... มาแว้วๆ ***ยอดรักนักศิลป์ตอนที่ 26 ทางรอด *** OG 2 ตอน13-ตอนจบ** **คลิกอ่านทุกเรื่องได้ที่เมนูด้านซ้ายเลยจ้า.. ^_^
“ความทุกข์-หากเล่าสู่กันฟังจะลดลงครึ่งหนึ่ง ส่วนความสุข-ถ้าเราแบ่งปันมันจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า” ขอบคุณลูกบล็อกทุกท่านที่ร่วมสร้างบล็อกแห่งความสุขนี้ขึ้นมา อยากให้พื้นที่ในบล็อกแห่งนี้ได้เป็นที่แบ่งปันทุกข์และสุขร่วมกัน จะไม่มีรักรูปแบบใดที่เป็นไปไม่ได้ ณ ที่แห่งนี้....วอนวอน
Group Blog
 
 
ธันวาคม 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
3 ธันวาคม 2552
 
All Blogs
 
ภาพวาดภาพที่ 4 หญิงสาวชื่อ โม รยอน

ชินยุนบก
ภาพวาดภาพที่ 4 – หญิงสาวชื่อ โม รยอน

ยุนบกชอบบ้านพักที่ฮูหยินมินจัดไว้ให้มาก ความสะดวกสบายและเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ดอกของเถาไม้เลื้อยหลากสีสันกำลังเบ่งบานอยู่บนรั้วเตี้ยๆ ต้นหลิวเอนไหวพลิ้วล้อลมหน้าร้อน เมื่อเปิดประตูหน้าบ้านออกไปก็จะเจอสนามหญ้า ด้านซ้ายของที่พักเป็นห้องพักเล็กๆ ส่วนห้องทางด้านขวา สำหรับทำงานวาดภาพ ในช่วงเวลาดีเช่นนี้ ยุนบกนอนเหยียดกายบนระเบียง ชมพระจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า หลังจากที่รอนแรมมาหลายปี ไม่เคยมีช่วงเวลาใดเลยที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างขณะนี้ หลังจากที่ดื่มด่ำกับความสุขได้ชั่วครู่ ความรู้สึกเศร้าก็เข้ามาแทนที่ในหัวใจเขาอีกแล้ว แม้ว่า ตอนนี้เขาจะแก้แค้นสำเร็จแล้วก็ตาม เขาก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความกลัว กลัวความจริงเรื่องตัวเองจะถูกเปิดเผย กลัวว่าพระอัยยิกา จองซุน จะยังคงตามหาตัวเขาอยู่ กลัวที่จะประทับตราชื่อของตัวเองลงบนภาพเขียน กลัวการถูกจับกุม เฮ้อ..มันช่างเหนื่อยเหลือเกิน

เขาเริ่มสงสัยว่า พ่อแม่บุญธรรมสุขสบายดีไหมนะ อาจารย์มีหญิงใดอยู่เคียงข้างแล้วหรือยัง แล้วจองฮยางล่ะ มีความสุขดีไหม แล้วยุนบกก็คิดว่า “นางต้องเป็นภรรยาและแม่คนแล้วสินะ” อดีตที่ผ่านมาสร้างความทรงจำอันเจ็บปวดมากมาย เขาผงกหัวขึ้นมาพร้อมกับยกเหล้าขึ้นซด น้ำตาไหลรินจากหางตา ดื่มให้เมามายไปเลย ทุกครั้งที่เขาคิดถึงอดีต เขาไม่สามารถที่จะกำจัดความรู้สึกที่เลวร้ายออกไปได้เลย เหล้าเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เขาลืมทุกสิ่ง จำได้เพียงคนรักเพียงคนเดียวของเขาเท่านั้น เมื่อเมาแล้วก็จะทำให้เขานอนหลับสบาย เขาเริ่มสัปหงกและม่อยหลับไปบนเสื่อไม้ไผ่

ข้าอยู่ที่ไหน ยุนบกไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ใด ขณะที่เขาเดินไปตามถนนแคบๆ หมอกที่ลงหนาจัดทำให้เขามองไม่เห็นว่าเส้นทางที่เดินอยู่จะพาเขาไปไหน มีเพียงแสงไฟสลัวๆอยู่ข้างหน้า และเข้าก็ค่อยๆก้าวเข้าไปทีละนิด จนกระทั่งมีแสงสว่างปรากฎจ้าขึ้นมา สำนักศิลป์นั่นเอง ปะรำพิธีที่คุ้นเคย หน้าตาที่คุ้นตา เพื่อนร่วมห้องที่กำลังจับกลุ่มคุยกัน โอ้ ทำไมข้าจึงมาอยู่ที่นี่ ยุนบกตกใจและรีบหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว

“ยุนบก ยุนบก” เสียงคุ้นหูกำลังเรียกชื่อเขา


“พี่ชาย” ยุนบกหันไปและเห็นยองบกกำลังโบกมือให้ เขาจึงรีบวิ่งไปหาพี่ชายพร้อมกับบอกว่าเขาคิดถึงพี่มากเพียงไร น้ำตาของยุนบกเริ่มไหลริน น้ำตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก คละเคล้ากันระหว่างความสุขและเจ็บปวด
ยองบกยังคงยิ้มและถามว่ายุนบกจะไปไหน ถ้าไปห้องน้ำก็อย่าไปนานนะ พี่ชายค่อยๆ ช่วยน้องเช็ดน้ำตา ยุนบกก้มหัวลงต่ำ กุมมือพี่ชายเอาไว้ และบอกว่าเขาคิดถึงพี่ชายมากขนาดไหน ทันใดนั้น มือนั้นก็หายไปพร้อมๆ กับยองบกและเพื่อนร่วมชั้นเรืยนของเขา เมื่อเขาหมุนตัวไปรอบๆ เขาก็รู้สึกว่าเขายืนอยู่นอกพระราชวังเพียงลำพัง “พี่ชาย พี่ชายอยู่ที่ไหน”

ทันวอนกำลังพยายามดิ้นรนให้พ้นจากการจับกุมของทหาร พลางร้องตะโกน “ฝ่าบาท” ยุนบกวิ่งเข้าไปช่วยเขาให้พ้นจากการจับกุม เขาเห็นชัดเจนกระทั่ง เลือดที่ซึมมาจากผ้าพันแผลรอบมือขวาของเขา ทันวอนเหลือบมาเห็นยุนบก เขาผลักยุนบกออกห่าง แล้วบอกให้วิ่งหนีไป ยุนบกไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยอาจารย์ได้อย่างไร ความกลัวจับเข้าขั้วหัวใจ เขาเริ่มออกวิ่ง ก้มหัวต่ำในขณะวิ่งไปจนสะดุดหกล้มบนก้อนหินบาดเจ็บ เลือดไหลออกมาจากแผลเก่า เขาไม่รู้สึกเจ็บปวด กลับเป็นความรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาจับใจ เขานั่งอยู่ตรงนั้น เหม่อมองมือขวาของตัวเอง

“ช่างเขียน โธ่ ช่างเขียน มือท่านบาดเจ็บมาอีกแล้ว ท่านก็ยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้เหมือนเคย เขาเงยหน้ามองจองฮยางที่กำลังส่งยิ้มมาให้

“จองฮยาง” ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ แล้วตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหน เขาถามอย่างเลื่อนลอย

“ข้ากำลังรอท่านค่ะ ช่างเขียน” นางเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วค่อยๆ บรรจงทำความสะอาดมือของเขา

“เราอยู่ที่หอนางโลม ข้าจะถูกขายไปพรุ่งนี้ ทำไมท่านมาช้านักคะ ท่านไม่ต้องการข้าอีกแล้วหรือคะ” นางร้องไห้ ยุนบกรีบจับมือนางพลางขอร้องว่า “ไม่ไปได้ไม๊” เขาพยายามเข้ามาสวมกอดจองฮยาง

“โอ้ย” ยุนบกร้องเมื่อร่างเขากลิ้งตกลงไปที่พื้นระเบียง เมื่อลุกขึ้นนั่งได้ เขาก็ตระหนักว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน มีเสียงขวดเหล้าโดนกระแทกหล่นลงพื้น บางทีเขาอาจจะปัดมันหล่นลงไป มือของเขาจึงทั้งเปียกทั้งเย็น ตั้งแต่จากฮันยางมา 7 ปี มีบางครั้งที่เขาตกใจตื่นเพราะฝันร้ายแบบนี้ เศษเล็กเศษน้อยของความทรงจำที่เลวร้าย ยังคงผสมปนเป ปะติดปะต่อกัน กลุ้มรุมเข้ามาหลอกหลอนเขา “เมื่อไรข้าจะสามารถเป็นอิสระจริงๆ ได้ซะที” เที่ยงคืนแล้ว เขายังนอนลืมตาโพลง ไม่สามารถหลับตาลงได้ คืนนี้เป็นคืนที่แสนจะเงียบสงบ มีเพียงเสียงของเหล่าแมลง ให้ได้ยิน แสงจันทร์ส่องสว่าง เขาตัดสินใจออกไปเดินเล่นข้างนอก

*
บกน้อยรู้ตัวดีว่าเขาแย่แน่คราวนี้ เขาไปมีเรื่องต่อยตีกับลูกพี่ลูกน้องมา ตอนนี้เขากำลังคุกเข่าขอโทษต่อหน้าแม่ของเขาที่กำลังโกรธอย่างหนัก นางเอาคายากึมมาปัดฝุ่นโดยไม่สนใจใยดีบกน้อย พวกเขาทะเลาะกันเพราะญาติของเขามาหาว่าเขาเป็น ไอ้คนเถื่อน ไอ้ลูกไม่มีพ่อ หนำซ้ำแม่แกก็เป็นผู้หญิงไม่ดีอีก ยุมบกโมโหเพราะพ่อแม่เขาไม่ได้เป็นอย่างนั้น เขาพยายามที่จะอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง แต่นางก็ตอบกลับไปว่า แม้คนอื่นจะผิดก็ตาม เขาก็ไม่มีสิทธิ หรือสมควรจะใช้กำลังในการแก้ปัญหา และให้เขาสัญญาว่า ต่อไปจะไม่ต่อสู้กับใครอีก เมื่อยุนบกยอมรับผิดและสัญญาว่าจะไม่ใช้กำลังกับใครอีก นางจึงพาเขาเข้านอน

