... มาแว้วๆ ***ยอดรักนักศิลป์ตอนที่ 26 ทางรอด *** OG 2 ตอน13-ตอนจบ** **คลิกอ่านทุกเรื่องได้ที่เมนูด้านซ้ายเลยจ้า.. ^_^
“ความทุกข์-หากเล่าสู่กันฟังจะลดลงครึ่งหนึ่ง ส่วนความสุข-ถ้าเราแบ่งปันมันจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า” ขอบคุณลูกบล็อกทุกท่านที่ร่วมสร้างบล็อกแห่งความสุขนี้ขึ้นมา อยากให้พื้นที่ในบล็อกแห่งนี้ได้เป็นที่แบ่งปันทุกข์และสุขร่วมกัน จะไม่มีรักรูปแบบใดที่เป็นไปไม่ได้ ณ ที่แห่งนี้....วอนวอน
Group Blog
 
 
ธันวาคม 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
3 ธันวาคม 2552
 
All Blogs
 
ภาพวาดภาพที่ 7 พบ “คู่รักใต้แสงจันทร์” อีกครั้ง

ภาพวาดภาพที่ 7 – พบ “คู่รักใต้แสงจันทร์” อีกครั้ง

“เจ้าสัญญากับข้าว่าเจ้าจะอยู่อย่างมีความสุข ทำไมเจ้าไม่รักษาคำพูด ทำไมเจ้ามานอนหนาวคนเดียวที่นี่ ทำไมเจ้าทำกับข้าเช่นนี้ เจ้าเกลียดข้าใช่ไม๊ ทำไมเจ้าทำกับตัวเองอย่างนี้ เจ้าจะตายก่อนข้าได้อย่างไร เจ้าจะตายได้อย่างไร ในที่สุด ทั้งหมดก็แค่นี้เอง เจ้าต้องออกมา ออกมาอธิบายทุกอย่างให้ข้าฟัง เจ้าสัญญากับข้าว่าจะอยู่อย่างมีความสุข เจ้าสัญญา ข้าจะไปหาใครที่ไหนเหมือนเจ้าได้ในโลกนี้ โลกนี้มีเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น รู้ไม๊ข้าคิดถึงเจ้าแค่ไหน เจ้ารู้ไม๊ข้าคิดถึงเจ้าเพียงไร จองฮยางรู้ไม๊ข้าหวังให้เจ้ามีความสุขเพียงใด

ทำไมหลังจากต้องเผชิญกับความยากลำบากมามากมาย ข้าต้องมาพบเจ้าในสภาพนี้ ข้าไม่อยากเชื่อเลย ไม่ต้องการให้เจ้านอนอยู่ข้างในนี้ จองฮยางโปรดออกมาเถิด ข้าอยากจะมองดูเจ้า ออกมาเถอะนะ ถ้าข้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าจะให้เจ้าจากข้ามาทำไม ถ้าข้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าจะไม่ยอมจากเจ้าจนวันตาย ข้าคิดว่า ข้าคิดไปเองว่า เจ้าจะมีความสุขเมื่อเจ้าจากข้ามา ข้าเป็นคนทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้ใช่ไม๊ ต้องเป็นข้าที่ทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้ คนที่อยู่ในนี้ไม่ใช่เจ้า ไม่มีทางเป็นเจ้าแน่ๆ ข้าต้องเห็น ข้าต้องเห็นด้วยตาตนเอง เจ้าสัญญาว่าไม่มีวันไหนที่เจ้าจะลืมข้า เจ้าต้องออกมา ออกมาเจอข้า ออกมาสิ ออกมาเจอข้า ข้าอยากฟังเจ้าเล่นคายากึม อยากวาดรูปเพื่อเจ้า ข้าไม่ต้องการเจ้าในสภาพนี้ ออกมาเถิดนะ ออกมาเถิด ออกมาเจอข้า......”

นอกเมืองเล็กๆ มีหลุมศพเก่าที่ถูกละเลยหลงลืม ทั่วทั้งป่าเปลี่ยวเงียบสงัด สิ่งเดียวที่ได้ยินคือเสียงแห่งความโทมนัสของชายหนุ่มที่กำลังสะอื้นไห้ เหล่านกที่ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเขา ต่างพากันบินหนีจากไป ใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง ปลิวคว้างในสายลมหนาวเยือก เขาพูดไปร้องไห้ไป พลางเอามือขุดดินที่หลุมศพ ดึงวัชพืช ก้อนหินออกอย่างบ้าคลั่ง มือทั้งสองมีเลือดไหลอาบเพราะหนามต้นไม้ป่าทิ่มแทง และแผลที่ได้จากก้อนหิน ชายสองสามคนยืนก้มหน้าอยู่ข้างๆ ไม่รู้จะปลอบใจให้เขาคลายเศร้าเสียใจอย่างไรได้

“ให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ นายน้อนยูน รีบคิดเร็วเข้า ว่าจะทำอย่างไรกันดีขอรับ” ลูกน้องชอนซังอ้อนวอนเมื่อเขาเห็นภาพอันแสนเศร้านี้

ไม่มีอะไรเลย นอกจาก ความว่างเปล่ามหีมาในจิตใจของยุนบก เขามาที่นี่ด้วยจิตใจที่เบิกบาน ปิติ ว่าจะได้พบคนที่เขาเฝ้าคิดถึงมาหลายปี เขาซื้อแม้แต่ เครื่องประดับรูปผีเสื้อมาให้นาง เพราะรู้ว่านางต้องชอบ มันเป็นความลับเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างพวกเขา แล้วเป็นไง สาวงามนางนั้นอยู่ที่ไหน เหลือไว้เพียงหลุมศพ หัวใจเขาคงเหมือนโดนมีดกรีดเป็นพันครั้งจนเป็นผุยผง เขาเกือบจะลืมไปหมดสิ้นว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ลืมแม้กระทั่งชอนซังที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เขานั่งเอาขาเหยียดไปข้างหน้าหลุมศพ ใช้สองมือลูบป้ายชื่อหน้าหลุมศพ ด้วยท่าทางเหมือนกำลังลูบแก้มหญิงสาว ‘ปาร์ค จองฮยาง ซองดู” แค่เห็น น้ำตาของเขาไหลออกมาเป็นทาง ขณะกล่าวคำอำลา ทุกอย่างชัดเจน เป็นหลุมศพของนางจริงๆ ประกายในแววตาของเขาเลือนหายไป สีหน้าปราศจากความรู้สึก

.“ท่านไม่เข้าใจหรอก ข้าทำให้นางเสียใจเสมอ เป็นข้าที่ขอให้นางยกโทษให้ นาง นางสัญญากับข้าว่า ว่าจะมีความสุข จะมีความสุข แต่นางไม่ นางลืมที่สัญญาไว้ นางสัญญาไว้จริงๆ ......” เขาพึมพำ พระอาทิตย์ตกดิน ความมืดเริ่มปกคลุม อากาศเริ่มเย็นลง แต่ยุนบก ไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น ไม่รู้แม้กระทั่งว่ามีคนช่วยก่อไฟ และเอาผ้าห่มมาคลุมให้รอบตัว

“จะทำยังไงกันดี คุณชายซอนั่งหน้าหลุมศพมา สามวัน สองคืน แล้ว อาหารก็ไม่แตะ แม้แต่น้ำก็ไม่ยอมดื่ม อากาศก็หนาวเย็น ข้าว่าเราจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้นะขอรับ นายน้อยยูน”

ที่โรงเตี๊ยม ชอนซังนั่งฟังที่ลูกน้องรายงาน เขาก็ยิ่งร้อนใจเพิ่มขึ้นไปอีก รอยย่นที่หว่างคิ้วลึกลงไปอีก สีหน้าดำคร่ำเครียด แล้วลูกน้องอีกคนก็เข้ามา “ยังคงไม่กิน ไม่หัวเราะ ไม่แม้แต่ร้องไห้ นั่งซึมอยู่อย่างนั้น ข้าว่าอันตรายที่จะปล่อยไว้อย่างนั้น ทำอย่างไรดี นายน้อย”

