เรื่องที่พูดไม่ได้ กับ ความตรยที่ไม่น่าเกิด เห็นข่าวเรื่องเด็กสาวโดดตึก เสียงหนึ่งว่าเธอท้อง อีกเสียงว่าเธอติดยา ทะเลาะกับแม่ ชวนให้นึกถึงเรื่องราวในนิยายชื่อ กว่าจะรู้เดียงสา เรื่องราวของสาวน้อย คนสวยรวยพรัพย์ระดับจังหวัด ที่ไปตกหลุมรักเด็กหนุ่มบ้านๆคนหนึ่ง แน่นอนว่า สมองและสายตายาวไกลของผู้ใหญ่ ไม่เห็นด้วยและไม่คล้อยตามอารมณ์ชนิดนั้น เมื่อเห็นว่า หมดหนทางจะพูดจากันให้เข้าใจ รักกันหนักหนาจึงพากันหนี หนีจากชีวิตที่งดงามราวกับฝันไปหาชีวิตจริงที่ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่หวัง สุดท้าย กว่าจะรู้เดียงสา ก็สายไปเสียแล้ว ตอนดูข่าวนี้กับพ่อ พ่อพูดว่า ถ้าเด็กท้องจริงก็ต้องโทษผู้ชายนั่นแหละ รับผิดชอบอะไรไม่ได้ เด็กสาวถึงต้องตัดสินใจโดดตึก ฉันถามพ่อว่า ไม่โทษคนในบ้าน ในครอบครัวเขาเองบ้างหรือ ฉันเข้าใจ ว่า คนส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ โทษคนอื่น สบายใจ ง่ายดี เพราะถ้าคนอื่นผิด ก็แปลว่า คนที่ต้องหาทางแก้ปัญหาคือคนอื่น ไม่ใช่เรา ไม่ได้ใส่ใจจะคิดว่า โทษนั่นโทษนี่ไปแล้ว ปัญหามันหายไปหรือเปล่า โทษตัวเอง มันยาก เพราะไม่ใช่แค่ต้องยอมรับผิด ยังต้องรับมือกับความรู้สึกผิด ซึ่งก็อาจเอาชนะมันไม่ได้ อย่ากระนั้นเลย สัญชาตญาณบอก ยกให้เป็นความผิดคนอื่นไป เกรี้ยวกราดใส่เข้าไป ง่ายกว่าเยอะ อันที่จริง ถ้ายอมรับความจริงกันสักหน่อย ลดอัตตาตัวเองลงบ้าง จับเข่าคุยกันดีๆ บางที เด็กคนนั้นอาจจะมีวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่านั้น นึกเล่นๆว่า ถ้าน้องเขาไม่โดดตึก ตั้งท้องต่อไปจนคลอดแล้วเอาลูกไปทิ้ง ก็คงจะได้เห็นข่าว วัยรุ่นใจแตก ใจดำ ทำร้ายลูก...เห็นแต่ผล ยังไม่รู้เหตุ โทษกันเสียแล้วว่า เพราะเธอไม่ดีเอง ไม่สร้างสรรค์เอาเลย ไม่คิดบ้างหรือว่า เด็กที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหานั้นอยู่เหมือนกัน มาเห็นข่าว เขาจะรู้สึกอย่างไร ไม่เสนอทางช่วย ยังมาปิดทางออกกันเสียอีก ตอนเรียนอยู่ ป.4 คุณครุให้เอาหนังสือพิมพ์ไปที่โรงเรียน ฉันรับหน้าที่เอาไปจากบ้าน เพราะที่บ้านรับทุกวัน ตอนพัก เห็นเพื่อนๆรุมกันอ่านอะไรสักอย่างในนั้นด้วยท่าทีสนอกสนใจมาก ฉันจึงขอเข้าไปดูบ้าง ส่ิงที่บรรดาสาวน้อยวัย 10 ขวบกำลังสนใจอยู่คือ เสพสมบ่มิสม คอลัมน์ตอบปัญหาทางเพศ นั่นเป็นครั่งแรกที่รู้ว่ามีเรื่องเหล่านี้ อยุ่ในที่เปิดเผย จากวันนั้น ฉันกลับถึงบ้าน ก็หยิบมาอ่านทุกวัน จนวันหนึ่ง คอลัมน์นั้นก็หายไปจากหนังสือพิมพ์ เพราะแม่ตัดทิ้ง แต่หายไปไม่กี่วันหรอก พ่อกับแม่คงคุยกัน แล้วฉันก็ได้อ่านคอลัมน์นั้นต่อมาอีกนาน ฉีันเป็นเด็กชอบอ่านหนีงสือ อ่านนิยายมาหลายเรื่อง พอจะเข้าใจอยู่ว่า เรื่องเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ ผู้ใหญ่ไม่รู้จะพูดยังไงกับเด็ก ด้วยเกรงว่า พูดไปจะกลายเป็นชี้โพรงให้กระรอก ไม่พูดไม่สอน ก็กลัวจะเกิดอันตราย อิหลักอิเหลื่ออยู่อย่างนั้น จดหมายที่ส่งมาถามในหนังสือพิมพ์ มาจากคนมากมาย หลากเพศ หลายวัย อ่านบ่อยๆเข้า เห็นคำถามฉันก็เดาได้แล้วว่า คุณหมอเจ้าของคอลัมน์จะตอบว่าอะไร และคำถามที่ฉันจำได้ว่า คุณหมอเอามาตอบบ่อยๆคือ หนูไปทำอย่างนี้มา หนูจะท้องมั้ยคะ กว่าจุะถึงคิวตอบจดหมายของหนูคนนั้นๆ หนูก็คงรู้ไปแล้วว่า ท้องมั้ย และอาจจะกำลังเผชิญหน้ากับความรู้สึกของคนในครอบครัวอยู่ก็ได้ สำหรับฉัน คำถามทำนองนั้น ดูโง่มาก แต่ก็ทำให้เห็นอีกด้วยว่า เด็กคนนั้นกำลังกลัว และ ไม่รู้จะปรึกษาใครได้ จริงๆยังมีอีกหลายเรื่องที่ดูเหมือนจะพูดไม่ได้เพราะกลัวเด็กจะรู้มากไป พอเด็กถามก็ใช้วิธีดุว่า ตัดปัญหาด้วยการบอกว่า ยังไม่ถึงเวลา ยังไม่ต้องรู้ สุดท้ายเด็กเลยเลิกถามคนในบ้าน ไปหาเอาจากนอกบานแทน เราจึงได้เห็นข่าว แม่วัยใส เด็กติดยา เด็กเล่นพนัน กันอยู่เนืองๆ ถ้าคุณมีลูกหลานวัยเด็กวัยรุ่นอยู่ในบ้าน และเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าเรื่องพวกนี้พูดไม่ได้ ทั่งที่มันอาจก่อให้เกิดความผิดพลาดถึงตายได้ เคยลองนึกทบทวนมั้ย ทำไมถึงพูดไม่ได้ ถ้าคำตอบคือ กลัว ฉันอยากบอกว่า ความกลัวไม่ช่วยอะไร โลกเดี๋ยวนี้ ทุกสิ่งอยุ่ในมือถือ ไม่มีทางปิดกัั้นเด็กจากการรับรู้ได้เลย ที่เราช่วยได้คือ ช่วยให้เขาเข้าใจ และ แข็งแรงพอจะพาตัวเองให้ผ่่านพ้นสิ่งยั่วยุทั้งหลายไปให้ได้ด้วยตัวเขาเอง บ้านฉัน ฉันเลือก อธิบายทุกอย่าง ในเวลาที่เขาถาม ไม่ว่าตอนนนั้น เขาจะเด็กเล็กน้อยแค่ไหน ไม่ว่าจะเรื่องขับรถ ยาเสพติด การพนัน เพศสัมพันธ์ หรือ แม้แต่เรื่องเสี่ยงตายอื่นๆ ไม่ได้หวังว่า เขาจะเข้าใจทุกอย่างที่พูดไป แต่อยากให้เขาคุ้นเคย เข่้าใจ และ รู้ว่า เขาถามแล้วจได้คำอธิบาย