ปู่ปาร์คพยายามสงบศึกระหว่างจองฮยางกับลูก และขอร้องนางว่าอย่าทำอะไรรุนแรงกับลูก นางบอกว่าถ้านางไม่สอนให้เขาเป็นคนดี มีคุณธรรม ต่อไปเบื้องหน้านางคงไม่มีหน้าไปพบ..... ที่ตายไป นางหยุดพูดก่อนจะจบประโยค ปู่ปาร์คคิดไปเองว่านางหมายถึงคนรักที่ตายไปแล้วของนาง

เขาสนับสนุนให้นางคิดเรื่องการแต่งงานใหม่กับพ่อค้ารวยๆ ที่พี่สะใภ้นางแนะนำ ซึ่งจะทำให้บกน้อยมีชีวิตที่ดีกว่านี้ นางปฏิเสธข้อเสนอ บอกว่าตอนนี้นางก็มีชีวิตที่ดีพอสมควรแล้ว และไม่ต้องการอยู่กับคนที่นางไม่ได้รัก นางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่กลางฟ้า พานางหลงเข้าไปในความทรงจำอีกครั้ง “ท่านทำให้ข้าเรียนรู้ว่า ยังมีคนที่ให้ความรักหญิงต่ำต้อยเช่นข้าได้อย่างเต็มหัวใจ ท่านสบายดีอยู่ใช่ไหมคะ ขออนุญาตเล่นเพลงนั้นให้ท่านฟัง เพลงที่ข้าหวังให้ท่านได้ยินเป็นที่สุด”

พี่สะใภ้ของจองฮยาง บ่นกับสามีนางอีกแล้วว่า จองฮยางทำตัวเหมือนเป็นหญิงสาว ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นแม่ม่าย ปาร์คแดฮีเสียใจที่ฮูหยินเขาพูดเช่นนั้น จึงบอกนางให้เอาเงินมัดจำที่รับมาจากเศรษฐีที่ต้องการแต่งงานกับจองฮยางไปคืนเขาซะ ฮูหยินของเขาไม่พอใจ เลยพาลหันไประบายอารมณ์ใส่ลูกชายว่า โง่ที่ไปโดนลูกพี่ลูกน้องเขาต่อยมา

บนถนนที่เงียบสงัดในเมือง ยุนบกได้ยินเสียงเพลงจากคายากึมลอยมา เพลง Dong Chon Nion Lo, Han Jang. นี่ เขาพึมพำกับตัวเอง ยังจำท่วงทำนองของเพลงนี้ได้เป็นอย่างดี “ ในเมืองเล็กๆ แบบนี้ ใครเล่นดนตรีชิ้นนี้ได้เพราะเช่นนี้นะ” เขานั่งฟังเพลงเงียบๆ อย่างมีความสุขใต้ต้นไม้ 8 ปีแล้วสินะ ตั้งแต่สาวงามผู้นั้นยินดีมอบทุกอย่างให้เขา “เจ้ายังเล่นคายากึมอยู่ไม๊ เจ้าคงเล่นให้คนรักเจ้าฟังสินะ”

ภาพวาดภาพที่ 4 -- มารดาของบกน้อย

หลายเดือนต่อมา ยุนบกคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องที่อยู่อาศัย อาหารและเสื้อผ้าอีกต่อไปแล้ว เขารู้สึกมั่นคงและ ได้รับการดูแลจากครอบครัวของฮูหยินมินเป็นอย่างดี เขาได้รับความอบอุ่น และรู้สึกสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตอนนี้ เขามีความสุขกับการสอนศิลปะ ดื่มกิน และเรียนรู้ชีวิตจากฮูหยินมิน ความอบอุ่นที่ได้รับจากเพื่อนใหม่ทำให้ความรู้สึกเจ็บปวดมันค่อยๆ เลือนหายไป อีกทั้งเขายังพบว่า ตัวเองมีความผูกพันกับยุมบกมากขึ้น เด็กน้อยคนนี้ตั้งใจเรียนและมีความรับผิดชอบสูงมาก ในวันแรกของการเรียน เขาดูมีความกระตือรือร้นและใส่ใจในบทเรียน เมื่อให้เขาวาดภาพขึ้นมาภาพหนึ่ง เขานั่งไตร่ตรองสักพักหนึ่ง โดยที่ยังไม่จุ่มแปรงให้เปียกน้ำ ซึ่งทำให้ยุนบกต้องถามถึงเหตุผลที่ทำเช่นนั้น และเขาก็รู้สึกประทับใจกับคำตอบของลูกศิษย์ตัวน้อยมาก ยุมบกอธิบายว่า เขาจะต้องแน่ใจจริงๆก่อนว่าจะวาดอะไร ก่อนที่จะวาดลงบนกระดาษ อุปกรณ์การวาดภาพมันแพงมาก เขาจำเป็นจะต้องประหยัด เพราะแม่ต้องทำงานหนักเพื่อจะซื้ออุปกรณ์เหล่านี้ให้เขา และมันก็จะเป็นการดีกว่า ถ้าเขาฝึกวาดรูปลงบนโต๊ะด้วยน้ำเปล่า ยุนบกยิ้มพร้อมกล่าวว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วที่ทำเช่นนั้น ยุมบกรู้สึกอิ่มเอมใจมาก เมื่อได้รับการสอนและได้รับกำลังใจจากครูผู้สอน ในที่สุด หลังเลิกเรียน เขาก็เริ่มไปที่บ้านของยุนบกเพื่อเรียนรู้และพัฒนาฝีมือการวาดภาพของเขา

ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีพร้อมจะร่วงหล่น ฤดูใบไม้ร่วงใกล้เข้ามาทุกขณะ วันหนึ่ง ยุนบกให้นักเรียนวาดรูปนก มิน ยักซอง ลูกของจุงโฮ วาดรูปนกอินทรีที่ดุดัน แข็งแกร่ง เกาะอยู่บนหน้าผา ซึ่งจากภาพวาดดังกล่าวแสดงให้เห็นถึง บุคลิกที่มั่นใจและองอาจของเด็กคนนี้ ส่วนบกน้อยวาดภาพแม่นกกำลังคาบอาหารกลับมาให้ลูกน้อย เขาบอกว่า นกน้อยต้องโตเร็วๆ เพื่อที่โตขึ้นมันจะได้ดูแลแม่ของมันได้ ยุนบกเข้าใจถึงความปรารถนาที่ซ่อนอยู่ของนักเรียนตัวน้อยของเขา และรู้สึกเห็นใจเด็กคนนี้ยิ่งนัก ส่วนเด็กอีกคน ญาติของบกน้อย วาดเพียงจุดเพียงจุดเดียวลงบนกระดาษ เพราะแม่ของเขาบอกว่า การวาดภาพเลี้ยงปากท้องไม่ได้ เขาตั้งใจเข้าเรียนเพื่อเขียนและอ่านให้ได้เท่านั้น หลังจากเลิกเรียน ยุมบกไปที่บ้านของอาจารย์เพื่อขอโทษแทนญาติของเขาที่ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม ทำให้ยุนบกมั่นใจว่า เด็กคนนี้ได้รับการเลี้ยงดูสั่งสอนมาเป็นอย่างดี แล้วเขาก็สังเกตุเห็นว่า ขนแปรงพู่กันวาดภาพของบกน้อยเริ่มบางลง หลังจากที่ใช้งานมานาน วันรุ่งขึ้น เขาจึงไปตลาดเพื่อซื้อกระดาษ และพู่กันให้กับลูกศิษย์คนนี้

หลังเลิกเรียนในวันนั้น บกน้อยก็ไปที่บ้านอาจารย์ตามปกติ ยุนบกเงยหน้าขึ้นเมื่อเขาได้ยินเด็กน้อยเรียกและกำลังเดินเข้ามา เขายิ้มและกวักมือเรียก “ยุมบก เข้ามาเร็วๆสิ ข้าซื้อแปรงวาดภาพชุดใหม่และหมึกจากตลาด มาให้เจ้าด้วย” ยุมบกแสดงอาการดีใจมาก แต่แล้วก็สลดลง

“ขอบพระคุณมาก แต่ข้าคงรับไว้ไม่ได้ แม่สอนไว้ว่า ห้ามข้ารับของจากคนอื่นโดยไม่ได้ให้ของตอบแทน”

“เอาหล่ะ ถ้าเช่นนั้น ข้าก็มั่นใจได้ว่า เจ้าสามารถรับของพวกนี้ไปได้ เพราะข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า” ยุนบกกล่าว