“ตกลง ! พอกันได้แล้ว! ชอนซังคำราม “ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้ จะยิ่งแย่ไปมากกว่านี้ ไปกันเถอะ” เขาวางแก้วเหล้าในมือ แล้วเดินออกไป เขารู้แล้วจะทำอย่างไร ยุนบกยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงที่หลุมศพ เหมือนที่ลูกน้องมารายงาน เขานั่งไหล่ตก ศีรษะห้อยตกลงมาอย่างหมดสภาพ

“น้องซอ ลุกขึ้นกลับเปียงยางกันก่อนเถอะ”ชอนซัง ดึงยุนบกขึ้น

“ข้าไม่อยากไปไหนทั้งสิ้น ข้าจะอยู่ที่นี่ จะไม่ไปไหน ข้าทำให้นางผิดหวัง ข้าอยากอยู่ที่กับนาง รอคอยนางให้อภัยข้า”ยุนบกไม่ได้กินอะไรเลยมาสองวันแล้ว ไม่ดื่มแม้แต่น้ำ หน้าซีด ตาสองข้างดำกลวงโบ๋ ตัวอิงแนบกับป้ายชื่อหน้าหลุมศพในสภาพหมดสิ้นเรี่ยวแรง ต่างกันโดยสิ้นเชิงกับคนเมื่อ สาม วันที่แล้ว ชอนซัง เมื่อมาเห็นสภาพนี้ยังรู้สึกสะเทือนใจ มันเหมือนกับว่า ยุนบกกำลังใกล้จะสิ้นใจ

“ไม่ได้ ท่านยังจะสามารถเรียกตัวเองว่าผู้ชายได้อีกหรือ ถ้าท่านยังอยู่ในสภาพนี้ หลักในการดำรงชีวิตของท่านอยู่ไหน ผู้ชายที่แท้จริงต้องสามารถเก็บสิ่งที่ควรเก็บ ปล่อยวางในสิ่งที่ควรปล่อย ผู้หญิงของท่านคงไม่ชอบหรอกถ้ามาเห็นท่านในสภาพนี้ ไปกันเถอะ ค่อยคุยกันเมื่อกลับถึงเปียงยาง ชอนซังโมโหเมื่อเห็นสภาพของสหาย

“ผู้ชายที่แท้จริง ข้าไม่ใช่ผู้ชายที่แท้จริง ข้าจะสามารถนับตัวเองเป็นผู้ชายที่แท้จริงได้อย่างไร ถ้าข้าเป็นผู้ชายที่แท้จริง ข้าจะไม่ให้นางจากข้าไป ไม่ให้ แน่นอนที่สุด ไม่ให้จากไป ถ้านางอยู่กับข้า วันนี้นางต้องไม่อยู่ที่นี่อย่างนี้ ยุนบกพูดอย่างซึมกระทือ ดวงตาไร้แวว

“ทำอย่างไรท่านถึงจะเลิกทำร้ายตัวเองซะที ไม่สิ ยังไงวันนี้ข้าจะพาท่านกลับไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม” ชอนซังมักจะรังเกียจบัณฑิตที่ท่าทางอ่อนแอเป็นพิเศษ และท่าทางของยุนบกตอนนี้ก็กำลังไปกระตุ้นต่อมโทสะเขา ยุนบกที่สิ้นหวัง และโทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดของตัวเอง เขาจึงสั่งลูกน้อง “เจ้าไปเอาเชือกมา ข้าจะมัดผู้ชายอ่อนแอคนนี้กลับวันนี้ แล้วเตรียมรถม้าไว้ด้วย”

“ไม่ ข้าไม่ไป ข้าอยากอยู่เป็นเพื่อนนางที่นี่ รอคอยให้นางอภัยให้ข้า” ยุนบกกอดป้ายหินแน่น ไม่ประสงค์จะไปหรือขยับตัวไปที่ใด

“พวกเจ้าทั้งหมด จับเขามัด เดี๋ยวนี้!” ชอนซังแผดเสียงสั่งลูกน้อง ที่ไม่สู้เต็มใจจะทำรุนแรงกับยุนบก เขาโกรธน้องคนนี้มาก ที่เสียใจจนกลายเป็นคนละคนแบบนี้

“แต่....” บรรดาลูกน้องต่างชำเลืองมองมาที่ชอนซัง เหมือนจะบอกว่า มันรุนแรงเกินไป เขาไม่สมควรทำแบบนั้น

“หมายความว่าอย่างไร ถ้าพวกเจ้าไม่ยอมทำตามคำสั่ง แล้วมีอะไรเกิดขึ้น ข้าจะเอาชีวิตพวกเจ้า รีบทำ เร็วเข้า!” ชอนซังตะโกนสั่งด้วยความโกรธจัด พวกลูกน้องจึงคำนับแล้วทำตามคำสั่ง

“ปล่อยข้าไว้ที่นี่เถอะ ข้าไม่อยากไปไหน ข้าอยากจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนนาง ปล่อยข้าไว้ที่นี่ แม้ว่ายุนบกจะขัดขืนดึงดันเท่าที่กำลังเขาจะทำได้ แต่เขาอ่อนเพลียกะปลกกะเปลี้ยเกินกว่าจะต้านทานไหว ลูกน้อง สอง คน มัดเขาแบบหลวมๆ อย่างรวดเร็ว แล้วเอาเขา เข้าไปในรถม้า ชอนซังเอาผ้าเช็ดหน้าออกมา แล้วก้มลงไปเก็บดินสองกำมือ ห่อใส่ผ้าเช็ดหน้ามัดไว้ แล้วโยนเข้าไปให้ยุนบกที่นอนอยู่ในรถม้า “เอาดินนี่ติดตัวไปก็พอ”

“ข้าไม่ไป ข้าไม่ไหนทั้งนั้น อย่ามายุ่งกับข้า ข้าจะอยู่ที่นี่กับนาง” ยุนบกตะโกน เขายังไม่หยุดดิ้นรนตะเกียกตะกาย แม้ว่าจะถูกมัดไว้ เขาเตะประตู

“หาอะไรปิดปากเขาเสีย ข้าคลื่นไส้ไม่อยากฟังเสียงอันหาประโยชน์มิได้!” ชอนซังตะโกนสั่งอีกครั้ง เขาไม่ได้อยากจะทำแบบนี้เลย แต่ยังมีเหลือทางเลือกอื่นให้เขาอีกหรือ พวกลูกน้องไม่เคยเห็นนายน้อยยูน โกรธเป็นไฟขนาดนี้มาก่อน ลูกน้องคนหนึ่งจึงรีบเอาผ้า และยัดเข้าไปในปากยุนบกอย่างสุภาพ พร้อมกล่าวคำขอโทษ “คุณชายซอ ข้าต้องขออภัยด้วยขอรับ ที่พวกเราทำลงไปก็เพื่อตัวท่านเองทั้งนั้น” ชอนซังหันกลับมาสั่งลูกน้องครั้งสุดท้าย

“ซ่อมแซมหลุมศพให้ดี อีกสองสามวันข้าจะกลับมาดู ถ้าพวกเจ้าไม่ช่วยกันทำให้ดีล่ะก็ ข้าจะกลับมาฆ่าทุกคนให้หมด” เขามองทุกคนด้วยดวงตาร้อนแรงแดงก่ำ ชอนซังบังคับรถม้า และตะโกนมาสั่งลูกน้อง ที่ยังยืนอยู่ที่พื้นด้านล่าง