ไม่ใช่คำดุด่าห้ามปราม เขาถามเรื่องการพนัน ฉันบอกว่า สนุกถ้าควบคุมตัวเองได้ ถ้าคุมไม่ได้ ก็ถึงขั้นฉิบหายขายตัว เขาแอบดูการ์ตูน AV ฉันบอกว่า ดูก็ดู คุมให้มันอยู่แค่ไหน จะทำอะไรกับใคร คิดก่อน ถ้าเขาท้องขึ้นมา สงสารเขา ชีวิตเขาทั้งชีวิตนะ เขาถามเรื่องขี่มอเตอร์ไซค์ ฉันบอกว่า ขี่ให้เป็น มันง่าย แต่อยู่บนถนนกับคนอื่น ต้องรับผิดชอบชีวิตเขาด้วย ถ้าชนเขา เขาเจ็บ เขาตาย ครอบครัวเขาก็เดือดร้อนไปด้วย ถ้าพร้อมจะรับผิดชอบได้ ค่อยไปขี่ เขาเคยคุยเรื่องเหล้า ฉันบอกว่า ก็ลองกินดู จะได้รู้ว่า นี่คือเมา จะได้ไม่โดนใครหลอกมอมเหล้า หลานชายฉัน อายุ 18 เท่าที่รู้ เที่ยวผับ เล่นไฟ่ แทงบอล พนันออนไลน์ บุหรีจริง บุหรี่ไฟฟ้า ลองมาหมดแล้ว ปีนี้ เียน ม.6 ห้องทุนวิทยาศาสตร์ของโรงเรียน ตั้งใจจะเข้าจุฬา ไว้จะมารายงานผล ฉันเป็นแค่น้า ความรักที่มีให้ก็อย่างหนึ่ง ไม่เหมือนพ่อแม่ ตายาย ฉันรู้สึกได้ รักมากจนกลัว กลัวไปเสียทุกอย่าง ไม่อยากให้รุ้ ไม่อยากให้เสี่ยง ไม่อยากให้ลองอะไรทั่้งนั้น พอเด็กเริ่มพูด ผู้ใหญ่ก็เริ่มมาคุ หลายครั้งก็แทบพูดกันไม่ได้ เพราะพูดกันมาก แลายเป็นทะเลาะ และผู้ใหญ่มักถือสิทธิ์ว่าฉันใหญ่กว่า เธอเป็นเด็ก ห้ามเถียง เด็กหนึเข้าห้อง จบข่าว เลิกคุย พ่อฉัน ซึ่งตอนนี้อายุ 82 เคยเล่าว่า ตอนเด็กๆอายุสัก 11-12 เดินจากบ้านมาขึ้นรถไฟไปอีกอำเภอเพื่อไปเล่นน้ำทะเล ไปแต่เช้า กว่าจะกลับถึงบ้านก็บ่ายเย็น ถามพ่อว่า ถ้าตอนนั้น ย่าห้ามไม่ให้ไปบอกว่าไปว่ายน้ำเดี๋ยวจมน้ำตาย พ่อจะเชื่อฟังย่ามั้ย พ่อเงียบ เด็ก ก็คือ เด็ก ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน ด้วยวัย ด้วยประสบการณ์ โลกที่เขาเห็น ย่อมต้องแตกต่างไปจากที่ผู้ใหญ่มองอยุ่ ไม่ยากอะไรนักหรอก แค่นึกย้อนกลับไปตอนคุณอายุเท่านั้น คุณอยากฟังอะไร อยากได้ความรู้สึก การตอบสนองแบบไหน แบบไหนที่คุณจะต่อต้าน คำพูดแบบไหนที่ทำให้คุณปฏิเสธไม่ทำตาม พูดกันด้วยความนุ่มนวล กอดกันบ้าง จับมือกันหน่อย แสดงความรัก ความห่วงใย จริงๆที่อยู่ข้างใน เรื่องพูดไม่ได้ จะได้เป็นเรื่องง่ายที่จะสื่อสาร สาดคำพูดให้เจ็บช้ำน้ำใจ นอกจากไม่ข่วยอะไร ถ้าอีกฝ่ายเจ็บช้ำจนตายไปจริงๆ ใครจะเป็นคนเสียใจ ถ้าไม่ใช่คุณ รู้สึกดี ต้องบอก รู้สึกไม่ดี ให้ค่อยๆบอก ไม่ยากหรอก ลองดู |
บทความทั้งหมด
|