แต่บกน้อยยังคงยืนกรานจะหาของมาตอบแทน ก่อนที่จะรับกระดาษและพู่กันนั้นมา เด็กน้อยมอบผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดให้เป็นของแลกเปลี่ยนแก่ยุนบก ลายบนผ้าเช็ดหน้าเป็นภาพปักรูปผีเสื้อเกาะอยู่บนดอกโบตั๋น เมื่อได้เห็นภาพนั้น ยุนบกหวนระลึกไปถึงคำพูดที่เคยพูดกับจองฮยางที่ร้านขายผ้าในวันนั้น เขายิ้มให้เด็กน้อยและกล่าวว่า ช่างเป็นของขวัญที่วิเศษจริงๆ และทำให้ลูกศิษย์และอาจารย์เปลี่ยนสถานะมาเป็นเพื่อนกัน เด็กชายพึงพอใจมากและแบ่งเค้กข้าวให้อาจารย์กินด้วยกัน พวกเขาใช้เวลาในช่วงบ่ายด้วยกันอย่างมีความสุข จากการที่ได้พูดคุยกัน ทำให้ยุนบกรู้ว่าพ่อของบกน้อยเสียชีวิตก่อนเขาเกิด และเรื่องราวเกี่ยวกับสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ ของเขา อีกทั้งครอบครัวนี้มีรายได้หลักจากการรับจ้างเย็บผ้าของแม่เพียงคนเดียว ทั้งหมดนี้ ยุนบกจึงเข้าใจได้ว่า ด้วยวัยเพียงเท่านี้ ทำไมเด็กชายคนนี้จึงมีความเต็มอกเต็มใจที่จะทำทุกอย่างตลอดเวลาเหมือนผู้ใหญ่

ภาพวาดภาพที่ 4 – ผู้หญิงชื่อ โม รยอน กับ เสื้อผ้าอบอุ่นสำหรับฤดูหนาว

“โอ้ว ลงอีกแล้ว ฮะฮ่าฮ่า” ฮูหยินมินตบมือพร้อมกับเชียร์สามีของนาง ขณะที่จุงโฮกำลังเล็งเพื่อโยนลูกดอกอีกดอก โดยทีมีชอนซังยืนอยู่ข้างๆ ด้วยอาการไม่เป็นสุข

“ไม่แน่นะ พี่สาว เราอาจจะตามทันก็ได้ น้องซอ รีบวาดภาพให้เสร็จเร็วๆ เราจะได้ร่วมมือกันจัดการเขา” เขาบอกช่างเขียนที่กำลังวาดภาพช่วงเวลาแห่งความสุขนี้

ที่บ้านพักหลิวเขียว ฮูหยินมินกำลังเล่นเกมส์กับซอนซังและครูสอนวาดภาพ ซอ (ยุนบก) หลังจากที่ดื่มกันมาสักพัก พวกเขาเริ่มเล่นเกมส์โยนลูกดอก โดยที่โยนลูกดอกไปที่แจกันใบใหญ่ ซึ่งวางห่างจากผู้เล่นออกไปไม่กี่ฟุต ใครที่สามารถโยนลูกดอกลงไปในแจกกันใบเล็กที่เปิดอยู่ได้มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ ครอบครัวมินจะต้องฝึกฝนมามาก เพราะพวกเขาโยนลูกดอกลงแทบทุกดอก ส่วนชอนซังที่ฝึกมาเป็นอย่างดีเช่นกัน คิดว่า เขาจะต้องชนะอย่างแน่นอน แต่กลายเป็นว่าเขากำลังจะแพ้ และทำให้ใบหน้าเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง จึงหันไปเร่งยุนบกให้วาดภาพเสร็จเร็วๆ เพื่อที่จะมาเป็นช่วยเขาในเกมส์นี้

“เสร็จแล้วขอรับ พี่มิน ช่วยดูรูป 'Play Tuho Under the Forest'.ให้หน่อยขอรับ คราวนี้เป็นตาข้าบ้างแล้ว” ยุนบกส่งรูปที่เพิ่งวาดเสร็จไปให้จุงโฮ และม้วนแขนเสื้อขึ้นเตรียมพร้อมที่จะเล่นเกมส์ แต่เนื่องจากเขาไม่เคยเล่นเกมส์นี้มาก่อน เขาจึงโยนลูกดอกลงเพียงดอกเดียวจากห้าดอก



“โอ้ ตายแล้ว ตายแล้ว เป็นความผิดของข้าเอง หนอนหนังสือที่ไม่ได้ความ ฮ่าฮ่า ข้าคงใช้คนผิดแล้วล่ะ น้องซอ ดูเหมือนว่า มือที่ใช้วาดภาพของเจ้าจะควบคุมลูกดอกไม่ได้เลย ตานี้เราแพ้อีกแล้ว ฮ่าฮ่า ตอนแรกข้าคิดว่า เราจะเอาชนะคืนได้ซะอีก แต่กลายเป็นว่ามันกลับแย่กว่าที่ข้าเล่นเองเสียอีก” ชอนซังอดไม่ได้ที่จะล้อยุนบก ที่กำลังยิ้มแหยๆ ได้แต่ดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก

“ท่านทั้งสองเหมือนกับหม้อที่เรียกว่ากาต้มน้ำดำ (สำนวนในภาษาจีนหรือเกาหลีน่าจะเทียบได้กับเตี้ยอุ้มค่อม – ไม่แน่ใจนะคะ ติดไว้ก่อน-ผู้แปล ) แม้ว่าข้าจะต้องพูดว่าทักษะการวาดภาพของน้องซอ ดีกว่าทักษะการต่อสู้มากมาย” จุงโฮยังคงดื่มด่ำชื่นชมกับภาพวาดอันน่ามหัศจรรย์ของยุนบกที่เพิ่งวาดเสร็จ

