|
ใจเรา เบาเมื่อไหร่ สุขเมื่อนั้น...
สองสามสัปดาห์ของความเหนื่อยอ่อนและร่างกายล้า..
ขณะนั่งอยู่บนมานั่งสีขาวสะอาดตาหน้าบ้านบางพลี ฉันนึกว่าตัวเองผ่านสมรภูมิรบ เพราะร่างกายที่ล้าแรงและใจที่โหยไห้ แม้บัดนี้จะดีขึ้น..
จากบางพลี ฉันบินด่วนกลับสุราษฏร์เมื่อสองสัปดาห์ก่อนด้วยข่าวที่แม่บอก ว่าย่าจากไปแล้ว ... ฉันลงไปโดยไม่ลืมแวะไปหาหมอก่อน เพราะมีอาการปวดท้องและมีลมในท้องเยอะ เอาอีกแล้ว ลำไส้แปรปรวนอีกแล้ว แต่หมอประจำงดตรวจในช่วงนั้นพอดี ไม่รู้คุณหมอหนีน้ำท่วมหรือเปล่า จึงต้องไปหาคุณหมอที่ รพ.อื่นแทน
ขณะที่เรื่องน้ำยังไม่ทันจะซา แต่ฉันรอให้น้ำมาถึงหน้าบ้านแล้วจัดการกับน้ำไม่ได้ ต้องทิ้งบ้านและเหมียว บินลงไปลำพัง หกเจ็ดวันที่นั่น เหนื่อยเหมือนจะขาดใจ
ฉันคิดว่าตัวเองเข้มแข็ง ไม่ร้องไห้ แต่กลับกลายเป็นว่าน้ำตาร่วงได้ทันที ที่ไปถึงวัด
หลายวันที่นาฬิกาชีวิตเดินเร็ว... ฉันไม่มีเวลาสนใจน้ำท่วมที่กรุงเทพฯเลย แม้มันจะเป็นเรื่องที่ดูเหมือนใครต่อใครจะพากันตระหนกตกตื่น แต่ในเวลานั้นเรื่องอื่นสำคัญกับเรามากกว่า
เมื่อยุ่งอยู่กับภารกิจที่ต้องทำ อาการปวดท้องก็ค่อยๆหายไป ( ลำไส้ช่างดัดจริตค่ะ ฮา ) ทบทวนจากสิ่งที่หมอห้ามก็ไม่น่าจะเกินจริงว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะตามใจปาก ประมาณว่าเมื่อไม่ป่วยก็ไม่สำนึก พฤติกรรมการกินเป็นตัวกำหนดให้เราป่วยได้ บางทีมันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นวันนี้ พรุ่งนี้ แต่มันจะสะสมไปในอนาคต ทำวันนี้เห็นผลวันหน้า
แม้ผลการตรวจเลือดในปีนี้เหมือนจะดี ตัวเลขทุกตัวอยู่ในเกณฑ์หมด แต่ ต้องไม่ลืมว่าเราชอบกินอะไรผิดๆและไม่ดีเช่น ชาเนสที เช้าแก้ว กลางวันแก้ว และในนั้นมีทั้งนมสด ครีมเทียม น้ำตาล ในปริมาณสูง กินมากนอกจากอ้วนเห็นๆ มันจะส่งผลระยะยาวต่อข้างในของเรา ของทอดและของปิ้งย่างต่างๆนานาด้วย พึงงดซะค่ะ ถ้างดไม่ได้ ขอจงเปลี่ยนพฤติกรรมซะ เป็นนานๆกินที
อยากป่วยมั้ย ถามตัวเองแบบนี้ดีกว่า
ตอนที่อยู่สุราษฎร์ฯ กินอิ่มแต่นอนไม่ค่อยหลับ ทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่พอ ผลก็ตามมาอีกค่ะ นั่นคือเมื่อผ่านไปหกเจ็ดวันและกลับมาบางพลี ก็เป็นไข้ทันที แทบลากสังขารไปทำงานไม่ไหว กลับมาวันแรกสลบเหมือด รุ่งเช้าเป็นไข้
