เราจะพบกันเท่าที่เวลามี...
ฉันเพิ่งกลับจากบ้านที่ใต้เมื่อคืนนี้ด้วยเครื่องนกแอร์ลงที่ดอนเมือง เมื่อกลับมาถึงบ้านชานกรุง แน่นอนว่าต้องสะบักสะบอม เพราะมันคนละมุมเมืองเลยระหว่างบางพลี สมุทรปราการกับเขตดอนเมืองในกรุงเทพ เหตุนี้ทำให้สลบเหมือดจนถึงเช้า
ความเหนื่อยอ่อนจากการทำงานตลอดวันที่นั่นและก่อนหน้านั้นหลายชั่วโมงในช่วงกลางคืนเพื่อเตรียมงาน แถมเจอแดดแรงทั้งวันอีก ไม่น่าแปลกใจเลยค่ะว่าทำไมจนบัดนี้ยังรู้สึกกะปลกกะเปลี้ยไม่หาย
ช่วงปีนี้เป็นปีที่ฉันเดินทางเพราะงานบ่อยมาก ไปแล้วไปอีก เดี๋ยวไปเดี๋ยวมา เก็บกระเป็าเดินทางชนิดเดือนเว้นเดือน แต่ทริปที่ดีที่สุดสำหรับการไปทำงานในกิจกรรมนี้คือทริปสุดท้ายที่ฉันได้กลับบ้าน
คนอื่นเขามาทำงานอย่างเดียว แต่ฉันได้กลับบ้านด้วย ช่วงเวลาสามวันที่นั่นเป็นช่วงสั้นๆที่ได้นั่งคุยกับย่า จับมือย่า แม้จะด้วยหัวใจที่สลดหดหู่ เพราะรู้ว่าเวลาของเขาเหลืออีกไม่นานแล้ว แต่ย่ายังพูดได้ ความจำดี แม้จะเดินไม่ได้มานาน ต้องนอนอยู่บนเตียงอย่างนั้น
ดูเหมือนในใจของย่าจะยังห่วงใยหลานเต็มเปี่ยมเหมือนที่เคยห่วง เมื่อรู้ว่าฉันจะต้องเดินทางแล้วเมื่อคืน แกยังบอกว่าไม่ให้กลับ มืดแล้วอย่ากลับ ค่อยกลับพรุ่งนี้ ( ซึ่งก็คือวันนี้ ) หลานน้ำตาซึม เพราะรู้ว่าในความร่วงโรยของร่างกาย แต่ใจของย่ายังเหมือนเดิมทุกอย่าง เป็นใจที่แข็งแรงสวนทางกับร่างกายที่กำลังจะปลิดปลิว
ย่าเลี้ยงฉันมา แม้จะน้อยกว่าหลานคนอื่นเพราะฉันเป็นเด็กขี้โรคและงอแง
ช่วงเวลายี่สิบปีที่ฉันจากบ้านมาและอยู่เรียนหนังสือจนทำงานที่กรุงเทพ เวลาพาให้เราเจอกันน้อยลง แต่ฉันไม่เคยลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ย่าและปู่คอยพร่ำสอนและให้แก่หลานอย่างฉัน
ย่าในวัย 90 คงไม่อาจฝืนธรรมชาติได้เหมือนกัน เมื่อร่างกายเขาเข้าสู้ภาวะร่วงโรยและถดถอย เราคงได้พบกันเท่าที่เวลาจะมี สำหรับชีวิตที่เกิดมาและได้ใช้ ฉันรู้ว่ามันคุ้มที่สุดแล้วสำหรับย่า
เรื่องเล่าถึงย่ามีเยอะมาก ให้เล่าอีกสักกี่หน้าก็ไม่อาจบรรยายความรู้สึกที่มีได้ ครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่มีถึงสามรุ่น และยังมีรุ่นเหลนอีก แต่รุ่นหลานอย่างฉันที่ย่าเลี้ยงมากับมือ เราใกล้ชิดกันมากกว่า ย่าชอบพาฉันกับน้องไปวัดทุกวันพระ เราได้ใกล้วัดก็เพราะย่า
ระยะหลังที่ย่าไม่สบายและเริ่มที่จะต้องนอนบนเตียงเพราะเดินไม่ได้แล้วด้วยไม่มีเรี่ยงแรงพอ ฉันยังได้ยินย่าเปรยเรื่องอยากไปเที่ยวที่นั่นที่นี่เหมือนที่เคยทำได้ เพราะย่ายังหวังว่าจะเดินได้เหมือนปกติ และได้กินอะไรอย่างที่อยากกิน
แต่ในเมื่อเวลานี้ ย่าทำได้แค่นอนบนเตียงและนอนมองเรา เมื่อเรานั่งอยู่ข้างๆ และจับมือเขา แววตาของย่าที่มองหลานยังเป็นแววตาของคุณย่าคนเดิมไม่เคยเปลี่ยน เพียงแต่ความชราได้ปรากฏฉายชัดให้เห็นมากขึ้นผ่านทางร่างกายที่บอบช้ำและอ่อนล้า
มองดูย่าแล้วฉันรู้ ว่านาฬิกาชีวิตของคนเราเดินเรื่อยไปโดยวันหนึ่งลานก็ต้องหมด บางทีเมื่อถึงเวลานั้น เราอาจมีเรื่องให้เสียดาย แต่ก็คงทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว
ฉันภาวนา เพียงแค่ขอให้ย่าไม่เจ็บปวดกับโรคที่รุมเร้า ขอให้บุญของย่าที่ทำมาทั้งชีวิต ช่วยให้ย่าได้เป็นสุขในวาระสุดท้าย
ฉันรู้ว่านี่คือเรื่องเศร้า แต่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือบททดสอบและเครื่องเตือนใจ ว่าเรามีเวลาในการอยู่หายใจบนโลกนี้อย่างจำกัด แล้ววันหนึ่งเราก็ต้องคืนร่างกายกลับสู่ธรรมชาติ
เราจะพบกันเท่าที่เวลาจะมี...
เพื่อสุดท้าย เราจะจากกันนิรันดร....
Create Date : 31 สิงหาคม 2554 | | |
Last Update : 31 สิงหาคม 2554 22:36:40 น. |
Counter : 557 Pageviews. |
| |
|
|
|