“ขอรับ ขอรับ ขอรับ” พวกเขารับคำ

“เย้!” ชอนซังร้องสั่งม้าเริ่มออกเดินทาง เหลือทิ้งไว้เพียงฝุ่นตลบอบอวล

“น้องซอ ที่ข้าทำให้ท่านขุ่นเคืองวันนี้ ก็เพื่อตัวท่านเอง ข้าในฐานะ พี่ จะขอให้ท่านอภัยให้ข้าในวันหลัง” เขาพึมพำ ตอนนี้ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากรถม้าอีกแล้ว เขาเฆี่ยนม้า เร่งความเร็ว ชอนซังปาดน้ำตาออกจากใบหน้า หัวใจเขาอาดูร ‘คำว่า รัก ทำไมมันถึงก่อความทุกข์ได้มากมายเกินกว่ามนุษย์จะทานทนไหวได้ขนาดนี้ มันทำให้ลูกผู้ชายคนหนึ่งกลายเป็นคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้อย่างไร’ ภายในรถม้า ตาของยุนบกนั่งจ้องห่อดินไม่กระพริบ น้ำตาไหลรินราวกับไม่มีวันหยุด

ค่ำแล้วเมื่อรถม้าเคลื่อนตัวเข้ามาในสนามหน้าบ้าน หลิวเขียว ชอนซังตะโกนเรียก ฮูหยินมิน เมื่อเขาหยุดม้า จุงโฮและฮูหยินมิน รีบออกมาเมื่อได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวก พวกเขาพูดอะไรไม่ออก เมื่อเห็นร่างที่หมดสติโดยสิ้นเชิงของยุนบก เขาโดนแก้มัดแล้วอุ้มเข้าไปในบ้าน

“ทำไมเจ้าถึงทำหยาบคายและสิ้นคิดอย่างนี้! เจ้าจะทำอย่างไรถ้าการกระทำเช่นนี้จะกลายเป็นการไปทำร้ายน้องซอ” ฮูหยินมินโกรธจัด

“พี่สาว ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ ท่านไม่เห็นสภาพเขาในตอนนั้น ไม่มีใครเห็นแล้ว จะทนไหวหรอก วิธีของข้าอาจจะดูหยาบคาย แต่ก็เป็นทางเดียวเท่านั้น ถ้าเขาเป็นอะไรไป แล้วข้าจะมาอธิบายกับพวกท่านอย่างไร รอให้เขาหายดีก่อนเถอะ ข้าจะขอโทษเขาเอง ข้าจะยอมรับการลงทัณฑ์ทุกประการ” ชอนซังดูซูบเซียว เขาขวัญกระเจิงเมื่อแก้มัดร่างที่ราวกับไม่มีชีวิตของยุนบก เขาดูกังวลเมื่อฮูหยิน มิน ให้นำยุนบกเข้าไปที่ห้องรับแขก

“เข้าใจแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว ข้าเพิ่งเช็คชีพจรเขาเมื่อครู่ ไม่มีอาการอะไรที่น่าเป็นห่วง แค่โศกเศร้ามากเกินไป แลัวยังอดอาหารเป็นเวลานาน ทำให้เขาหมดสติไป ออกไปข้างนอกก่อน ถ้าข้าไม่ได้เรียก ห้ามเข้ามาเด็ดขาด” นางไล่ชอนซังออกไปจากห้อง ในสภาพที่งงงวยไร้สติ ยุนบกคล้ายกับได้ยินเสียงคนพูด สายตาที่พร่ามัวเริ่มชัดเจนขึ้นช้าๆ

“ข้า ข้าอยู่ที่ไหน” เขารู้สึกอ่อนละโหยโรยแรง

“ท่านกลับมาที่เปียงยางแล้ว ตอนนี้อยู่ที่บ้าน หลิวเขียว ฮูหยินมินมองยุนบกที่อยู่เบื้องหน้า เขาแตกต่างเป็นคนละคน จากวันที่ออกเดินทางไปซองดู นางวิตกในสภาพร่างกายและจิตใจของเขา และความสงสัยมาโดยตลอดของนางก็ได้รับการยืนยันแล้วจากการได้ตรวจชีพจรของเขา

“ข้าอยากกลับไปที่นั่น ข้าอยากจะไปเฝ้านาง เป็นข้าที่ทำให้นางเสียใจ ข้า...” ยุนบกพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่เขาไม่มีพลังเหลือแม้แต่น้อยนิด เขาทำได้เพียง ปล่อยให้น้ำตาที่เหลือเพียงเล็กน้อยไหลรินออกมา แล้วปล่อยให้แห้งไปเอง

“มีอะไรที่ท่านจะทำได้อีกถ้าอยู่ในสภาพนี้ ท่านต้องเปิดใจให้กว้าง ทำใจให้สบาย ถ้านางมาเจอท่านเป็นแบบนี้ นางต้องผิดหวังในตัวท่านเป็นแน่” ฮูหยินมินปลอบใจเขาอย่างนุ่มนวล “นาง เอ่อ นางเป็น ญาติ เพื่อน หรือน้องสาวท่าน”

“ไม่ นางคือรักแรกของข้า นางคือสิ่งที่มีค่าที่สุดของข้า คนเดียวที่ข้ารัก นางเป็นผู้หญิงของข้า” ยุนบกเปล่งแต่ละคำออกมาช้าๆ มีประกายเล็กๆ ในตา เหมือนเห็นอะไรบางอย่าง

“คนรัก แต่ท่าน.... ไม่มีอะไรหรอก” ฮูหยินมินอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หยุดปากกระทันหัน

นางรู้สึกว่ายุนบกมีด้านลึกลับ ชวนพิศวง อยู่มากมาย ที่นางคาดไม่ถึง และน่าแปลกใจที่สุดก็คือทำไมไม่มีใครพาเขาออกไปจากสภาพผู้ชายที่เขาเป็นอยู่ นางสังเกตอิริยาบถของเขาทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่เคยเลยที่จะจับผิดเขาได้ ทั้งจากกริยาท่าทางมารยาท และคำพูด นางเข้าใจว่านั่นเป็นเพราะ เขาต้องอยู่ในสภาพผู้ชายมานานปี นางคิดว่า นางจะได้รู้เรื่องราวทั้งหมดในที่สุด แต่ตอนนี้ นางมีคนไข้ที่ต้องดูแล

“ถ้าท่านรักนาง ท่านควรจะดูแลตัวเองให้ดี ถ้าท่านไม่ทำอย่างนั้น ใครจะคอยซ่อมแซมหลุมฝังศพของนาง เผากระดาษ จุดธูป จัดของไหว้ให้นาง นอกจากท่าน มีใครอีกที่จะคิดถึงนาง ถ้าคนคนหนึ่งตายไป แล้วไม่มีใครคิดถึงเลย อย่างนั้นไม่น่าสังเวชหรือ อีกอย่าง ท่านไม่อยากรู้หรือว่า นางตายอย่างไร เกี่ยวข้องกับศัตรูไม๊ ใครจะต่อสู้เพื่อความยุติธรรมให้นาง นอกจากท่าน” นางเตือนเขาอย่างนุ่มนวลแบบคิดมาอย่างดีแล้ว

“ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้อะไรสักอย่าง ข้ารู้เพียงว่าข้าทำให้นางผิดหวัง ข้าเสียใจที่ปล่อยให้นางจากข้าไป ถ้าข้ารู้ว่าผลจะออกมาแบบนี้ ข้าจะไม่ ข้าจะไม่....” ยุนบกหายใจติดขัด ความคิดเขาตอนนี้ สับสนวุ่นวายไม่ปะติดปะต่อ คล้ายใครเอามีดคมกริบกรีดเฉือนหัวใจเขา เจ็บปวดร้าวรานสุดจะทานทน