“น้องซอ ท่านได้ผ้าเช็ดหน้ามาจากไหนรึ” ฮูหยินมินถามด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากรูปปักบนผ้าผืนนั้นมันเตะตานางยิ่งนัก
“อ๋อ ผ้านี่น่ะหรือ เพื่อนตัวน้อย นักเรียนเขียนภาพศิษย์โปรดของข้าเป็นคนให้มา มีอะไรหรือ ท่านรู้หรือขอรับว่าใครเป็นเจ้าของผ้าผืนนี้” ยุนบกมองผ้าเช็ดหน้าผืนดังกล่าวและบอกว่ามันเป็นของขวัญจากบกน้อย “ข้าสังเกตเด็กชายคนนี้ในห้องเรียน เห็นว่าเขามีความคิดเป็นผู้ใหญ่มาก รู้มาว่าครอบครัวของเขายากจน เขาใช้กระดาษและหมึกด้วยความระมัดระวังมาก เพราะกลัวว่าจะสิ้นเปลือง ข้าก็เลยซื้ออุปกรณ์ใหม่ให้เขา และเขาก็ทำให้ข้าประหลาดใจมาก เพราะเขาไม่ยอมรับของที่ข้าซื้อให้ ไม่ยอมจนกระทั่งข้าบอกว่า มันเป็นของขวัญแลกเปลี่ยนกันระหว่างเพื่อน แล้วในที่สุดเขาก็ยอมรับมัน แต่ก็ได้ให้ผ้าผืนนี้มาเป็นการตอบแทน”

“จริงหรือ แม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นเช่นนั้น” ฮูหยินมินนั่งลงบนเสื่อ และดูเหมือนว่านางจะเข้าใจภาพทั้งหมดแล้ว

“ท่านรู้จักแม่ของเด็กคนนี้หรือขอรับ” ยุนบกถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ข้าไม่รู้จักนางโดยตรง แต่ข้าชื่นชมในตัวนางมาก ได้ยินมาว่า นางเป็นหม้าย เลี้ยงดูลูกด้วยการรับจ้างเย็บผ้า การใช้ชีวิตกับพ่อแก่ๆและลูกน้อยไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่หญิงผู้นี้ก็มีความเป็นตัวของตัวเองสูง และไม่ทราบด้วยเหตุใดพวกเขาดูเหมือนจะมีชะตาต้องกันกับท่าน” ฮูหยินมินยิ้ม

“ทำไม ท่านจึงคิดเช่นนั้น” ยุนบกรู้สึกทึ่ง

“จำเสื้อผ้าและผ้าห่มผืนใหม่ของท่านได้ไหม นางเป็นคนเย็บทั้งหมด ข้าคิดว่า การที่ท่านอยู่เป็นโสดทำให้ท่านไม่มีคนคอยปะชุนเสื้อผ้าที่ขาดของท่าน ข้าก็เลยไปว่าจ้างหญิงรับจ้างเย็บผ้าให้ตัดเสื้อให้ท่านใหม่ โดยวัดจากเสื้อผ้าเก่าของท่าน ชายแก่ขากระเผลกและหลานของเขาเป็นคนนำเสื้อผ้านั้นมาส่ง ชายแก่บอกว่า หญิงสาวผู้นั้นไม่ค่อยได้ออกไปไหน เมื่อนางเย็บเสื้อผ้าของท่านเสร็จเรียบร้อยดี ข้ารู้สึกเห็นใจครอบครัวของนางมาก ข้าจึงได้ให้เงินเพิ่มไปอีก อย่างไรก็ตาม เด็กชายผู้นั้นกลับนำเงินดังกล่าวมาคืนและบอกว่าแม่จะรับเงินเท่าจำนวนที่ตกลงกันไว้เท่านั้น ไม่รับมากกว่านั้น ข้ารู้สึกชื่นชมนางเป็นอย่างมากและบอกไปว่า เงินนั่นเป็นเงินมัดจำสำหรับผ้าเช็ดหน้าผ้าไหม และเป็นไปตามคาด เด็กน้อยคนนั้นก็เอาผ้าเช็ดหน้ามาส่งให้พร้อมกับข้อความสั้นๆ ดูสิ” นางดึงผ้าเช็ดหน้าไหมออกมา แม้ว่าจะเป็นผ้าคนละชนิดกัน แต่บนผ้าเช็ดหน้ากลับมีลายที่เป็นรูปผีเสื้อเกาะอยู่บนดอกโบตั๋น อยู่ตรงมุมผ้า เหมือนกัน

