คนจน ก็ยิ่งจน
สืบเนื่องจากคลิปของคุณคิม เจ้าชองข่องยูทูป Kim Property Live ซึ่งได้พูดถึงระบบการเงิน  ที่ทำให้คนจนยิ่งจนลง
ฟังไปฟังไป  ก็รู้สึกว่า  คนที่จนถึงขั้นหาเช้ากินค่ำ  หรือ หาได้ พอกินไปเดือนชนเดือน  คงไม่มีเวลาจะมาฟังเรื่องพวกนี้  และถึงจะมีโอกาสได้ฟัง  ก็คงจะงงๆกับเนื้อหาที่ถูกหยิบยกมาพูดอยู่ไม่มากก็น้อย  แม้มันจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่รอบตัวก็ตาม
ก็แค่คิดว่า จะหาเงินมาจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าบ้าน ให้พอพ้นไปเดือนๆ ก็หนักหัวแล้ว  ใครจะเอาใจไปคิดถึงเงินสำรองเพื่อความไม่จนในอีก 10 - 20 ปีข้างหน้า
ได้ยินเสียงสัมภาษณ์ตามข่าวอยู่บ่อยๆว่า  จะกินจะใช้ก็ยังไม่พอ หนี้สินพะรุงพะรัง  จะเอาที่ไหนไปเก็บ

ที่ร้านของฉัน มีลูกน้องอยู่คนหนึ่ง  จะเรียกว่าจนก็ไม่ได้  เพราะพ่อเป็นข้าราชการเกษียณอายุ มีบำนาญกินทุกเดือน  ตอนยังทำงาน  ก็เก็บเงิน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ จนไม่มีหนี้สินให้ปวดหัว  ลูกๆก็ทำงานมีรายได้เลี้ยงตัวได้กันทุกคน  แต่....
ลูกน้องคนนี้  ซึ่งปีนี้อายุ 40 ปีแล้ว  ซื้อมอเตอร์ไซค์คนหนึ่ง ราคาราวๆ เจ็ดหมื่นบาท  ยังต้องซื้อด้วยเงินผ่อน  และเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ก็เพิ่งจะถูกฉันบังคับให้ใช้หนี้ กยศ ให้หมด
หนี้ 2 ก้อนนั้น  รวมกันน่าจะใกล้ๆ หนึ่งแสนบ้าท  เยอะจนน่าตกใจ  มันก็ต้องค่อยๆผ่อน  ผิดตรงไหน
แต่ถ้าพิจารณาดีๆ  เขาทำงานมา 18 ปีแล้ว  ถ้าเขาตั้งใจเก็บเงินจริงๆ  ให้ได้หนึ่งแสนบาทในเวลา 18 ปี  เขาเก็บเงินแค่วันละ 15 บาท คูณด้วย 365 วัน คูณด้วย 18 ปี เขา่จะมีเงินเก็บ 98,550 บาท บวกกับดอกเบี้ยธนาคาร  ก็จะกลายเป็นแสนกว่าๆ
คุยกับเขาบ่อยๆ  ก็พอจับได้ว่า  เขาไม่เคยคิดเรื่องอนาคต  ก่อนมาทำงานกับฉัน  เขาได้ค่าแรงน้อยกว่าตอนนี้มาก  แต่ความที่ไม่เคยเดือดร้อนเรืองกินอยู่  เพราะอยู่บ้านพ่อ  ของกินของใช้ พ่อก็เป็นคนซื้อ  น้ำไฟ พ่อก็เป็นคนจาย  เพราะพ่อมีเงินหลวง  ส่วนเขาก็ตัวคนเดียว  ไม่มีภาระต้องเลี้ยงดูใคร  หาเองก็ใช้เอง  นับว่ายังดีที่ก็ใช้แค่พอหมด  ไม่ถึงขั้นติดอะไรๆจนต้องไปกุ้หนี้ยืมสินคนมาจ่าย
แต่ก็ไม่เคยมีเงินเก็บ  และพอถามว่า ถ้าพอ่ไม่อยู่แล้ว  ไม่มีเงินบำนาญของพอ่แล้ว  แล้วตัวเองไม่มีงานทำ  จะเอาเงินที่ไหนมากินมาใช้
คำตอบคือ ความเงียบ
นี่ยังไม่ได้พูดถุึงเลยว่า  เงินที่เก็บไว้มันจะด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ  ต้องหาวิธีบริหารให้เงินมันโตทันกับภาวะเงินเฟ้อ  คนฟังก็เหมือนจะ Stunt ไปแล้ว
แล้วฉันก็แลเห็นอนาคตของเขาอยุ่รำไรว่า แม้จะไม่จนถึงขึ้นลำบาก  แต่จะใช้ชีวิตสบายพอควรอย่างตอนนี้ก็คงไม่ได้
พูดง่ายๆว่า วันข้างหน้า เขาคงจะจนลง นั่นเองแหละ
แล้วเห็นอะไรเหมือนที่ฉันเห็นมั้ย  ฉันว่า เขาเห็นเงินไม่มีค่า ไม่ใช่ของที่ต้องเก็บรักษา เงินก้ไม่เห็นค่าเขา ตีจากเขาไปหมด
น้องคนนี้ เมื่อก่อนติดชาเย็น  กินทุกวัน  วันละ 1 แก้ว  ราคา 25 บาท  ก้ไม่ได้ต้องคิดอะไรมาก  แค่ 25 บาท  เพื่อความสดชื่น
ใครสนใจ  ฉันอยากชวนให้มาลอง เข้าพรรษา  งิดชาเย็น  ถ้าทำได้  ตีเป็นเลขกลมๆ  ก็น่าจะประหยัดค่าชาเย็นไปได้ 100 แก้ว เท่ากับคุณจะมีเงินค่าชาเย็นเหลือ 2500 บาท
และถ้าทำได้ทุกปี  20 ปีข้างหน้า คุณจะมีเงิน 50,000 บาท
ถ้าอยากจับเงินแสน  ก็งดเพิ่มเป็นปีละ 200 แก้ว  เงินแสนก็เป็นเรื่องเอื้อมถึงได้ ไม่ใช่แค่ฝัน
สุดแท้แต่ว่า ใครจะประคับประคอง "ใจ" ตัวเอง ให้รอดพ้นจากกิเลสได้ขนาดไหน

