|
ภาพวาดภาพที่ 3 พ่อของยุมบก
จองฮยาง ภาพวาดภาพที่สามพ่อของยุมบก
บกน้อยเกือบจะไม่ได้เข้าโรงเรียน ถ้าเขาไม่ไปส่งของให้แม่ในวันนั้น ซึ่งทำให้ได้พบกับจุงโฮเจ้าของโรงเรียน ที่มาพร้อมกับคนแปลกหน้า ยุมบกรู้สึกแย่มาก ตอนที่เขาถูกครูคนก่อนปฏิเสธไม่ให้เข้าเรียน และมักพูดจากระทบกระเทียบอยู่บ่อยๆ เมื่อเขาเดินผ่าน การเรียนวาดภาพเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ของยุมบก ดังนั้นเขาจึงมีความสุขและตื่นเต้นมาก เมื่อได้รับการยอมรับให้เข้าเรียนในชั่วโมงเรียนวาดภาพได้ และเมื่อกลับมาถึงบ้าน บกน้อยก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ได้เจอยุนบกและมิน จุงโฮให้แม่ฟัง จองฮยางถามว่า ทำไมก่อนหน้านี้ ครูถึงคิดว่าเขาเด็กเกินไป ยุมบกกลับคิดว่า แม่จับใจความไม่ได้ว่าเขาพูดเรื่องอะไร (เขาพูดเร็วเกินไปและเรียงประโยคผิด) ดังนั้น เด็กน้อยจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แม่ฟังอีกครั้ง พร้อมกับอวดว่า ตอนนี้ เขาสามารถจะเป็นช่างเขียนเหมือนกับพ่อได้แล้ว คนเป็นแม่เมื่อเห็นลูกมีความสุข ก็รู้สึกดีใจมาก แต่นางก็รู้สึกผิดที่นางโกหกเรื่องพ่อของยุมบกที่เป็นช่างเขียนและเสียชีวิตไปแล้ว แต่เนื่องจากเขายังเด็ก และนางไม่สามารถพูดความจริงเกี่ยวกับพ่อที่แท้จริงได้ ทำให้จองฮยางต้องกุเรื่องขึ้นมา นางไม่ได้คาดหวังที่จะให้เด็กน้อยจะต้องมาจดจำหรื่อสงสัยว่าสิ่งที่นางทำมันเป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่ เมื่อเขาโตพอแล้ว ข้าจะบอกความจริงกับเขา จองฮยางตัดสินใจ
เมื่อปู่ปาร์คได้ยินว่าหลานตัวน้อยของเขาได้เข้าโรงเรียนแล้ว เขาก็เอาเงินจากการขายแป้งต้มเพื่อซื้ออุปกรณ์การวาดเขียนให้กับบกน้อย แต่จองฮยางบอกกับพ่อว่า เขาไม่ควรตามใจหลานมากเกินไป แต่ปู่ปาร์คกลับรู้สึกละอายใจ เมื่อคิดถึงตอนที่จองฮยางเอาเงินเก็บของนางมาช่วยสร้างบ้านหลังใหม่ของพี่ชาย และตอนนี้นางต้องหาเลี้ยงครอบครัวด้วยการเย็บผ้า ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลใจเลยที่จะใช้เงินจำนวนเล็กน้อยที่เขาหามาได้เพื่อซื้อของให้เด็กชาย ส่วนบกน้อย เมื่อได้ยินที่ปู่และแม่คุยกันเรื่องตน ก็มีปฏิกริยาตอบโต้อย่างรวดเร็วและรีบเข้ามาปลอบท่านปู่ จองฮยางรู้สึกผิดที่พูดเช่นนั้นออกไป จึงพูดให้พ่อสบายใจว่า นางมีความสุขเพียงไร ที่ครอบครัวได้มาอยู่ร่วมกันและเฝ้ามองการเติบโตของบกน้อยด้วยกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่นางปรารถนา ส่วนเด็กชายตัวน้อยก็เอากล่องวาดภาพของเขาแผ่ออกมา และขอร้องให้แม่อยู่นิ่งๆ เขาอยากใช้อุปกรณ์ที่เพิ่งได้มาวาดรูปแม่ลงบนกระดาษนั่นเอง
จู่ๆ ความทรงจำเก่าก็ย้อนกลับมา กรุณาเข้ามาอยู่ในภาพวาดของข้า ครั้งหนึ่ง ใครคนหนึ่งจ้องมองนางในแบบเดียวกันนี้ และวาดภาพนางลงบนกระดาษ จองฮยางล่องลอยกลับไปสู่ช่วงเวลานั้นอีกครั้ง ช่างเขียนคะ ท่านสุขสบายดีหรือไม่
ซินยุนบก ภาพวาดภาพที่สาม คิมหันต์เบิกบาน
เย็นวันนั้น ที่บ้านพักตากอากาศหลิวเขียว จุงโฮจัดเลี้ยงอาหารเย็นที่ข้างๆ สระบัว ในระหว่างที่ทานอาหารนั้น ยุนบกก็ได้ไถ่ถามถึงเหตุผลที่จุงโฮต้องการจะให้การศึกษาฟรีแก่คนยากจน
