ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่า ผมขอให้คำนิยาม ซอมบี้ ไม่ใช่แค่ผีดิบ แต่ เหมารวมไปถึง การติดเชื้อแล้วกลายเป็น แฮ่โฮกคว้ากกก ไล่กัดกินคนอื่นต่อๆไป

ในอดีต จอร์จ เอ โรเมโร เป็นเจ้าพ่อหนังซอมบี้ที่ผลิตซอมบี้รุ่นเรือเกลือ ขยับตัวยึกยักเชื่องช้าไล่กัดกินคน จนคลาสสิค เป็นซอมบี้ที่มีนัยยะส่อเสียดสังคม จนกระทั่งเข้าสู่ยุคมิลเล่นเนี่ยม เราจึงมีโอกาสได้เจอ ซอมบี้รุ่นใหม่ๆที่ติดชิปพิเศษ วิ่งไวปานประดุจรถสปอร์ต

สี่เรื่องต่อไปนี้ คือ ซอมบี้ที่ผมฯรัก




Dawn of the dead ... ผลงานของผู้กำกับที่ดังระเบิดกับ 300 หนังที่เซ็นเซอร์เมืองไทยออกอาการแพ้นมจนเบลอหนังทั้งที่ฉากไม่ได้ยั่วยวน Dawn of the dead เป็นหนังซอมบี้ที่เขารีเมคมาจากงานของ จอร์จ เอ โรเมโร ออกมาได้สมศักดิ์ศรีสมราคา ตื่นตาตั้งแต่หนังตัวอย่าง

ทีมมนุษย์ในหนังเรื่องนี้ดูมีความหวังที่จะรอดมากกว่าเรื่องอื่น เพราะดูมีคนหน่วยก้านดีมีมันสมองอยู่ร่วมกัน ทำให้ช่วงเวลาที่พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดในหนังสนุกอย่างมีลุ้น (ยังจำ ฉากเปิดเรื่องที่นางเอกขับรถกลับมาบ้านจนกระทั่งซอมบี้อาละวาด กับ ฉากจบบนเกาะ กันได้ไหม?)

ตัวหนังนั้นก็ดำเนินเรื่องรวดเร็วฉับไวสไตล์หนังเอ็มทีวี ผู้กำกับผนวก ความโบราณของพล็อตหนังซอมบี้ให้มีความทันสมัย แถมโชคดีที่ยังได้ นักแสดงนำดีๆอย่าง ซาร่า พอลลี่ย์ กับลูกทีมที่ช่วยให้หนังดูหนักแน่นยิ่งขึ้น



28 Days later & 28 weeks later ... ธีมหลักของหนังทั้งสองเรื่องแสดงให้เห็นถึง บางสิ่งที่น่ากลัวและเลวร้ายไม่แพ้ซอมบี้ นั่นก็คือ ด้านมืดที่แฝงอยู่ในจิตใจมนุษย์ โดยเฉพาะ ความเห็นแก่ตัว นั่นทำให้ หนังซอมบี้สองเรื่องนี้ มีผู้ร้ายที่ต่างจากเรื่องอื่นๆ เพราะ มนุษย์นอกจากจะต้องหนีซอมบี้ ยังต้องหาทางหนีเอาตัวรอดจาก มนุษย์ด้วยกัน

ภาคแรกด้วยฝีมือของแดนนี่ บอยล์ ทำให้หนังเด่นในงานด้านภาพ (จำ ลอนดอนร้าง กันได้ไหม?)และการเล่าเรื่องที่มีรูปแบบของตัวเอง ไม่เน้นโชว์ฉากแอคชั่นใหมากมาย ในขณะที่ภาคสอง เหมือนติดสปีดเทอร์โบเพิ่มขึ้น ด้วยความเร่งรัดฉับไวและสาดใส่เลือดแบบไม่บันยะบันยัง จนทำให้ดูเหมือนหนังเกรดบี แต่โชคดีที่ได้ผู้กำกับฝีมือดี จึงทำให้หนังเจ๋งแบบเลือดสาด ที่ติดตามาก คือ ฉากเปิดตัวสิบนาทีแรกที่ทั้งตื่นเต้นและชวนหดหู่สุดๆ กับ ภาพมุมกว้างที่ซอมบี้แห่ไล่โรเบิร์ต คาไลน์ปานประหนึ่งช็อปกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์



Shaun of the dead ... เป็นหนังล้อเลียนหนังตระกูลซอมบี้ที่มีกึ๋นและมีสไตล์ เป็นหนังตลกที่ใส่ใจกับการเขียนบท ดูแล้วขำได้ขำดีโดยเฉพาะแฟนๆที่เคยติดตามหนังซอมบี้กันมาตลอด (ยังจำฉาก หลอกซอมบี้เดินเข้าผับ กันได้ไหม?) ผู้กำกับคนนี้เก่งในการทำหนังแนวนี้เหลือเกิน เพราะผลงานเรื่องล่าสุดอย่าง Hot fuzz หนังล้อเลียนที่เพิ่งออกแผ่นบ้านเรา ก็ล้อเลียนหนังสไตล์คู่หูตำรวจที่ทำออกมาได้ครบเครื่องครบรส การันตีโดย"ผมอยู่ข้างหลังคุณ" ว่า โคตรสนุก