ฉันคงไม่พูดเรื่องเศรษฐกิจมหภาค  เรื่องโอกาสในการหารายได้ที่ไม่มีทางเท่าเทียมกัน    แต่ฉันเชื่อมาตลอดว่า โอกาสในการเก็บออมเงิน ทุกคนมีเท่ากัน
ตั้งแต่ยังไม่รู้จักระบบเศรษฐกิจ  วิชาเศรษฐศาสตร์ การเงิน การธนาคาร คนไทยแต่โบราณ  ก็มีถ้อยคำในทำนองการวางแผนทางการเงิน เช่น  เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน  เก็บหอมรอมริบ  อันมีความหมายคล้ายๆกัน คือ  ค่อยๆเก็บ สะสมไปทีละเล็กละน้อย  ในที่สุด วันหนึ่งก็จะมีมาก
และอีกคำที่ฉันชอบ คือ  อดออม
ความมมายตรงตัว คือ ยอมอดก่อน  แล้วก็จะมีออม
อด ในที่นี้ของคนโบราณ  คงจะหมายถึง อดเปรี้ยวไว้กินหวาน  ไม่ใช่ แบบ อดข้าวหัวโต
และแม้เงินออมนั้น  จะไม่ทำให้กลายเป็นคนรวยขึ้นมาได้  แต่อย่างน้อย  ก็ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยได้ระดับหนึ่งว่า  วันไหนที่ไม่มีรายได้  ก็ยังมีเงินออมพอให้ใช้ประคับประคองชีวิตไปได้