ศิลปะและวรรณคดีไม่ใช่มีไว้สำหรับบรรดาลูกผู้ดีเท่านั้นหรือ แล้วพวกคนยากจน ที่ได้รับการศึกษาแล้ว พวกเขาจะทำอะไรได้ ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถเข้ารับราชการได้ ยุนบกถาม
จุงโฮจึงย้อนถามยุนบกกลับไปว่า แล้วศิลปะคืออะไร คำถามดังกล่าวทำให้ยุนบกถึงกับอึ้ง สองประเด็นนี้มันมีสิ่งใดสัมพันธ์กันอยู่หรือ แล้วจุงโฮก็ปาถ้วยเหล้าลงในสระ ซึ่งทำให้เกิดน้ำกระเด็นขึ้นมา สำหรับจุงโฮแล้ว ช่วงเวลานั้น มันเป็นศิลปะ และศิลปะเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนหัวใจของมนษย์ ซึ่งไอ้สิ่งนี้แหละมันกลับเข้ากันได้ดีระหว่างมนุษย์ด้วยกัน มนุษย์ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และในหลายปีต่อมา ศิลปะสามารถทำให้คนมีความสุขหรือปลุกความหวังของคนขึ้นมา นี่ไม่ใช่มายากล และใครจะมาสนใจว่า ใครเป็นคนปาถ้วยเหล้าลงไปเป็นคนแรก แล้วจุงโฮก็ตั้งคำถามต่อมา
ทำไมบรรดาราชนิกูล พวกผู้ดี ข้าราชการชั้นสูง ถึงได้เป็นผู้กำหนดว่าคนเราควรจะดำรงฐานะใด เป็นคนชนชั้นไหน ทุกคนเมื่อเกิดมาแล้ว ควรจะมีสิทธิเท่าเทียมกัน ทำไมคนจนจึงไม่ได้รับโอกาสในการศึกษา เด็กๆ เหล่านั้นฉลาดและมีไหวพริบ พวกเขาย่อมมีสิทธิที่จะซึมซับรับรู้ศิลปะและวรรณคดี และหากหนึ่งในเด็กเหล่านั้น มีพรสวรรค์ แม้ว่าเขาอาจจะไม่สามารถเข้ารับราชการได้ แต่เขาก็สามารถนำพรสวรรค์ที่เขามีไปช่วยเหลือสังคมต่อไปได้
หลังจากที่ฟังจุงโอพูดจบแล้ว ยุนบกรู้สึกตระหนกตกใจมาก และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้รับฟังความคิดอันเฉียบคมเยี่ยงนี้ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะมีคนที่มีแนวคิดเหมือนกับกษัตริย์จองโจ ยุนบกชื่นชมจุงโฮมากที่มีความปรารถนาที่ดี และมีการวางแผนที่จะช่วยชนชั้นที่ด้อยกว่า
ฮูหยินมิน ซึ่งภูมิใจในตัวสามีมาก เล่าให้ฟังอีกว่า จุงโฮให้ทุนการศึกษาแก่เด็กยากจน โดยใช้เงินที่ได้มาจากการค้าขาย โดยหวังว่า วันหนึ่งเด็กเหล่านั้นจะมีชีวิตที่ดีขึ้น หลังจากที่ได้ทำความเข้าใจในทรรศนะอันเปิดกว้างของฮูหยินมินแล้ว ยุนบกรู้สึกประทับใจมาก และตกลงที่จะอยู่ช่วยสอนเด็กๆ เหล่านั้นต่อไป กลุ่มเพื่อนใหม่ จึงได้เฉลิมฉลองค่ำคืนพิเศษนี้ด้วยศิลปะและดนตรี จุงโฮมีความสุขมากๆ ที่ได้เต้นรำกับฮูหยินของตน และจากการเฝ้ามองเพื่อนๆกลุ่มใหม่นี้ ยุนบกก็อยากที่จะบันทึกช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานนี้ไว้ในภาพวาดของเขาทันที
ภาพวาดที่ชื่อ คิมหันต์เบิกบาน ยุนบกวาดภาพอิริยาบถต่างๆของเพื่อนใหม่ลงไปในภาพด้วย และพวกเพื่อนๆเขาก็ชื่นชอบรูปนี้มากๆ ชอนซังประหลาดใจมากว่าทำไมยุนบกจึงไม่ใส่นามแฝงไว้ในภาพวาด ยุนบกแก้ตัวไปว่า เขาเป็นคนธรรมดาจึงไม่จำเป็นต้องประทับตรานามแฝง จุงโฮก็เลยถามว่ายุนบกมีญาติหรือครอบครัวในเมืองหรือไม่ และพวกเขาพักอยู่ที่ใด ยุนบกได้ตอบไปว่าเขาไม่มีญาติในเมืองนี้ จุงโฮจึงเชิญยุนบกให้มาพักที่บ้านของเขา แต่ยุนบกได้ปฏิเสธไป