Resident evil ... โชคดีที่ผมเป็นแค่แฟนพันธ์ทางของเกมส์ Bio hazard จากประสบการณ์เคยเล่นแค่ภาคแรกภาคเดียว ดังนั้นเวลาดูหนังจึงไม่ค่อยมีเนื้อหาจากในเกมส์ติดหัวตามมา แปลกที่นั่งดูก็รู้สึกว่า ในแง่คุณภาพ ตัวหนังมีข้อบกพร่องกระจัดกระจายโดยเฉพาะบทภาพยนตร์ แต่กระนั้นก็ไม่ทำให้รู้สึกผิดหวังกับหนังชุดนี้แต่อย่างใด เพราะ หนังทำให้รู้สึกมันส์สะใจอย่างพอเหมาะพอดี ภาคสองเป็นภาคที่ผมไม่ชอบ ในขณะที่ภาค 3 ที่เพิ่งได้ดูไป ความสนุกยกให้เป็นน้องรองจากภาคแรก



เรื่องราวในภาค 3 : อลิซ ที่หน้าเนียนเด้งผิดปกติในบางฉาก เดินทางเพียงลำพังในทะเลทรายเพื่อไม่ให้ บริษัทอัมเบรลล่าที่ชั่วร้ายตามตัวเจอ ซอมบี้แพร่กระจายไปทั่วโลก ผู้คนอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย มีทีมใหญ่ๆทีมหนึ่งนำทีมโดย แคลร์ กำลังเดินทางไปเรื่อยๆเพื่อเอาตัวรอดและช่วยผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่

อัมเบรลล่า พยายามโคลนนิ่ง อลิซ แต่ก็ไม่สามารถสร้างได้เหมือนต้นฉบับ จึงตัดสินใจตามตัวอลิซตัวจริงกลับมา โดยไม่ทันรู้เลยว่า อลิซเวอร์ชั่นนี้อัพเกรดติดพลังจิตเรียบร้อยแล้ว

ความประทับใจที่มีกับภาค 3

1.โอ้ อลิซ ... จุดที่ทำให้หนังมีชีวิตยืนยาวอยู่ถึงทุกวันนี้ต้องซูฮกให้กับเธอ มิลล่า โจโนวิช ที่ดูเหมือนจะพิศวาสบททำนองนี้เอามาก (ดูจากไม่ยอมทิ้ง umbrella แถมเวลาว่างยังไปเล่นหนังที่แสนจะย่ำแย่อย่าง Ultraviolet) หนูมิลล่าสร้างคาแรกเตอร์อลิซจนแกะออกจากกันไม่ออกและยากที่จะหาใครมาทดแทนอีกต่อไป ในภาคที่ 3 นี้ อลิซในเวอร์ชั่นพลังจิต เท่ยิ่งกว่าทุกๆภาคที่ผ่านมา ที่ชอบมากคือ ฉากผิวปากวีดวี๊วแล้วกระโดดลงเชือดซอมบี้ กับ ลีลาฟาดหัวฟาดขามีผ้าพันคอราวกับ มิลล่า จาพนม

2.อีกาพญายม ... ยกให้เป็นตัวร้ายที่น่ากลัวที่สุด เพราะตัวก็เล็ก จับก็ยาก ถ้าไม่มีพลังจิตอลิซ เห็นที ท่าจะไม่รอดกันยกทีม

3.แคลร์ และ น้องเคมาร์ท ... คนแรกสาวสวย ซึ่งดูจะติดใจกับหนังเลือดสาดเพราะเห็นเล่น Final destination ติดๆกันทั้งสองภาค ส่วนหนู เคมาร์ท ป๋าฟันธงว่ามีแววมีอนาคตจากหน้าตาและรัศมีที่เปล่งออร่าความน่ารักออกมา

สิ่งที่ไม่ชอบ

1.ตอนจบ ... จบแบบกั๊กกันเหลือเกิน จะบอกอนาคตของทีมไปอลาสก้าเสียหน่อยก็ไม่บอก จะให้มีฉากสงครามโคลนหน่อยก็ไม่ได้ พอจบแบบนี้ทำให้ยิ่งรู้สึกว่าเนื้อหาของ RE3 สั้นกระจึ๋งเดียว แค่ อลิซจับมือกับแคลร์พาพวกหนีไปอลาสก้า

สรุป ... สี่เรื่องข้างต้นเชียร์ให้หามาดูกันว่าพวกเขาจะเป็น ซอมบี้ที่คุณรักกันด้วยหรือเปล่า ส่วน RE3 ถ้าไม่ยึดติดกับเนื้อหาเดิมในเกมส์มากนัก พร้อมจะมองข้ามบทหนังที่ให้ตัวละครผลุบๆโผล่ๆตายกันง่ายๆ ตัวร้ายกระจอกไปนิด ไม่มีเนื้อเรื่องมากมาย และ คิดจะดูเอาสนุกเอามันส์ ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

ขอฝาก"หนังสือรัก" พ็อกเก็ตบุ้คที่ไม่ใช่ หนังสือวิจารณ์หนัง แต่เป็นการหยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม

ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก >> หน้าสารบัญ

ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง