ความภูมิใจในตัวเรา - แขวนไว้ที่ใคร ใครแขวนไว้ที่เรา
นักจิตวิทยาว่าไว้ว่า  ความภูมิใจในตัวเอง ทำให้เกิดความพึงพอใจในตนเอง
ซ่งถ้าใครรู้สึกว่า ตัวเองไม่มีเลย  หรือ มีน้อยมากๆ  อย่างที่ศัพท์อย่างเป็นทางการ เรียกว่า Low Self-Esteem  แปลเป็นไทยแบบตรงตัวว่า ความพึงพอใจในตัวเองต่ำ
นันี่กจิตวิทยาเขาบอกว่า คุณกำลังเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้าได้เลยทีเดียว
นี่ดูจะเป็นเหตุแป่งความทุกข์ขนาดใหญ่ในชีวิตได้เลย  ทั้งที่ฟังแล้วก็แปลกๆ
คนเราเกิดมา  ก็รักตัวเอง  เข้าข้างตัวเอง  จนบางคนถึงขั้นเห็นแก่ตัวเองเป็นพื้นฐานกันอยุ่แล้ว  ทำไมถึงได้ไม่ภูมิใจ  ไม่พอใจ ในตนเอง
ฉันไม่ใช่นักจิตวิทยา  ที่เคยเรียนมาก้ผิวเผินมาก  ทำได้ก็แค่ประมวลเอาจากประสบการณ์ตัวเอง  มาเล่าสู่กันฟัง

ว่ากันว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกพึงพอใจในตนเองต่ำ  เป็นเพราะมีความคาดหวังต่อตัวเองสูงมากเกินความเป็นจริง
อ่านแล้วตีความตามความเข้้าใจของตัวเอง  คนที่มีชุดความคิดแบบนี้  ก็คงจะหาจุดดีที่พอใจของตัวเองได้ยาก  เพราะเหมือนจะ ดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ
คล้ายๆเด็กที่เรียนเก่งที่สุดในห้องแล้ว  พ่อแม่ก็ดันให้ไปเก่งที่สุดในโรงเรียน  แล้วก็ไปเก่งที่สุดในจังหวัด  ถ้ายังไหวก็ดันกันไปให้เก่งที่สุดในประเทศ  เขาจะเหนื่อยกันมั้ยก็ไม่รู้  ส่วนฉันคนดูเฉยๆ  บอกเลยว่า  ถ้าต้องทำเอง  คงเหนื่อยมาก
ถ้าเป็นเรื่องที่ชอบ  แม้จะเหนือยอย่างไร  ก็คงจะภูมิใจและมีความสุขมากอยู่  แต่ถ้าไม่ใช่  ชีวิตก็คงจะแสนสาหัสอยู่ไม่เบา
เพราะไม่ว่าจะเป็นคนคาดหวัง หรือถูกคาดหวัง  เมื่อไม่ได้ดังหวัง  ย่อมต้งเจ็บปวดเสียใจ  ที่ไม่ได้ "ผล" อย่างที่คาด  จนละเลยที่จะใส่ใจมองเห็นคุณค่าในการพยายามที่ผ่านมาทั้งหมด
และนั่นก็อาจะนำมาซึ่งความไม่ชอบตัวเอง  แล้วเลยพาลไปิจฉาคนอื่นที่ดูเขาจะมึความสุขกบชีวิตได้ง่ายและดีกว่าเรา