“ที่สุดของความเจ็บปวดในโลกนี้บางทีอาจจะเป็นการสิ้นสุดของโชคชะตา ไม่ใช่การสิ้นสุดของความรัก ท่านควรจะดูแลตัวเองดีกว่านี้” ฮูหยินมินถอนหายใจ นางปล่อยให้ยุนบกพักผ่อน และเดินออกจากห้อง เมื่อประตูปิดตามหลังนาง นางสั่งสาวใช้หน้าห้อง “ไปเตรียมข้าวต้ม จากนี้ต่อไปข้าจะเป็นคนดูแลเขาเอง ถ้าไม่มีคำสั่งจากข้าห้ามพวกเจ้าเข้าไปเด็ดขาด” จุงโฮรออยู่ด้านนอก กระวนกระวายอยากรู้ว่าอาการเขาเป็นอย่างไร นางดึงมือเขาเข้าไปที่ห้องโถง

“ท่านพี่ ท่านคิดว่าทักษะด้านการแพทย์ข้าเป็นอย่างไร” ฮูหยินมินถามอย่างครุ่นคิด

“เจ้าอาจจะไม่ได้ชื่อว่าเป็นนักเรียนของพ่อเจ้า แต่เจ้าอยู่ใกล้ๆ ท่านตั้งแต่ยังเด็ก และเจ้ายังเป็นคนฉลาดและเอาใจใส่ ทักษะความรู้ด้านการแพทย์ของเจ้าต้องไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าท่านพ่อ ทำไมรึ เกิดอะไรขึ้น เกี่ยวกับ น้องซอใช่ไม๊” จุงโฮถามอย่างวิตก มั่นใจว่าอาการป่วยต้องร้ายแรง เพราะฮูหยินถามคำถามแปลกๆ

“ไม่ ไม่ต้องกังวล อาการของเขาไม่น่าเป็นห่วงอะไร แค่ข้า อึม ช่างเถอะ ไม่มีอะไรมากหรอก สำคัญที่สุดคืออาการของเขาไม่มีปัญหาอะไรมากแล้ว ท่านสบายใจได้ค่ะ ฮูหยินมินยังคงไม่แน่ใจว่านางจะทำผิดรึเปล่า ถ้าจะเปิดเผยเรื่องของยุนบก ช่วยไม่ได้ที่อยู่ๆ นางไปถามเรื่องทักษะทางการแพทย์ของนางจากสามีที่ฉลาดมีไหวพริบ เขาก็ต้องสงสัยเป็นธรรมดา ต่อแต่นี้ไปนางจะไม่คิดเรื่องเพศสภาพเขาอีกแล้ว หน้าที่ของนางที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ ทำให้ผู้ป่วยที่โศกเศร้าคนนี้หายโดยไว เชื่อว่าวันหนึ่งปริศนาเรื่องยุนบกก็จะได้รับการคลี่คลายเอง

ตลอด สองสามวันต่อมา ภายใต้การดูแลของฮูหยินมิน อาการยุนบกค่อยๆ ดีขึ้น ดูออกว่าเขาเริ่มมีความรู้สึกอยากอาหารขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว นางทั้งขู่ทั้งปลอบเขาให้กินซุป และอาหารจานเล็กๆ ที่เตรียมให้ ผิวพรรณเขาเริ่มดีขึ้น แต่ยังดูเป็นคนไม่มีความสุข

“พี่เขย พี่เขย ข้าไปพบของดีมา ไม่แน่น้องซอ อาจจะ ชอบมัน เขาอาจจะดีขึ้นถ้าได้เห็น เช่นนี้ก็จะนับเป็นการขออภัยจากข้า เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด และดูเศร้าๆ ทั้งวัน อะไรก็ต้องลองทำดูเผื่อเขาจะดีขึ้น” ชอนซังเดินเข้ามาในห้องหนังสือของจุงโฮ อย่างร่าเริง พร้อมด้วยภาพวาดจำนวนหนึ่ง

“ข้าต้องใช้ความพยายามอย่างมากเลยนะถึงจะได้รูปภาพพวกนี้มา ข้าอยากทำอะไรให้น้องซอพอใจ ตั้งแต่กลับมาวันนั้น ข้ายังไม่กล้าเจอหน้าเขาเลย ข้าได้ยินมาจากสาวใช้ว่า วันๆ เขาเอาแต่ขลุกอยู่แต่ในห้อง หรือไม่ก็ถือห่อดินเหม่อลอย พี่เขยคิดว่าเป็นไปได้หรือที่คนโตๆ กันแล้ว จะทำใจให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กไม่ได้ แล้วโลกนี้ไม่มีหญิงงามแล้วหรือ คนตายแล้วจะฟื้นคืนมาได้อย่างไร ข้าไม่เข้าใจบัณฑิตของท่านเลยจริงๆ” ชอนซังถอนหายใจกับพี่เขย

“เจ้ายังไม่เจอคู่แท้ของเจ้าน่ะสิ รอจนกว่าเจ้าจะพบคนคนนั้น แล้วเจ้าจะเข้าใจเอง ข้าจะรอดูเจ้า หนุ่มน้อย อยากเห็นว่าเมื่อเจ้าตกหลุมรักใคร จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ฮ่า ฮ่า ตอนนี้เจ้ายังเด็กนัก” จุงโฮกระเซ้าน้องเขย ขณะ มองดูภาพที่เขาซื้อมา

“เอ่อ เจ้าเอาภาพนี้มาจากไหน รูปนี้เป็นผลงานของเฮวอนนี่ ไปได้มาจากไหน” จุงโฮตื่นเต้นยินดีที่เจอรูปเฮวอน ซินยุนบก อยู่รวมๆ กับรูปพวกนั้น


“โอว้ ข้าได้มาจากความช่วยเหลือของเพื่อนข้าที่อยู่ในแวดวงธุรกิจการค้า สำหรับรูปนี้ โอ้ ใช่ รูปนี้ได้มาจากเพื่อนข้าที่เสียการพนันในบ่อน เฮ่ เฮ้ ข้าช่วยเขาตอนเขากำลังต้องการเงินพอดี แล้วเขาเลยเอารูปภาพของพ่อเขามาให้ข้าเป็นการตอบแทน ฮ่า ฮ่า เป็นไงบ้าง รูปนี้สวยใช่ไม๊ เขาไม่ได้หลอกข้าใช่ไม๊” ชอนซังอิ่มเอมใจนิดๆ “มันจะดีก็ต่อเมื่อ น้องซอ ชอบมัน เขาจะไม่ตำหนิข้าอีกแล้ว เสียงถอนใจ พี่เขย ท่านเอานี่ไปให้เขาดู จะได้พูดคุยกับเขาด้วย

“แน่นอน ได้ ได้ รูปนี้ต้องเอาไปให้น้องซอ ชื่นชม ข้าไม่รู้นะว่ามันเป็นของปลอมไม๊ คนที่รู้จักใช้แต่หอก และดาบ ไม่มีทางรู้แน่นอน มาเถอะ” จุงโฮวางสมุดบัญชี หยิบภาพเขียนขึ้นมา แล้วออกไปพร้อมชอนซัง

“เกิดอะไรขึ้นกับนาง นางตำหนิข้าที่ให้นางจากมาคนเดียวหรือไม่นะ นางผิดหวังในตัวข้าขนาดไหน หรือ หรือว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับนาง ถ้าข้ารู้จะเกิดเรื่องราวเช่นนี้ .... จริงๆเรื่องราวเป็นอย่างไรนะ” อากาศตอนนี้หนาวและเงียบสงัด ยุนบกนั่งอยู่ที่ประตูที่เปิดอยู่ ถือห่อดิน เหม่อมองสวนในฤดูใบไม้ร่วง เขายังคงคิดเรื่องเดิมกลับไปกลับมา นี่ก็หลายวันมาแล้วตั้งแต่กลับจากซองดู นอกจากสองวันแรกที่เขานอนพักฟื้น ยุนบกไม่สามารถหลุดพ้นจากความรู้สึกในส่วนลึกที่เขาประณามตัวเอง แม้ว่าจิตใจเขาจะดีขึ้นเล็กน้อย เขาก็ยังไม่อยากอาหาร ไม่สามารถข่มตาหลับได้แม้ตอนกลางคืน เขาหันมองรอบๆ เมื่อจุงโฮขออนุญาตเข้ามาในห้อง