ฉันว่า ตอนฉันยังเด็กๆอยู่  แม่คงจะกลัวจนเอามากๆ  จำได้ว่า แม่ทำอะไรแปลกๆที่ตอนนั้นฉันก็ไม่เข้าใจ  เช่น ซื้อเศษเนื้อที่เขาเฉือนออกจากเนื้อชิ้นใหญ่ เวลาที่ตัดไปชั่งแล้วเกินน้ำหนักที่ลูกค้าต้องการ  เนื้อเศษๆอย่างนั้น  ไม่สวยและมีเนื้อจากหลายส่วนปนกัน จึงขายเหมามาในคาคาถูกกว่าปกติ  แล้วแม่ก็เอามาเลือก  ชิ้นไหนสวยๆ ก็เอาไว้ทำกินเอง  ที่เหลือก็ยกให้หมาไป  หรือ เวลาไปกินก๋วยเตี๋ยวตามร้าน  ไปกัน 4 คน  แม่สั่งน้ำแข็งเปล่า 2 แก้ว พ่อมกินแก้วหนึ่ง  ลูก 2 คน กินอีกแก้วหนึ่ง  มื้อนั้น ประหยัดไปได้ 2 บาท
นี่คือการกินก๋วยเตี็ยวในฐานะที่ฉันเป็นลูกสาวของผู้จัดการคลังน้ำมัน ซึ่งทำงานให้กับบริษัทน้ำมันข้ามชาติ
ฉันเคยได้ยินบ่อยๆว่า คนจนเล่นหวย  คนรวยเล่นหุ้น  ฟังเผินๆก็เหมือนเป็นการเสี่ยงโชคทั้งคู่ ผิดกันแต่ว่า  หวยใช้เงินซื้อน้อยกว่าหุ้น  หุ้นจึงเป็นที่หาเงินของคนรวย  หวยเป็นความหวังของคนจน
แต่ถ้าทำความรู้จักกับหวยและหุ้นเป็นอย่างดีแล้ว  จะเห็นข้อแตกต่างอย่างชัดเจนอีกอย่างหนึ่งว่า  หวยเป็นเรื่องของโชคชะตาล้วนๆ  ไม่ได้อยู่บนตรรกะใดๆทั่งสิ้น  เงินที่ลงทุนซ์้อหวยไป  ก็มักจะเสียจนเหลือมูลค่า 0 บาท  มากกว่าที่จะได้ผลตอบแทนกลับมา
แต่ หุ้น นั้น  หากศึกษาอย่างจริงจัง  จะพบว่า  มีบริษัททั้งเล็กใหญ่ ที่มีผลประกอบการที่ดี  พูดง่ายๆคือ ขายของได้กำไร ทุกๆปี  ได้กำไรมาก็เอามาแบ่งสรรปันส่วนให้กับผู้ถือหุ้น  ซึ่งเท่ากับว่า  หากเลือกลงทุนในหุ้นของบรัษัทเหล่านี้  เราก็ได้เงินตอบแทนกลับมาในจำนวนหนึ่ง  แม้ว่า ราคาหุ้นที่เราถืออยู่อาจจะลดลงไปจากราคาที่เราซื้อ  แต่บริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์  มีน้อยนักที่บริหารงานล้มเหลวจนต้องเลิกกิจการ  ซึ่งนั้นเป็นทางเดียว ที่มูลค่าหุ้นของเราจะเหลือ 0 บาท  ถ้าบริษัทไม่เจ๊ง  ยังไงหุ้นที่เราถือก็ยังมีมูลค่าอยู่  ไม่เหมือนโพยหวย  พอผ่านมาวันที่ 1 และ 16 ไป เงินจำนวนที่เอาไปซื้อหวย แล้วไม่ถูก  มันหายไปหมดทั้ง 100 เปอร์เซนต์
ซึ่งจากวิถีการลงทุนแบบนี้  คนรวยก็ยิ่งรวย  คนจนก็ยิ่งจน  เป็นอย่างนี้ วันยังค่ำ

ว่ากันว่า สิ่งที่ช่วยให้คนจนลืมตาอ้าปาก ถีบตัวเองให้หลุดพ้นจากเส้นความยากจนได้ คือ ความรู้
แต่ความจนก็เป็นอุปสรรคอีก  เพราะไม่มีเงินพอจะไปซื้อหาความรู้
ถ้าเป็นเมื่อสักยี่สิบปีที่แล้ว  ก็เห็ฯด้วยหรอกว่า  ยากจริงๆ  เพราะความรู้ มันก็อยู่เป็นที่ๆ  อยากได้ก็ต้องเดินทางไปหา  แม้ว่า ผู้ประสาทวิชา จะเต็มใจสอนให้ฟรีๆก็ตาม
หากในเวลานี้ที่เทคโนโลยีกาวไกล  ความรู้มากมาย  ลอยอยู่ในอากาศ  รอให้เราไปเรียนรู้ได้แบบฟรีๆ  เลือกรับได้ในทุกที่ที่คุณสะดวก  ไม่ต้องเดินทางให้เสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายส
อยู่ที่ว่า  ใฝ่หาหรือเปล่า  อยากหายจนจริงๆมั้ย
หรือต้องการแค่พูดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ  แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างจนๆต่อไป  และอยู่กับความหวังลมๆแล้งๆว่า สักวัน จะมีอะไรสักอย่าง มาทำให้หายจน
สำหรับฉัน  ซึ่งอายุก็ปูนนี้แล้ว  นอกจากในนิยาย ที่เป็นแนว หลานสาวเจ้าคุณปู่  ถูกพาหนีออกมาตกระกำลำบากด้วยเหตุผลนานา  แล้วก็มีญาติมาตาตามหาให้กลับไปรับมาดก  จากยาจกจึงกลายเป็นเสรษฐีได้ในชั่วข้ามคืน
ยังไม่เห็นชีวิตจริงของใครเป็นอย่างนั้นเลย แม้แต่คนเดียว
ทำเอง ดีกว่ามั้ย
อัตตา หิ อัตตโน นาโถ  ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
พระท่านสอนไว้



Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2564
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2564 21:07:07 น.
Counter : 474 Pageviews.

0 comments
คุย โอพีย์
(13 เม.ย. 2567 21:51:16 น.)
สุขสันต์วันปีใหม่ไทย ๒๕๖๗ haiku
(13 เม.ย. 2567 10:13:33 น.)
ระยองฮิสั้น จันทราน็อคเทิร์น
(12 เม.ย. 2567 15:33:48 น.)
หาอะไรดับร้อนกับน้องถั่วแดงที่ร้านเย็น เย็น หวานเย็น สาขาMRTท่าพระ นายแว่นขยันเที่ยว
(12 เม.ย. 2567 00:32:31 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Wallaya.BlogGang.com

วัลยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]

บทความทั้งหมด