เพราะไม่ต้องการรบกวนพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ทั้งจุงโฮและชอนซังยังยืนกรานที่จะให้ยุนบกมาพักด้วย ซึ่งทำให้ยุนบกลำบากใจมาก แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใด ฮูหยินมินดูเหมือนจะอ่านใจยุนบกออก และเสนอว่าให้เขาไปพักบ้านหลังที่แยกออกไปจะดีกว่า เพราะบ้านหลังนั้นใกล้กับโรงเรียน และทำให้ยุนบกตัดสินใจยอมรับข้อเสนอดังกล่าว แล้วจุงโฮก็กล่าวขึ้นมาว่า เขาอยากให้ชอนซังออกช่วยตามหาครอบครัวของยุนบกที่พลัดพรากกันไป โดยให้ข้อมูลว่านางชื่อจองฮยาง เป็นนักเล่นคายากึม มาจากซองดู ซึ่งไม่ได้ติดต่อกันมานานถึง 7 ปี ความช่วยเหลือดังกล่าวของจุงโฮทำให้ยุนบกซาบซึ้งใจเป็นยิ่งนัก
ยามดึกของค่ำคืนนั้น จุงโฮนั่งมองภาพวาดของยุนบกด้วยความชื่นชม เขามองว่า มันเป็นภาพเขียนที่ดีพอกับภาพวาดของทันวอนเลยทีเดียว ฮูหยินมินถึงกับส่งเสียงร้องออกมาด้วยความงงงวย เมื่อพูดถึงเรื่องที่ยุนบกมีพรสวรรค์ในการวาดภาพมาก แต่กลับไปนั่งวาดภาพอยู่ข้างถนน อีกทั้งรูปร่างที่ดูบอบบาง และเวลายืนเหมือนไม่ค่อยมีแรงของช่างเขียน เขาพยายามตามหาหญิงสาวที่เล่นคายากึมคนนั้นมาเป็นเวลาหลายปี และเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ยุกบกจะอายจนหน้าแดง แต่จุงโฮกลับมองว่านั่นทำให้ยุนบกดูไม่เหมือนใคร ส่วนฮูหยินกลับล้อว่า จุงโฮอาจจะมองยุนบกผิดไปก็ได้ นางสังเกตยุนบกตลอดช่วงเย็นที่ผ่านมา และรู้สึกว่าเขามีอะไรมากกว่าท่าทางที่เขาแสดงออกมา ไม่ว่าภรรยาของจุงโฮจะวิเคราะห์อย่างไร เขาก็ยังเชื่อว่า ยุนบกเป็นสุภาพบุรุษตัวจริง ส่วนฮูหยินมินก็ไม่ต้องการจะเล่าเรื่องความสงสัยของนางให้สามีฟัง นางจึงพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน
#จบภาพวาดภาพที่ 3 #
Create Date : 03 ธันวาคม 2552 |
Last Update : 6 มกราคม 2553 18:47:44 น. |
|
0 comments
|
Counter : 4347 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
รักกันเพียงใดก็ต้องพลัดพราก
หวงไว้เพียงใดก็ต้องจำจาก
ข้ามาคนเดียวข้าไปคนเดียว
ไม่มีใครเป็นอะไรของใคร
ต่างคนมาต่างคนไป
ยิ่งยึดยิ่งทุกข์
ปล่อยวางได้จึงเบาสบาย...
เมื่อปัญญาแจ่มแจ้งจะสลัดคืน
เมื่อมาจากดิน
ท้ายที่สุดก็สลายกลายเป็นดิน
ยึดเอาไว้ก็ได้แต่ทุกข์ตอบแทน
อยากโง่ก็ยึดต่อไป
คิดได้ก็วางเสีย
พุทธทาสภิกขุ............
..............................
..............................
ความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจนั้น
เป็นเรื่องทรมานยิ่ง และเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพรากก็เป็นสิ่งสุดวิสัย...
ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ที่พอใจ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง...พุทธโอวาท
---------------------------
พระราชดำรัส ในรัชกาลที่ 7 เมื่อทรงสละพระราชสมบัติ เพื่อประชาชน
ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฎรทั่วไป ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจโดยสิทธิ์ขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร
|
|
|
|
|
|
|