“น้องซอ ดูสิ ชอนซังซื้อภาพวาดมาขอโทษท่าน เผื่อท่านจะชอบ บางรูปก็ฝีมือไม่เลวเลยนะ ข้าดูไม่ออกว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม คงต้องอาศัยตาของผู้เชี่ยวชาญอย่างท่านตัดสิน ฮูหยินที่รัก มาดูนี่สิ ฮ่าฮ่า” จุงโฮโบกรูปวาดในมือไปที่ยุนบก

“รูปวาดอะไร พวกท่านไม่ชอบรูปวาดธรรมดาๆ ไม่ใช่หรือ” ฮูหยินมินได้ยินเสียงสามีนางจึงเดินเข้ามาในห้อง

“โอ้ อย่างนั้นหรือ ข้าจะไปตำหนิพี่ยูนได้อย่างไรกัน ถ้าไม่เป็นเพราะเขา ข้าเกรงว่าตอนนี้ข้าคงจะไม่ได้อยู่ที่นี่ พูดคุยกับท่านทุกคน” ยุนบกพูด พร้อมกับหัวเราะอย่างขื่นขม

“ดูสิ ดูนี่สิ นี่เป็นภาพทิวทัศน์ แม้ไม่ได้เป็นผลงานของจิตรกรมีชื่อ แต่เขาก็ใช้สีได้ดี ดูสว่าง สดชื่น ข้าว่าเขาต้องใช้สีที่ทำมาจากต้นยาสูบ เขายังใช้สีเขียวทั้งสามเฉดได้ดีทีเดียว ด้านบนรูปเรียบกริบ เขาต้องร่างภาพที่ละชั้น ทีละชั้น ดูสีนี่สิ ต้องเป็นสีนำเข้าจากเมืองจีนแน่ๆ คราวหน้าถ้าได้ข้าไปโรงงานสีย้อมผ้า จง อิน จูน ข้าจะซื้อสีเมืองจีนมาใช้บ้าง ฮ่า ฮ่า”จุงโฮพยายามเบี่ยงเบนความสนใจยุนบก ไปที่สิ่งที่น่าสนใจในรูปภาพ ที่พวกเขากำลังดูอยู่

“พี่ใหญ่ท่านไม่ได้มีความสามารถพิเศษในการตีค่าภาพวาดได้อย่างลึกซึ่งเท่านั้น ท่านยังเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการลงสีด้วย”ยุนบกมีรอยยิ้มบางๆ เมื่อเขามองภาพวาด หลายวันมานี้ ดูจะเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญที่จะได้เห็นยุนบกสดชื่นขึ้นบ้าง

“อย่างไรข้าก็เป็นพ่อค้า น้องซอ พ่อค้าย่อมต้องมีทักษะในการตีราคาของบ้าง อ้อ ใช่ นี่น้องซอ ท่านดูรูปภาพนี้ให้ข้าทีสิ ข้าดูไม่ออกจริงๆ ว่ามันเป็นรูปวาดเลียนแบบหรือไม่” จุงโฮคลี่ภาพวาดออกมา คิ้วยุนบกกระตุกเกร็ง ความทรงจำที่เจ็บปวดรวดร้าวกลับคืนมาอีกแล้ว

“ไม่ นางไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้านาง มัน มัน เลอะไปด้วยน้ำตา ฮ่า ฮ่า นี่ไม่ใช่นาง ไม่ใช่นางอย่างแน่นอน”ยุนบกพึมพำหัวเราะอย่างขื่นขมเขาถือรูปวาดด้วยมือที่สั่นระริก น้ำตาไหลพรากลงมาเป็นทาง เขาส่ายหัว “ความทุกข์ของเราสอง มีเพียงสองเราที่เข้าใจ ความทุกข์ของเราสอง มีเพียงสองเราที่เข้าใจ” ราวกับเขากำลังนั่งท่องประโยคนั้น ระลอกแห่งความเจ็บปวดถาโถมเข้าใส่ยุนบกอีกครั้ง

เมื่อเห็นดังนั้น ชอนซังรีบดึงภาพวาดนั้นออกมาทันที เขามองมันซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วเอ่ยถามพี่เขยเบาๆ ว่า “พี่เขย ภาพนี้ก็เป็นภาพธรรมดาๆ ไม่ใช่รึ คนคู่หนึ่ง ผู้หญิงกับผู้ชายแอบพบกันในที่ปลอดคนกลางดึก ข้าคิดว่าผู้ชายน่าจะชอบรูปแบบนี้นะ แต่ทำไมน้องซอ เห็นภาพนี้แล้วถึงได้เศร้าเสียใจขนาดนั้นนะ”

จุงโฮเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ความคิดหนึ่งแวบเข้ามา เมื่อเขามองยุนบกที่กำลังจมดิ่งลึกลงไปในความเศร้า เขาพูดกับชอนซัง “การตีความภาพเขียนนั้น ใช้เพียงหัวใจคน ข้าคิดว่าต่างคนต่างความคิด ต่างอารมณ์ สำหรับคนทั่วไป รูปนี้อาจจะเป็นแค่ การแอบพบกันของคนคู่หนึ่ง ในสถานที่ล่อแหลม เงียบสงัด ท่ามกลางแสงจันทร์นวลสวย มีพุ่มไม้เห็นอยู่มัวๆ โอบล้อมด้วยกำแพง ทุกอย่างบ่งบอกว่าการพบกันนี้เป็นความลับ จากท่าทางของผู้ชายที่ถือโคมไฟ ดูเหมือนว่าเขาเร่งให้หญิงสาวเดินไปก่อน แต่ผู้หญิงยังคงเอาแต่ก้มหน้าเหมือนยังตัดสินใจไม่ได้ แม้กระนั้นนางก็ยังดูมีความสุขนิดๆ เท้าของเธอเตรียมพร้อมที่จะเดินไปข้างหน้า มันเป็นภาพที่ชวนให้จินตนาการต่อ

“อย่างไรก็ตาม ข้าไม่ได้เห็นเป็นอย่างนั้น” เขาหยุดไปชั่วขณะ เหลือบมองไปทางยุนบกที่นั่งคอตก ล้วพูดต่อ “ตาของผู้ชายคนนี้เต็มไปด้วยความรักที่ลึกซึ้ง วิธีที่เขามองหญิงสาว มันแสดงออกอย่างชัดแจ้งถึงความอ่อนไหว อ่อนโยน และ ไร้สิ้นซึ่งหนทาง หญิงสาวก้มหน้า ยกชายกระโปรงขึ้น จะเดินจากไปแต่ก็เหมือนฝืนใจ ประหนึ่งกำลังพยายามตัดสินใจ สำหรับนาง การเดินต่อไปข้างหน้าจะเป็นผลดี หรือสูญเสีย กันแน่นะ

ชัดเจนเหลือเกิน ทั้งสองมีใจให้กันและกัน นี่จะต้องเป็นเรื่องของ คนสองคนที่รักกันแล้วไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ หรือไม่งั้นก็เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะพบกันก่อนที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแต่งงาน สองคนนี้น่าจะต่างกันในเรื่องของสถานะทางครอบครัวและสังคม ดูจากการที่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ อีกทั้งไม่อยากลืมกันและกัน พวกเขาแค่ใช้โอกาสที่แอบพบกันตอนกลางดึกนี้ ฟังเสียงในหัวใจของกันและกัน ไม่ได้ไปทำอะไรที่ผิดขนบประเพณีที่ดีงาม แม้ว่าจะไม่มีใครเห็นก็ตาม ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะคำว่า ‘รัก’ หรอกหรือ น้องซอ"

