวอยู่เสมอ เราจะยับยั้งและใคร่ครวญสิ่งที่มากระทบผัสสะทั้งหก ( ตา หู จมุก สิ้น กาย ใจ ) ด้วยใจสงบ แค่รู้ว่ามากระทบ กระทบแล้วก็จบไป ไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดอะไรทั้งสิ้นเลย

เมื่อระงับสิ่งที่มากระทบได้ ใจก็สงบ เมื่อสงบ เราก็พบความสุข

ในชีวิตประจำวันเราอาจจะต้องเจอผู้คนมากมายที่มากระทบใจเราในรูปแบบต่างๆ คนเหล่านั้นก็เป็นเหมือนเรา เราเคยผิด เคยพลาด เคยไม่เข้าใจมาก่อน แต่ถ้าวันนี้เราเข้าใจและไม่อยากทุกข์ ก็แค่ไม่มองหาจุดดำบนผ้าขาว ไม่เพ่งโทษคนอื่นเขา ดูตัวเองก่อน เกิดอะไรขึ้นก็ทำความเข้าใจกับตัวเอง ระงับที่ตัวเองก่อน การไม่เพ่งโทษคนอื่นจึงมีประโยชน์อย่างนี้ค่ะ

ในชีวิตคู่ก็เหมือนกันนะคะ ใกล้ตัวที่สุดแล้ว ให้นึกว่าเราและเขาต่างก็มีข้อบกพร่อง ไม่มีใครสมบูรณ์ รักกันต้องให้โอกาสกันด้วยการมองสิ่งดีๆที่อีกคนมี แม้ว่าสิ่งที่อีกคนมีหรือเป็น จะไม่ใช่สิ่งที่เราชอบนัก เราอยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ในความเป็นจริงไม่มีใครจะเป็นได้อย่างใจเรา แม้แต่ตัวเราเองก็ยังเป็นไม่ได้ดั่งใจตัวเองเลย แล้วจะอยากอย่างนั้นอย่างนี้ ( กิเลส ) นักหนาไปทำไม มองเขาอย่างเพื่อนร่วมทุกข์ เราจะให้อภัยเขาได้ และมองตัวเองตามความเป็นจริง ตัวเองบกพร่องตรงไหน ปรับตรงนั้น ยอมรับความไม่สมบูรณ์ของตัวเองเสีย อย่าเพ่งโทษคนอื่นเลย

คิดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ ใจจะเบาและเป็นสุข เราจะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ โดยไม่จำเป็นต้องอารมณ์เสีย

รักษาใจให้ดีอยู่เสมอนะคะ

รู้แล้วหนอ...




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2555 13:11:58 น.
Counter : 722 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  

bewae1001
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




***************
// อย่ารอให้ป่วยก่อนแล้วจึงคิดนะคะ

นวภัทร ( บี )
นักเขียนอิสระ และ ที่ปรึกษาแผนประกันชีวิตและการเงิน
โทรศัพท์มือถือ 089-1459977

ความรู้อื่นๆ :
ผ่านการอบรม basic skilsl in counselling psychology กับอาจารย์พงศ์ปกรณ์ พิชิตฉัตรธนา @ ชมรมจิตวิทยาสมาธิ

ขอฝากเว็บไซต์ของอาจารย์พงศ์ปกรณ์ค่ะ http://www.medihealing.com

EMail ของผู้เขียน : Mybusy2004@yahoo.com
Facebook ของผู้เขียน : Parawee Nasaree

สำนักพิมพ์สะพานจัดพิมพ์นิยายหญิงรักหญิงของฉัน ( ดวงดาวดอกไม้ 2 เล่มจบ และนิยายขนาดสั้น ดอกไม้กับดอกไม้ ( ปกหนังสือด้านบน ) สั่งซื้อได้ที่นี่ค่ะ คลิกเลย!!

จำนวนบล็อก ณ ขณะนี้ 1147 บล็อกค่ะ
เริ่มเขียน 6 กันยายน 2548 บล็อกเก่าๆค้นได้จากกรุ๊ปบล็อกผู้หญิงสีรุ้งปี 53 นะคะ

ยินดีแบ่งปันความรู้และสิ่งที่มีประโยชน์ผ่านข้อเขียนในบล็อกนี้ และหากต้องการนำไปใช้ต่อหรือลงเผยแพร่้ในที่ใดก็ตาม กรุณาแจ้งก่อนนำไปใช้ที่ email ด้านบน ขอบคุณค่ะ





Parawee Nasaree

Create Your Badge

New Comments
Friends' blogs
[Add bewae1001's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.