“นางขอบคุณข้าที่ให้นางเย็บผ้าให้ ใช่ว่านางจะไม่เข้าใจในความปรารถนาดีของข้า แต่นางต้องการให้บุตรชายของนางเรียนรู้ว่า เขาต้องทำงานเพื่อที่ได้เงินเป็นการตอบแทนมา ไม่ใช่คอยแต่แบมือขอ ข้าเคารพในตัวหญิงผู้นี้นัก นับจากนี้ ข้าจะพยายามหางานที่ต้องตัดเย็บส่งไปให้นาง เสื้อผ้าและเครื่องนอนหน้าหนาวของท่านเพิ่งจะเย็บเสร็จและส่งมาถึงวันนี้เอง” ฮูหยินมินได้อธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวกับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นจนหมดสิ้น

ยุนบกพยักหน้าเห็นด้วย “จริงๆ ด้วยต้องเป็นครอบครัวนั้นแน่ๆ เด็กชายคนนั้นชื่อ ปาร์ค ยุมบก”

“ข้าพูดได้ว่า นางต้องเป็นหญิงที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี ในนิทานจีนโบราณ แม่จะต้องย้ายบ้านสามครั้งเพื่อที่จะทำให้มั่นใจว่า ลูกชายได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างถูกต้อง(ดูคำอธิบายตอนท้ายค่ะ-ผู้แปล) แต่ข้าพนันได้เลย เด็กชายคนนี้ที่มีแม่เช่นนางจะโตขึ้นมาอย่างดี ถ้าไม่ประสบความสำเร็จใหญ่โต อย่างน้อยเขาก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ดี” จุงโฮพยักหน้าเห็นด้วย

“ข้าคิดว่า เสื้อผ้าเหล่านั้นฮูหยินมินเป็นคนเย็บให้ข้า และข้าก็ยังไม่ได้ขอบคุณท่านเลย” ยุนบกกล่าวยิ้มๆ เขาซาบซึ้งต่อความเมตตา และการดูแลเอาใจใส่ของ ฮูหยินมิน

“พี่สาวมินของท่าน เย็บผ้าไม่เก่งหรอก แม้ว่าทั้งสองอย่างล้วนต้องมีทักษะในการใช้เข็ม ทว่าเข็มที่ใช้ในทางการแพทย์ย่อมต่างจากเข็มที่ใช้เย็บปัก” ฮูหยินมินกล่าวยิ้มๆ กึ่งล้อเลียน


“โอ้ะ โอ ถึงพี่สาวของท่านจะไม่เคยชอบการเย็บปักถักร้อยเลย แต่นางมีความรู้ด้านการแพทย์นะ นางเรียนด้านการฝังเข็มและสมุนไพรต่างๆ เมื่อเรายังเด็ก เราเข้าใจกันว่า โตขึ้นข้าจะเป็นข้าราชการที่ดี และนางก็จะเป็นหมอที่เก่ง ข้าจะดูแลปกป้องประเทศชาติของเรา และนางก็จะผู้ดูแลผู้คน แม้ว่านางอาจจะเป็นหมอไม่ได้ แต่นางก็ยังสามารถดูแลผู้คนเหล่านั้นที่ไม่มีเงินจะจ่ายค่ายาได้ พวกเราโชคร้ายที่ไม่ได้เดินตามความฝันของเรา ข้าฝังใจกับการตายของพ่อข้า และไม่ต้องการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองอีกต่อไป ส่วนก็นางต้องถูกบังคับให้ย้ายมาอยู่ในเมืองเล็กๆกับข้า และใช้ชีวิตอย่างธรรมดา” จุงโฮมองภรรยาของเขาด้วยความรู้สึกผิดหวังกับความล้มเหลวของเขา


“เราเลิกคุยเรื่องวันเก่าๆ เถอะ ข้าอยากจะบอกว่า น้องซอควรจะหาภรรยามาดูแลท่านได้แล้ว และถ้าท่านมีภรรยาเป็นตัวเป็นตน ฮูหยินคงจะไม่ต้องเป็นกังวลกับเรื่องนี้อีกต่อไป” ชอนซังบอกกับยุนบก หยอกล้อเขาเพื่อให้ทุกคนหลุดพ้นจากบรรยากาศเครียดๆ

“อึ่ม เอ่อ ข้าก็มีความสุขดีแล้ว ข้าเอ่อ..” ยุนบกกล่าวอย่างอึดอัดใจ

“เอาเรื่องนี้มาพูดก็ดีเหมือนกัน แล้วเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เรากำลังตามหาจากซองดู มีอะไรคืบหน้าหรือไม่” ฮูหยินมินตีหัวน้องชายนาง

“อุ้ย ต้องขอโทษน้องซอด้วย ข้ายังไม่เจอนางเลย แต่ข้ากำลังจะไปซองดูอีกไม่กี่วันนี้ ตอนนี้ ข้าจะตามหารอบนอกเมืองซองดูด้วย ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่” ชอนซังให้สัญญา