“ความทุกข์ของเราสอง มีเพียงสองเราที่เข้าใจ ความทุกข์ของเราสอง มีเพียงสองเราที่เข้าใจ” ยุนบกยังคงพูดพึมพำคำเดิม ภาพวาดยังคงอยู่ แต่คนที่เขาวาดได้จากไปแล้ว ความเศร้าโศกเสียใจทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงอะไร เขาทำได้เพียงถอนหายใจพร้อมกับสั่นศรีษะ


“ความทุกข์ของเราสอง มีเพียงสองเราที่เข้าใจ” ฮูหยินมินหยิบภาพขึ้นมาดูอย่างพิจารณา เงยหน้าขึ้นมองยุนบกกำลังร่ำไห้พลาง ยิ้มขื่นๆ พลาง อย่างไม่รู้จะช่วยอย่างไร ดูเหมือนนางจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว


“โธ่เอ้ย ข้าขอโทษ ข้าเสียใจจริงๆ ทีแรกข้าคิดว่าน้องซอจะชอบดูภาพวาด ข้าจึงอยากจะใช้มันมาช่วยให้ท่านร่าเริงขึ้น ไม่คิดเลยว่านี่จะเป็นการเอามีดมากรีดแผลท่านให้เจ็บขึ้นไปอีก ข้าไม่รู้จะช่วยยังไงแล้ว ได้แต่บอกว่า ขอโทษจริงๆ” ชอนซังขอโทษอย่างสุดซึ้ง เสียใจกับการกระทำของเขา

“ข้าจะตำหนิพวกท่านได้อย่างไร ทำไมข้าจะไม่รับรู้ถึงเจตนาดีของพวกท่าน เป็นความผิดข้าเองที่ไม่สามารถขจัดนางออกจากใจ ข้าตรอมใจกับวาระสุดท้ายของนาง และตำหนิตัวเอง ตอนที่ข้าเห็นภาพวาดความเศร้ามันเอ่อท้นขึ้นมาภายในตัวข้า ได้โปรดเถอะ อย่าได้มาใส่ใจกับข้าอีกเลย” ยุนบกตอบ ตาเหม่อ ออกไปนอกประตู

“น้องซอ ธรรมชาติของคนเรา ท่านต้องสามารถรัก สามารถเลิกได้สิ คนตายไปแล้ว ท่านเคยได้ลิ้มรสความรู้สึกนั้นมาแล้ว ท่านต้องมีความรู้สึกแบบนั้นได้อีก ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเปิดใจรับโอกาสนั้นหรือไม่ อย่าปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดมือไป โปรดจำเอาไว้ จุงโฮหวังให้ยุนบกฟังคำแนะนำของเขาบ้าง

“ข้าไม่สามารถ มีความรู้สึกเช่นนี้กับผู้หญิงคนไหนได้อีกแล้ว ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน” ยุนบกหัวเราะ เขารู้ว่าจุงโฮมีเจตนาดี สิ่งที่เขาแนะนำ เป็นสิ่งที่ดีที่เหมาะสมสำหรับทุกคน แต่มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขา เขาสั่นหัวเบาๆ ฮูหยินมินไม่พูดอะไรได้แต่นั่งฟังอย่างพินิจพิเคราะห์

“พี่ใหญ่ ข้าอยากจะย้ายไปอยู่ซองดู ไปอยู่เป็นเพื่อนนาง ข้าเกรงว่านางจะนอนอย่างเดียวดายที่นั่น ข้าไม่อยากให้หญ้าขึ้นรกหลุมศพของนาง ไม่อาจให้บรรดาสัตว์ตัวใดมาเหยียบย่ำ” ยุนบกกล่าวลา

“น้องซอ มันคุ้มหรือที่จะไปลำบากลำบนอย่างนั้น เอาอย่างนี้นะ อีก สองสามวันข้าจะเดินทางไปเมืองจีน ท่านไปด้วยกันกับข้าเถิด ไปดูทิวทัศน์ใหม่ๆ สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ บางที อาจได้วิธีเขียนภาพใหม่ๆ หลังจากกลับมาก็ได้ ท่านจะมีโอกาสได้ไปดูหนังสือ ภาพวาด สีย้อม ที่เมืองจีน ในสภาพของท่านตอนนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่เราจะไม่ห่วงใยท่าน ถ้าท่านยังรู้สึกเหมือนเดิมหลังจากที่กลับมา เราจะไม่รั้งท่านไว้อีกต่อไป ท่านคิดว่าอย่างไร”จุงโฮเสนอแนะ เขาเห็นใจและชื่นชมยุนบกในความมั่นคงของเขา แต่ก็ยังหวังให้สหายของเขาสามารถปล่อยวางความรู้สึกนี้ไปซะ

“ข้า....” ยุนบกอึกอัก เขาอยากจะไปทันทีที่เขาหายดี แต่เขารู้ว่าคอรบครัวมินไม่ยอมให้เขาทำตามใจแน่ บางทีการเดินทางครั้งนี้อาจจะทำให้พวกเขาคิดได้

“ท่านควรจะไปนะ หันเหความสนใจไปที่สถานที่แปลกๆ อาจจะทำให้ความคิดท่านเปลี่ยนไป” ฮุหยินมินแนะนำ

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ทำตามนั้นเถอะ” ยุนบกตกลงเนื่องจากไม่อยากปฎิเสธน้ำใจได้อีกแล้ว

“ดีมาก ข้าจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้ อีกสองวันให้หลังเราจะอกเดินทางทันที ชอนซังพูด เขาลุกขึ้นและรีบออกไปจัดการ ฮุหยินมินเอ่ยขอตัว เดินตามเขาไป นางตามเขาทันที่ห้องโถง

“เดี๋ยวก่อน ระหว่างเดินทาง ให้ตามใจน้องซอทุกอย่างที่เขาต้องการ มีอะไรก็ต้องเก็บไว้ในใจ เข้าใจไม๊” ฮูหยินมินยืนกรานให้ทำตามที่นางบอก

“ข้ารู้ ข้ารู้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะดูแลทุกอย่างให้เรียบร้อย คราวนี้ข้าขอโทษจากใจจริง” ชอนซังสัญญาแล้วเดินออกไปเตรียมข้าวของ








จองฮยาง
ภาพวาดภาพที่ 7 – สับสน

“ท่านแม่ ท่านแม่ว่า อาจารย์ไม่รักลูกอีกแล้วใช่ไม๊ นานมากแล้วนะ ที่เขาไม่มาเยี่ยมลูก ครั้งที่แล้วเขาสัญญาว่าจะมา แล้วทำไมเขายังไม่มาซะที”

“ท่านแม่ ลูกคิดถึงอาจารย์จริงๆ จะดีแค่ไหนน้า ถ้าลูกได้เรียนเขียนภาพเหมือน ลูกจะได้วาดรูปอาจารย์มาให้ท่านแม่ดู ฮ่า ฮ่า”

บกน้อย นอนพักฟื้นอยู่ที่บ้านหลังจากได้รับบาดเจ็บ เขานอนคว่ำหน้าอยู่ที่บ้าน เอามือหมุนพู่กันขนสุนัขจิ้งจอก ปากก็บ่นกับมารดาที่กำลังนั่งปักผ้า

“ลูกชอบสร้างปัญหาให้กับอาจารย์อยู่เรื่อย ลองดื้ออีกสักครั้งสิ อาจารย์ต้องไม่รักลูกอีกแน่” นางหยอกลูก รู้ดีว่าเขาหงุดหงิดที่ถูกบังคับให้อยู่เฉยๆ หนำซ้ำยังคิดถึงอาจารย์อีก ดังนั้นนางจึงต้องทนฟังเขาบ่นต่อไป

“ไม่ใช่แน่นอน อาจารย์บอกว่าตอนเด็กๆ เขาดื้อกว่าข้าอีก” เขาย้อนมารดา

“เหลวไหล อาจารย์จะมาเล่าเรื่องแบบนี้ให้ลูกฟังได้อย่างไร แม่ไม่เชื่อลูกหรอก” บางทีอาจจะเป็นเพราะวันนี้ เป็นวันที่มีแดด อากาศกำลังสบาย แต่จะด้วยเหตุใดก็ตาม ตอนนี้นางอยู่ในอารมณ์อยากหยอกล้อลูกชาย

“จริงขอรับ เป็นเรื่องจริง อาจารย์เล่าแม้กระทั่งว่าได้แผลเป็นมาได้ยังไงด้วย” บกน้อยยืนยัน

“แผลเป็น แผลเป็นอะไร” นางชักสนใจขึ้นมา

“วันนั้นไงขอรับ วันที่ข้าตกจากต้นไม้ อาจารย์เล่าให้ข้าฟังเรื่องรอยแผลเป็นบนมือ”

“อ้อ เรื่องราวเกี่ยวกับแผลเป็น”

“ใช่! ใช่ อาจารย์บอกว่าเขาดื้อเหมือนข้าตอนเขาเป็นเด็ก ความผิดที่เขาทำลงไป ทำให้คนที่ใกล้ชิดมากต้องออกจากบ้านไปรับโทษที่หนักมาก และไม่สามารถกลับมาวาดรูปได้อีกต่อไป ถอนหายใจ แต่ลูกไม่แน่ใจ ว่าทำผิดอะไรถึงได้ร้ายแรงขนาดนั้น” บกน้อยพูดอย่างครุ่นคิด

“อืม ดูเหมือนว่าอาจารย์ลูกดื้อจริงๆซะด้วย แล้วเกิดอะไรขึ้นอีกหลังจากนั้น” นางถือผ้าเข้าไปใกล้หน้าต่างเพื่อดูตะเข็บชัดๆ

“หลังจากนั้น อาจารย์ก็รู้สึกผิดมากๆ ท่านแม่ รู้ไม๊ว่าอาจารย์ทำอะไรหลังจากนั้น” เขาทำท่าประจบมารดา และเอาหน้ามาใกล้นาง พลางเล่าด้วยเสียงต่ำลึกในลำคอ เพื่อเน้นเรื่องราวของอาจารย์ให้ดูจริงจัง น่าสนใจ

“เขาทำอะไร” นางวางผ้าลง ละสายตาจากงานตรงหน้า มองลูกยิ้มๆ ขำที่เขาชอบเล่าเรื่องของอาจารย์

“อาจารย์ของลูกใช้ก้อนหินใหญ่ พลั่ก!!! ทุบมือตัวเอง!” เขาแสดงท่าให้มารดาดู นางยิ้มค้าง ตาเบิกกว้าง หูอื้อ จากสิ่งที่ได้ยิน เข็มที่อยู่ในมือทิ่มลงไปในนิ้ว เลือดจำนวนมากหยดซึมเปื้อนผ้าเช็ดหน้าที่เพิ่งปักได้ครึ่งเดียว นางไม่แม้แต่เอาใจใส่ความเจ็บปวด

“ยุมบก!!! ลูก ลูก พูดอีกครั้งซิ แผลเป็น ของ ของ อาจารย์ลูกอยู่ที่ไหนนะ” นางจับไหล่บกน้อย จ้องลูกชายเขม็ง

“ท่านแม่ มือ มือ ของท่าน” เด็กชายเริ่มตกใจเมื่อเห็นปฎิกริยาของมารดา “ แผลเป็นของอาจารย์อยู่ตรงนี้” บกน้อย ไม่เคยเห็นมารดาเป็นอย่างนี้มาก่อน เขายื่นมือขวาให้มารดาดู ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยคำถาม นางมองลงไปดู ไม่อยากเชื่อจุดที่ลูกชี้ให้ดู

“อา อา อาจารย์ของลูกแซ่อะไร” นางถามอย่างเร่งร้อน

“อาจารย์ลูกแซ่ แซ่ ซอ เขาชื่อ ซอเวน (ตอนแรกที่ยุนบกเจอจุงโฮ เขาบอกว่าชื่อซอมุน แต่ไม่รู้เพราะอะไรตอนบกน้อยบอกแม่ กลายเป็นชื่อ ซอเวน แปลตามต้นฉบับนะคะ-ผู้แปล) เขาเริ่มตกใจเพราะไม่ค่อยเห็นมารดาเกิดอาการตระหนกตกใจอย่างนี้มาก่อน

“ซอ เวน ซอ เวน” นางปล่อยมือจากบกน้อยขณะพูดทวนชื่อซ้ำไปซ้ำมา มือทั้งสองสั่นเทา ใจเต้นระรัว จะมีเรื่องอะไรที่เหมือนกันอย่างนี้ในโลก ใช่เขาหรือไม่ ไม่ใช่เขาอยู่ฮันยางหรอกรึ ถ้าเป็นเขาจริง ทำไมเขาอยู่ที่นี่ล่ะ

“บกน้อยตื่นตกใจ ท่าทางที่เลื่อนลอยของมารดา เขารีบเรียก “ท่านปู่ ท่านปู่ มาเร็ว มาเร็ว มาเดี๋ยวนี้เลย”

“อะไร อะไร บกน้อย เกิดอะไรขึ้น” ปู่ปาร์คซึ่งกำลังกวาดสวนอยู่ เดินกระย่องกระแย่งเข้ามาเมื่อได้ยินหลานเรียก

“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านเคยเห็นอาจารย์บกน้อยแล้วนี่ เขารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรคะ” นางระล่ำระลักถามพ่อ

“อืม คุณชายซอ เขาดู ... ข้าก็แก่แล้ว ตาก็ไม่ค่อยดี แต่คุณชายซอเขาดูดีนะ รูปร่างหน้าตาดู แบบบาง อืม มีหนวดสั้นๆ อายุน่าจะราว 30 ฮ่า ฮ่า ท่าทางเขาสง่างาม แต่ เขาไม่สูงนะ ค่อนข้างผอมบาง เป็นลักษณะของบัณฑิตหน่ะ” ปู่ปาร์คคิดว่ามีเรื่องรีบด่วนอะไร แต่เมื่อรู้ว่าเรื่องที่ลูกสาวต้องการถามคืออะไรแล้วก็เบาใจ

“แล้ว ก่อนหน้านี้เขาได้บอกหรือไม่ ว่าเขามาจากไหน เขาเป็นคนที่นี่หรือไม่” นางยังคงซักบิดาต่อ นางยังไม่กล้าหวังว่าจะเป็นเขา แม้ว่าตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันกำลังก่อตัวขึ้นในตัวนางแล้ว

“อืม เราไม่ได้คุยกันเรื่องนั้นเลย เจ้าจะรู้เองเมื่ออาจารย์มาบ้านเราคราวหน้า” ปู่ปาร์คพูด

“ไว้หนวดสั้นๆ ราว 30 มีหนวดสั้นๆ ซอ เวน ซอ เวน ซอ เวน....” นางคล้ายเสียสติ นั่งหลังพิงกำแพง เอาแต่พูดคำเดิมซ้ำไปมา “จะมีเรื่องเหมือนกันขนาดนี้ในโลกหรือ ใช่เขาหรือไม่ จะดีแค่ไหนถ้าวันนั้นข้าได้เห็นเขา