สี่ห้าวันที่ผ่านมา ฉันอยู่กับอาการไข้ ไอ ระคายคอและมีน้ำมูก และดื้อไม่ไปหาหมอเพราะไม่อยากกินยามากๆ จนที่สุดก็ทนไม่ได้แล้ว เพราะไอจนเหนื่อย กลับกลายเป็นต้องไปหาหมออยู่ดี แล้วก็ได้ยามากินจนได้
ขำไม่ออกเพราะในเวลาไล่ๆกัน เดี๋ยวเป็นนั่น เดี๋ยวเป็นนี่
แต่ทบทวนแล้วก็เป็นเพราะเราทำตัวเองทั้งนั้นไม่เห็นแปลก แบบนี้เรียกว่าไม่รักตัวเอง เพราะเบียดเบียนตัวเองให้ต้องป่วย ดูซิ.. กินอะไรลงไป หรือ มีพฤติกรรมอะไรที่ทำให้ร่างกายต้องเจ็บป่วยกันบ้างเล่า
ตอนที่อยู่ในวัด.. เห็นสิ่งที่เป้นเรื่องธรรมดาสามัญของโลกใบนี้ แล้วคุยกับแม่ แม่บอกว่า ฉันนี่นะ.. ชอบเก็บนั่นเก็บนี่มาคิด คิดจนตัวเองทุกข์ใจและเจ็บป่วย ทำไมไม่ว่างให้ลงเสียบ้าง
อืมม ใช่ .. ฉันเป็นอย่างที่แม่บอก แล้วก็ป่วยใจจริงๆนั่นแหละ แล้วหนักไหม หนักจะตาย แทนที่จะเอาเวลานั้นมาทำให้ตัวสุข กลับไปเบียดเบียนใจให้ตัวเองทุกข์ เราจำเป็นต้องทุกข์นักหรือ ธรรมชาติของชีวิตเป็นเช่นนี้นะ พบสุขได้ ก็มีทุกข์ได้ ปลงให้ได้เสียบ้าง
กลับมาจากบ้านคราวนี้ ฉันรู้สึกว่าตัวเองตัวเบา ใจเบาไปเยอะ เพราะเหมือนกับว่า เมื่อได้เห็นและได้คิด จึงได้รู้ ว่าเรากำลังแบกอะไรอยู่ ไม่เอาล่ะ ไม่คิดแล้ว เหนื่อยจัง เหนื่อยใจ จะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ใครทำอะไรกับเราไว้ก็ตาม ใครทำให้เราเจ็บปวดก็ตาม ใครเบียดเบียนให้เราทุกข์ใจก็ตาม ไม่ต้องไปแบกเขาไว้หรอก
เราควรดูแลใจเราให้เบาและสบาย ยิ้มไว้ ยิ้มกับทุกเรื่องให้ได้ สุขใจก็สุขไป ทุกข์ใจก็ร้องไห้แล้วปล่อย อย่าเก็บ คนที่่ทำกับเราไว้ เขาก็ต้องมีกรรมของเขา เราไม่ต้องทำอะไรเลย เราต้องดูแลใจเราต่างหาก ไม่ต้องไปดูว่าเขาจะสุขล้นฟ้าขนาดไหน ชีวิตคนเราไม่ได้มีแค่ฤดูเดียว
ทุกครั้งที่เดินเก็บใบไม้ที่ร่วงหล่นรองบนพื้นดินรอบบ้าน ฉันก็รู้ว่าชีวิตคนเราคล้่ายใบไม้ร่วง ถึงเวลามันก็หลุดล่อนและร่วงลง ชีวิตที่เบาสบายต่างหากที่ทำให้เราสุขใจได้ ไม่ใช่อะไรเลย ไม่ใช่การมีมาก ไม่ใช่การเก็บสะสม ไม่ใช่การทำร้ายผู้อื่น ไม่ใช่ใดๆทั้งสิ้น
ฉันได้รู้แล้ว...
Create Date : 19 พฤศจิกายน 2554 |
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2554 17:56:57 น. |
|
0 comments
|
Counter : 562 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|