เชื่อมั้ย  ฉันเคยนั่งนับเวลาถอยหลังให้ถึงเวลาเลิกงานทุกวันๆ  เพราะฉันรู้สึกว่า  ฉันไม่ขอบงานที่ทำอยู่เลย  ทั้งที่ฉันก็ว่า  ฉันทำสุดความสามารถแล้ว  ก็ยังได้แค่นี้  ทำไมเจ้านายเขาไม่เห็นดีอย่างที่เราเห็น  ตอนนั้น  ฉันอิจฉาคนเขาไปเทั่ว  ไม่เว้นแม้แต่แม่บ้านสำนักงาน  ทีี่ไม่ต้องวางแผนงาน  ไม่ต้องแก้ปัญหาแปลกๆบ่อยๆ  ไม่ต้องงงกับงานที่ถูกสั่งให้ทำ  ทั้งที่ทำไม่เป็นและไม่มีคนสอน  ถ้าไม่ติดว่า  แม่จะเครียดเรื่องฐานะทางการเงินของฉัน  เวลาน้น  ฉันอาจจะขอย้ายตำแหน่งไปล้างส้วมแทนเสียแล้วก็ได้ ^^
แต่ไม่ได้ทำหรอกนะ  เพราะความภูมิใจชองแม่  ที่แขวนไว้ที่ฉัน  คือการที่ฉันมีงานดีๆ  เงินเดือนพอสมควร  ให้แม่พอคุยอวดใครได้ว่า  อย่างน้อยก็ไม่ได้ตกงาน  เกาะพ่อแม่กินไปวันๆ
และไนเมื่อฉันเองก็ไม่ได้เก่งกาจขนาดจะหางานใหม่ได้ง่ายๆตามใจชอบ  ก้จึงทำได้แค่  ทำใจ  ยอมรับความจริง  และปรับตัวเองให้เข้ากับงานให้ได้
ที่สุดผลประเมินการทำงานของฉัน  ก็ออกมาเป็น เกรด  A  จนได้ในวันหนึ่ง
แล้วฉันปรับยังไงนะหรือ  ไม่ยาก  ไม่มากหรอก  ก็แค่  รับ ว่าเป็นงานที่ต้องทำ  รู้  ว่าต้องหาทางทำมันให้ได้ด้วยตัวเอง  โฟกัสไม่ได้อยู่ที่  ทำไมมาสั่งงานยากๆแบบนี้  แต่อยู่  อยากได้เงินเดือนเพิ่ม ค่าแรงแพง  ทำงานได้เท่าเดิม  ไม่มีใครให้  อยากได้จากเขาเพิ่ม  เราต้องทำให้เขาเพิ่ม
ก็เท่านั้นเอง

แต่หลายคนคงไม่ได้โชคดีเหมือนฉีน  ที่มีเพียงเรื่องเดียวที่พ่อแม่เอาความภูมิใจของเขามาแขวนไว้ที่ฉัน  คนอื่นๆหลายคนที่ฉันเจอ  โดนพ่อแม่แขวนไว้หลายเรื่อง  ก็พอเข้าใจได้หรอกว่าคนเป็นพ่อแม่  เขาก็อยากให้ลูกได้ดี  เป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่  เรื่องคงไม่แย่  ถ้าไม่เอาแต่เอาตัวเองไปเรียบเทียบกับคนอื่น  แล้วเก็บมารู้สึกเองว่า  ลูกเราไม่เท่าลูกเพื่อน
ฉันเองก็เคยโดนอยู่หรอก  แต่อาศัยว่า ฟันธงตัวเองไปแล้วว่า เป็นคนหัวไม่ดี  อ่านหนังสือเรียนก็ไม่เห็นสนุก  จึงยืนยันจะสนุกสนานอยู่ในโลกนิยาย นิทานของฉันต่อไป  เรื่องเรียนก็เอาพอรอดไป  ไม่คิดเยอะ  พ่อแม่คิดอะไรอยุ่ก้ไม่รู้  แต่ก็ดูจะราข้อ  ยอมรับไปเองว่า  ยัีงไงก็คงจะให้เรียนเก่งๆ เหมือนลูกคนข้างบ้านก็คงจะไม่มีวันแสียแล้ว
ซึ่งเรื่องนี้ นับว่าเป็นโชคดี  เพราะนักจิตวิทยา บอกว่า  การถูกเปรียบเทียบบ่อยๆตั้งแต่เด็กๆ จะทำให้เกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง  ไม่แน่ใจว่า ที่ทำไปดีพอหรือยัง  แล้วก็จะเลยเถิดไปเป็นความไม่พอใจตัวเงอ จนถึงขึ้นเป็นโรคซึมเศร้าไปได้
แต่...จะเอาแต่โทษเขา  ก็ไม่แฟร์นะ  ใจเขาก็ใจเขา  ใจเราก็ใจเรา
คนอื่นบนโลกนี้มีเป็น พันพันล้าน  เรา มีคนเดียว  เพราะฉะนั้น  แก้ที่เรา  ง่ายกว่าแก้ทีี่ใคร