“ท่านแม่ อาจารย์ลูก อยู่บ้านเล็กๆ ที่เชิงเขาใกล้โรงเรียน ถ้าท่านแม่อยากเจอเขา ลูกจะไปเชิญมาที่นี่ ดีไม๊” เมื่อเห็นสีหน้ามารดาที่ผิดหวัง บกน้อยเสนอตัวช่วยแบบเหนียมๆ

“ใช่ เขายังไม่ได้มาทานอาหารเย็นตั้งแต่วันที่มาบ้านเราวันนั้น ทำไมเราไม่เชิญเขามาวันนี้อีกล่ะ ข้าจะไปเชิญเขาเอง” ปู่ปาร์คอาสา

“ไม่เหมาะสมที่จะส่งบกน้อยไปเชิญ สำหรับท่านก็ลำบากที่จะเดินไกลขนาดนั้น ข้าจะไป ข้าจะไปเอง” นางหยุดสักครู่แล้วลุกขึ้นยืน นางสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกไปสู่วันที่อากาศปลอดโปร่ง เป็นวันที่หาได้ยากในฤดูใบไม้ร่วง ปราศจากลมหนาวเหมือนเคย พระอาทิตย์ส่องลำแสงลงต้องพื้นดิน สาวงามนางหนึ่งกำลังเดินไปตามทาง ขณะเดินนางตกอยู่ในห้วงคิดวนเวียนอยู่กับความเป็นไปได้ “ใช่เขาไม๊นะ เป็นไปได้ไม๊ ซอ เวน ซอ เวน ถ้าใช่เขา ทำไมเขามาที่นี่ เขาแก้แค้นได้แล้วยัง ทำไมเขาไม่อยู่ที่ฮันยาง เขาทิ้งทุกอย่างที่นั่นแล้วหรือ แล้วถ้าไม่ใช่อย่างนั้นล่ะ แล้วถ้าเรื่องไม่เกี่ยวกับเขาเลยล่ะ เป็นไปได้หรือที่จะมีเรื่องเหมือนกันอย่างนี้ในโลก รอยแผลเป็นที่เดียวกัน ไว้หนวดสั้น อายุราว 30 ......” นางไตร่ตรองตลอดระหว่างทางจากบ้านไปยังเชิงเขา

ประตูหน้าบ้านเปิดอยู่ มีการเคลื่อนไหววุ่นวายอยู่ภายใน “ขอประทานโทษค่ะ นี่ใช่บ้านคุณชายซอหรือไม่คะ” หญิงสาวถามเบาๆ จากด้านนอกบริเวณลานเล็กหน้าบ้าน ด้วยดวงตาที่สุกสว่างชวนหลงใหล ทำให้ผู้ที่เห็นพากันอยากรู้ว่าความงามแบบไหนนะที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุม ผู้หญิงคนหนึ่งมองออกมาเมื่อได้ยินเสียงถาม แล้วเดินออกมาที่เฉลียงหน้าบ้าน

“อ๋อใช่ค่ะ นี่คือบ้านคุณชายซอ แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่บ้านค่ะ เขากับสามีข้าไปทำการค้าที่เมืองจีน ท่านคือ” ฮูหยินมินเพ่งพิจสาวสวยที่ยืนอยู่เบื้องหน้านาง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเสื้อคลุมตัวใหญ่ไม่สามารถซ่อนรูปร่างที่งดงามของนางได้ ทั้งหมดนี้ทำให้ฉงนว่า ทำไมถึงมีหญิงสาวที่งดงามอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างนี้

“เอ่อ ข้าคือ อืม ข้าเป็นเพื่อนเก่าของเขา เพราะว่า อืม ไม่มีอะไรสลักสำคัญหรอกค่ะ ข้ามาเยี่ยมเยียนเขาเฉยๆ” จองฮยางพูดตะกุกตะกัก เพราะไม่คาดว่าจะเจอผู้หญิงที่นี่

“อ่า สามีข้ากับคุณชายซอ สนิทกันเหมือนพี่น้อง เมื่อไม่นานมานี้สภาวะจิตใจเขาไม่ค่อยดี สามีข้าเลยชวนเขาไปเที่ยวพักผ่อนระยะสั้นๆ ที่เมืองจีน พวกเขาน่าจะกลับในอีกสองสามวันนี้แล้วล่ะ ข้าเห็นว่าวันนี้อากาศดีก็เลยพาคนที่บ้านมาช่วยเขาทำความสะอาดบ้าน” ฮูหยินมินตอบพลางมองนางด้วยความสนใจอย่างยิ่ง ยุนบกไม่เคยพูดเลยว่ามีเพื่อนเก่าอยู่ที่นี่ซักคน อย่าว่าแต่ หญิงสาวที่พูดได้ว่าทั้งสง่างามและสวยอย่างนี้

“อ้อค่ะ เป็นเช่นนั้นเอง ถ้างั้นข้าจะมาวันหลัง ขอประทานโทษที่มารบกวนนะคะ”จองฮยางกลับไปอย่างผิดหวังหลังจากที่ได้ยินคำตอบ

“ไม่เป็นไรค่ะ ข้าจะบอกเขาเมื่อเขากลับมา เดินกลับดีๆ นะคะ” ฮูหยินมินเดินออกไปที่สนามเล็กหน้าบ้าน จ้องมองรูปร่างที่งดงามเดินคล้อยหลังไป นางคิดในใจ ‘รูปร่างหน้าตาเช่นนี้ มารยาทเช่นนี้ คุ้นๆว่าเคยเจอที่ไหนสักแห่ง แต่มันที่ไหนกันล่ะ’

#จบตอนที่ 8#


Create Date : 03 ธันวาคม 2552
Last Update : 8 มกราคม 2553 15:42:50 น. 3 comments
Counter : 5714 Pageviews.

 
ให้กำลังใจ+ขอบคุนค่ะ


โดย: nattt IP: 61.90.14.127 วันที่: 6 ธันวาคม 2552 เวลา:21:20:09 น.  

 
Thank you very much for Shin Yoon Buk2.


โดย: doydoy IP: 110.164.60.127 วันที่: 7 ธันวาคม 2552 เวลา:2:22:04 น.  

 
ขอปิดคอมเม้นท์ทุกหน้านะคะ ไปใช้หน้าแรกหน้าเดียวค่ะ (ภาพวาดภาพที่ 1)


โดย: Won won IP: 125.26.193.243 วันที่: 8 ธันวาคม 2552 เวลา:10:14:02 น.  

albatross11
Location :
สุรินทร์ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 20 คน [?]




รักกันเพียงใดก็ต้องพลัดพราก หวงไว้เพียงใดก็ต้องจำจาก ข้ามาคนเดียวข้าไปคนเดียว ไม่มีใครเป็นอะไรของใคร ต่างคนมาต่างคนไป ยิ่งยึดยิ่งทุกข์ ปล่อยวางได้จึงเบาสบาย... เมื่อปัญญาแจ่มแจ้งจะสลัดคืน เมื่อมาจากดิน ท้ายที่สุดก็สลายกลายเป็นดิน ยึดเอาไว้ก็ได้แต่ทุกข์ตอบแทน อยากโง่ก็ยึดต่อไป คิดได้ก็วางเสีย พุทธทาสภิกขุ............ .............................. .............................. ความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจนั้น เป็นเรื่องทรมานยิ่ง และเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพรากก็เป็นสิ่งสุดวิสัย... ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ที่พอใจ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง...พุทธโอวาท --------------------------- พระราชดำรัส ในรัชกาลที่ 7 เมื่อทรงสละพระราชสมบัติ เพื่อประชาชน ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฎรทั่วไป ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจโดยสิทธิ์ขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร
New Comments
Friends' blogs
[Add albatross11's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.