“ขอบคุณ ขอบคุณมาก” ยุนบกรู้สึกผ่อนคลายมากที่ฮูหยินมินช่วยเปลี่ยนประเด็นให้

คืนนั้น เมื่อยุนบกกลับมาบ้าน อากาศที่เย็นลงทำให้เขารู้สึกหนาวมาก เขาจึงซุกกายเข้าไปในผ้าห่มอุ่นผืนนั้น อ่า ช่างแสนอุ่นสบายอะไรอย่างนี้ เขาคิดไปถึงเรื่องที่ฮูหยินมินพูด “ต้องเป็นพวกเขาแน่ๆ ชายชราคนนั้นชื่อ ปู่ปาร์ค และลูกสาวชื่อ ปาร์ค โม รยอน
โม รยอน ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะยิ่งนัก หนำซ้ำมือทั้งสองมีทักษะการตัดเย็บที่ดีเยี่ยมอีก” ยุนบกเอามือซุกเข้าไปใต้หมอน และดึงผ้าโพกหัวให้หลุดออกมา ผ้าโพกหัวที่จองฮยางได้ให้เขาไว้เมื่อแปดปีก่อน “ข้าไม่รู้ว่า เจ้าสุขสบายดีหรือไม่ ไม่แน่ใจว่าเจ้าใช้ชีวิตอยู่เช่นไร เจ้าแต่งงานไปแล้วหรือยัง และเขาคนนั้นมองเห็นค่าของเจ้าเหมือนที่ข้าเห็นไหมนะ” ยุนบกรู้สึกง่วงงุนเมื่อคิดถึงจองฮยาง

#ตอนที่ 4#

แม่จะต้องย้ายบ้านสามครั้งเพื่อที่จะทำให้มั่นใจว่า ลูกชายได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างถูกต้อง(, the mother moved three times
to ensure the son is properly raised.)

มาจากจากชีวประวัติของเม่งจื้อ ที่สูญเสียพ่อและแม่ต้อง
ย้ายที่อยู่ถึง 3 ครั้ง
"เม่งจื๊อ (ก่อนค.ศ. 390-ก่อนค.ศ. 305) กำพร้าบิดา
ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ เดิมทีบ้านของเม่งจื๊ออยู่ใกล้สุสาน
เม่งจื๊อและเพื่อนมักจะเล่นฝังศพกัน มารดาของ
เม่งจื๊อรู้สึกว่าไม่ดี จึงย้ายบ้านไปอยู่ใกล้ตลาด
เม่งจื๊อก็เล่นเป็นพ่อค้าลูกค้าต่อรองราคากัน มารดา
ของเม่งจื๊อก็เห็นว่าไม่เหมาะสมจึงย้ายบ้านอีกครั้งไป
ที่ใกล้โรงเรียน เม่งจื๊อก็หัดเป็นนักเรียนหัดมีมารยาท
มารดาของเม่งจื๊อดีใจมาก จึงตัดสินใจอยู่ที่นี่อย่าง
ถาวร --- คุณ ppp ลูกบล็อกหามาให้ค่ะ



Create Date : 03 ธันวาคม 2552
Last Update : 6 มกราคม 2553 19:23:12 น. 3 comments
Counter : 4488 Pageviews.

 
มาอ่านบทที่4 แล้วค่า :) ขอบคุณที่แปลออกมาได้ละเมียดละไมดีมากๆ เลยค่ะ


โดย: วิเคราะห์ด้วยคน IP: 110.164.102.26 วันที่: 4 ธันวาคม 2552 เวลา:0:21:15 น.  

 
Thank you very much for Shin Yoon Buk2.


โดย: doydoy IP: 110.164.60.127 วันที่: 7 ธันวาคม 2552 เวลา:2:20:58 น.  

 
ขอปิดคอมเม้นท์ทุกหน้านะคะ ไปใช้หน้าแรกหน้าเดียวค่ะ (ภาพวาดภาพที่ 1)


โดย: Won won IP: 125.26.193.243 วันที่: 8 ธันวาคม 2552 เวลา:10:12:10 น.  

albatross11
Location :
สุรินทร์ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 20 คน [?]




รักกันเพียงใดก็ต้องพลัดพราก หวงไว้เพียงใดก็ต้องจำจาก ข้ามาคนเดียวข้าไปคนเดียว ไม่มีใครเป็นอะไรของใคร ต่างคนมาต่างคนไป ยิ่งยึดยิ่งทุกข์ ปล่อยวางได้จึงเบาสบาย... เมื่อปัญญาแจ่มแจ้งจะสลัดคืน เมื่อมาจากดิน ท้ายที่สุดก็สลายกลายเป็นดิน ยึดเอาไว้ก็ได้แต่ทุกข์ตอบแทน อยากโง่ก็ยึดต่อไป คิดได้ก็วางเสีย พุทธทาสภิกขุ............ .............................. .............................. ความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจนั้น เป็นเรื่องทรมานยิ่ง และเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพรากก็เป็นสิ่งสุดวิสัย... ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ที่พอใจ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง...พุทธโอวาท --------------------------- พระราชดำรัส ในรัชกาลที่ 7 เมื่อทรงสละพระราชสมบัติ เพื่อประชาชน ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฎรทั่วไป ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจโดยสิทธิ์ขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร
New Comments
Friends' blogs
[Add albatross11's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.