ความคาดหวังอีกทางหนึ่งที่มากกว่าความเป็นจริง  คือการคิดหวังความชื่นชมจากคนอื่นๆ
พูดงายๆว่า ถ้าทำอะไรแลว  ไม่มีใครชม  ก็ไม่อยากทำ  เพราะฉะนั้น  พอทำอะไรได้  ก็จะพยายามอวดให้คนเห็น  และรอให้มีคนมาแสดงความชืนชม  ใจฟู  ใจแฟบ  วูบวาบไปตามระดับการได้รับคำชม
ซ่งสำหรับฉัน  ความเหวี่ยงในระดับนั้น  ไม่ใช่เรื่องที่ชอบ  และ ที่สำคัญ อายุเข้าวัยกลางคนเข้าแล้วนี่  ไม่ค่อยแน่ใจนักว่า คำชมนั้น มีสิ่งใดแอบแฝงหรือไม่  เอาแค่ว่า เขาชมจริง  หรือแค่พูดไปตามมารยาท  ก็ยังเดาไม่ถูก  ก็เลยไม่ได้ให้ค่านัก  มี่คนชมก็รับไว้  ไม่มีคนชม  จิตก็ไม่ได้ตกอะไร
ชอบให้อารมณ์ตัวเองนิ่งๆ  ไม่ขึ้นๆลงๆ เหมือนรถไฟเหาะ
ฉันไม่รู้ว่า  เขาชอบตัวเองมั้ย  แต่ฉนเห็นทีไรก็ได้แต่นึกสงสาร   เขาคนนี้  แม้แต่เรื่องเล๋็กน้อยอย่างเช่นการได้รับสิทธิ์คนละครึ่ง  เขาก็เอามาคุยอวดคนแทบทุกคนที่เขาเจอในวันที่ทำสำเร็จ  อวดให้ดูตั้งแต่ กดลงทะเบียนกี่โมง ได้ OTP กี่โมง  ได้ SMS เวลาเ่ท่าไหร่  ถ้าคนฟัง  ตืนเต้นไปกับเขา  เขาจะหัวเราเสียงดังสั่นด้วยความพอใจ  แต่ถ้าใครทำท่าเฉยๆ  เขาจะสดเสียง เก็บโทรศัพท์  แล้วก็ถอยออกจากวงสนทนา
ชัดเจนว่า ปริมาณความพอใจในตัวเองของเขา  ขึ้นอยู่กับระดับความชื่นชมในตัวเขาที่มาจากคนอื่นๆ  อดสงสัยไม่ได้ว่า  ถ้าไม่มีใครชมไปนานๆเข้า  ระดับความพอใจในตัวเองของเขาจะลดถึงขั้นติดลบเลยหรือเปล่า
เดาเอาว่า คงมีคนที่เป็นแบบนี้  แบบที่ระดับถอยไปถึงต่ำกว่าศูนย์  เขาจึงได้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย

แม่ของเขาที่ฉันเขียนถึงอยู่นี้  มีอาชีพหลักเป็นแม่ค้าขายข้าวแกง  ไม่ได้เป็นข้าวแกงขึ้นห้าง  แต่เป็นข้าวแกงราคาเบา  ที่เราพบเห็นได้ตามริมทางทั่วไป
ฉันเคยเจอแม่แค่ครั้งเดียว  แต่ก็รู้สึกทึ่งในตัวผู้หญิงคนนี้  และยังรู้สึกประทับใจอยู่จนเดี๋ยวนี้
วันนั้น  แม่นั่งติดกับฉันที่โต๊ะอหาร  ในร้านหรู  แม่มองถ้วยแกงพะแนงหมูที่ถูกยกมาวางตรงหน้า  พูดกับฉันว่า  นี่ยังเคี่ยวไม่ดีนะ  ถ้าจะให้ดี  ต้องเคี่ยวให้กะทิแตกมัน  แกงจะสีสวยกว่านี้
แม่ค้าข้าวแกงริมทาง  ที่ฉันเคยคิดว่า ก็แค่ทำให้สุก รสชาติพอได้  ขายให้ถูกๆ  ก็ดำรงอาชีพได้แล้ว  ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องศิลปะใดๆ เพราะคนกินเองก็คงไม่สน  แต่แม่ไม่ใช่
คนกินข้าวแกงของแม่  คงมีความสุขกับความใส่ใจของแม่
แต่ เขา  ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง  แม้แต่ลูกเขาเอง ฉันไม่รู้หรอกว่า เพราะอะไร  หากให้เดาเอาจากความรู้สึกตัวเอง  ก็คงไม่เล่า  เพราะไม่เห็นน่าภูมิใจให้เล่า

ทั้งหมดทั้งมวลนั้น  ไม่ว่าจะเป็นเพราะ ความคาดหวังของคนอื่นที่มีต่อเรา  หรือ เรามีต่อตัวเอง  สิ่งที่ทำให้เราทุกข์ที่สุดก็คือ  เราไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง

สังเกตุตัวเองดู  ก็น่าจะเห็น  เราทุกคน มีช่วงเวลาที่ต้องพยายามเป็นอย่างที่คนที่เรารักคาดหวัง  พยายามเป็นอย่างที่คนอื่นชอบ  เพื่อให้ได้รับคำชม
พอต้องพยายามบ่อยๆ ก็ทุกข์ เพราะเหนื่อย  บางทีก็มี ท้อ แถมมาด้วย  เพราะทำแล้ว  ไม่ได้อย่างที่หวัง
เพราะการไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง  อาจหมายถึง  เรากำลังทำสิ่งที่ไม่ใช่ทาง  เกินกำลังตัวเอง  หรือฝืนความรู้สึกตัวเองมากๆ  มากจนเราลืมตัวตนของเราไป  เลยหาความภูมิใจในตัวเองไม่ได้  เพราะแม้แต่ตัวตนของตัวเอง ก็ยังไม่รู้ว่า อยู่ตรงไหน

พระท่านสอนว่า ทุกข์อยู่ที่ไหน  ให้แก้ที่นั่น
นั่นสิ  แล้วทุกข์เริ่มจากตรงไหน
หลายคนคงตอบอย่างรวดเร็วว่า ทุกข์อยู่ที่คำพูดท่าทีของคนอื่น  ที่ไม่ให้กำลังใจ  ไม่ซัพพอร์ตเรา  เอาแต่ซ้ำเติม  ทำดีเท่าไหร่ก็ไม่มีค่า
ก็ขอให้ตั้งสติ  ถามตัวเองอีกทีว่า  ที่เจ็บ เพราะเขาพูด  หรือ เพราะเราเก็บมาคิดซ้ำๆ  ซ้ำแล้วซ้ำอีก
สิ่งที่ลดทอนความเชื่อมั่นในตัวเรา คือ ท่าทีของเขา  หรือ ความคิดของเรา
ขอให้ตอบอย่างตรงไปตรงมา  ไม่เข้าข้างตัวเอง  ตอบอย่างคนที่กล้ายอมรับความเป็นจริง
ฉันอยากบอกว่า หากพิจารณาอย่างมีสติ  คำตอบมีอย่างเดียวเท่านั้น  คือ ความคิดของเรา
แค่หยุดคิดร้าย  ก็หยุดทำร้ายตัวเองได้
แค่เริ่มคิดดี  ก็เริ่มรู้สึกดีกับตัวเองได้
ก็คงจะมีคนเถียงว่า  จะให้คิดดีกับตัวเองได้อย่างไร  ทีมีอยู่ไม่เห็นมีอะไร
ขอให้ถามคำถามต่อไปว่า  ทำไมต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร  ทำแล้วได้อะไร
รู้สึกตัวอยู่หรือเปล่า ว่ายิ่งเทียบ  ยิ่งช้ำ  ยิ่งซ้ำ  ยิ้งทำให้ตัวเองร้องไห้
เมื่อไหร่ที่ถามตัวเองแล้ว รู้สึกอย่างนี้  ขอให้เตือนตัวเอง  ให้หยุดเสีย  ไม่มีประโยชน์
บอกตัวเองไว้  เราทุกคน ดีได้  ในแบบของเรา  ไม่ควรทำให้ความดี ในตัวเองด้อยค่าลงไปเพราะมัวไปคิดถึงคนอื่น
รักตัวเอง  ก็ควรโฟกัสที่ตัวเอง  มองเห็นตัวเอง และยอมรับตัวเองอย่งจริงใจ ไม่ว่าข้อดีหรือข้อด้อย
แค่ข้อด้อยนะ  ไม่ใช่ปมด้อย

แต่ถ้าถึงที่สุดแล้ว  ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม  คุณก็ยังไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้  ไม่สามารถทำ หรือ เป็นอย่างที่ใจอยาก
การฝึกให้ตัวเองรู้สึกตัวอยุ่กับปัจจุบันขณะ  เข้าใจสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ  เข้าใจเหตุผลในการเลือกแล้วของตัวเอง  อาวรณืถึงส่งที่ไม่ได้ทำน้อยลง  หยุดถามว่าจะต้องทนทำไปอีกนานแค่ไหน
ก็คงพอจะช่วยให้คุณได้เห็นในส่ิงที่ตัวเองกำลังทำอยู่ได้ชัดเจนขึ้น  แล้วก็อาจจะได้เห็นแง่งามของสิ่งนั้นมากขึ้นด้วย
ไม่ชอบใช่มั้ย  ท่าทีเกรี้ยวกราดของคนอื่น  ก็อย่าทำกับตัวเอง 
อยากได้ความอ่อนโอย  ก็หัดอ่อนโยนกับตัวเองเสียบ้าง
คำชม คำหวาน  ก็ไม่ต้องรอใคร จะสิวเขรอะ ปากกว้าง หนังเหี่ยวอย่างไร  หน้ากระจกที่มีเราคนเดียวนั้น  ยังไง เราก็สวยสุด

สุดท้ายนี้  ฉันภูมิใจอยากบอกว่า ที่ผ่านมา  ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือไม่ดี  ทุกอย่างหลอมรวมให้เป็นฉันในวันนี้  วันที่ฉันชอบตัวเอง มีความสขกับตัวเองได้ทุกวัน
ไม่มีชีวิตใครมีแต่เรื่องดีๆหรอก อยู่ที่ว่าจะเข้าใจมันยังไง
ฉันเลือก ยอมรับ  ทำใหม่  ให้ฉันเป็นตัวเอง ในเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิม
คุณเองก็เช่นกัน


 



Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2564
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2564 21:34:19 น.
Counter : 343 Pageviews.

0 comments
วันนี้สอบราชการ Alex on the rock
(20 เม.ย. 2567 20:24:04 น.)
แพ้เนื้อจากการโดนเห็บกัด alpha-gal allergy สวยสุดซอย
(17 เม.ย. 2567 14:07:10 น.)
เติมให้ความมี เติมให้ความไม่มี ปัญญา Dh
(14 เม.ย. 2567 20:54:29 น.)
สุขสันต์วันปีใหม่ไทย ๒๕๖๗ haiku
(13 เม.ย. 2567 10:13:33 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Wallaya.BlogGang.com

วัลยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]

บทความทั้งหมด